แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 23640|ตอบ: 30
go

การค้นพบจิตและดึงพลังจิตมาใช้ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

praputjeka-mini.jpg
บทความนี้เขียนขึ้นมาจากความรู้สึกภายใต้จิตใต้สำนึก และเข้าใจด้วยตัวเองเป็น ปัจจตังส่วนบุคคล ... บทความนี้สำหรับคนที่อยากก้าวในสมาธิจิต และอยากรู้ความเร้นลับที่ซ่อนภายในจิตเรา และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และมาพัฒนาจิตตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ...


อนึ่งจะเล่าถึงความแตกต่างระหว่างระบบกายและจิตก่้อน ถ้าเปรียบดังคอมพิเตอร์ กายเราสมองเราก็แค่ฮาทดิสเล็กๆที่มีความจำกัดในการบันทึกข้อมูล
และจิตเรามีหน่วยความจำอันมหาศาลที่ไม่สิ้นสุด สมองเราเก็บเรื่องราวในชีวิตชาติหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วส่งไปใว้ในจิต ซึ่งไม่เคยลบหายไป
ดั่งเราจะได้รับรู้ว่ามีคนระลึกชาติได้รู้หมดอะไรเป็นอะไรสถานที่ไหนที่ตนเองเคยไปอยู่ แบบนี้เราจะได้ยินบ่อย ก็เพราะสิ่งที่เก็บใว้ในจิตไม่หายไปไหน
ข้อมูลมหาศาลมากยิ่งกว่าใน google เสียอีก เพราะเก็บเรื่องราวของภพของชาติใว้ทีเดียว และนี่หละ กายกับจิตมันแตกต่างกันเช่นนี้ กายเรามีข้อจำกัดอยู่ภายใต้เวลาและสังขาร เมื่อกายยังมีกำลังยังทำงานได้ดีการจำการคิดการใช้งานก็ปกติ แต่พอแกตัวลงจำไม่ได้เลอะเลือนบ้าง เพราะสภาพร่างกายใกล้จะพังย่อมรวนเป็นของธรรมดา แต่จิตเราเก็บข้อมูลใว้ตลอด และไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา เพราะจิตไวมากและเร็ว บางคนรู้สึกแล้วบรรยายคำพูดออกมาในหัวแบบนี้เป็นการถ่ายทอดจากจิตและส่งมายังหัวสมองของเรา ทำให้เป็นความจำขึ้นมา แบบนี้เป็นต้น

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ถ้าเราแยกแยะได้ว่าอันไหนคือระบบของกาย อันไหนคือระบบของจิต เราสามารถเลือกใช้ได้ และเข้าใจถึงธรรมชาติกายและจิตเป็นอย่างดี จะมีประโยชน์มากต่อการฝึกจิตใจ และพัฒนาให้สูงขึ้นตามลำดัีบ ...

เอาหละเรามาเริ่มฝึกการแยกกายกับจิต ให้รู้ว่า สภาวะกาย และ สภาวะจิตต่างกันเช่นไร การใช้สมองคิดวิเคราะห์ออกมา ต้องใช้ สัญญา คือ ความจำ ไม่ว่าจากตำรา และคนบอกต่อ หรือสิ่งแวดล้อม ความน่าจะเป็น ขึ้นและสรุปออกมาเป็นความเข้าใจ ความเข้าใจคือ เอาสิ่งที่รับรู้่นั้นเอาไปใว้ในจิตเรา
นั้นเอง พูดง่ายส่งจาก ข้างนอกแล้วเข้ามาใว้ข้างในบันทึกในจิตนั้นเอง แต่นั้นอาจจะเป็นสิ่งเก่าที่จิตมีแล้วก็ได้ แต่จิตไม่จำกัดที่จะรับรู้เรื่องต่างๆ ก็เก็บเอาใว้หมด ... ส่วนสภาวะการใช้จิตมาจากความสงบ ความนิ่งของกาย จิตเราเลยสามารถดึงความรู้ออกมาได้ และส่งมาให้สมองคือกายเราไปรับรู้
แต่สมองจะไม่สามารถวิเคราะห์ในสิ่งที่จิตรู้ได้เพราะความจำกัดของสมองนั้นเอง มันเลยเป็นเพียงการรับรู้เท่านั้น แต่จะรู้แจ้งได้นั้นต้องใช้จิตเท่านั้น

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

คราวนี้มาถึงการเข้าถึงจิตเราเอง การนั่งสมาธิเป็นการทำให้กายนิ่งและเข้าไปรู้สึกข้างใน โดยการนั่งสมาธิและการทำให้เข้าถึงจิตก็มีหลายวิธีด้วย กันตาม ครูบาอาจารย์่ท่านสอนสั่ง แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกว่าไม่มีร่างกายอยู่เลย แบบนี้คือเริ่มที่จะเข้าไปถึงจิตเราแล้ว ... การนั่งสมาธิขอให้ทุกท่านก่อนจะนั่งต้องตัดสัญญา ตัวความเราเป็นตัวเราในปัจจุบันไปก่อนชั่วคราวเฉพาะตอนนั่งนะ เช่น เราชื่อ นามสกุล นี้มี พ่อแม่ชื่อ แฟนชื่อ ทำงานที่ไหนอย่างไร เป็นคนจังหวัดไหน ฯลฯ ... นั้นหละคือสัญญา ความจำ ณ ปัจจุบัน เป็น ฮาทดิสชั้นแรก คือ สิ่งที่เก็บใว้ ในหัวสมองอยู่ หรือเรียกว่าระบบกายนั้นเอง... เราต้องวางลงไปก่อน เอาแต่ความสงบหาที่ให้จิตอยู่ คือ กรรมฐาน เอาให้จิตอยู่ไหน เช่น ลมหายใจ หรือใว้ กลางหว่างคิ้ว คือ เอา จิตไปรู้สึกตรงนั้น แล้วจะร่วมกับคำภาวนาก็แล้วแต่ที่จะทำให้เข้าถึงสภาวะความสงบของจิต จนเรามีแต่ความรู้สึกไปรวมจุดนั้นจุดเดียว ย้ายการรับรู้ทั้งหมดของร่างกายมารวมจุดนั้นจุดเดียว เมื่อเต็มที่แล้วจะไม่รู้สึกว่ามีกายอยู่เลย คือ มีจุดนั้นจุดเดียว แขนขา ก็ไม่มี หัวก็ไม่มี ตัวก็ไม่มี มีแต่ ดวงจิตที่รวมกันอยู่ ... จะถึงขั้นนี้ต้องใช้ความสงบและกำลังของกรรมฐานช่วยพอสมควร
เพราะจิตเราไวมากจะคุมให้อยู่จุดเดียวมันยากเหมือนกันก็ต้องใช้เวลารวมทีละนิดๆ จนเต็มที่

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

... จากนั้นเนื่องความสงบ และสงัดในจิตที่เกิดแล้ว ทีนี้เอา ความรู้สึกเข้าไปใจกลางของจิตไปรับรู้ เชื่อมกับจิตเราว่า มีอะไรบ้างที่เก็บใว้ในจิต
แน่นอนมีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย หรือมีทั้งกุศล และ อกุศลที่อยู่ในจิตเรา แล้วแต่เราจะเลือก ในที่นี้เลือกสิ่งที่เป็นกุศลนะขอแนะนำจากนั้นก็
ไปรับรู้ว่า สิ่งที่จิตเคยรู้สูงสุดมีอะไรบ้าง เช่น เรา เคยเกิดเป็น เทวดาและพรมชั้นสูงสุด เรามีความรู้อะไรทำให้เกิดเป็นพรมและเทวดาชั้นสูงสุด ตอนนั้น จิตเราจะเหมือนฉายหนังให้ดูเป็นตอนๆ เลย ...ที่แนะนำให้ไปรับรู้ว่าเราเคยเป็นอะไรมาสูงสุดเพื่อจะให้เอามาต่อยอด ในชาติปัจจุบัน ในการพัฒนาจิตให้ก้าวหน้านั้นเอง และภูมิธรรมที่เก็บสั่งสมใว้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยสั่งสอนจิตเรา จิตเราเคยผ่านพระพุทธเจ้ามาแล้วกี่พระองค์
เอาไปรับรู้ แต่สังเกตและชัดเจนที่สุดคือ จิตเราไม่มีสัญญาในพระนิพพานอยู่เลย นี่หละสิ่งที่ขาด และไม่มีในจิต ยั่งว่างในจิตเรา ...

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

การใช้และดึงพลังจิตมาใช้
ทีนี้ก็จะมาพูดถึงเคล็ดลับในการดึงพลังจิตมาใช้ และกระตุ้นให้มีการใช้พลังจิต ก่อนพยายามใช้การระลึกรู้มากกว่าใช้การคิดก่อนระลึกรู้ คือ พยายามเอามาจากจิตก่อน แล้วค่อยส่งออกมาให้ร่างกายคือสมองเราไปรับรู้ แต่ยังไม่รู้แจ้งเพราะบางเรื่องราวมันซับซ้อนเกินไป ก็แค่ว่ารู้ก็พอ
เช่น การที่เราจะจะอธิษฐานให้สำเร็จ ก็ต้องระลึกถึงจิตที่เคยเป็น เทพสูงสุด พรหมสูงสุด แล้วนำมาใช้ในการอธิษฐานจะเป็นจริงไวกว่าอธิษฐาน
ธรรมดาเพราะใช้กำลังบุญในปัจจุบันและอำนาจสิ่งศักสิทธิ์ช่วยด้วย แต่ถ้าเราใช้สิ่งที่เคยมีอยู่ในจิตเราพูดง่ายคือบุญเก่า ของเก่านำมาใช้ให้เป็น ประโยชน์ ก็จะไวมากเลยทีเดียว ... และการรับรู้ทุกเรื่องจะไวมาก จะรู้สึกและบรรยายออกมาเป็นความคิด เหมือนบางทีคิดไปเองเรื่อย ทั้งที่เราไม่ตั้งใจจะคิดเป็นต้น นั้นคือ จิตส่งออกมาให้ กายเรารับรู้นั้นเอง ... มันจะเข้าใจและมั่นใจมาก และจะไปสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร จะเอาหลัก
การในสัญญาปัจจุบันมาวิเคราะห์ก็ยาก นั้นหละเอามาใช้ไม่ว่าจะเป็นการกระทำต่างๆ เช่นเราจะผิดศีลแล้ว ระลึกรู้เลยว่าเราเคยทำแบบนี้ไหม ถ้าทำแล้วเกิดอะไร ก็จะรู้และไม่กล้าเพราะจะรับรู้ถึงเส้นทางของอบายภูมิ เมื่อไม่กล้าก็ มุ่งทำแต่ความดี ปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เรามุ่งมั่นและพัฒนาจิตเราได้ไวกว่าเดิม เนื่องจากเอาของเดิมมาใช้และพัฒนา ... จะนั่งกรรมฐานต้องระลึกอารมณ์ จิตที่เคยเป็น พรหมมาก่อน แบบนี้สภาวะกรรมฐานจะไปไวมาก นิ่งสงบได้ไว ...เหมือนการเอา keyword ไป search ใน google แบบนั้นเลย แต่จะไวกว่ามาก

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

และบางทีเราจะเสริมกำลังจิตของเราให้กล้าแกร่งและไวยิ่งขึ้นใช้กำลังของพุทธคุณโดยวัตถุมงคล และขอบารมีครูบาอาจารย์ และพวกธนสิทธิ์ เช่น แร่ธาตุต่างๆ ที่เก็บพลังธรรมชาติ และจักวาลใว้ และ เหล็กไหล ไม่ว่าจะเป็น ตัวเหล็กไหล รังเหล็กไหล ขี้เหล็กไหล เหล่านี้จะมีพลัง ในตัวโดย ไม่ต้องปลุกเสกเลย พอนำมาเพ่งร่วมกับการฝึกสมาธิก้กระตุ้นพลังจิตได้ดีเลยทีเดียว ทำให้รับรู้และรู้สึกได้ไวกว่าเดิม
ท้ายสุดการค้นพบจิตและการดึงพลังจิตมาใช้ ทางเป็นทางที่ไม่ดีก็จะเกิดผลเสียก่อบาปก่อกรรม ไม่ว่าจะเอามาเป็น จิตสังหาร ทำร้ายคนอื่นด้วยพลังจิตก็ตาม เหล่านี้ก็ก่อเวรก่อกรรม ก็จะเป็นผลเสียเป็น อวิชชาไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา บางทีก็เอามาสั่งสอน เพื่อให้คนนั้นกลับตัวกลับใจเป็นคนดีก็ได้  ... แต่ถ้าเอามาทำสิ่งดีงาม คือ ในด้านความดีต่างๆ เช่นมาช่วยค้ำจุนพระศาสนา และปฏิบัติจิตให้เข้าถึงสภาวะ กระแสพระนิพพาน และทำให้จิตผูกพันธ์และรักพระนิพพาน และปราถนาจะเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน อย่างมั่นคง ก็นับว่า เป็น วิชชา ที่จะทำให้จิตหลุดพ้น จาก วัฏฏะสงสาร ...

ขอให้ทุกท่านที่อ่านบทความและไม่มีจิตคิดปรามาส ....ขอให้ได้พบจิตแท้ของตนเองโดยฉับพลัน

โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน
นิพพานัง ปรมัง สุขขัง

Rank: 1

สาธุ

Rank: 1

อนุโทนา ครับ

Rank: 1

โมทนาทุกดวงจิต คับ

Rank: 1

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ  สาธุ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-8 23:58 , Processed in 0.092488 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.