แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 5264|ตอบ: 3
go

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ (หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-24 02:58 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

1.jpg



พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์

(หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด)


รวบรวมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๓



หลวงปู่ทวด เดิมชื่อ ปู ท่านเกิดที่ ตำบลพะโคะ อำเภอจะทิ้งพระ (ปัจจุบันคือ สทิงพระ) จังหวัดสงขลา เมื่อวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือนสี่ ปีมะโรง ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๑๒๕ เวลา ๙ นาฬิกา บิดาของท่านเป็นชาวมุสลิม ชื่อ หู มารดาของท่านเป็นชาวพุทธ ชื่อ จันทร์ ท่านเป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา ตอนให้กำเนิดท่านนั้น มารดาของท่านอายุได้ ๔๔ ปีแล้ว

หลวงปู่ทวดเริ่มเรียนหนังสือที่ วัดดีหลวง ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านชอบการบวชเป็นพระมาตั้งแต่เด็ก เห็นพระสวดมนต์ก็คิดว่าดี จึงไปขออนุญาตพ่อแม่บวช แรกก็เพื่อทดลอง แต่เมื่อบวชแล้ว กลับไม่ยอมสึก ที่เป็นดังนี้ คงจะเป็นด้วยบารมีเก่าที่ท่านจะสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยา (กรุงศรีอยุธยา) นั่นเอง ที่ช่วยให้ท่านไม่อยากสึก

หลวงปู่ทวดบวชที่ อำเภอจะทิ้งพระ ตอนที่ท่านบวชเป็นสามเณรนั้น บิดามารดาของท่าน มีอายุ ๕๐ ปีเศษแล้ว ตอนท่านบวชเป็นพระภิกษุ บิดามารดาของท่าน มีอายุ ๖๐ ปีเศษ เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จนอายุได้ ๒๕ ปี ระหว่างที่บวชอยู่นี้ บิดามารดาของท่านซึ่งชรามากแล้ว และท่านเพียงคนเดียวที่เป็นความหวังที่จะให้ตอบแทนบุญคุณปฏิการะบิดามารดา และหวังจะให้ท่านเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ได้ไปขอร้องให้ท่านสึก

ท่านถือว่า ขนาดพระพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าชายและมีพระนางพิมพา พระราหุลแล้ว ยังทรงสละราชบัลลังก์ออกบวชได้ แล้วท่านเป็นบุคคลธรรมดา จะบวชให้ตลอดไปมิได้หรือ นอกจากนี้ ท่านยังถือการบวชของท่านนี้ ย่อมอำนวยประโยชน์ในทางธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์อันสูงส่งกว่าประโยชน์ในทางโลกแก่บิดามารดาของท่านอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสละบิดามารดาของท่านไปอยู่สงขลา ท่านอยากสอบเป็นพระมหาอาจารย์ ต่อมาท่านจึงเดินทางไปเมืองอโยธยา

ที่เมืองอโยธยา ท่านไปศึกษาวิชาการต่างๆ อยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์ วัดพุทไธศวรรย์นี้เป็นวัดหลวงที่พระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างขึ้น เมื่อก่อนจะย้ายเมืองหลวงมาจากกรุงสุโขทัย โดยพระเจ้าอู่ทองได้เสด็จมาทางจังหวัดแพร่ แล้วมาสร้างวัดนี้ จากนั้นจึงทรงสร้างกรุงอโยธยาเป็นเมืองหลวง


พระเจ้าอู่ทองมักเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลยังวัดพุทไธศวรรย์เสมอๆ และได้ทรงพบกับหลวงปู่ทวดเป็นที่สบอัธยาศัย ในที่สุดพระเจ้าอู่ทองทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์นั้น เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสามกุน พ.ศ.๒๑๘๑ ต่อมาท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณ ตอนนี้ท่านจึงได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่านที่สงขลาอีกครั้งหนึ่ง

การเดินทางจากกรุงอโยธยาไปยังสงขลาในสมัยนั้น ต้องใช้เรือใบแบบสำเภาเป็นพาหนะ ระยะทางไปกลับใช้เวลาถึง ๑ ปี เมื่อท่านไปเยี่ยมแล้ว ขากลับจะเดินทางจากสงขลาไปอโยธยา ได้มาลงเรือที่สงขลา ก่อนออกเรือ พวกลูกเรือลำที่ท่านจะโดยสารไปเป็นชาวอิสลาม ได้ตั้งวงเล่นไพ่กัน และเล่นกันเพลินจนลืมเตรียมน้ำจืดเอาไว้ใช้ในเรือ เมื่อเรือออกเดินทาง คนจึงไม่มีน้ำกิน พวกชาวเรือเหล่านั้นได้พากันกล่าวหาว่าเหตุการณ์ทั้งนี้ เพราะมีพระภิกษุจัญไร คือท่านนั่นเอง จึงทำให้พวกเขาลืมน้ำไว้ที่เกาะหนูเกาะแมว


ท่านจึงอธิษฐานบารมีว่า “หากแม้ข้านี้ สามารถที่จะสืบต่อพุทธศาสนา ทำงานให้ศาสนารุ่งเรือง ขอให้น้ำทะเลบริเวณที่เท้าเหยียบลงไปนี้ จงกลายเป็นน้ำจืดเถิด” แล้วท่านก็เอาเท้าจุ่มลงทะเล น้ำบริเวณที่ท่านจุ่มเท้าลงไปนั้น ก็ได้กลายเป็นน้ำจืด พวกชาวสำเภานั้นจึงได้ตักน้ำไว้ใช้ในเรือ ๑๓ โอ่ง มีน้ำใช้ตลอดทางถึงอโยธยา และด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้นั่นเอง ท่านจึงได้รับสมญานามว่า “หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด”

หลังจากมาอยู่อโยธยาได้ ๒ ปี (นับจาก พ.ศ.๒๑๘๑) ชาวลังกาได้มาล้อมเมืองอโยธยาไว้ และได้ตั้งปริศนาธรรมท้าพนันเอาเมืองอโยธยา ท่านได้กู้บ้านเมืองไว้ โดยอธิษฐานบารมีว่า ถ้าท่านมีบารมีจะช่วยได้ ก็ขอให้เกิดปัญญาแก้ปริศนาธรรมออก ในที่สุดท่านก็แก้ปริศนาธรรมได้ กรุงอโยธยาไม่ต้องตกเป็นของชาวลังกา


ด้วยคุณความดีของท่านในด้านต่างๆ รวมตลอดทั้งที่ได้กล่าวมานั้น พระรามาธิบดีที่ ๒ (โอรสพระเจ้าอู่ทอง) จึงได้ทรงสถาปนาให้ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยา ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์” ดังสำเนาตัวอย่างประกาศแต่งตั้ง ดังต่อไปนี้


ประกาศราชสำนักในราชวงศ์อู่ทอง แผ่นดินอโยธยา


ในสำคัญฉบับนี้ ขอประกาศให้ประชาราษฎร์ในแผ่นดินข้าพเจ้าทราบทั่วกันว่า

พระภิกษุ ปู หรือ ราโม ธัมมิโก ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ มีพระนามว่า ราชมุนีคุณุปมาจารย์ เลื่อนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระสังฆราช ทรงพระนามว่า คูรูปาจารย์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งมีความดีความชอบ ดังนี้

๑. เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีความเฉลียวฉลาดกว่าพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ ในกรุงศรีอโยธยา สามารถเรียงเรื่องจารึกอักษรภาษาบาลี ซึ่งชาวลังกาส่งมาเป็นปริศนาจนเป็นผลสำเร็จ เป็นการรักษาบ้านเมืองของเราไว้ ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น


๒. เมื่อโรคห่าระบาดทั่วกรุงศรีอโยธยา ประชาราษฎร์ในกรุงศรีอโยธยาตาย เพราะโรคนี้เกลื่อนกลาด ท่านสามารถใช้น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่าให้โรคห่านี้อันตรธานจากกรุง จนประชาราษฎร์หายป่วยได้อย่างอัศจรรย์


๓. เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งไสยศาสตร์และรอบรู้ในพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้

ข้าพเจ้าในนามเจ้าผู้ครองนครศรีอโยธยา จึงเลื่อนตั้งตามความเชื่อกล่าวมานี้


ลงพระนาม พระราชา

สมเด็จรามาธิบดีที่ ๒ อู่ทอง



ประกาศมา ณ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ พระพุทธศาสนากาลเป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๑๙๐ พรรษา เวลานั้นมีพระพรรษา ๖๕ พรรษา ซึ่งมนุษย์ในยุคปัจจุบันให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด

ผู้ทานสำเนา

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี



154628r2eihu25uyrrqa22.jpg



หลวงปู่ทวดไม่ติดในยศถาบรรดาศักดิ์ การได้รับตำแหน่งพระสังฆราชนี้ ท่านเทศน์เล่าว่า


“เมื่อได้รับทีแรกๆ เราก็ไม่รู้สึกว่าเป็นสังฆราช เราก็ต้องทำตามแบบองค์สมณโคดม จะไปไหนๆ หรือไปในวัง เราก็เดินไป แต่เขาบอกว่าไม่ได้ ท่านเป็นสังฆราชเดินไปไม่ได้ ต้องใช้คนแบกไป นั่งเปลอะไรก็ไม่รู้ สองคนแบกกันไป อาตมาคิดในใจว่าแย่แล้ว พอเป็นสังฆราชก็กลายเป็นคนป่วย เดินไม่ได้ ต้องให้เขาหาม ทีนี้ถ้าเราขืนหลงอยู่ในตำแหน่งนี้ เราก็ยิ่งฟุ้งกันใหญ่ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร....”

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงหนีไปจำพรรษาอยู่ ณ น้ำตกห้วยทรายขาว (ปัจจุบันอยู่ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี) ตอนที่ท่านสละตำแหน่งสังฆราชนี้ เป็นวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๑๙๓ รวมเวลาท่านอยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์ ๙ พรรษา และรวมเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งพระสังฆราช ๓ พรรษา

ที่ท่านหนีไปหาความวิเวกที่น้ำตกห้วยทรายขาวนั้น ท่านปลงตกว่าท่านต้องการความสำเร็จด้านนามธรรม ต้องการจะเอาความดีในปรภพ ถ้าท่านยังขืนบ้ายศเป็นสังฆราชอยู่ ก็คิดว่าจะไม่มีทางหลุดพ้น เพราะว่าสังฆราชจะต้องพัวพันกับโลก พัวพันกับการเมือง พัวพันกับเศรษฐกิจ

เมื่อไปอยู่น้ำตกห้วยทรายขาวนั้น ท่านเทศน์เล่าว่า ตอนนั้นท่านใช้วิธีบำเพ็ญจิตแบบเพ่งกสินน้ำ โดยท่านอธิบายว่า


“วิธีการพิจารณาของอาตมาที่บำเพ็ญนั้น อาตมาไม่ได้มีอะไร อาตมาเริ่มด้วยการเพ่งน้ำในน้ำตกว่า น้ำนี้ไหลมาอย่างไร มาจากจุดใด มาอย่างไร ไปอย่างไร ถึงรู้มันเป็นน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรม มิฉะนั้นองค์สมณโคดมจะไม่เทศน์เอาไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ใครปฏิบัติธรรมผู้นั้นรู้เอง”

หลวงปู่ทวดบำเพ็ญที่น้ำตกทรายขาวอยู่ ๔ ปี ซึ่งในการที่ท่านได้มีโอกาสหนีมาอยู่น้ำตกทรายขาวนี้ ท่านชี้แจงว่า “นั้นแหละสุขที่สุด คือการเป็นนักพรตที่ดี จะต้องไม่มีห่วง และไม่มีตำแหน่งเป็นอะไรเลย”


น้ำตกทรายขาวในสมัยนั้น เป็นป่าชุกชุมด้วยยุง งู ช้าง สิงโต และเต็มไปด้วยไข้ป่า ไข้ห่า เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว จะมืดสนิทจนมองไม่เห็น แม้แต่ลายมือของตนเอง รอบตัวมีแต่เสียงสัตว์ร้าย อาหารการกินก็ไม่มี จำพรรษาครั้งหนึ่งๆ อย่างน้อย ๙๐ วัน บางทีอยู่เป็นปี ไม่ได้ออกจากหุบเขา และไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันหรือรอยเท้ามนุษย์ ท่านต้องผจญมารในรูปต่างๆ มีสัตว์ร้ายที่จะมาทำร้ายท่านบ้าง วิญญาณที่คอยมารบกวนท่านบ้าง ท่านอยู่ป่าคนเดียว แทบเอาชีวิตไม่รอด
แต่ท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมาน เพื่อค้นพบสัจธรรม

บางครั้งท่านไปอยู่ที่วัดพะโคะบ้าง ที่กระทิงผาบ้าง แต่อยู่ไม่นาน สำหรับที่วัดพะโคะนั้น เดิมเป็นที่พักของสงฆ์เท่านั้น ต่อมาพระยาปัตตานีได้ไปบูรณะเสียใหม่ และที่วัดพะโคะนี้ มีอนุสรณ์ของหลวงปู่อยู่อย่างหนึ่ง คือ รอยเท้าสองรอยที่ท่านได้ประทับไว้ เป็นรอยที่ใหญ่มาก เพราะคนโบราณนั้นตัวโตกว่าคนเดี๋ยวนี้ และก็เนื่องด้วยแรงอธิษฐานด้วย คือที่เรียกว่า สัจจบารมี อธิษฐานบารมี นั่นเอง การกระทำใดๆ จะสำเร็จได้นั้น ท่านสอนว่า จะต้องมีสัจจะอธิษฐานและขันติบารมี

จากนั้นท่านได้ไปอยู่ที่คาบสมุทรเกาะแก้วพิสดารที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่า หนองภูเก็ต พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชบัญชาให้ไปเที่ยวติดตามหาท่านที่นี่ ท่านอยู่ที่หนองภูเก็ต เป็นเวลา ๑๐ ปี อยู่ที่เกาะแก้วพิสดารในหนองภูเก็ต เป็นเวลา ๕ ปี


เกาะแก้วพิสดารนั้นล้อมรอบด้วยทะเล มีพวกชาวทะเลอยู่กันที่นั้นไม่กี่ครอบครัว และเต็มไปด้วยโจรสลัด ท่านปลูกมันกับถั่วเลี้ยงตัวเองอยู่ที่นั้น และนานๆ จึงจะได้อาหารจากพวกโจรสลัดมาถวายเสียทีหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเกาะนั้นเรียกว่า เกาะประหาร เวลาพวกโจรสลัดปล้นเสร็จแล้ว ก็มาฆ่ากันบนเกาะ ท่านฉันถั่วฉันผักเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งท่านก็ฉันหญ้าขมเป็นยาด้วย

เดิมหลวงปู่ทวดฉันหมากด้วย ท่านเลิกหมาก เมื่ออายุ ๗๐ ปี การอยู่ทะเลคนเดียว สิ่งที่ได้มาก็คือ ทำให้จิตท่านแข็งแกร่ง ทำให้จิตท่านหลุดพ้น ทำให้จิตท่านสงบ ทำให้จิตท่านมีสติพร้อม ท่านให้ข้อคิดว่า คนเราควรอยู่ในที่วิเวก ในที่มีอันตราย ในที่ที่ขัดสน หรือในที่ที่เต็มไปด้วยไข้ชุกชุมนั่นแหละ จิตจึงไปสู่วิมุตติได้

ต่อมาท่านออกมาสร้างวัดช้างให้ที่จังหวัดปัตตานี การสร้างวัดช้างให้นี้ เกิดขึ้นจากการที่คืนวันหนึ่ง เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๑๙๘ ท่านได้บำเพ็ญจนสำเร็จอนาคตังสญาณ ท่านจึงตั้งปณิธานที่จะสร้างวัดขึ้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความสำเร็จของการบำเพ็ญนี้ วิธีหาที่สร้างวัดนี้ ท่านใช้วิธีนั่งสมาธิไปบนหลังช้าง ให้ช้างเดินไปเรื่อยๆ ช้างร้องที่ไหน ก็สร้างวัดที่นั่น อันหมายถึง เป็นวัดที่ช้างชี้ให้สร้างตรงนี้


ท่านกับสามเณรพร ซึ่งได้มาอยู่กับท่านตอนจะสร้างวัดนี้ ได้ช่วยกันสร้างวัดช้างให้ โดยเริ่มสร้างด้วยไม้มุงด้วยจากก่อน แล้วจึงค่อยๆ บูรณะเรื่อยมา ตอนท่านอยู่วัดช้างให้นั้น มีคนไปขอให้ท่านช่วยรักษาโรคให้มากมาย ท่านโปรดสัตว์อยู่ที่วัดช้างให้ได้ ๒ ปี เห็นว่าอยู่เช่นนี้ไม่มีทางสำเร็จ ท่านจึงหนีจากวัดช้างให้ ไปอยู่ที่ไทรบุรี

ที่ไทรบุรีนั้น ท่านอยู่ในป่าลึก วันแรกที่ท่านปักกลดลงไปนั้น ตรงนั้นเป็นป่าช้าช้าง ช้างมาล้อมท่านเต็มไปหมด ท่านจึงส่งกระแสจิตไปว่า “ถ้าข้าสามารถบำเพ็ญจิตสำเร็จในด้านจิตวิญญาณ ที่จะเป็นคนกู้ศาสนาได้ ก็ขอให้ช้างเหล่านี้กราบข้าซี”


ท่านสอนลูกศิษย์ว่า คนเรามันต้องอย่าถอย แล้วต้องแผ่เมตตา อย่างเช่นตอนที่ท่านไปอยู่น้ำตกทรายขาวใหม่ๆ นั้น ท่านไปอยู่ที่พำนักของเสือโคร่งสามตัว กลางวันมองไม่เห็นมัน กลางคืนมันออกมา ท่านต้องแผ่เมตตาให้มันและอธิษฐาน

ท่านอยู่ที่ไทรบุรี แล้วเดินทางต่อไปยังกลันตัน จากนั้นจึงไปอยู่ที่เขาอีโปห์ ปัจจุบันเขาอีโปห์นี้อยู่ในรัฐเปรู ประเทศมาเลเซีย ที่เขาอีโปห์นี้เป็นแหล่งบำเพ็ญแห่งสุดท้ายของท่าน ท่านทิ้งสังขารที่เขาอีโปห์ อัฐิของท่านอยู่ในถ้ำที่เขาอีโปห์


ท่านทิ้งสังขาร เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม ตรงกับวันพุธที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๒๒๔ เวลา ๒๓.๔๕ น. สิริรวมชนมายุ ๙๙ ปี ๓ วัน ตลอดชีวิตตั้งแต่บวชจนสิ้นสังขารไปจากโลกมนุษย์ ท่านใช้จีวรเพียง ๔ ชุดเท่านั้น

หลวงปู่ทวดเคยอธิบายให้สานุศิษย์ที่กราบเรียนไต่ถามทราบว่า ตอนที่ท่านมีสังขารอยู่นั้น การบำเพ็ญของท่าน ท่านยังไม่ได้ตั้งความปรารถนาอะไร ท่านตั้งใจปฏิบัติในจุดของเมตตาเป็นใหญ่ เมื่อทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์แล้ว ท่านไปบำเพ็ญต่อในโลกวิญญาณ เข้าซึ้งถึงคำว่า พุทธะ


พุทธะแห่งยุค พุทธปัญญา ทั้งสองอย่างนี้ต้องมีความปรารถนา ท่านจึงได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และบนสวรรค์ท่านเคยอยู่มาหมดทุกชั้น แต่ที่อยู่ในขณะนี้ ตามที่ท่านเทศน์โปรดเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ คือ สวรรค์ชั้นดุสิต

ท่านให้คำอธิบายว่า ผู้ที่เตรียมตัวเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ก็ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นพรหมเป็นอะไรก็ตาม ก็ต้องมาอยู่ชั้นดุสิต เพราะว่าชั้นดุสิตนี้ เป็นจุดเตรียมที่จะขึ้นสูงและลงต่ำ ชั้นดุสิตเป็นชั้นที่ใกล้มนุษย์ ทำให้ทราบเหตุการณ์ของโลกมนุษย์ได้ง่าย ไม่ใช่สวรรค์ชั้นที่เจาะจงให้เทวดาเท่านั้นที่อยู่ชั้นนี้ได้ และท่านบอกด้วยว่า พระศรีอริยเมตไตรยเวลานี้ก็อยู่ชั้นดุสิต

การที่ท่านลงมาทำงานนี้ ท่านเทศน์อธิบายว่า ท่านเดินตามแนวโพธิสัตว์ คือ ทำทุกวิถีทางที่จะให้สัตว์โลกมีความสุข ท่านจึงลงมาช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกาย (รักษาโรค) และใจ (เทศนาสั่งสอน) แก่มนุษย์ ท่านจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ยุคนี้ ย่อมเติบโตไม่ได้ทันการ จึงใช้วิธีมาผ่านร่าง และการที่ท่านมาผ่านร่างของมนุษย์ (อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์
ต่อมาท่านได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาและบำเพ็ญอยู่อย่างสงบในป่า ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘) เพราะในอดีตชาติมีกรรมพัวพันกันมา การที่ท่านลงมาในโลกมนุษย์นี้ ท่านไม่ได้มาหากินกับมนุษย์

หากแต่สืบเนื่องจาก ภาวะกลียุคที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ จึงทำให้พระเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์จักรี ต้องดิ้นรน สำนักปู่สวรรค์ตั้งขึ้นโดยมติของโลกวิญญาณ อันมีพรหมโลก เทวโลก และนรกโลก จึงเป็นการทำงานของโลกวิญญาณโดยตรง เพื่อช่วยสัตว์โลกที่กำลังตกอยู่ในทะเลแห่งความบ้าคลั่งในยุคแห่งกลียุคนี้ สำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่แก้ เรียกว่า มีหน้าที่ปิดทองก้นพระ

ส่วนปัญหาว่า มนุษย์จะมีความเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ หรือการทำงานของสำนักปู่สวรรค์หรือไม่นั้น ท่านได้ให้ทัศนะ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ในปัญหาข้อนี้ว่า


“ความเชื่อก็ดี ความศรัทธาก็ดี แล้วแต่ท่านพิจารณา แล้วแต่ท่านที่จะยึดถือ เพราะว่าทุกคนเขาเรียกว่า สวรรค์สร้างให้ เรามีมนุษย์สมบัติแห่งสติสัมปชัญญะ แห่งการมีสมองในการคิด ในการทำ ในการพูด ท่านต้องใช้วิจารณญาณแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา”

o5.png



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
        • ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด : ชุดการดำเนินตามแนวพระโพธิสัตว์. เกหลง พานิช รวบรวม : โครงการธรรมไมตรี, พฤศจิกายน ๒๕๔๖. เล่ม ๒ หน้า ๑๗-๒๙.

Rank: 1

PraSerT โพสต์เมื่อ 2009-1-25 13:39 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
พึ่งทราบนะครับ ว่าท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชด้วย  สาธุ

Rank: 8Rank: 8

putthapaun โพสต์เมื่อ 2009-8-25 09:56 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

Rank: 1

sopa2511 โพสต์เมื่อ 2009-9-1 15:22 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-3-28 22:39 , Processed in 0.243033 second(s), 17 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.