แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6206|ตอบ: 8
go

ประวัติมารน้อย [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

ประวัติครอบครัวของมารน้อย
+ _, j. J0 q! y$ ^4 P6 n5 C        ผมเกิดมาจากครอบครัวที่ถือว่ามีฐานะปานกลางครอบครัวหนึ่งทางจังหวัดที่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 200 กิโลเมตร ทางตอนบนของภาคกลาง ในตอนที่ผมเกิดนั้น จากการบอกเล่าของแม่และยายว่าตอนผมเกิดนั้นสายสะดือของผม เกือบได้ฆ่าตัวของผม เพราะตอนเกิดนั้นสายสะดือได้พันคอออกมาถึงสามรอบ กว่าจะโตมาได้ก็ลำบากเพราะเลี้ยงยากมาก จนต้องยกให้กับเทพองค์หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาก็เลี้ยงง่ายมาโดยตลอด จนกระทั่งโตพอที่จะจำความได้ การเกิดมานั้นนับว่าแปลกแล้วทางครอบครัวก็มีความแปลกเหมือนกัน! x# {, Q4 D; V2 ^# A6 c2 F6 @9 b
        ทางครอบครัวของผมนั้นเป็นหมอกลางบ้านโดยคุณตาของผมท่านได้เรียนวิชาสมุนไพรมาจากตำราของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และท่านเองก็มีวิชาอาคมติดตัวพอสมควร และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นท่านเองก็เป็นคนทรงด้วยเช่นกัน ผมเองเติบโตมาจากสิ่งเหล่านี้ การอาบน้ำมนต์ การเสริมดวงจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับผม บางทีจะมีคนมาให้ตาของผมรักษา บ้างก็มาให้ทำนายทายทัก มีให้เห็นจนชินตา สิ่งที่ผมชอบในขณะนั้นก็คือ ในเดือนหกของทุกปีจะมีพิธีไหว้ครูในวันนั้นจะมีคนมามากเป็นพิเศษ และที่สำคัญอาหารเอย ขนมเอย มีมากมายจนกินไม่ไหวก็ได้มาจากการแก้บนของคนที่มารักษาตัวกับคุณตาของผม ในวันนั้นอีกนั่นแหละที่มีกลุ่มของคนทรงที่เป็นลูกศิษย์ของคุณตาของผม มาทรงกันอย่างมากมายเช่นกัน8 T- i8 w! x) a% w5 D5 {( a
        ผมจะเล่าถึงพิธีวันนั้นให้ทราบพอเป็นสังเขปก็แล้วกัน เริ่มตั้งแต่พิธีก่อนถึงวันงาน 1 วัน วันนั้นจะเป็นวันลงงาน คนที่รู้จักกันก็เริ่มมาทำบายศรีกัน มาทำขนมต่าง ๆ เตรียมข้าวของเพื่อประกอบพิธีในวันรุ่งขึ้น งานดูสนุกสนานสำหรับผม แต่พอตกกลางคืนนะสิ มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ คนที่มาเตรียมงานในตอนกลางวันบางส่วนเขาเตรียมตัวเพี่อทำการเข้าทรงกัน น่าตื่นเต้นตรงที่จะเริ่มพิธีทรงกันนี่แหละ เพราะต่างคนต่างมีท่าทีแปลก ๆ จากบางคนที่เป็นผู้หญิงก็ออกอาการเป็นผู้ชาย น้ำเสียงที่เป็นผู้หญิง เมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนเสียงเป็นเสียงของผู้ชาย บางคนดูอายุก็ยังไม่มากแต่เวลาเข้าทรงแล้วมีท่าทางที่แก่ชราอย่างมาก บางคนอายุมากเมื่อทำการทรงแล้วก็จะดูเด็กลงมีท่าทางเด็กอย่างมองเห็นได้ชัดมีเสียงเป็นเสียงเด็กเป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง พิธีในตอนกลางคืนนี้จะเข้าร่วมกันเฉพาะกลุ่มคนเท่านั้น ส่วนคุณตาของผมท่านจะทรงในตอนหลัง เมื่อท่านทรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนที่ทรงกันก่อนก็พากันมาทำความเคารพคุณตาของผมทุกคน จากนั้นท่านก็คุยกัน บ้างก็กอดกันร้องไห้ บ้างก็คุยกันเป็นภาษาที่ผมไม่คุ้นเคย แต่มารู้ภายหลังว่าเป็นภาษากูโบสเป็นภาษาเทพที่เขาใช้คุยกัน ในกลุ่มนั้นก็จะมีเทพที่รับผมเป็นลูกด้วย เมื่อท่านเจอผมท่านก็จะเข้ามากอดแล้วหอมผมเหมือนคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ผมเองก็เกิดความปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ในนาทีต่อไปนี้เป็นพิธีที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้พิธีกินเจ ก็คือจะมีเทพที่มีท่าทางเป็นเด็กจะนำลูกบอลกลม ๆ ที่มีหนามเป็นเหล็กแหลม คนทรงเขาเรียกว่าทุเรียน มาฟาดตามตัว บางคนก็นำมีดมา กรีดตามตัวเป็นที่น่าหวาดเสียว แต่ที่น่าประหลาดก็คือ คนที่ฟาดทุเรียนหรือใช้มีดปาดตามตัวนั้นไม่มีบาดแผลเกิดให้เห็น ทั้งที่ฟาดอย่างแรงจนเสื้อที่ใส่เป็นรูพรุนไปหมด ส่วนคนที่ใช้มีดปาดตามตัวก็เช่นกัน เสื้อขาดแต่ไม่มีบาดแผลหรือเลือดออกให้เห็นเลย ต่างจากการทรงเจ้าในพิธีกินเจตรงนี้เอง ส่วนคุณตาของผมท่านได้แต่มองการแสดงอยู่อย่างนั้นเอง เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ก็เริ่มทยอยออกกัน หรือที่เรียกว่าถอยทรง เหมือนเดิมคุณตาของผมเป็นคนสุดท้ายที่ถอยทรง เมื่อเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน เพราะเหน็ดเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน พรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มงานในตอนเช้าอีก
) H( i7 [3 |1 L' [( u+ g( u" w        ในตอนเช้าประมาณตี 4 แม่ครัวเริ่มทยอยตื่นกัน เพราะเริ่มได้ยินเสียงการยกข้าวยกของเพื่อเตรียมใส่บาตรพระในตอนเช้า ตอนเช้าจะมีพิธีสงฆ์เมื่อพระสวดมนต์เสร็จ ฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเวลาประมาณ 9 โมงเช้า พิธีไหว้ครูก็เริ่มขึ้น โดยทุกคนที่เป็นคนทรงเริ่มทยอยทรงกันเป็นแถวจากนั้นคุณตาของผมจะตามทุกคนออกมายังลานพิธีทำพิธีประมาณ 9.30 จึงเสร็จพิธีไหว้ครูเวลานี้ จะเป็นเวลาที่ตื่นเต้นเพราะคนที่มางานจะใจจดจ่ออยู่กับของขลังที่ตาจะทำ ระหว่างนี้เทพบางองค์จะเล่นกับทุเรียน มีเรื่องเล่าที่น่าแปลกอยู่ บางปีก็จะมีคนเมามาร้องท้าทายว่าโธ่เอ้ย หนามทุเรียนแหลมแค่ไหนวะ กูก็ทำได้ เทพที่ได้ยินจึงส่งทุเรียนให้ คนเมาคนนั้นจึงนำทุเรียนที่ได้มาฟาดตามตัวบ้าง ปรากฏว่า หนามทุเรียนปักติดคาอยู่กับหลังของเขา คนที่เห็นเหตุการณ์บางคนก็ว่าสมน้ำหน้า บางคนก็ยกมือไหว้บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็หัวเราะออกมา คนที่อยู่ใกล้ได้เอื้อมมือไปดึงทุเรียนออกจากหลังให้ ส่วนคนที่โดนทุเรียนปักหลังร้องลั่นทุ่งเลย ยกมือขอขมาใหญ่ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันเพราะไม่เคยเห็นทุเรียนปักใครเลย ส่วนคุณตาของผมบอกขึ้นมาว่าได้เวลาแล้วแต่เสียงที่ได้ยินผมแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของคุณตาผมแน่ ๆ เป็นเสียงที่มีอำนาจบ่งบอกว่ามีความเด็ดขาดพอสมควร ทุกคนที่ได้ยินต่างเงียบกริบ จากนั้นคุณตาของผมนำมีดโกนที่อยู่ในพานออก จากนั้นท่านนำมากรีดที่ลิ้นปรากฏว่า ไม่มีเลือดออกเลยสักหยดเดียว ไม่มีรอยด้วย คุณตาเลยบอกว่าขอเหล้าหน่อย เมื่อได้เหล้ามาท่านก็เป่าไปที่มีดโกน จากนั้นกรีดอีกทีปรากฏว่ามีเลือดออก ท่านได้นำเลือดนั้นมาเขียนเป็นยันต์แจกจ่ายกันโดยทั่ว เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็แจกจ่ายจนครบ ร่างทรงต่างทยอยถอยทรงกันจนเหลือตาของผมสุดท้าย เมื่อตาของผมถอยทรงก็เป็นการเสร็จสิ้นพิธี เป็นเช่นนี้อยู่ประมาณ 10 ปี จนคุณตาของผมสิ้นลง พิธีต่าง ๆ ก็สิ้นสูญตามลงไปด้วยเช่นกัน อายุของตาของผมประมาณ 83 ปี ท่านสิ้นตอนปี พ.ศ. 2549

Rank: 1

สาธุกับธรรมทานของมารน้อยจ้า..

Rank: 1

สาธุๆๆ อนุโมทนาครับ

Rank: 1

อนุโมทนาบุญนะคะ พี่มารน้อย

Rank: 1

โมทนา สาธุค่ะ

Rank: 1

นายเวรบีบหัว9 h" f/ ~! t" [+ H8 E( H! k# x7 n
        เมื่อครั้งที่ผมเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ กว่าผมจะสามารถวางจิตให้เป็นสมาธิได้นั้นยากลำบากมากที่ผมว่ายากก็คือเมื่อผมมากำหนดสมาธิเมื่อใดผมจะปวดที่ศีรษะทันทีหากหยุดกำหนดเมื่อใดอาการทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติแต่เมื่อใดที่ผมเริ่มทำสมาธิก็มีอาการปวดที่ศีรษะทันทีผมมีอาการแบบนี้อยู่ประมาณ 3 เดือน มันเป็น 3 เดือนที่ผมทรมานมากทำสมาธิไม่ได้เลยผมรู้สึกท้อใจเป็นอย่างมากกับการทำสมาธิ  แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีจากการให้กำลังใจของอาจารย์ที่ผมนับถือมากคนหนึ่ง  ผมจึงตั้งใจพยายามปฏิบัติต่อไป  จนมีอยู่วันหนึ่งผมรู้สึกว่ามีใครก็ไม่รู้มายืนอยู่ด้านหลังหันไปก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีคนยืนดูอยู่  ตอนนั้นผมก็ส่งบุญให้กับนายเวรมาโดยตลอด  ผมได้วิชาส่งบุญมาก่อนที่ผมจะเริ่มฝึกสมาธิ  ผมนำความสงสัยว่าใครมายืนอยู่ด้านหลังและเวลาทำสมาธิจึงปวดหัว มาถามอาจารย์ที่สอนสมาธิท่านบอกว่าเดี๋ยวก็รู้เอง  ท่านบอกไม่ได้ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน  ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร  ผมได้มารู้ภายหลังว่าคำว่าหน้าที่หมายความว่าอะไรหลังจากปฏิบัติสมาธิมาได้  2  เดือน  มาเข้าเดือนที่ 3 อาการปวดหัวก็ยังไม่ทุเลาลง  ผมลืมบอกไปว่าผมปฏิบัติสมาธิแบบสติปัฏฐาน 4  คือมีสมาธิ     มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดก็ตาม  แล้วท่านคิดดูก็แล้วกันว่าผมทรมานขนาดไหน  ปฏิบัติสมาธิตลอดเวลานั่นก็หมายความว่าผมต้องทนกับอาการปวดหัวตลอดเวลาเหมือนกันมาต่อกันเลย  เมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนที่ 3  อาการที่ผมรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังก็ชัดขึ้น  ผมเริ่มมองเห็นว่าเขามีรูปร่างอย่างไรและเขาเป็นใครตอนนั้นผมยังคุยกับเขาไม่ได้มีแต่ความรู้สึกเท่านั้น  ผมรู้สึกว่าเขาเป็นโจรที่เขาเรียกกันว่าเสือในอดีตชาติครั้งหนึ่งผมเป็นเจ้าเมือง  เมื่อจับเขาได้ผมนำเขามาบีบขมับ  เขาจึงมาทำให้ผมปวดหัวเวลาทำสมาธิตลอดเวลา  2  เดือนที่ผ่านมา  ผมจึงนำความรู้สึกที่รู้นี้ไปถามอาจารย์ท่านตอบว่าจริง  แต่ท่านบอกไม่ได้ที่ท่านบอกไม่ได้เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน  หน้าที่ของท่านคือสอนสมาธิไม่ใช่มาแก้กรรม  เมื่อผมรู้อย่างนั้นผมจึงเร่งส่งบุญ – เบิกบุญให้มากกว่าเดิมและอุทิศบุญทุกครั้งที่มีโอกาสให้กับนายเวรจนมาถึงเดือนที่ 4  อาการปวดหัวก็ทุเลาลง% x0 p+ i" z* o0 G6 n  _0 T8 ~
        การปฏิบัติสมาธิใช่ว่าจะมีอาการเหมือนผมทุกคนบางคนก็ไม่เกิดการอะไรเลยปฏิบัติสมาธิได้อย่างปกติและความเร็วของการปฏิบัติก็ขึ้นอยู่กับตัวของบุคคลเช่นกันบางคนฝึกเป็นปีไม่ได้อะไรเลยก็มี  บางคนฝึกแค่ไม่กี่นาทีก็ได้สมาธิเลย  อย่างเช่นลูกศิษย์ที่ผมฝึกสมาธิให้คนหนึ่งฝึกอยู่ไม่ถึง  5  นาที  ก็ได้สมาธิเลย  ขึ้นอยู่กับบุคคลด้วยว่า  เคยประกอบกุศลมามากเพียงใดมีความตั้งใจมากเพียงใด  และที่สำคัญคุณเป็นคนที่มีศีลธรรมมากแค่ไหนหลายๆ อย่างประกอบกัน  อย่าท้อที่จะเกิดปฏิบัติเพราะการปฏิบัติเป็นทางแห่งการพ้นทุกข์

. D0 B# [- e1 M, g* d: i6 M

Rank: 1

นายเวรมาทวงหนี้กรรม8 h% H# S! }3 M0 w8 k% O
เมื่อไม่นานมานี้  ผมมีประสบการณ์ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการทวงหนี้จากนายเวร คำว่านายเวรหมายถึง  ผู้ที่เราเคยล่วงเกินเขาทั้ง กาย วาจา ใจ   เมื่อเรากระทำกับเขาเช่นนั้น เขาจักผูกโกรธต่อตัวเรา  ครั้นเมื่อเขาตายไปจิตที่เขาผูกโกรธกับเรา  ทำให้เขานั้นมาทำร้ายตัวเรา ทำให้เราเกิดความทุกข์ไม่ว่าเป็นทุกข์ทางกาย  ทุกข์ทางใจ  ทุกข์ที่เกิดขึ้นทางกาย เช่น ทำให้เป็นไข้ ทำให้ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย   ส่วนทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจ เช่น เรามีความทุกข์เรื่องของเงิน ทุกข์เรื่องของความรัก ทุกข์เรื่องของความผิดหวัง  เรื่องของความทุกข์มีมาก ยากที่จะกล่าวได้ครบ  ผมเป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่ทุกข์เพราะนายเวร
1 l$ u4 C! {7 m, mประมาณกลางปี 2553 ที่ผ่านมา  ผมปฏิบัติหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของนักเรียนบริเวณหน้าเสาธง  ผมมีอาการแปลก ๆ บริเวณกลางอก  อาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอาการแสบร้อนตรงบริเวณลิ้นปี่  เมื่อเอานิ้วกดลงไปรู้สึกเจ็บผมแทบยืนไม่ไหว แต่ก็พยายามทรงตัวไว้  แล้วหาที่นั่งพักเมื่อได้ที่นั่งพักเรียบร้อยแล้ว  ผมกำหนดจิตเพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นกับตัวผม ปรากฏว่า  สิ่งที่พบเป็นชายคนหนึ่ง มีท่าทางดุดันมาก ตัวใหญ่กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ผิวคล้ำ  เมื่อพบเช่นนั้นผมยังไม่คุยทันที  แต่ผมอุทิศบุญก่อน ข้าพเจ้าขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  โปรดดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าส่งไปถึงชายผู้นี้ด้วยเทอญ  เมื่อผมเบิกบุญเพื่อส่งให้ช่วยชายผู้นี้แล้วผมจึงเริ่มคุย
* r# M6 ]( i8 ]* c1 {/ f: V6 {       ผม         :        สวัสดีท่าน
: _4 \: N% ]6 f, Q$ fนายเวร        :        สวัสดี   เอ็งเห็นข้าด้วยเหรอ!
  B0 b" ]. O# f4 _9 u       ผม        :        เห็นสิ   ท่านมาได้อย่างไร
3 x, q0 P8 X$ T4 B1 N: Vนายเวร        :        เขาบอกให้มา
' n* R2 l8 K: Y" u; S' W8 u        ผม        :        ใครบอกให้มา
3 g3 r8 n7 ~. ?9 ]# {7 G. pนายเวร        :        บอกไม่ได้
; H- z/ O2 f8 P. ~+ |- {! C" P        ผม        :        เขาใช้ให้มาทำร้ายผมอย่างนั้นหรือ
/ \  q7 i8 C: A; Q* g! ^& kผมเข้าใจว่ามีอาจารย์ที่มีอาคมส่งผีมาเล่นงาน ผมถามต่อว่ามีคนที่มีอาคมส่งให้มาทำร้ายผมใช่ไหม
/ H8 Z% F9 c) _นายเวร        :        ไม่ใช่
, _: v2 O% s& F4 R! C        ผม        :        อ้าว!  ท่านเป็นใคร  มาได้อย่างไร
- I+ H: U0 y" L, u0 w& {นายเวร        :        ข้าเป็นช้าง
) T. H! _% m6 C        ผม        :        ทำไมท่านมาทำร้ายผม
4 ~* N3 \1 T& I( Eนายเวรมองหน้าผมด้วยดวงตาอันดุดัน มองด้วยตาที่โกรธแค้น ดวงตาสีแดงกล่ำ# _7 B) V/ _7 Y  F6 R! x. F/ N; c% @
นายเวร        :        เอ็ง ฆ่า ข้า   ข้าก็มาทำเอ็งบ้าง เอาให้ทรมานปางตาย# M2 m5 S% [; k
ผมนึกในใจ เอาแล้วเราโดนนายเวรกระทำแล้ว ใครจะยอมให้เจ็บตัวง่าย ๆ ต้องคุยกับเขาให้เขาอโหสิให้ได้  เราจะได้เจ็บตัวน้อย ๆ หน่อย+ S& n* v* q. ^
        ผม        :        ผมไปฆ่าท่านตอนไหน
7 [9 E) f# z# ^" mนายเวร        :        ข้าเป็นช้างศึก  ตอนนั้นทำสงครามกัน เอ็งใช้หอกแทงข้าที่หว่างขาหน้าของ: O4 O' a& I' W" U0 x6 g- n, C
                        ข้า  ทำให้ข้าล้ม' r5 U% r+ K% @% U4 W: i8 L
        ผม        :        ตอนนั้นมันเป็นสงคราม หากผมไม่ฆ่าท่าน ท่านก็ต้องฆ่าผมอยู่ดี ผมต้อง
! }8 e. }& J# N                        ปกป้องบ้านเมืองเหมือนกัน  จะให้ผมทำอย่างไรได้
# q- {  s9 C3 X+ hนายเวร        :        มันก็จริงของเอ็ง# x3 a, k& ]9 [, o7 a' i5 F
        ผม        :        เอาอย่างนี้ดีกว่า เมื่อกี้ได้รับบุญจากผมแล้วใช่ไหม ดีไหมล่ะ
& H& o6 L+ ^! T. h# zนายเวร        :        เออ  ดี+ R8 z; L( b, O6 U* x
        ผม        :        ถ้าอย่างนั้นรับบุญจากผม   แต่ต้องไม่ทำร้ายผม  เอาแบบนั้นดีไหม' Q1 q8 ?# e: m+ D/ C2 j
นายเวร        :        ก็ได้! Q- j2 W. s1 ?1 r0 T
        ผม        :        แล้วรู้มั๊ยว่าท่านแก้แค้นหรือจองเวรแบบนี้   ผมสามารถจองเวรคืนได้9 B$ ~0 T3 J) }, `% q
นายเวร        :        ไม่รู้& `  o' e6 t* {2 O: U' H2 g4 {
        ผม        :        ผมไม่ขอจองเวรคืนก็แล้วกันผมอโหสิ   ท่านรู้ไหมว่าคนที่ส่งท่านมาเขา
( U" Z* m% p8 Y5 p: R5 f. e( h                        มีเจตนาอะไร( N" n# {5 q2 D, Z
นายเวร        :        ไม่รู้  เขาบอกแต่ว่านี่คือคนที่ทำร้าย  ให้ข้าทำอย่างไรก็ได้เท่าที่ใจต้องการ9 X, N, z- N$ l, u' l3 F: M4 T( r
                        แต่ต้องไม่เกินขอบเขต
7 _% u6 @) `1 o8 |/ S( z        ผม        :        คนที่มาส่งเขาบอกอย่างนั้นก็ใช่  แต่เจตนาจริง ๆ ของท่าน (ผู้ตัดสินคดี) $ o" s: \3 Z  X8 n$ a
                        เจตนาเพื่อให้นายเวรมารับบุญจากผู้ที่เคยกระทำกับเรา  และให้เรานั้น- C* {) u- l4 }! @
                        อโหสิกรรมต่อกัน  เพื่อจะได้ไม่มีกรรมต่อกัน  นี่ท่านมาทำร้ายผม  ผมเอง7 A2 f0 I5 h( Q5 Y. w
                        ก็ย่อมทำร้ายกลับคืนภายหลังได้เช่นกัน  เอาเป็นว่าท่าน อโหสิ ให้ผม
# G: w' e3 O. \                        ผมอุทิศบุญให้ท่าน เราเลิกจองเวรกัน3 ^. j; \  l! P$ t' A
นายเวร        :        อย่างนั้นก็ได้ ดีเหมือนกันข้าเองก็ไม่ได้อยากลงไปอยู่ในนรกด้วย1 E  C  m6 P1 y0 \6 M
        ผมคืนสมาธิกลับมา  ต่อจากนั้นผมโทรไปถามพี่ที่คอยให้คำแนะนำเรื่องสมาธิว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด  ก็ได้รับคำตอบว่าจริงตามที่เล่ามา  หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เล่ามาแล้ว  อีกประมาณ  2  เดือน  อาการที่เจ็บตรงบริเวณลิ้นปี่ก็ทุเลาลง
$ h$ e& s+ x. e( P$ E        นี่ขนาดผมคุยกับนายเวรตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมเองส่งบุญให้กับนายเวรทุกวัน  วันละหลายๆรอบ  ยังใช้ระยะเวลาถึง  2  เดือน  ผมนึกกลับไปถึงคนที่เขาไม่รู้อะไรเลยไม่เคย  ส่งบุญไม่เคยอุทิศบุญ  ให้ถึงนายเวรเลยเขาต้องทนทุกข์กับอาการป่วยนานเท่าใด  นายเวรเองก็ต้องกลับไปรับกรรมตามเดิมโดยยังเป็นเวรกรรมกันต่อไปเราเองไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ที่เรากระทำลงไปแล้วได้  แต่เราก็สามารถขอโทษและให้อภัยกันได้ไม่ใช่หรือต่างคนต่างก็มีความสุขทั้งสองฝ่ายทั้งนายเวรและตัวเรา  การรักษาตัวด้วยการส่งบุญ – เบิกบุญสามารถช่วยให้อาการที่เป็นอยู่สามารถกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น  การรักษาต้องควบคู่กันไปกับการรักษาแบบปกติด้วย  (ในบางโรค)  บางท่านบอกว่าถ้าเช่นนั้นหายเพราะการรักษาสิ  ผมก็ไม่ได้เถียงว่าการรักษาแบบปกติไม่หาย  แต่เมื่อเปรียบเทียบกันระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาแบบปกติกับการอุทิศบุญ – การเบิกบุญ  การอุทิศบุญ – การเบิกบุญ  หายเร็วกว่าอย่างแน่นอน  ท่านที่คิดว่าเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เหลวไหลเกินจริง  ท่านก็พิสูจน์ให้เห็นกับตาของท่านเองได้

2 e/ E% Q- |8 b1 _5 i2 q

Rank: 1

อภัยทาน
2 ]7 ?2 ]0 S" S                ทานมหาทานที่สูงที่สุด  คือ  อภัยทานด้วยใจจริงไม่ใช่แต่ปาก  ไม่ได้ใช้เงินสักบาท  ต้องทำด้วยใจ  เป็นความบริสุทธิ์ของดวงจิตที่คิดอโหสิกรรมไม่จองเวร9 K2 M: ~8 z% S9 `
                มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอภัยทาน  ผมพบโดยบังเอิญโดยไม่คาดคิดมาก่อน  มีอยู่วันหนึ่งในปีพ.ศ. 2551 นี้เองมีคนรู้จักได้มาขอร้องว่าขอให้ช่วยเคลียร์กรรมให้คนๆ  หนึ่ง  เขาอยู่ที่พิจิตรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์  และเป็นอัมพาตทั้งตัว  เหลือเพียงส่วนหัวที่พูดได้กินได้เท่านั้น  เป็นมา  7  ปีแล้วน่าสงสารมาก  พยายามรักษาตัวมานานแล้ว  เขาชื่อนายประทีป.........ผมเองก็ลองติดต่อหาว่ามีใครเป็นนายเวร  ทำให้เป็นอัมพาตอยู่หรือไม่  ก็พบมีชายคนหนึ่งมาปรากฏ  สภาพโทรมๆ  
9 b6 g6 y$ x# X$ z        ผม        :        สวัสดีครับ  ท่านทำให้นายประทีปเป็นอัมพาตหรือ
1 a2 \4 A2 g5 B* o7 e* ^        นายเวร        :        ใช่  มันเคยเป็นนายเวรข้าและทำให้ข้าเป็นอัมพาตมาก่อน( S3 K( I1 d. L
        ผม        :        เคยได้บุญจากนายประทีปอุทิศให้บ้างไหม( Z2 ?  U; W2 f. E" W: `( _/ u
        นายเวร        :        ไม่เคยได้เลย: S6 \% s% L$ |0 _3 p7 d
        ผม        :        หิวไหม# Z. n, h& J  r9 b' C
        นายเวร        :        หิว
8 [, H2 o$ I1 Z' f3 d) T( F7 t        ผม        :        ลองรับบุญอุทิศจากผมดูนะ9 v* `2 ^7 }0 P2 G1 Z3 Q
                “ ขออำนาจพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  โปรดดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าลงมาเป็นอาหาร  เสื้อผ้า  ให้กับวิญญาณที่กำลังติดต่ออยู่นี้ ”  เป็นยังไง  ได้รับบุญไหม  สบายขึ้นไหม' I# c% T# C2 i$ a
        นายเวร        :        ได้รับแล้ว  สบายขึ้น
7 H4 ~7 S$ D) ]. Y+ l        ผม        :        เอาละ  เราขอคุยด้วยหน่อยนะ!  ถ้าเราสอนให้นายประทีปเขาอุทิศบุญแบบเราให้กับเธอที่เป็นนายเวร  เธอพอจะละการจองเวรได้ไหม
( D' q/ B' r8 W  s8 {        นายเวร        :        ไม่  ไม่ยอม  (เขาพูดไปร้องไห้ไปด้วยความแค้น)  ตอนที่เราเป็นคน  ยังเป็นเด็กอยู่  พ่อก็ไม่มี  แม่ก็อาศัยเขาอยู่  จนวันนึงแม่ก็ทิ้งไป  เราเองก็อาศัยเขาอยู่  พออายุ  10  ขวบก็เป็นอัมพาตกระดิกไม่ได้  พอครอบครัวที่เราอาศัยอยู่เขาอพยพไปที่อื่น  เขาทิ้งเราไว้  จนเราอดตาย  พอตายแล้วเราจึงรู้ว่านายประทีปผู้นี้แหละที่ตอนนั้นเป็นนายเวรและนำเชื้อโรคมาใส่เราจนเราเป็นอัมพาต  เราแค้นมากจึงติดตามมาเล่นงานมันมั่ง  นี่ยังดีนะ  มันยังได้กิน  แต่เราน่ะอดจนตาย
  D8 I+ J5 o7 R4 N, P5 N- N6 M8 L        ผม        :        ชีวิตเธอน่าสงสารจัง  คงมีเวรต่อกันเยอะ  ตอนเธอตายแล้วพอหมดอายุ  เธอไปสำนักพญายมหรือเปล่า  และเห็นนรกไหม
& X0 J, @4 f/ ?' J6 r        นายเวร        :        เราไปสำนักพญายมมาแล้ว  ท่านผ่อนผันให้เรามาทวงเวรก่อน+ z" Y9 x0 c8 _
        ผม        :        รู้ไหม  ท่านให้มารับบุญจากผู้ที่ทำเธอตาย  ไม่ใช่ให้มาทำร้ายเขาอย่างนี้  พญายมท่านไม่อยากให้ใครตกนรก  ถึงผ่อนผันให้เธอมารับบุญจาก  คู่เวร
* q" Q7 f9 S, j6 j) w        นายเวร        :        มันไม่เคยให้บุญเรา; O- s4 v) S! T0 a; c2 J
        ผม        :        เขาไม่รู้เรื่อง  ก็เหมือนตอนที่เธอเป็นอัมพาตเธอ  ก็ไม่รู้เรื่องนายเวรกระทำเช่นกัน  นี่ถ้าเธอทำจนเขาตาย  เธอก็ต้องลงไปรับการสอบที่สำนักพญายม  เธอไม่กลัวตกนรกเพราะฆ่าคนหรือ: X, K+ \5 L1 s2 N0 i
        นายเวร        :        ไม่ยอม  ไม่ละ  ตกนรกก็ยอม  เราแค้นมาก
# F+ s* d) j9 j& U2 m* l% f2 W        ผม        :        เธอทำอะไรเขาบ้าง  ถึงได้เป็นอัมพาต, j* }" z! w4 b0 j  M8 s$ w" P9 C! J
        นายเวร        :        พอมันถูกรถชน  แต่เราไม่ได้ทำนะ  นั่นมันนายเวรก่อนเราพอถึงคิวเราเป็นนายเวร  เราเอาเชื้อโรคมาใส่ที่สมองกับไขสันหลังมันแล้วกดประสาทมันไว้เหมือนที่มันทำกับเรา
1 t; A: x# D* _3 |. b  }        ผม        :        นี่  เธอรู้ไหม  ก่อนนั้นเขาทำเธอเป็นอัมพาต  พอตอนนี้เธอทำเขามั่ง  แล้วต่อไปเขาก็ต้องมาทำเธออีก  กงกรรมกงเกวียนจะจองเวรกันอยู่อย่างนี้ไม่เลิกหรือ  ที่เราให้เธอละ  ก็เพราะเรามีบุญแลกจะอุทิศบุญให้เธอจนพอใจ  หยุดจองเวรกันเพียงแค่นี้ไม่ดีหรือ  ตอนนี้เธอเป็นสัมภเวสี  ถ้ามีใจอาฆาตอย่างนี้  ต่อไปเธอก็ต้องลงนรก  มันทรมานกว่าที่เธอเป็นอัมพาตจนอดตายอีก  เคยเห็นแล้วใช่ไหมล่ะนรก  ถ้าอโหสิกรรม  รับบุญจนพอใจ  เธอก็รู้ว่าเราอุทิศบุญได้  เราสอนให้นายประทีปได้  เธอไม่อยากเป็นหรือเทวดา  จะมาเป็นผีอยู่ทำไม, ?( B* U: E2 ]: @6 \7 A' A
        นายเวร        :        ไม่  เราแค้นมาก  เป็นผีก็เอา  ลงนรกก็เอา  ยอม
% c  u4 G* s, L) p: i% n: T        ผม        :        เราเสียดายโอกาสเธอจังเลย  น้อยรายนักที่เราจะติดต่ออย่างนี้  เธอมีโอกาสแล้วนะ  ถ้าเธอละโอกาสนี้แล้ว  ข้างหน้าเธอต้องลำบากแน่  ทำไม!  มีแต่ผีเขาอยากเป็นเทวดากันทั้งนั้น  เธอก็รู้ว่าต้องมีบุญ  แล้วเราก็ให้บุญเธอได้  เราเสียดายแทนเธอจัง  ขอถามเธอหน่อยเธอนับถือพระพุทธเจ้าไหม3 K; v8 ?1 ]! X
        นายเวร        :        นับถือ; B1 @1 |0 s, J8 Y
        ผม        :        เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม
! c- a% H$ T* x! Y# `( R$ I        นายเวร        :        เชื่อ
" p3 x7 P* k& Q1 P# E* ?8 L        ผม        :        แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร  อโหสิกรรมต่อกัน  ทำไมเธอไม่เชื่อ  ไหนว่าเธอนับถือพระพุทธเจ้า
, A' {; @  O! K0 G' d5 u6 v        นายเวร        :        เชื่อแล้ว ๆ  ละก็ได้% Y9 s; d; x- B6 E. d
        ผม        :        ต้องละจริงนะ  อย่าพูดอย่างเดียว
$ a3 R6 }: f7 [" M. C( ]# I: z% Y  h        นายเวร        :        ละจริงๆ
( T  j$ G' Z3 o, B6 \  s        ผม        :        ตกลงอยากได้บุญอะไร  ขอให้บอก  เราจะได้ให้นายประทีปทำ
6 e* R6 T, I  H: C* r                                             ให้
5 [: f* N7 f, D7 ~) t        นายเวร        :        ไม่เอาอะไรเลย  ละเฉยๆ  นี่แหละ  เดี๋ยวจะไปปฏิบัติกับพระภูมิที่บ้านนี้แหละ
( v5 C+ j' O% p% H( e" W        ผม        :        อ้าว!  พระภูมิเจ้าที่บ้านนั้น  เขาเก็บวิญญาณมาสอนเหมือนกัน/ g* p( c- q' o& }: q
                        หรือ
# y. {# ?. N$ g/ \/ g) a9 ?        นายเวร        :        อ๋อ!  เห็นเขาทำกันอยู่; x) h7 L- p  o6 b* q1 }3 D
        ผม        :        ตกลงไม่เอาอะไรบ้างหรือ  สังฆทานก็ได้  บุญภาวนาก็ได้  ไม่เอามั่งหรือ  แล้วเขาจะหายจากอัมพาตเลยไหม
4 R; M: w; u. W$ `" K; l        นายเวร        :        ไม่เอาอะไร  อโหสิ!  เดี๋ยวจะปฏิบัติเอง  เดี๋ยวเอาเชื้อโรคออกให้  เลิกกดประสาทแล้ว  แต่ร่างกายเนื้อเยื่อมันยึดมา  7  ปี  รักษาเอาเองนะ  รักษาให้ไม่เป็น
3 T4 S" A. n5 X$ K8 u9 \                ครับผลบุญอภัยทานกะทันหันนั้น  เกิดปรากฏกายของนายเวรใสขึ้นทันทีจากบุญอภัยทาน  ผ่านไป  2  วันลองไปตรวจสอบดูใหม่  ปรากฏว่านายเวรผู้นี้ได้ปฏิบัติอยู่กับพระภูมิ  เดี๋ยวเดียวฐานบุญอภัยทานเขามาก  เลยลอยขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเรียบร้อยแล้ว  g! ]* {+ k; j% {, Y7 A8 v- w' V
                ส่วนคนป่วย  บ้านเขาพอมีฐานะ  ก็ทำการรักษาด้วยยาไป
0 h  u0 u! h/ \# v

Rank: 1

การทำบุญกับวัดและภิกษุ
# G; G/ o  R, d' I% n' ^! F+ e                การทำบุญของพุทธศาสนิกชน ผู้ที่ทำก็หวังดีคือได้บุญกุศล จากการทำบุญ  แต่การทำบุญในที่นี้คือทานนั่นเอง  ผู้ทำได้รับผลของบุญแน่นอนถ้าสิ่งของนั้นไม่ผิดวินัยสงฆ์  c+ O, T$ \' O% S4 o* m) Q7 V
                ที่นิยมกันมากคือนำเงินไปใส่ซองถวายพระ  ไม่ว่างานบุญไหนชอบถวายกันมาก  พระที่ท่านยังเป็นสมมุติสงฆ์  ยังควบคุมจิตตัวเองไม่ได้  ก็จะเกิดความโลภขึ้นในดวงจิต  พระองค์ใดท่านตัดได้แล้ว  ท่านรับซองเงินแล้ว  ท่านไม่แกะดูเลย  นำซองไปใส่ตู้บริจาคของวัดหรือนำไปวางทิ้ง  นั่นคือสละแล้ว  สมแล้วที่ท่านอยู่ในสมณะเพศทั้งกายและใจ% F" S) }" X% S1 h. ?: d
                ผลบุญจากการถวายเงินพระนั้นเกิดบุญแน่นอนครับและขณะเดียวกันก็เกิดผลบาปขึ้นด้วย  เพราะการถวายเงินพระ  เงินเป็นของผิดวินัยสงฆ์  ซึ่งต้องเป็นผู้สละแล้วจึงคิดบวช
& V. h- a7 W. q0 d" {                ถ้าเราอุทิศผลบุญจากการถวายเงินแก่ภิกษุนี้  จะเกิดบุญส่งไปถึงดวงวิญญาณที่เป็นผู้รับ  เกิดความสุขจากผลบุญนั้นชั่วระยะหนึ่ง  เช่น  เป็นวิมาน  เครื่องแต่งกาย  อาหาร  แต่หลังจากที่ดวงวิญญาณกำลังเสวยผลบุญอยู่นั้น  วิมาน  เครื่องแต่งกาย  อาหาร  เหล่านั้นจะลุกเป็นไฟเผาไหม้ดวงวิญญาณนั้นแทน
3 A' }0 I5 v9 b6 ]                ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะถวายเงินแก่ภิกษุ  ให้ภิกษุสงฆ์ได้นำไปเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาได้อย่างไร  ผมขอบอกว่าให้นำเงินใส่ตู้บริจาคของวัด  ที่มักมีตั้งไว้แทน  เช่น  ตู้ค่าน้ำ ค่าไฟ  ซ่อมแซมศาลา  ฯลฯ  หรือถวายแก่พระภิกษุที่ท่านเป็นตัวแทนรับเงินของวัด และต้องไม่นำไปเก็บไว้เอง ต้องสละให้กรรมการวัดนำไปเก็บรักษาไว้  ถ้าท่านนำไปใช้ในการศึกษาธรรมะและในกิจการเผยแพร่พระศาสนาได้บุญมหาศาล  แต่ถ้าท่านนำไปใช้ในทางเกิดกิเลสก็บาปมหันต์เช่นกัน  ถ้าคิดถวายให้พิจารณาให้ดี
' F% t# {* T7 b  Q* C& J4 Jเรื่องนี้เขียนขึ้นมาสวนกระแสกับสังคม แต่ผมรู้ ผมเห็นอย่างนี้ ท่านใดจะยังถวายเงินแด่พระภิกษุสงฆ์ก็ขอให้คิดดี ๆ  ว่าเหตุสมควรหรือไม่ ผมชี้ช่องทางให้คือ ตู้บริจาค  และตัวแทนในการรับเงินของวัด  โดยส่วนรวม  ถ้าเป็นการถวายแก่ภิกษุเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว  ขอบอกว่าอันตราย  เพราะเกิดทั้งบุญและบาป แต่บางครั้ง ท่านก็จำเป็นจริงๆ  ต้องใช้เงินจริง เกิดประโยชน์จริง ผมเองก็ต้องถวายเหมือนกัน แต่จะไม่อุทิศบุญให้ใครทั้งนั้น5 |# n7 I' o) L5 ~4 h, O& o5 q" D. m8 U  f
สิ่งของที่ผิดวินัยสงฆ์อีกอย่างหนึ่งคือ อาหารที่ยังปรุงไม่เสร็จ เช่น ข้าวสารอาหารแห้ง อย่าถวายพระท่านโดยตรง มันผิดวินัยสงฆ์  ถ้าจะถวาย โน่น!  ให้ไปไว้ที่โรงครัวของวัด หรือให้กรรมการรับไว้ พอเราสละของเป็นทานบุญเกิดแน่นอน พอมีผู้ปรุงอาหารของเราไปถวายพระ บุญก็เกิดกับเราอีก* v( [! H2 }/ ?' a9 D6 h& |
ของที่ไม่สมควรแก่สงฆ์  ขวางทางในการปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์  อย่าคิดถวายเลย จะเกิดทั้งบุญและบาป
3 ^0 t. ]" O1 V# m) gดังจะเห็นตามกุฏิที่ภิกษุท่านใช้เป็นที่พักสงฆ์  มักประกอบด้วยโทรทัศน์  วีซีดี  วิทยุเทป  พร้อมแผ่นวีซีดีภาพยนตร์  คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ  เพียบเลย  ไม่น้อยหน้าชาวบ้านเลย  ทำให้กิเลสเต็มกุฏิเลย  ผู้ใดคิดถวายขอให้คิดให้ดี
5 |* j. Q6 v  q1 {                การถวายสังฆทานตามวัด  เดี๋ยวนี้หลายวัดนิยมจัดถังหรือพานสังฆทาน  เตรียมไว้ให้ญาติโยมได้ทำบุญกัน  เพราะสังฆทานนั้นเป็นการถวายแก่หมู่สงฆ์  หรือตัวแทนของสงฆ์  ซึ่งได้บุญมาก  ยิ่งมีพระพุทธรูป  ผ้าไตรจีวร  เครื่องใช้  อาหารครบ  ยิ่งเป็นสังฆทานที่สมบูรณ์มาก  ตกลงแล้วที่เป็นสังฆทานเวียนเทียนจะได้บุญหรือ  อ๋อ! ได้บุญสังฆทานแน่นอนครับ  เพราะความตั้งใจของผู้ทำบุญตั้งใจถวายสังฆทาน  ถ้าพระองค์ใดนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวองค์เดียว  ท่านผิดเอง  ยกเว้นหมู่สงฆ์อนุญาต0 `+ e' }5 ]) {4 Y; R
                แต่ถ้าเราเตรียมสังฆทานนำไปเองไปถวาย  อันนี้กำลังบุญสูงกว่า  เพราะมีความตั้งใจสูง  ตั้งแต่เตรียมจัดหาไปเองแล้วครับ
: T# X; E! j% p& T/ B1 t                มีเรื่องหนึ่งที่อยากบอก  ถ้าเราถวายสังฆทานในตอนบ่ายหรือหลังเที่ยงไปแล้ว  ขออย่านำอาหารทุกอย่างใส่ไปยกเว้นน้ำปานะ  มิฉะนั้นเท่ากับเราเอาของผิดวินัยสงฆ์ใส่เข้าไปด้วย  แม้แต่พานสังฆทานที่วัดท่าซุง  ซึ่งผมเองถวายสังฆทานเป็นประจำ  เพื่อช่วยวิญญาณต่างๆ  ผมจะทำเฉพาะช่วงก่อนเพล  เพราะในพานมีอาหารปนอยู่  ถ้าถวายตอนบ่ายจะมีบาปปนอยู่กับบุญด้วย  ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้แต่ในการช่วยเหลือวิญญาณต่างๆ  ทำให้ต้องทูลถามกับเบื้องบน  ท่านเตือนเรื่องเวลาที่จะถวายสังฆทาน  ให้ทำก่อนเพล  มิฉะนั้นจะมีบาปปนกับบุญ  เพราะมีอาหารอยู่ในพานสังฆทาน
) x4 B# o. f& {* M4 Q                การทำบุญใส่บาตรของชาวพุทธ  ทั้งในตอนเช้าและวันพระนั้น  ถ้าผู้ทำบุญมิได้อุทิศเพื่อใคร  ผู้ทำได้บุญ  100%  พอของหลุดมือแสงบุญสว่างขึ้นแล้วลอยขึ้นไปเก็บรอเจ้าของอยู่บนสวรรค์เรียบร้อย  แต่ถ้ามีการคิดอุทิศผลบุญนั้นตอนของทานหลุดมือ  คิดทันทีว่าบุญนี้อุทิศให้ใคร  บุญนั้นจะพุ่งไปหาวิญญาณของผู้นั้นทันที  เขารับได้ทันที  ยกเว้นวิญญาณผู้รับอยู่ในนรกขุมที่ลึก  อันนี้ผลบุญจะเพียงไปรอเขาอยู่  จนกว่าวิญญาณที่ถูกลงโทษในนรกขุมลึกเริ่มมีโทษน้อยลง  ขึ้นมาอยู่ขุมตื้นขึ้น  จึงจะรับบุญนั้นได้: y+ m) j$ z. m5 w' L
                ขอสมมุติโจทย์ในการทำบุญเพื่อเป็นแนวคิดให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูนะครับ  เช่น  มีเงิน  100  บาท  ทำบุญอะไรได้บุญมากสุด  ผมขอตอบตามแนวความคิดผมนะ  ผิดถูกให้พิจารณาเอาเอง  โดยผมเริ่มเรียงจากบุญน้อยไปหาบุญมากโดยคร่าวๆ  ดังนี้
5 z6 C( l: O. o+ \( |                1. ซื้ออาหารให้สัตว์เป็นทาน" P8 g- ~+ {3 H
                2. ซื้ออาหารของใช้ให้คนทั่วไป
3 N3 g6 x- S/ v% ~% z* z; ?                3.        ซื้ออาหารของใช้ถวายพระ
( J$ M! Z5 T: \+ B- z                4.        ซื้ออาหารสิ่งของให้พ่อแม่  (บุญเท่าพระอรหันต์)
! i# m4 C+ H5 c                5.        ถวายสังฆทาน,  ผ้าป่า6 M4 k1 T$ O2 m
                6.        ร่วมสร้างวิหารทาน  (สิ่งก่อสร้างในพระศาสนา,  พระพุทธรูป) ,  กฐิน) X$ j" y1 c# `, |5 o7 Q$ j, l( F6 I
                7.         ช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า  เช่นปลา  กุ้ง  หอย  ตามตลาดพลังบุญใหญ่กว่าวิหารทาน0 j9 Y' C( D5 f9 R4 ~
                8.        ซื้อหนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทาน,  เจ้าภาพหนังสือโลกทิพย์ให้เรือนจำ4 C. h6 d2 B4 P  ]( y4 k2 H
                ผมลองเขียนเล่นคร่าวๆ  แต่จริงแล้วผมเลือกทำทุกอย่างแล้วแต่โอกาส  เวลา  และกำลังทรัพย์  ซึ่งตอนนี้จะเน้นมากคือธรรมทาน  คือบอกเล่าสิ่งที่ผมรู้และประสบให้ผู้ได้อ่านบทความของผม  ได้นำไปเป็นข้อมูลในการศึกษาตามแนวทางของพุทธศาสนา  อ่านแล้วขอร้องอย่าเชื่อทันทีเลย  ขอให้หาทางพิสูจน์ดูก่อน  เท่าที่จะสามารถทำได้  และพิจารณาด้วยเหตุผลดูด้วย
" C' g5 r3 m- i5 ?9 r
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-12-13 10:55 , Processed in 0.044569 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.