แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 2226|ตอบ: 0
go

อาทิตตวรรคที่ ๕, ชราวรรคที่ ๖, อันธวรรคที่ ๗ (บทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับเทวดา) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2011-7-30 21:04 โดย putthapaun

อาทิตตวรรคที่ ๕, ชราวรรคที่ ๖, อันธวรรคที่ ๗ (บทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับเทวดา)



อาทิตตวรรคที่ ๕  
     


อาทิตตสูตรที่ ๑      

         [๑๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้     
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ  ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งมีวรรณงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วยืน     อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ      
         [๑๓๖] เทวดานั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถา  เหล่านี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า   เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ในไฟนั้น ฉันใด ฯ
โลก (คือหมู่สัตว์) อันชราและมรณะเผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำออก (ซึ่งโภคสมบัติ) ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ฯ
ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้นย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบได้เพลิงยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้ ฯ
อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วยสิ่งเครื่องอาศัยด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญารู้ชัด ดั่งนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน ฯ
เมื่อได้ให้ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน เข้าถึง สถานที่อันเป็นสวรรค์ ฯ

กินททสูตรที่ ๒

[๑๓๗] เทวดาทูลถามว่า
บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ  ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุและบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ฯ
[๑๓๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุและผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรมชื่อว่าให้อมฤตธรรม ฯ

อันนสูตรที่ ๓        

         [๑๓๙] เทวดากราบทูลว่า        
เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น  เออ ก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ ฯ
         [๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา   อาหารนั้นแลย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศจากไป พึงข่มความ  ตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ฯ

เอกมูลสูตรที่ ๔        

         [๑๔๑] เทวดากราบทูลว่า        
บาดาล มีรากอันเดียว มีความวนสอง มีมลทินสาม มี  เครื่องลาดห้า เป็นทะเล หมุนไปได้สิบสองด้าน ฤาษีข้ามพ้นแล้ว ฯ

อโนมิยสูตรที่ ๕      

         [๑๔๒] เทวดากราบทูลว่า        
ท่านทั้งหลายเชิญดูพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระนามไม่ทราม ผู้ทรงเห็นประโยชน์อันละเอียด ผู้ให้ซึ่งปัญญาไม่ทรงข้องอยู่ในอาลัยคือกาม ตรัสรู้ธรรมทุกอย่าง มีพระปรีชาดี ทรงก้าวไปในทางอันประเสริฐ ผู้ทรงแสวงคุณอันใหญ่ ฯ

อัจฉราสูตรที่ ๖       

         [๑๔๓] เทวดาทูลถามว่า         
ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ปีศาจสิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ฯ
         [๑๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้นสติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้า ว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพาน ด้วยยานนี้แหละ ฯ

วนโรปสูตรที่ ๗      

         [๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า         
ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้ไปสวรรค์ ฯ
         [๑๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้(ใช้ร่มเงา) สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็นทานและบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ ฯ

เชตวนสูตรที่ ๘         

         [๑๔๗] เทวดากราบทูลว่า        
ก็พระเชตวันมหาวิหารนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณอยู่อาศัยแล้ว อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาประทับอยู่แล้ว เป็นแหล่งที่เกิดปีติของข้าพระองค์ การงาน ๑ วิชา ๑ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอย่างสูง ๑ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยคุณธรรม ๕ นี้ หาบริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์ไม่ ฯเพราะเหตุนั้นแหละ คนผู้ฉลาด เมื่อเห็นประโยชน์ของตนควรเลือกเฟ้นธรรมโดยอุบายอันแยบคาย เพราะเมื่อเลือกเฟ้นเช่นนี้ ย่อมหมดจดได้ในธรรมเหล่านั้น ฯ
พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น (เป็นผู้ประเสริฐ) ด้วยปัญญา  ศีล และความสงบ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นเยี่ยม ฯ

มัจฉริสูตรที่ ๙      

         [๑๔๘] เทวดาทูลถามว่า         
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขาทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
วิบากของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะเป็นเช่นไร ฯ
ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จึง จะรู้ความข้อนั้น ฯ       
         [๑๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขาทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ ฯ
คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก  ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานได้โดยยาก ฯ
คนพาลเหล่านั้นต้องประสงค์สิ่งใดแต่ผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น สมความปรารถนา นั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย ฯ
         [๑๕๐] เทวดาทูลถามว่า         
ก็ข้อนี้ข้าพระองค์เข้าใจชัดอย่างนี้ (แต่) จะทูลถามข้ออื่นกะพระโคดม ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้วรู้ถ้อยคำ ปราศจากความ ตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า วิบากของชนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น ฯ
         [๑๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึงความเป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหารความร่าเริง และความสนุกสนานโดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ บันเทิงใจอยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติ ฯ

ฆฏิกรสูตรที่ ๑๐      

         [๑๕๒] ฆฏิกรพรหมกราบทูลว่า   
ภิกษุ ๗ รูปผู้เข้าถึงพรหมโลกชื่อว่าอวิหา เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว  มีราคะ โทสะสิ้นแล้ว ข้ามเครื่องเกาะเกี่ยวในโลกได้แล้ว ฯ
     พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า     
ก็ภิกษุเหล่านั้นคือผู้ใดบ้าง ผู้ข้ามเครื่องข้องเป็นบ่วงของมารที่ข้ามได้ แสนยาก ละกายของมนุษย์แล้วก้าวล่วงซึ่งทิพยโยคะ ฯ
     ฆฏิกรพรหมกราบทูลว่า         
คือท่านอุปกะ ๑ ท่านผลคัณฑะ ๑ ท่านปุกกุสาติ ๑ รวมเป็น ๓ ท่าน  ท่านภัททิยะ ๑ ท่านขัณฑเทวะ ๑ ท่านพหุทันตี ๑ ท่านสิงคิยะ ๑  (รวมเป็น ๗ ท่าน) ท่านเหล่านั้นล้วนแต่ละกายของมนุษย์ ก้าวล่วง
ทิพยโยคะได้แล้ว ฯ
         [๑๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ท่านเป็นคนมีความฉลาด กล่าวสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น ผู้ละบ่วงมารได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นตรัสรู้ธรรมของใครเล่า จึงตัดเครื่องผูกคือภพเสียได้ ฯ
         [๑๕๔] ฆฏิกรพรหมกราบทูลว่า   
ท่านเหล่านั้น ตรัสรู้ธรรมของผู้ใดจึงตัดเครื่องผูกคือภพเสียได้   ผู้นั้นไม่มีอื่นไปจากพระผู้มีพระภาค และธรรมนั้นไม่มีอื่นไปจากคำสั่งสอนของพระองค์ ฯ
นามและรูปดับไม่เหลือในธรรมใด ท่านเหล่านั้นได้รู้ธรรมนั้นในพระศาสนานี้ จึงตัดเครื่องผูกคือภพเสียได้ ฯ
         [๑๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ท่านกล่าววาจาลึกรู้ได้ยาก เข้าใจให้ดีได้ยาก ท่านรู้ธรรม  ของใคร จึงกล่าววาจาเช่นนี้ได้ ฯ
         [๑๕๖] ฆฏิกรพรหมกราบทูลว่า   
            เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นช่างหม้อ ทำหม้ออยู่ในเวภฬิงคชนบท    เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ได้เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรม เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เคยเป็นคนร่วมบ้านกับพระองค์ ทั้งได้เคยเป็นสหายของพระองค์ในกาลปางก่อน ข้าพระองค์รู้จักภิกษุ ๗ รูปเหล่านี้ ผู้หลุดพ้นแล้ว มีราคะและโทสะสิ้นแล้วผู้ข้ามเครื่องข้องในโลกได้แล้ว ฯ
         [๑๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  
แน่ะนายช่างหม้อ ท่านกล่าวเรื่องอย่างใด เรื่องนั้นได้เป็นจริงแล้วอย่างนั้นในกาลนั้น เมื่อก่อนท่านเคยเป็นช่างหม้อทำหม้ออยู่ในเวภฬิงคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรมเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เป็นคนเคยร่วมบ้านกันกับเรา ทั้งได้เคยเป็นสหายของเราในปางก่อน ฯ
     พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า   
สหายเก่าทั้งสอง ผู้มีตนอันอบรมแล้ว ทรงไว้ซึ่งสรีระมีในที่สุด ได้มาพบกันด้วยอาการอย่างนี้ ฯ

จบ อาทิตตวรรค ที่ ๕     

___________________________         
            
สูตรที่กล่าวในอาทิตตวรรคนั้น คือ        
     อาทิตตสูตร กินททสูตร อันนสูตร เอกมูลสูตร อโนมิยสูตร อัจฉราสูตร วนโรปสูตร เชตวนสูตร มัจฉริสูตร ฆฏิกรสูตร ฉะนี้แล ฯ      

________________________________         



ชราวรรคที่ ๖
         



ชราสูตรที่ ๑
         

         [๑๕๘] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอยังประโยชน์ให้สำเร็จ จนกระทั่งชรา อะไรหนอ  ตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย อะไรหนอโจรลักไปได้ยาก ฯ
         [๑๕๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย บุญอันโจรลักไปได้ยาก ฯ

อชรสาสูตรที่ ๒       

         [๑๖๐] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอ เพราะไม่ชำรุดจึงยังประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอดำรงมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอเป็นรัตนะของชนทั้งหลาย อะไรหนอบุคคลพึงนำให้พ้นจากพวกโจรได้ ฯ
         [๑๖๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ศีล เพราะไม่ชำรุดจึงยังประโยชน์ให้สำเร็จ ศรัทธา ดำรงมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ ปัญญา เป็นรัตนะของคนทั้งหลายบุญ อันบุคคลพึงนำไปให้พ้นจากพวกโจรได้ ฯ

มิตตสูตรที่ ๓        

         [๑๖๒] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอเป็นมิตรของคนเดินทาง อะไรหนอเป็นมิตรในเรือนของตน อะไรเป็นมิตรของคนมีธุระเกิดขึ้น อะไรหนอเป็นมิตรติดตามไปถึงภพหน้า ฯ
         [๑๖๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
พวกเกวียน พวกโคต่างเป็นมิตรของคนเดินทาง มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน สหายเป็นมิตรของคนผู้มีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ บุญที่ตนทำเองเป็นมิตรติดตามไปถึงภพหน้า ฯ

วัตถุสูตรที่ ๔      

         [๑๖๔] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอเป็นที่ตั้งของมนุษย์ทั้งหลาย อะไรหนอเป็นสหายอย่างยิ่งในโลกนี้ เหล่าสัตว์มีชีวิตที่อาศัยแผ่นดิน อาศัยอะไรหนอเลี้ยงชีพ ฯ
         [๑๖๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุตรเป็นที่ตั้งของมนุษย์ทั้งหลาย ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง  เหล่าสัตว์มีชีวิตที่อาศัยแผ่นดิน อาศัยฝนเลี้ยงชีพอยู่ ฯ

ปฐมชนสูตรที่ ๕     

         [๑๖๖] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน  อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร อะไรหนอเป็นภัยใหญ่ของเขา ฯ
         [๑๖๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของเขา ฯ

ทุติยชนสูตรที่ ๖     

        [๑๖๘] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน  อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร สัตว์ย่อมไม่หลุดพ้นจากอะไร ฯ
        [๑๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร สัตว์ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์ ฯ

ตติยชนสูตรที่ ๗       

        [๑๗๐] เทวดาทูลถามว่า           
อะไรหนอยังคนให้เกิด อะไรหนอของเขาย่อมวิ่งพล่าน  อะไรหนอเวียนว่ายไปยังสงสาร อะไรหนอเป็นที่พำนักของสัตว์นั้น ฯ
        [๑๗๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปยังสงสาร กรรมเป็นที่พำนักของสัตว์นั้น ฯ

อุปปถสูตรที่ ๘   
   
        [๑๗๒] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอบัณฑิตกล่าวว่าเป็นทางผิด อะไรหนอสิ้นไปตามคืนและวัน อะไรหนอเป็นมลทินของพรหมจรรย์ อะไรหนอมิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง ฯ
        [๑๗๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ราคะบัณฑิตกล่าวว่าเป็นทางผิด วัยสิ้นไปตามคืนและวัน   หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ หมู่สัตว์นี้ย่อมติดอยู่ในหญิงนี้ ตบะและพรหมจรรย์นั้น มิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง ฯ

ทุติยสูตรที่ ๙      

        [๑๗๔] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอเป็นเพื่อนของคน อะไรหนอย่อมปกครองคนนั้น   และสัตว์ยินดีในอะไรจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ
        [๑๗๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ศรัทธาเป็นเพื่อนของคน ปัญญาย่อมปกครองคนนั้น สัตว์ยินดีในพระนิพพานจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

กวิสูตรที่ ๑๐      

        [๑๗๖] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอเป็นต้นเหตุของคาถา อะไรหนอเป็นเครื่องปรากฏ(พยัญชนะ)  ของคาถาเหล่านั้น คาถาอาศัยอะไรหนอ อะไรหนอเป็นที่อาศัยของคาถา ฯ
        [๑๗๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ฉันท์เป็นต้นเหตุของคาถา อักขระเป็นเครื่องปรากฏ (พยัญชนะ) ของคาถา คาถาอาศัยแล้วซึ่งชื่อ กวีเป็นที่อาศัยของคาถา ฯ

จบ ชราวรรค ที่ ๖      

______________________
        
สูตรที่กล่าวในชราวรรคนั้น คือ         
    ชราสูตร อชรสาสูตร มิตตสูตร วัตถุสูตร ชนสูตร ๓ สูตร อุปปถสูตร ทุติยสูตร
กับกวิสูตร เต็มวรรคพอดี ฯ

_________________________         



อันธวรรคที่ ๗     
   



นามสูตรที่ ๑         

        [๑๗๘] เทวดาทูลถามว่า         
อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งอะไรย่อมไม่มี  สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
        [๑๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าชื่อไม่มี  สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือชื่อ ฯ

จิตตสูตรที่ ๒         

        [๑๘๐] เทวดาทูลถามว่า           
โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
        [๑๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตาม อำนาจของธรรมอันหนึ่งคือจิต ฯ

ตัณหาสูตรที่ ๓        

        [๑๘๒] เทวดาทูลถามว่า         
โลกอันอะไรหนอย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมเสือกไสไป  โลกทั้งหมด เป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ

[๑๘๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันตัณหาย่อมนำไป อันตัณหาย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไป ตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือตัณหา ฯ

สัญโญชนสูตรที่ ๔      

        [๑๘๔] เทวดาทูลถามว่า           
โลกมีอะไรหนอเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรหนอเป็นเครื่องเที่ยวไปของ โลกนั้น เพราะละขาดซึ่งธรรมอะไรจึงเรียกว่านิพพาน ฯ
        [๑๘๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ วิตกเป็นเครื่องเที่ยวไป ของโลกนั้น เพราะละตัณหาเสียได้ขาด จึงเรียกว่านิพพาน ฯ

พันธนสูตรที่ ๕       

        [๑๘๖] เทวดาทูลถามว่า         
โลกมีอะไรหนอเป็นเครื่องผูกไว้ อะไรหนอเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น เพราะละเสียได้ซึ่งอะไร จึงตัดเครื่องผูกได้หมด ฯ
        [๑๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้ วิตกเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น เพราะละตัณหาเสียได้ขาด จึงตัดเครื่องผูกได้หมด ฯ

อัพภาหตสูตรที่ ๖      

        [๑๘๘] เทวดาทูลถามว่า         
โลกอันอะไรหนอกำจัดแล้ว อันอะไรหนอล้อมไว้แล้ว อันลูกศรคืออะไรเสียบแล้ว อันอะไรเผาแล้วในกาลทุกเมื่อ ฯ
        [๑๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันมฤตยูกำจัดแล้ว อันชราล้อมไว้แล้ว อันลูกศรคือ  ตัณหาเสียบแล้ว อันความอยากเผาให้ร้อนแล้วในกาลทุกเมื่อ ฯ

อุฑฑิตสูตรที่ ๗      

        [๑๙๐] เทวดาทูลถามว่า         
โลกอันอะไรหนอดักไว้ อันอะไรหนอล้อมไว้ โลกอันอะไรหนอปิดไว้ โลกตั้งอยู่แล้วในอะไร ฯ
        [๑๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันตัณหาดักไว้ อันชราล้อมไว้ โลกอันมฤตยูปิดไว้โลกตั้งอยู่แล้ว ในทุกข์ ฯ

ปิหิตสูตรที่ ๘        

        [๑๙๒] เทวดาทูลถามว่า         
โลกอันอะไรหนอปิดไว้ โลกตั้งอยู่แล้วในอะไร โลกอันอะไรหนอ ดักไว้ อันอะไรหนอล้อมไว้ ฯ
        [๑๙๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันมฤตยูปิดไว้ โลกตั้งอยู่แล้วในทุกข์ โลกอันตัณหาดักไว้ อันชราล้อมไว้ ฯ

อิจฉาสูตรที่ ๙      

        [๑๙๔] เทวดาทูลถามว่า         
โลกอันอะไรผูกไว้ เพราะกำจัดอะไรเสียจึงจะหลุดพ้น  เพราะละอะไรได้ขาด จึงตัดเครื่องผูกได้ทุกอย่าง ฯ

[๑๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันความอยากผูกไว้ เพราะกำจัดความอยากเสียได้จึงหลุดพ้น เพราะละความอยากได้ขาด จึงตัดเครื่องผูกได้ทั้งหมด ฯ

โลกสูตรที่ ๑๐      
  
        [๑๙๖] เทวดาทูลถามว่า         
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไรโลกยึดถือซึ่งอะไร โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร ฯ
        [๑๙๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖ โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละโลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖ ฯ


จบ อันธวรรค ที่ ๗   

_________________________         
               
สูตรที่กล่าวในอันธวรรคนั้น คือ         
    นามสูตร จิตตสูตร ตัณหาสูตร สัญโญชนสูตร พันธนสูตร   อัพภาหตสูตร  อุฑฑิตสูตร ปิหิตสูตร อิจฉาสูตร กับโลกสูตร รวมเป็น ๑๐ ฯ   

______________________________         





ที่มา : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
http://www.learntripitaka.com/






‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 00:30 , Processed in 0.027071 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.