แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2011-7-30 21:08 โดย putthapaun
นันทนวรรคที่ ๒
นันทนสูตรที่ ๑
[๒๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๒๔] พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่อง เคยมีมาแล้ว พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งแวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ พวกนางอัปสรบำเรออยู่ในสวนนันทวัน ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า เทวดาเหล่าใดไม่เห็นนันทวัน อันเป็นที่อยู่ของหมู่นรเทพสามสิบ ผู้มียศ เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่รู้จักความสุข ฯ
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดาองค์หนึ่งได้ย้อนกล่าวกะเทวดานั้นด้วยคาถาว่า ดูกรท่านผู้เขลา ท่านย่อมไม่รู้จักคำของพระอรหันต์ทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข ฯ
นันทิสูตรที่ ๒
[๒๖] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตรทั้งหลาย
คนมีโค ย่อมยินดีเพราะโคทั้งหลายเหมือนกันฉะนั้น
เพราะอุปธิเป็นความดีของคน
บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้นไม่มียินดีเลย ฯ
[๒๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
บุคคลมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตรทั้งหลาย
บุคคลมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโคทั้งหลายเหมือนกันฉะนั้น
เพราะอุปธิเป็นความเศร้าโศกของคน
บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้นไม่เศร้าโศกเลย ฯ
นัตถิปุตตสมสูตรที่ ๓
[๒๘] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ความรักเสมอด้วยความรักบุตรไม่มี
ทรัพย์เสมอด้วยโคย่อมไม่มี
แสงสว่างเสมอด้วยดวงอาทิตย์ย่อมไม่มี
สระทั้งหลายมีทะเลเป็นอย่างยิ่ง ฯ
[๒๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี
ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี
ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม ฯ
ขัตติยสูตรที่ ๔
[๓๐] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
กษัตริย์ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า
โคประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า
ภรรยาที่เป็นนางกุมารีประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย
บุตรใดเป็นผู้เกิดก่อน บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย ฯ
[๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
พระสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า
สัตว์อาชาไนยประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า
ภรรยาที่ปรนนิบัติดี ประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย
บุตรใดเป็นผู้เชื่อฟัง บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย ฯ
สกมานสูตรที่ ๕
[๓๒] (เทวดากล่าวว่า)
เมื่อนกทั้งหลายพักร้อน ในเวลาตะวันเที่ยง ป่าใหญ่
ประหนึ่งว่าครวญคราง ความครวญครางของป่านั้นเป็นภัยปรากฏแก่ข้าพเจ้า ฯ
[๓๓] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
เมื่อนกทั้งหลายพักร้อน ในเวลาตะวันเที่ยง ป่าใหญ่
ประหนึ่งว่าครวญครางนั้นเป็นความยินดีปรากฏแก่เรา ฯ
นิททาตันทิสูตรที่ ๖
[๓๔] (เทวดากล่าวว่า)
อริยมรรคไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ เพราะความหลับ ความเกียจคร้าน ความบิดกาย ความไม่ยินดี และความมึนเมาเพราะภัต ฯ
[๓๕] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
เพราะขับไล่ความหลับ ความเกียจคร้าน ความบิดกายความไม่ยินดีและความมึนเมาเพราะภัต
ด้วยความเพียรอริยมรรคย่อมบริสุทธิ์ได้ ฯ
ทุกกรสูตรที่ ๗
[๓๖] (เทวดากล่าวว่า)
ธรรมของสมณะ คนไม่ฉลาด ทำได้ยาก ทนได้ยาก
เพราะธรรมของสมณะนั้นมีความลำบากมาก เป็นที่ติดขัดของ คนพาล ฯ
[๓๗] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
คนพาล ประพฤติธรรมของสมณะสิ้นวันเท่าใด หากไม่ห้ามจิต
เขาตกอยู่ในอำนาจของความดำริทั้งหลาย พึงติดขัดอยู่ทุกๆ อารมณ์
ภิกษุยั้งวิตกในใจไว้ได้ เหมือนเต่าหดอวัยวะทั้งหลายไว้ในกระดองของตน
อันตัณหานิสัยและทิฐินิสัยไม่พัวพันแล้ว ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ปรินิพพานแล้ว ไม่พึงติเตียนใคร ฯ
หิริสูตรที่ ๘
[๓๘] บุรุษที่เกียดกันอกุศลธรรมด้วยหิริ ได้มีอยู่น้อยคนในโลก
ภิกษุใดบรรเทาความหลับเหมือนม้าดีหลบแซ่ ภิกษุนั้นมีอยู่น้อยรูปในโลก ฯ
[๓๙] ขีณาสวภิกษุพวกใด เป็นผู้เกียดกันอกุศลธรรมด้วยหิริมีสติประพฤติอยู่ในกาลทั้งปวง
ขีณาสวภิกษุพวกนั้นมีน้อย ขีณาสวภิกษุทั้งหลาย บรรลุนิพพานเป็นส่วนสุดแห่งทุกข์แล้ว
เมื่อสัตตนิกายประพฤติไม่เรียบร้อย ย่อมประพฤติเรียบร้อย ฯ
กุฏิกาสูตรที่ ๙
[๔๐] (เทวดากล่าวว่า)
กระท่อมของท่านไม่มีหรือ
รังของท่านไม่มีหรือ
เครื่องสืบต่อของท่านไม่มีหรือ
ท่านเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกหรือ ฯ
[๔๑] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
แน่ละ กระท่อมของเราไม่มี
แน่ละ รังของเราไม่มี
แน่ละ เครื่องสืบต่อของเราไม่มี
แน่ละ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก ฯ
[๔๒] ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่า
อะไรเป็นกระท่อม
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นรัง
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นเครื่องสืบต่อ
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าอะไรเป็นเครื่องผูก ฯ
[๔๓] ท่านกล่าว
มารดาว่าเป็นกระท่อม
ท่านกล่าว
ภรรยาว่าเป็นรัง
ท่านกล่าว
บุตรว่าเป็นเครื่องสืบต่อ
ท่านกล่าว
ตัณหาว่าเป็นเครื่องผูกแก่เรา ฯ
ดีจริง
กระท่อมของท่านไม่มี
ดีจริง
รังของท่านไม่มี
ดีจริง
เครื่องสืบต่อของท่านไม่มี
ดีจริง
ท่านเป็นผู้พ้นแล้วจาก เครื่องผูก ฯ
ที่มา : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
http://www.learntripitaka.com/