แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6485|ตอบ: 18
go

เที่ยวชม ถ้ำหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่16-01-49(ต่อ) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

20060122_164829[1].jpg
ปูนปั้นพระพุทธรูปนั่งบริเวณปล่องแจ้งในถ้ำ ที่ก่อปั้นโดยหม่องโส่ง ชาวมันดาเล (พม่า)โบราณ ซึ่งท่านหม่องโส่งได้เคยมาปั้นไว้ในสมัยหนุ่ม ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นช่างปั้นพระหล่อพระ เมื่อเสร็จการจากปั้นพระในถ้ำเชียงดาว แล้วก็เดินทางกลับมาย่างกุ้งมันดาเล เมื่อย่างเข้าถึงวัยชราจึงได้ออกบวชเป็นฤาษี.. แล้วได้กลับมาอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวอีกเป็นครั้งที่ ๒ เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ


Rank: 8Rank: 8

20060122_165139[1].jpg
หินเจ็ดชั้นในถ้ำพระนอน...


ประวัติถ้ำหลวงเชียงดาว

คนโบราณท่านเรียกกันว่า "ดอยเพียงดาว" เนื่องจากว่า เมื่อแหงนดูยอดของมันเห็นว่ามันสูงเสียดฟ้า เหมือนกับว่ามันสูงเทียมดาว คำว่า "เพียง" ก็เท่ากับคำว่าเสมอหรือเทียมเท่านั้นเอง สมัยต่อมาจึงเรียกเพี้ยนไปว่า "ดอยเชียงดาว"

โดยรอบทุกด้านของถ้ำหลวงเชียงดาวจะมีถ้ำเล็กถ้ำใหญ่มากมายหลายสิบถ้ำ แต่ว่ามันอยู่นอกเขตของถ้ำหลวงเชียงดาวออกไป และก็เป็นถ้ำที่ไม่มีประวัติกล่าวถึงความสำคัญอันใดเลย

ตามประวัติเดิมของถ้ำหลวงเชียงดาว ในสมัยแรกนั้นมีฤาษีรูปหนึ่งนามว่าพรหมฤาษี เป็นผู้วิเศษด้วยฌาณแก่กล้า ได้ประชุมเทวดา อินทร์ พรหม ยักษา อสูร และนาคราช ฯลฯ แล้วพากันเนรมิต สิ่งต่างๆขึ้นไว้หลายอย่าง เช่น

๑. พระพุทธรูปทองคำ
๒. พระเจดีย์ทองคำ
๓. ต้นโพธิ์ทองคำ
๔. ช้างวิเศษ
๕. ดาบวิเศษ
๖. ผ้าทิพย์
๗. อาหารทิพย์
๘. ม้าวิเศษ ฯลฯ

สำหรับม้าวิเศษนั้น นัยว่าได้เอาไว้ที่ถ้ำแผง แต่ไม่ทราบว่าถ้ำใดแน่ เคยออกมา ๓ - ๔ ครั้งแล้วสิ่งวิเศษเหล่านี้ นัยว่ามีไว้สำหรับพระเจ้าทรงธรรม(ธรรมมิกราช) อันจะลงมาปราบอธรรมในภายหน้า ฉะนั้นของวิเศษที่ถูกเก็บรักษาไว้ในถ้ำเชียงดาวจึงมีเพียงแค่ ๗ อย่าง



Rank: 8Rank: 8

20060122_165304[1].jpg
หินม่านไทรย้อยในถ้ำม้า...

ถ้ำหลวงเชียงดาวนี้ ตำนานกล่าวไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ประกาสิตให้เทวยักษ์ตนหนึ่งมีนามว่า "เจ้าหลวงคำแดง" กับบริวาร ๑๐,๐๐๐ มารักษาของวิเศษดังกล่าว นามเดิมของเจ้าหลวงคำแดงคือ "สุวรรณ คำแดง" ได้มาเฝ้ารักษาดอยหลวงเชียงดาวอยู่นานถึง ๖๐๐ ปีกว่าแล้ว เทวธิดาซึ่งเป็นชายาของเจ้าหลวงคำแดงมีนามว่าจอมเทวี เธอสถิตย์ อยู่ที่ดอยนางเฉียงเหนือของดอยหลวงเชียงดาวอันมีอาณาเขตติดต่อกัน ต่างฝ่ายก็รักษาศีล ๘ จึงแยกกันอยู่คนละแห่ง ไม่ได้อยู่ปกครองที่เดียวกัน



Rank: 8Rank: 8

20060122_165551[1].jpg
พระพุทธรูปปางไสยาสน์ (พระนอน) ที่อยู่ในถ้ำพระนอน ที่ก่อปั้นโดยหม่องโส่ง ชาวมันดาเล (พม่า)โบราณ


Rank: 8Rank: 8

20060122_165911[1].jpg
พระพุทธรูปที่อยู่บริเวณไม่ไกลจากทางออก ทุกคนที่เข้าถ้ำจะต้องมาไหว้จุดนี้ทุกคน เพราะเป็นทางที่จะแยกไปยังถ้ำย่อยต่างๆ เพื่อทำการขมา และแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในการที่จะเข้าไปขอดูและชมถ้ำ....

ได้มีตำนานกล่าวไว้ว่า ถ้าใครอยากพบสิ่งวิเศษดังกล่าว ขอให้ได้ทราบข้อมูลปฏิบัติเสียก่อน ดังนี้ หาก ฆราวาส หรือนักบวชผู้ใดปรารถนาจะเข้าไป ให้ชำระร่างกายให้สะอาดเรียบร้อย ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ จริงๆ เตรียมหาเทียนเงิน ๓๐๐ เล่ม เทียนดำ ๓๐๐ เล่ม ต้นดอก ๔ ต้น ช่อดำ ๘ ผืน ช่อแดง ๘ ผืน ช่อเหลือง ๘ ผืน ช่อขาว ๘ ผืน ประทีปพันดวงให้กระทำการสักการะบูชาที่หน้าถ้ำเสียก่อน แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปและให้ตั้งใจเข้าถ้ำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าคิดเหลวไหลหรือกลัวตาย หรืออยากได้อะไรในถ้ำเป็นอันขาด ให้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปและพระธาตุเจดีย์อย่างแท้จริง มิฉะนั้นอาจมิได้ออกมาดูโลกภายนอกได้อีก ถ้าพลาดพลั้งลงไปก็คางเหลืองหรือเหม็นเน่าเต็มถ้ำกันอีก เช่นเด็กหนุ่ม ๒ คน เข้าไปแต่เพียงถ้ำม้าเมื่อนานปีล่วงมาแล้ว ก็ตายคาถ้ำคนหนึ่ง ตาฤาษีหม่องโส่งช่างปั้นพระดังกล่าวเข้าไปพบจึงพาคนที่รอดออกมาได้ เด็กหนุ่มทั้ง ๒ เดินหลงวนเวียนถึงกับต้องคลาน ๔ เท้า อดข้าวอดน้ำอยู่เกือบ ๔ อาทิตย์ แม้หมู่ญาติพี่น้องจะเข้าไปค้นหาสักเท่าใดก็ไม่พบ



Rank: 8Rank: 8

20060122_170232[1].jpg
หินรูปหัวของพญานาคที่โพล่หัวชูคอขึ้นมาจากพื้นดิน...

พิธีการและระยะทางตามตำนานกล่าวไว้ว่าถ้าจะเข้าไปพบสิ่งของต่างๆ ตำนานท่านกล่าวไว้ดังนี้คือ เมื่อเดินเข้าไปประมาณ ๓๐๐ วาและมีทางแยกไปอีก ๙๐ วาจะพบแม่น้ำหลายแควๆ หนึ่งจะไหลมาทางใต้แท่นพระพุทธรูปทองคำเรียกว่า "แม่น้ำอโนตะนที" ในที่นั้นจะเป็นบ้านลับแล ๖ หลัง พรอ้มด้วยสวนผลหมากรากไม้ของชาวลับแลอย่างร่มเย็นเป็นสุข และจะพบเสื้อผ้าอันเป็นทิพย์ ถาพบแล้วเอามานุ่งห่มได้ ในตอนนั้นให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสียก่อน เมื่อแต่งตัวเป็นชาวลับแลแล้ว ให้เดินต่อไปอีกประมาณ ๗๐๐ วา ก็จะพบสระน้ำด้านหนึ่งกว้างใหญ่ด้านละ ๘๐ วา น้ำในสระใสสะอาดและเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ที่มุมสะทางทิศเหนือจะมีโพรงนาค กว้างแค่เพียงตัวคนเข้าไปได้พอดี ให้สักการะบูชาที่ปากปล่องนั้นด้วย แกงส้ม แกงหวาน ขนมนมเนย มะพร้าวอ่อน ๑ ผล เทียน ๔ เล่ม ดอกไม้ ๔ ดอก บูชาทั้ง ๔ ทิศ แล้วให้ลอดปล่องนั้นเข้าไปมีระยะประมาณ ๒ วา ก็จะพบบริเวณเมืองพญานาค แห่งตระกูลวิรูปักขะ อันสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทิพย์ ตลอดจนผ้าสบงจีวรนิมนต์ห่มผ้าประหลานนั้นเสียก่อน เมื่อพระคุณเจ้านุ่งห่มผ้าสงจีวรเหล่านั้นจะกลายเป็นนักบวชชาวลับแลทันทีสามารถเสพอาหารทิพย์ของชาวลับแลได้ แต่จะไม่สามารถกลับออกไปภายนอกได้อีก จะหลงลืมวัดวาอารามเก่า ซึ่งอู่ในโลกภายนอกทั้งหมดส่วนถ้าเป็นฆราวาสก็จะลืมทรัพย์สมบัติตลอดจนบุตรภรรยาญาติมิตรทั้งสิ้น(ให้ระวังข้อนี้ให้ดีด้วย)



Rank: 8Rank: 8

20060122_170607[1].jpg
หินดอกบัวบานภานในบริเวณถ้ำม้า....

ส่วนถ้าจะไปขอชมพระพุทธรูปทองคำเมื่อเดินเข้าไปต่ออีกก็จะพบพระพุทธรูปทองคำสถิตย์อยู่บนแท่นแก้ว ๗ ประการ อย่างสว่างไสว พร้อมด้วยบันไดเงิน บันไดทองและหาดทรายเงิน หาดทรายทอง เกลี่อนกลาดดาษดาไปทั้งหมด เมื่อแล้วให้บูชาด้วย แกงส้ม แกงหวาน ขนมนมเนย เทียน ๑๐๐ เล่ม ช่อแดง ๑๗ ผืน ช่อขาว ๑๗ ผืน เมื่อเข้าไปทางด้านหลังพระพุทธรูปนั้นก็จะพบแท่นสถิตย์ของฤาษีวิเศษ นั่งภาวนาตลอดกาล ให้บูชาด้วยดอกไม้ ๗ อย่าง ต่อจากนั้นให้เดินเข้าไปก็จะพบแท่นสถิตย์ของเจ้าหลวงคำแดง ให้บูชาด้วเทียน ๔ เล่ม ดอกไม้ ๔ ดอก น้ำนมวัว ๒ ถ้วย น้ำตาล ๙ ก้อน ต่อเทวยักษ์เจ้าหลวงคำแดง ผู้มีร่างกายแดงกล่ำสูง ๖ ศอก ถัดเข้าไปอีก ๓๐๐ วา จะพบแม่น้ำอันหนึ่งลึกเพียงอก จะพบโพรงช้างวิเศษ ให้บูชาด้วยหญ้า ๙ กำ อ้อย ๑๐ ท้อน ช้างนี้ไม่ใช่ช้างเผือกหรือช้างดำ แต่เป็นช้างทิพย์ นอกจากสิ่งที่ตำนานกล่าวไว้แล้วนอกจากนี้ ตำนานยังระบุไว้อีกว่าภายในถ้ำเชียงดาว มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและของพระสาวกบรรจุไว้เป็นอันมาก...




Rank: 8Rank: 8

20060122_173506[1].jpg
หินรูปพญาไก่....

ประวัติคนหายเข้าไปในถ้ำ
ประวัติที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องอิงนิยาย หากเป็นเรื่องจริงและน่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังหลายต่อหลายคน เรื่องมีอยู่ว่าคนที่หายเข้าไปในถ้ำไม่ใช่หลงถ้ำอย่างแท้จริงที่เข้าใจกันไม่ คือเมื่อประมาณ ๕๐ - ๖๐ ปีมาแล้ว มีชายชาวเขมรวัยกลางคนคนหนึ่ง มีนามว่าลุงเสด มาจากหลวงพระบางมาอาศัยเลี้ยงช้าง ที่เรียกกันว่าควาญช้าง ร่วมกับเพื่อน ๒ - ๓ คน อยู่ที่ป่าสบหนอง ตำบลเชียงดาว ห่างจากถ้ำเชียงดาวไปทางตะวันออกประมาณ ๗ ก.ม. (ปัจจุบันแถวนี้กลายเป็นหมู่บ้านไปหมดแล้ว) เวลาใกล้รุ่งของคืนวันหนึ่งลุงเสดหายจากที่พักไป เพื่อลุงเสด ๒ - ๓คนได้ออกติดตามหาแต่ไม่พบตัว พบแต่รอยเท้าเข้ามาทางถ้ำเชียงดาว ช่วงนั้นฤดูฝนด้วย พวกเขาก็ได้พบรอยเท้าและขี้เถ้าจากถ่านคบเพลิง ที่ลุงเสดนำไปส่องทางในถ้ำพวกเขาหมดหนทางที่จะตามเข้าไป เพราะฟืนไฟมิได้เตรียมเอามาจึงพากันทยอยกลับไปสู่ที่แคมป์พัก แล้วได้นำเรื่องไปเล่าให้เจ้านายฟัง คือเจ้าของช้าง แลัวพากันไปถามเจ้าทรง โดยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เจ้าทรงบ่งชี้ให้ว่า ในคืนเดือนเพ็ญของวันวิสาขะปีหน้า เขาจะออกมาหน้าประตูถ้ำถ้าผู้ใดไปรอจะได้พบเขาและเมื่อถึงวันกำหนดที่เจ้าทรงบอกไว้มิได้ผิด ลุงเสดโผล่หน้าออกมาที่หน้าประตูถ้ำ ทุกคนที่ไปคอยดูก็ได้เห็น คนๆหนึ่งในกลุ่มเขา เข้าไปจะไต่ถามด้วยความอยากจะชวนลุงเสดออกจากถ้ำกลับสู่บ้าน แต่ลุงเสดโบกมือและบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง "ไม่ออกไปไหนแล้ว" ว่าแล้วก็หันหลังให้ไปเลยไม่ยอมโผล่หน้าออกมาอีก และนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนได้พบกับลุงเสด

ส่วคนที่หลงเข้าไปได้ ๔ - ๕ วัน นั้นก็มีอยู่บ่อยครั้งซึ่งเคยเดือดร้อนไปถึงชาวบ้านเสียการงานเข้าไปเสาะหามาได้ บางรายยกมือไหว้ท่วมหัวกลัวชาวบ้านแช่งด่าว่าเข้าไปหาที่ตาย...



Rank: 8Rank: 8


.

Rank: 8Rank: 8

20060122_180115[1].jpg
เสาหลักกำหนดอาณาเขตทางเข้าเมืองลับแล...

ครั้งหลังจากที่ลุงเสดคนก่อนหายตัวไปไม่นานนักก็เกิดเร่องคนหายอีกครั้ง เป็นชายวัยกลางคนชื่อ"เส็ด" เป็นพรานล่าเนื้อ ชายคนนี้มีถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่แม่ก๊ะ อำเภอเชียงดาว ได้หายไปในถ้ำทำนองเดียวกันอีก ๓ - ๔ เดือนถึงแม้ลูกเมียจะช่วยกันค้นหาลูกเมียสักเท่าใดก็ไม่พบ จนถึงกับต้องไปหาหมอไสยศาสตร์ทำพิธีร้องเรียกให้กลับมา เมื่อเทพเจ้าภายในถ้ำเชียงดาวทราบว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องและลูกเมียของชายผู้นี้ได้ทำพิธีเรียกร้องให้กลับบ้าน เทพเจ้าจึงปล่อยให้เขากลับบ้านแต่ว่ามีข้อแม้ว่าต้องทำงานหนึ่งให้ท่านก่อนจึงค่อยกลับบ้านได้ คือให้ไปเชิญเทพเจ้าทั้งหลายที่สถิตณะที่ดอยจอมหด ร่วมมากินเลี้ยงกับเทพเจ้าที่ดอยหลวงเชียงดาวและดอยนาง

ขณะที่ลุงเส็ดกำลังเดินทางไปทำธุระให้กับเทพเจ้าที่ดอยจอมหดนั้น เมื่อถึงกลางทางตรงแม่น้ำปิงระหว่างท่าวังขอน พอดีลุงเส็ดได้เดินไปพบกับลุงสันผู้เป็นน้องชายโดยบังเอิญกับเพื่อนบ้านอีก ๒ - ๓ คน เมื่อลุงสันได้พบกับพี่ชายดังนั้น จึงพากันร้องทักและวิ่งไล่สกัดจับตัวลุงเส็ดไว้ไม่ให้เดินต่อไป แต่ลุงเส็ดขอร้องและพูดกับน้องชายว่า "ปล่อยให้ข้าไปทำธุระให้กับเทพเจ้าของข้าให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะกลับไปบ้าน" แต่ลุงสันผู้เป็นน้องชายกับเพื่อนบ้านไม่ยอม เกรงว่าจะเป็นดังเช่นลุงเสดคนก่อน จึงพากันจับตัวลุงเส็ดนำกลับบ้าน เมื่อไปถึงบ้านลุงเส็ดได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับเพื่อนบ้านและน้องชาวของตนฟังว่า "ขณะที่เดินทางไปถึงหน้าถ้ำ แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าประตูถ้ำ มีความคิดอยากที่จะเข้าไปดูในถ้ำ แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะใช้เป็นแสงสว่างส่องเข้าไปได้ พลางนึกถึงอยู่เช่นนั้นขณะหนึ่ง พลันเท้าของเขาก็เดินย่างก้าวเข้าไปในถ้ำโดยทีไม่รู้ตัว ยิ่งเดินเข้าไปาทงก็ยิ่งสว่างเหมือนกันที่เราอยู่ข้างนอกที่มีแสงพระอาทิตย์ ยิ่งเดินยิ่งเพลิน และลืมไปหมดทุกอย่างแม้กระทั้งความหิว ตลอดถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องและลูกเมีย" แล้วลุงเส็ดก็ได้เล่าต่อไปอีกว่าหลังจากหยุดพักเหนื่อยและดื่มน้ำเข้าไป ๑ ขัน เมื่อเดินเข้าไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งคล้ายวังของพระเจ้าแผ่นดิน และมีเทพเจ้ามากมายได้พูดกับเขาว่า "ให้เจ้าอยู่กับเราที่นี่นะ เราจะให้ความสุขแก่เจ้าทุกอย่าง ตลอดจนการอยู่การกิน เราจะมิให้เจ้าต้องได้รับความเดือนร้อน" หลังจากที่ลุงเส็ดได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ พ่อแม่พี่น้อง ลูกเมีย และเพื่อนบ้านฟังแล้วไม่นานต่อมาเขาก็อพยพโยกย้ายครอบครัวพร้อมทั้งพ่อแม่พี่น้องของเขาไปอยู่ที่บ้านถ้ำ(หมู่บ้านใกล้บริเวณหน้าถ้ำเชียงดาวในปัจจุบัน) และสิ้นชีวิตในหมู่บ้านถ้ำนั่นเอง...



‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:49 , Processed in 0.055038 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.