แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 11617|ตอบ: 73
go

โอวาทพระสุปฏิปันโน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8


S__42426372.1.jpg



โอวาทพระสุปฏิปันโน



             ข้าพเจ้าได้คัดลอกเนื้อหาโอวาทธรรมพระสุปฏิปันโน จากหนังสือ "อภิมหามงคลธรรม" (แจกเพื่อธรรมทาน) ที่ระลึกเนื่องในงานคล้ายวันเกิดอายุครบ ๙๑ ปี ของพระมงคลภาวนาวิกรม (หลวงปู่ฟัก ภัททจารี) เจ้าอาวาสวัดเขาวงพระจันทร์ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ โดยชมรมเพื่อนชาวพุทธเป็นผู้รวบรวม ซึ่งข้าพเจ้าจะขอนำเสนอเฉพาะส่วนของเนื้อหาโอวาทพระสุปฏิปันโนทั้งหมด ๗๒ ตอน ดังนี้


l7.png




สารบัญ


๑.        สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

๒.        สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ)
๓.        หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ

๔.        พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)

๕.        หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

๖.        หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

๗.        หลวงพ่อเภา พุทธสโร

๘.        พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ

๙.        หลวงพ่อปาน โสนันโท

๑๐.      หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร

๑๑.      หลวงปู่จันทร์ เขมิโย

๑๒.      หลวงปู่คำมี พุทธสาโร

๑๓.      หลวงพ่อสด จันทสโร

๑๔.      พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ

๑๕.      หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ

๑๖.      หลวงปู่ดี ฉันโน

๑๗.     หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

๑๘.      หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม

๑๙.      หลวงปู่คำแสน (ทิม) อินทจักโก

๒๐.      พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล

๒๑.      หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

๒๒.      หลวงปู่ขาว อนาลโย

๒๓.      หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

๒๔.      หลวงปู่สีโห เขมโก

๒๕.      หลวงปู่เกตุ จันทสุวัณโณ

๒๖.      หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร

๒๗.      หลวงพ่อโอภาสี

๒๘.      หลวงปู่กินรี จันทิโย

๒๙.      ครูบาอินทจักรรักษา

๓๐.      หลวงปู่โทน กันตสีโล

๓๑.      หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

๓๒.      หลวงปู่ครูบาพรหมา พรหมจักโก
๓๓.      หลวงปู่บุดดา ถาวโร

๓๔.      หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

๓๕.      หลวงปู่อ่อน จักกธัมโม

๓๖.      หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม

๓๗.      หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

๓๘.      หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ

๓๙.      หลวงปู่คำดี ปภาโส

๔๐.      หลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต

๔๑.      หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
๔๒.      หลวงปู่หลุย จันทสาโร
๔๓.      เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
๔๔.      ท่านพ่อลี ธัมมธโร
๔๕.      หลวงพ่อแพ เขมังกโร
๔๖.      ท่านพุทธทาสภิกขุ
๔๗.      หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต
๔๘.      หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
๔๙.      หลวงปู่ซามา อจุตฺโต
๕๐.      หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต
๕๑.      หลวงพ่อกัสสปมุนี

๕๒.      หลวงพ่อชม อนังคโณ

๕๓.      หลวงปู่สาม อกิญจโน

๕๔.      หลวงปู่บุญ ชินวังโส

๕๕.      หลวงพ่อเกษม เขมโก

๕๖.      หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา

๕๗.     หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส

๕๘.     หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร

๕๙.     หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
๖๐.      หลวงพ่ออุตตมะ

๖๑.      พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
๖๒.      หลวงพ่อชา สุภัทโท
๖๓.      หลวงปู่ศรี มหาวีโร
๖๔.      หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
๖๕.      พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
๖๖.      พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
๖๗.     พระอาจารย์วัน อุตตโม

๖๘.     หลวงปู่คำพอง ติสโส

๖๙.     หลวงปู่เมตตาหลวง (หลวงปู่สิงห์ สุนทโร)

๗๐.     หลวงปู่ถวิล จิณณธัมโม

๗๑.     หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

๗๒.     หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


IMG_5095.1.png


ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :



ตอนที่ 1 - 9

http://www.dannipparn.com/thread-270-1-1.html


ตอนที่ 10 - 19

http://www.dannipparn.com/thread-270-2-1.html


ตอนที่ 20 - 29

http://www.dannipparn.com/thread-270-3-1.html


ตอนที่ 30 - 39

http://www.dannipparn.com/thread-270-4-1.html


ตอนที่ 40 - 49

http://www.dannipparn.com/thread-270-5-1.html


ตอนที่ 50 - 59

http://www.dannipparn.com/thread-270-6-1.html


ตอนที่ 60 - 69

http://www.dannipparn.com/thread-270-7-1.html


ตอนที่ 70 - 72

http://www.dannipparn.com/thread-270-8-1.html


l28.png



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :

         • หนังสืออภิมหามงคลธรรม (แจกเพื่อธรรมทาน) ที่ระลึกเนื่องในงานคล้ายวันเกิดอายุครบ ๙๑ ปี ของพระเดชพระคุณ พระมงคลภาวนาวิกรม (หลวงปู่ฟัก ภัททจารี) วัดเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐. ชมรมเพื่อนชาวพุทธ รวบรวม.


(แก้ไขข้อมูลล่าสุด : 21 กันยายน 2566)

Rank: 8Rank: 8

สัจธรรม.jpg


สัจธรรม

l12.png



..เมื่อเกิดมาใช่จะมาแต่ตัวเปล่า

กรรมของเจ้าตามมาด้วยช่วยส่งผล

ทั้งทุกข์สุขชั่วดีมีระคน

ทุกตัวตนมีกรรมชักนำไป


เมื่อเกิดมามีกรรมมาตามเจ้า

เจ้าจะเอากรรมนั้นไปไว้ไหน

   เหมือนกับเงาที่เฝ้าตามเจ้าไป

  นำผลให้เกิดทุกข์สุขทุกเวลา


จงทำดีไว้เถิดจะเกิดสุข

สิ้นจากทุกข์โชคชัยที่ใฝ่หา

ได้รับผลกุศลกรรมล้ำนำพา

ทั้งชาตินี้ชาติหน้าผาสุกเอย...

l11.png


1.2.png


สุดท้ายนี้...ขอความสวัสดี และสมประสงค์ในธรรมอันบริสุทธิ์

จงมีแด่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย จงทุกคนเทอญ.

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗๒

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

(พระราชสังวรญาณ)

วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

L47.png




ศีล และ วิธีทำสมาธิ


แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๕



ท่านผู้เจริญทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นโอกาสดีอีกวันหนึ่ง ที่อาตมภาพได้มีเวลามาพบกับท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทร่วมกับพระพุทธศาสนาอันเดียวกัน ซึ่งต่างคนก็ต่างมีความมุ่งหวังที่จะได้ฟังและศึกษาธรรมะเกี่ยวกับ หลักความเป็นจริงของธรรมชาติ


ธรรมะที่จะได้เล่าสู่ท่านทั้งหลายฟังในวันนี้ ก็คงไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการบำเพ็ญภาวนาในทางจิต วิทยาการต่างๆ ไม่ว่าทางสายกระแสโลกหรือทางสายศาสนา เราได้เรียนกันมามากต่อมาก แต่สิ่งที่เราได้เรียนมาทั้งหลายเหล่านั้น เราอาจจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นคือธรรมะ แต่แท้ที่จริงสิ่งนั้นก็เป็นธรรมะทั้งนั้นแหละ

กายกับใจของเราก็เป็นธรรมะ วิชาการที่เราเรียนมาตามศาสตร์สายนั้นๆ ก็เป็นธรรมะ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นธรรมะ โดยความเป็นสภาวธรรม เมื่อธรรมะเหล่านั้นเป็นสภาวธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความจริงของมันแฝงอยู่ แต่เราอาจจะไม่ยอมรับสิ่งนั้นว่ามีความจริง เพราะเรายังค้นไม่พบ


แม้แต่ความรู้สึกของคนโดยทั่วๆ ไป เรื่องเกี่ยวกับกายกับใจของเรานี้ โดยปกติธรรมดาแล้ว เราจะรู้สึกว่ากายกับใจนี้ มันแยกกันไม่ออก แต่แท้ที่จริงในเมื่อเราศึกษาให้รู้ซึ้งถึงข้อเท็จจริงของมันแล้ว กายกับใจมันสามารถแยกออกเป็นคนละส่วนได้ อันนี้พูดเฉพาะในทางปฏิบัติ แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว เราไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้


ในเมื่อกายกับใจแยกออกจากกันได้ จิตกับอารมณ์มันก็แยกออกจากกันได้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น แนวทางแห่งการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมะอันเป็นส่วนสมาธิภาวนานั้น นั่นแหละคืออุบายที่เราจะฝึกฝนอบรมให้จิตกับอารมณ์มันแยกออกจากกันได้


ในเมื่อพูดถึงเรื่องการทำสมาธิ ตามหลักของพระพุทธศาสนาต้องมีศีลและก็มีสมาธิจึงจะมีปัญญา แต่ว่ากันโดยทั่วๆ ไปแล้ว การทำสมาธินี้ เราไม่จำเป็นต้องมีศีลก็ได้ พูดมาถึงตอนนี้ท่านทั้งหลายอาจจะงง เพราะในลัทธิที่เขาปฏิบัติสมาธิกันมาบางอย่าง


เช่น สมาธิเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ วิชาไสยศาสตร์บางอย่างที่เราได้ยินได้ฟังบางอย่างก็มีประสิทธิภาพที่สามารถทำให้ผู้คนมีอันเป็นไปต่างๆ เช่น ทำให้เกิดวิกลจริต ทำให้หลงใหล แล้วบางทีถึงอาจสามารถทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ชีวิตได้


เช่น หลวงพ่อเคยศึกษาและเคยอ่านตำรามา วิชาไสยศาสตร์บางอย่าง เขาสามารถเจริญทำสมาธิแล้วปล่อยตะปูไปเข้าท้องคนก็ได้ อันนี้ก็อาศัยอำนาจสมาธิ บางทีหนังแผ่นเบ้อเร่อเสกคาถาทำสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ถอดให้มันเหลือเล็กเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟแล้วก็ดีดเข้าท้องไป ทำให้เจ็บป่วยถึงตายไปก็ทำได้ อันนี้ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่ เป็นแต่เพียงค้นคว้าตำรับตำราแล้วก็เที่ยวถามดูคนที่เขาเคยทำกัน ก็ปรากฏเขาทำได้จริง อันนี้ก็อาศัยอำนาจสมาธิอีกเหมือนกัน


เพราะฉะนั้น สมาธิโดยทั่วๆ ไปนี้ เราทำสมาธิ เราอาจจะไม่ต้องมีศีล...ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ตามหลักของพระพุทธศาสนาก็ได้ อย่างศาสนาอื่นเขาก็ไม่มีศีล แต่เขามีสัจจะคือการทำจริง ศาสนาพราหมณ์ก็ไม่ถือศีล ๕ ศีล ๘ แต่เขาทำตามแบบอย่างเขา เขาก็มีสมาธิ แล้วก็มีอิทธิฤทธิ์ได้เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้ในอินเดียก็ยังมีพวกลัทธิบำเพ็ญสมาธิ โดยไม่ได้ปฏิญาณตนเป็นผู้มีศีล


เช่น พวกชีเปลือยทั้งหลาย เขาก็ยังบำเพ็ญสมาธิของเขาอยู่ หรือผู้ไม่นิยมลัทธิเปลือย ก็ไปเป็นโยคีนั่งสมาธิอยู่บนป่าบนเขา พอเสร็จแล้วถึงหน้าแล้งก็ลงมาแข่งอิทธิฤทธิ์กัน ซึ่งพระไทยเราก็มีผู้หนึ่งที่ไปแข่งอิทธิฤทธิ์กับเขาเหมือนกัน ท่านผู้นั้นเขาให้นามว่า ท่านฤาษีประเสริฐ


ท่านฤาษีประเสริฐ เป็นคนชาวจังหวัดสุรินทร์ อยู่ที่อินเดียถึง ๒๐ ปี แล้วก็รู้สึกว่าไปเรียนลัทธิของพวกพราหมณ์ มีอิทธิฤทธิ์ เขาลุยไฟ ท่านก็ลุยได้ เขาเดินบนตะปู ท่านก็เดินได้ นอนบนขวากบนหนาม ท่านก็นอนได้ ไปเปลื้องผ้านั่งตากหิมะอยู่บนภูเขาหิมาลัย ท่านก็ทำได้ ทำได้เหมือนอย่างเขา เขาจึงยอมยกให้ว่าฤาษีไทยนี้ก็เก่งเหมือนกัน


อันนี้ เรื่องเหล่านี้ก็อาศัยเหมือนกัน แต่สมาธิที่ปราศจากศีลเป็นเครื่องควบคุมนั้น สมาธิอันนั้นไม่เป็นไปในการตรัสรู้ มรรค ผล นิพพาน ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริง ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น ไม่เป็นไปเพื่อความหมดกิเลส


สมาธินอกหลักพระพุทธศาสนา ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอวดกล้าอวดเก่ง มีทิฏฐิมานะ กิเลสยิ่งตัวใหญ่ตัวโตขึ้นมา ถ้าหากว่าท่านเคยได้อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านอาจารย์มั่นได้ออกบำเพ็ญกรรมฐานในตอนต้น ท่านก็ได้ศึกษาตามลัทธิกรรมฐานโบราณ


ทีนี้ การศึกษาตามลัทธิกรรมฐานโบราณนั้น ท่านทำตามรูปแบบของหลักวิชาการนั้นๆ เรียกว่า เรียนธรรมซึ่งสุดแท้แต่กรรมฐานแล้วก็ภาวนาไปเป็นขั้นตอน ในเมื่อทำจิตสงบลงก็มีการขึ้นกรรมฐานแล้วก็ภาวนาไปเป็นขั้นตอน ในเมื่อทำจิตสงบลงไปได้แล้ว ก็รู้สึกว่าทำอะไรก็ได้


เช่น จะทำเครื่องรางของขลังก็ขลัง อยากรู้จิตใจของผู้อื่นก็รู้ได้ อยากจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็รู้ได้ แต่เมื่อมาสังเกตดูแล้วยิ่งรู้ยิ่งเก่ง ตัวกิเลสทิฏฐิมานะ ความทะนงตัวมันก็ยิ่งมากขึ้นทุกทีๆ คือว่าไม่เป็นไปเพื่อความหมดกิเลส อันนี้คือหลักฐานสมาธิในลัทธินอกพระพุทธศาสนา ยิ่งบำเพ็ญเก่งเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มกิเลสหนักขึ้นเท่านั้น


เพราะฉะนั้น สมาธิอันนี้จึงไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อการสร้างกิเลส แต่สมาธิที่จะดำเนินไปเพื่อความหมดกิเลสอย่างจริงจังนั้น ต้องขึ้นต้นด้วยศีล


พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ให้ละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด ทีนี้ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เราจะละความชั่วนั้นจะละอย่างไร ถ้าใครตั้งใจละความชั่วอย่างจริงจัง ให้ตั้งใจปฏิบัติตามศีล ๕ ข้อ ศีล ๕ ข้อนั่นแหละคือพื้นฐานแห่งการละความชั่ว


การทำบาปกรรมอย่างใดๆ ก็ตาม แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดก็ยังไม่ถือว่าเป็นบาปเป็นกรรมที่เราจะต้องไปรับผลในชาติหน้า แต่ถ้าละเมิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่งนั้น มีหวังที่จะรับผลในชาติหน้าภพหน้า เพราะการละเมิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง มันเป็นการเพิ่มผลของบาปกรรม ถ้าเรางดเว้นเสียแต่วันนี้ ก็เป็นอันว่าตัดผลเพิ่มของบาปกรรม


เช่น อย่างเมื่อวานนี้ เรามีบาปกรรมเพราะล่วงละเมิดศีล ๕ อยู่ มีน้ำหนักสมมติว่าประมาณสัก ๑ กิโลกรัม แต่วันนี้เราตั้งใจเด็ดขาดว่าเราจะงดเว้นโทษตามหลักของศีล ๕ นั้น ก็เป็นอันว่าบาปที่มีอยู่ก็มีเพียงแค่ ๑ กิโลกรัม ไม่เพิ่มมาอีก ความรู้สึกนึกคิดในใจ แต่เราไม่ได้แสดงออกทางกาย ทางวาจา ก็ไม่เป็นอันทำบาปที่จะต้องไปรับผลในชาติหน้าภพหน้า อันนี้พูดถึงเรื่องศีล ๕


ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้สมาธิที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสมาธิให้ได้ปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องอาศัยศีลเป็นมูลฐาน ศีลที่เรารักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้วนั้นแหละ จะประคับประคองจิตใจให้มีความสงบลงสู่ความเป็นสมาธิอย่างถูกต้อง เมื่อสมาธิอาศัยอำนาจแห่งศีลเป็นเครื่องอบรม ปัญญาคือความรู้เกิดขึ้นมาย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ ทีนี้หลักตัดสินว่า เราปฏิบัติอะไรผิดอะไรถูก เราก็ต้องย้อนมามองตามหลักของศีล ๕ อีกนั่นแหละ


คุณธรรมที่เกิดขึ้นในจิตในใจ ถ้าหากสิ่งใดมันทำให้จิตใจเราต้องคิดที่จะละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งอยู่ ก็แสดงว่าคุณธรรมที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และอีกอย่างหนึ่ง การละกิเลสด้วยความตั้งใจนี้ ก็หมายถึง ละตามกฎของศีล ๕ ข้อนั้นเอง พระท่านเทศน์ว่า จงละกิเลส โลภ โกรธ หลงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความจริงมันเป็นโวหารการเทศน์


กิเลสในจิตในใจนี้ เราละไม่ได้ ละไม่ได้เด็ดขาด เราจะไปนึกละเอาๆ ละไม่ได้เด็ดขาด แต่กิเลสหยาบๆ ที่จะพึงล่วงเกินทางกาย วาจานี้ เราละเอาได้โดยเจตนา นี้ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจอย่างนี้ ทีนี้ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราอยากจะละความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจะทำกันอย่างไร อันนี้ขอพักไว้ก่อน ยังจะไม่อธิบายต่อ

จะขอพูดถึงเรื่อง เราจะสามารถใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร กิเลสนี้มันเป็นสิ่งดีแก่คนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของตัณหาความทะเยอทะยานอยากนี้ เป็นกิเลสๆ เป็นของดีจริงๆ ถ้ารู้จักใช้ ไฟก็ดี กระแสไฟฟ้าก็ดี เป็นสิ่งที่มีโทษอย่างมหันต์แล้วก็มีคุณค่าอย่างอนันต์เหมือนกัน


ไฟนี้ถ้าใช้ไม่เป็น เอาไปจุดเผาบ้านนี้ก็วอดวายหมด ในทำนองเดียวกัน กิเลสที่เรามีอยู่เหมือนกัน ทุกๆ คนมีกิเลสพอที่จะอวดกันได้พอๆ กันทุกคน ที่นี้ กิเลสตัณหาเราเลี้ยงเอาไว้ เอาไว้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้เกิดความกระตือรือร้นในการกระทำความดี


คำว่าความดีนี้อะไรก็ได้ แม้แต่ความดีที่เกี่ยวกับการครองชีพที่อยู่เป็นคฤหัสถ์ ก็ได้ชื่อว่าความดี ทีนี้เราจะใช้กิเลสเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร เช่น สมมติว่าเรามีความทะเยอทะยานอยากได้ดี อยากร่ำอยากรวย เราก็เอาศีล ๕ ข้อซิมาตีเส้นขนานเอาไว้ ถ้าเราจะใช้กิเลสในขอบเขตศีล ๕ ข้อนี้


เช่น เราอยากรวย ถ้าอยากรวยโดยสุจริต ก็กระตือรือร้นหมั่นขยัน แต่อย่าฉ้ออย่าโกง อย่าลักขโมย อันนี้เรียกว่าใช้กิเลสถูกตามกฎ ถ้าหากอย่างสมมุติว่า ท่านผู้เป็นนายแพทย์ทั้งหลายไปตั้งคลินิกรักษาคนไข้ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ถ้าเกิดมีคนไข้หรือลูกค้ามาอุดหนุนตลอดวันยังค่ำ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ท่านจะสละความเหน็ดเหนื่อยของท่านทำงานเพื่อผลประโยชน์ตลอดคืนยันรุ่งวันยังค่ำ ซึ่งการกระทำนั้นไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มีแต่ได้ประโยชน์มาโดยชอบธรรม


พระพุทธเจ้าไม่ได้ตำหนิว่าเราเป็นคนโลภ หรือเป็นคนประพฤติผิดศีลธรรม นี้ขอยกตัวอย่างมาให้ท่านฟังเป็นตัวอย่างเพียงข้อเดียว ทีนี้ในเมื่อกิเลสมันมีประโยชน์สำหรับคนทุกคน เราพยายามใช้กิเลสให้มันมีประโยชน์โดยไม่กระทบกระเทือนผู้ใดผู้หนึ่ง ให้มันเป็นไปโดยความยุติธรรม


ทีนี้ การใช้กิเลสไม่ผิดศีลธรรมนี้ มันก็เป็นการสร้างความดี เราอยากได้ อยากรวย ไม่โลภ ไม่โกง อะไรต่างๆ เราก็ไม่ละเมิดศีลข้ออทินนาทาน เราอยากรวย ไม่จี้ ไม่ปล้น ไม่ลัก ไม่ขโมย เราไม่ได้ไปฆ่าอะไร เราก็มีศีลข้อปาณาติบาต ทีนี้ เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดี ตามพื้นเพของความเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน เราก็ได้ทำแต่ความดี


ทีนี้ ความดีที่เราจะหมายเอาเป็นความดีนั้น มิได้หมายเฉพาะเอาแต่ว่า เราจะมานั่งหลับตาภาวนานึกพุทโธๆ หรือพิจารณาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใครก็ตาม ในเมื่อมีหน้าที่อันใด เช่น หน้าที่ของความเป็นพ่อ แม่ หน้าที่ของความเป็นลูก หน้าที่ของความเป็นผู้บังคับบัญชาและหน้าที่ของความเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา


เราต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของเราโดยถูกต้องอย่างตรงไปตรงมา โดยอาศัยระเบียบการทำงานนั้นๆ เป็นแนวทางปฏิบัติก็ได้ เชื่อว่าเรากระทำความดี ความดีอันนี้แหละ มันจะทำให้สังคมของเรานี้สงบ และโดยเฉพาะศีล ๕ นี้แหละ เป็นหลักความปลอดภัยของสังคม พระพุทธเจ้ายอมรับว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็รับเอามาเป็นข้อปฏิบัติของพุทธบริษัททั้งหลาย


ในขั้นต้นนี้ ไม่อยากจะให้ใครๆ ไปทำความเข้าใจถึงขนาดที่ว่าห้ามฆ่าสัตว์ทุกประเภทเอาไว้ก่อน ให้ทำความเข้าใจไว้ก่อน ศีล ๕ ข้อนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อปาณาติบาต พระพุทธเจ้ามุ่งไม่ให้มนุษย์ฆ่ากัน เบียดเบียนกัน ข่มเหงรังแกกัน ทำความเข้าใจไว้เพียงแค่นี้ก่อน


ทีนี้ เราก็พยายามทำจิตทำใจให้งดเว้นตามกฎนั้นๆ อย่างจริงจังลงไป เมื่อมนุษย์งดเว้นจากการฆ่าของมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีจิตใจสูง เมื่อเว้นจากการฆ่าเบียดเบียนกันได้เด็ดขาด อิทธิพลของความเมตตาก็ย่อมแผ่คลุมไปถึงสัตว์ดิรัจฉานได้ ในที่สุดสัตว์ดิรัจฉานก็ฆ่าไม่ได้ นี้คือหลักความจริง


ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะจะแก้ข้อข้องใจ เพราะบางท่านมีความหนักใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคุณหมอทั้งหลายนี้ ทำสงครามกับโรคภัยไข้เจ็บอยู่ทุกวันๆ โดยบางอย่างมันก็มีตนมีตัว เช่น โรคพยาธิ เป็นต้น


ประเดี๋ยวบางท่านสั่งจ่ายยาขับพยาธิออกไป ประเดี๋ยว โอ้ย ทำปาณาติบาตตายแล้วตกนรก นี้ปัญหาเหล่านี้ พวกท่านทั้งหลายย่อมหนักใจ ล้วนก็มีคนไปถามอาตมาอยู่บ่อยๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านข้องใจ ท่านจะทำใจของท่านอย่างไร

อาตมาจะยกตัวอย่าง เช่น อย่างสมมติว่าพระเป็นโรคพยาธิลำไส้ แล้วก็ไปขอยาคุณหมอมา แล้วพระก็มาฉันยานี้เพื่อฆ่าพยาธิในลำไส้ ถ้าพระตั้งใจอย่างนี้ พระเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะการฆ่าสัตว์ แต่ถ้าพระคิดว่าฉันจะฉัน (กิน) ยาเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ โดยไม่มุ่งถึงสิ่งมีชีวิตและมีตนมีตัว พระก็พ้นจากอาบัติ


ในทำนองเดียวกัน ท่านทั้งหลายอาจจะฉีดยาลงไปสักเข็มหนึ่ง ท่านคิดว่าจะให้สัตว์ในตัวของคนไข้นี้มันตาย ท่านก็ทำปาณาติบาต แต่ถ้าท่านคิดว่าฉีดยาหรือให้ยาเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บแก่คนไข้ ท่านก็ไม่เป็นบาปเพราะการฆ่าสัตว์ อันนี้มันขึ้นอยู่กับเจตนา


พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ทานยาได้ แต่พระองค์ก็บอกว่าอย่าทานยาเพื่อฆ่าตัวเชื้อโรค แต่ทานเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพื่อให้หาย อันนี้การทำบาปกรรมเล็กๆ น้อยๆ มันขึ้นกับเจตนา ถ้าเราคิดว่าเราจะทานยาเพื่อจะฆ่าโรคนั้นๆ ถ้าขึ้นคำว่า ฆ่า แล้วมันก็ผิดศีลข้อปาณาติบาตทั้งนั้น


เมื่อไม่นานมานี้ อาตมาก็ถูกสมเด็จพระบรมราชินีนาถรับสั่งถามเรื่องเกี่ยวกับศูนย์ศิลปาชีพ คือที่ศูนย์ศิลปาชีพนั้น สมเด็จฯ ไปทรงแนะนำให้ราษฎรเขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทีนี้เมื่อปลูกหม่อนเลี้ยงไหมขึ้นมาแล้ว เมื่อจะทำไหมให้เป็นเส้นขึ้นมา จะต้องเอาตัวหม่อนไปต้มๆ แล้วก็สาวไหมเอาออกมา สมเด็จฯ รับสั่งว่าทำอย่างนี้บาปไหม


หลวงพ่อก็ถวายพระพรสมเด็จฯ ว่า ถ้าสมเด็จฯ ไปสั่งให้เขาเอาตัวไหมนั้นต้มลงในหม้อ สมเด็จฯ ก็บาป ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นบาป


หลวงพ่อก็ถวายพระพรสมเด็จฯ ว่า หน้าที่การรับสั่งให้เขาทำนั้น เป็นพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงรับสั่งให้เขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ในเมื่อเขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นตนเป็นตัว เขามองเห็นประโยชน์ที่เขาจะพึงได้รับ ก็ปล่อยให้เขาทำเอง อย่าไปทรงแนะนำเขาถึงขั้นต้องเอาตัวไหมต้มลงไปในหม้อ ถ้าในทำนองนี้ สมเด็จฯ พ้นจากโทษปาณาติบาต


แล้วอาตมาขอถวายพระพรถามว่า เคยมีรับสั่งให้เอาตัวหม่อนต้มในหม้อหรือเปล่า สมเด็จฯ รับสั่งว่าไม่เคย ถ้าหากไม่เคย สมเด็จฯ ก็ไม่เป็นบาป ไม่ต้องเป็นห่วงใยเรื่องบาปกรรม ในเมื่อเขาทำขึ้นมาแล้ว เขาจะได้ผลอย่างไรนั้น เขาย่อมรู้เอง เพราะเขาโตๆ กันทุกคนแล้ว ในขั้นสุดท้าย สมเด็จฯ ก็ทรงปล่อยวางซะ สมเด็จฯ ก็เป็นที่พอพระทัยในคำตอบ


เรื่องเกี่ยวกับการทำบาปทำกรรมอะไรต่างๆ นี้ ถ้าหากเรามีความข้องใจสงสัย หรือเรามีเจตนาว่า เราจะฆ่าสัตว์ มันก็เป็นบาปวันยังค่ำ คนที่มีสมาธินี้ เป็นแต่เพียงใช้คำพูดกับคนไข้ บอกว่าทำใจดีๆ ทำใจให้เข้มแข็ง โรคของคุณจะหาย คุณไม่ต้องตกใจ ฉันจะช่วยให้คุณหาย คุณต้องหายแน่ๆ พูดอย่างนี้ก็เป็นอุปกรณ์ช่วยให้คนไข้มีอาการดีขึ้น เพราะพลังจิตของเรามีสมาธิ


อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เคยผ่านการทำสมาธิมาบ้างพอสมควรแล้ว อย่าไป อย่าเผลอไปแช่งใครเข้านะ ถ้าขืนไปแช่งแล้ว มันจะเป็นไปตามที่เราแช่ง ปากของคนทำสมาธิเป็นปากที่มีสัตย์มีศีล


ในเมื่อพระพุทธศาสนาและจุดมุ่งหมายของการทำสมาธินี้เพื่ออะไร นักปฏิบัติดีนักสมาธิทั้งหลายยังเข้าใจผิดกันอยู่เป็นส่วนมาก เช่น การทำสมาธิต้องรู้ การทำสมาธิต้องเห็น ทำสมาธินี้ต้องมีอิทธิฤทธิ์ ส่วนมากเข้าใจกันไปเสียอย่างนี้


ทีนี้ ถ้าหากเราไปสำคัญมั่นหมายว่า เราจะต้องรู้ต้องมีนิมิต ต้องเห็นโน่นเห็นนี่ หรือต้องมีอิทธิฤทธิ์ ถ้าเผื่อเราทำไม่ได้อย่างที่ว่านั้น เราก็เกิดท้อแท้ แต่ความจริงสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องถือว่าเป็นผลงานซึ่งเกิดจากการปฏิบัติของเรา


สิ่งเหล่านั้นเป็นแต่เพียงเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์เพื่อฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีสติจนกลายเป็นมหาสติ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะยึดเอาเป็นที่พึ่ง แต่สิ่งที่เราจะยึดเป็นที่พึ่งนั้นคือ ตัวสติที่เด่นชัดขึ้น


สติที่เด่นชัดขึ้นนี้ มันกลายเป็นสติพละ เป็นสติมีกำลัง ในตอนต้นๆ กำลังของสติมันแผ่ทั่วกาย หรือแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แต่เมื่อสติรวมกำลังเข้าเป็นหนึ่ง มันก็กลายเป็นสตินทรีย์


สตินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง สามารถประคับประคองจิตให้อยู่ในสภาพที่มีความสงบ ประคับประคองจิตให้ไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมตามความเป็นจริง นี่เราต้องการความมีสติเท่านั้น


ในเมื่อสติตัวนี้ เราอบรมให้แก่กล้าขึ้นจนสามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ แม้แต่อารมณ์ภายในจิต ความนึกคิดอะไรเกิดขึ้น สักแต่ว่าสัมผัสรู้ ไม่มีการยึดถือในสิ่งนั้นๆ รู้แล้วปล่อยวางไป อันนี้แสดงว่าสติของเรามีกำลังขึ้นแล้ว ก็เป็นใหญ่ในสภาวธรรมทั้งปวง


ในเมื่อเรามีสตินทรีย์เป็นใหญ่ในจิตของเรา จิตของเราก็สามารถปฏิบัติตัวไปสู่ภูมิธรรมได้ตั้งแต่ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ในที่สุดก็สำเร็จ มรรค ผล นิพพาน ตามต้องการ


ฉะนั้น ขอย้ำอีกทีว่า การพิจารณาอะไรก็ดี การบริกรรมภาวนาก็ดี สิ่งที่เราต้องการผลงานนั้นคือ สติตัวเดียวเท่านั้น ทำสติให้เป็นใหญ่โดยเด็ดขาด ในจิต ในใจ ในกายของเรา เมื่อสติเป็นใหญ่โดยเด็ดขาดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยไม่วุ่นวาย สิ่งที่เป็นใหญ่ในโลกนี้ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าความมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ หรือมีสติเป็นใหญ่


ในกายของเรานี้ มีอะไรเป็นใหญ่โดยธรรมชาติ ก็มีอยู่แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านเรียกว่า อินทรีย์ ที่เรียกว่าอินทรีย์ เพราะเขามีความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของเขาเอง โดยไม่มีใครสามารถจะก้าวก่ายหน้าที่ของเขาได้


ตา คือมีหน้าที่ดูก็ดูอย่างเดียว จะอุตริไปฟังช่วยหูไม่ได้ หู คือมีหน้าที่ฟังอย่างเดียว จะอุตริไปดูก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นใหญ่ในกายของเรา ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส ใจนึกคิดและเก็บอารมณ์ และสิ่งอื่นจะไปก้าวก่ายหน้าที่กันไม่ได้ นี้คือความเป็นใหญ่


ทีนี้ เมื่อเราฝึกฝนอบรมสตินี้ให้เป็นสตินทรีย์ ให้เป็นใหญ่ในกายในจิตของเราแล้ว สติก็กลายเป็นความเป็นใหญ่ภายในจิตของเรา สติวินโย เรามีสติเป็นผู้นำ สติจะปฏิวัติจิตไปสู่ภูมิจิต ภูมิธรรม ตามขั้นตอนเท่าที่ความสามารถของสติจะบันดาลให้เป็นไปได้อย่างหนึ่ง


เมื่อท่านทั้งหลายได้ภาวนา หรือพิจารณาธรรมไปถึงขั้นนามธรรม คือจิตนิ่งสงบนิ่งสว่างแล้ว มีแต่สิ่งรู้อันเป็นนามธรรม วัตถุตัวตนไม่ปรากฏ ในเมื่อนานๆ เข้า สภาพจิตนั้นจะอ่อนกำลังลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านควรจะย้อนหันมาพิจารณากาย เริ่มต้นดูแต่ละลมหายใจหรือพิจารณากายคตานุสสติ หรือพิจารณาตามแผนที่ท่านเคยวิจัยร่างกายของมนุษย์มาแล้ว


อาตมาว่าการเจริญอสุภกรรมฐานก็ดี ธาตุกรรมฐานก็ดี หรือการพิจารณาสรีระร่างกาย หรืออาการ ๓๒ กายคตานุสสติก็ดี พวกคุณหมอทั้งหลายนี้ง่าย เพราะมีสัญญาเดิมอยู่แล้ว อย่างพวกอาตมาเป็นพระเป็นสงฆ์ไม่เคยผ่าตัดศพมา ไปนั่งนึกหลับตาเอาแทบเป็นแทบตาย กว่าจะเกิดนิมิตมาให้รู้แจ้งเห็นจริง ท่านทั้งหลายมีอุปกรณ์อยู่แล้ว

อีกอย่างหนึ่ง การทำสมาธิภาวนานี้ ให้เชื่อตัวเอง อย่าไปเชื่อคนอื่น เราภาวนาอะไร พิจารณาอะไร สามารถทำจิตใจให้สงบ สามารถทำจิตให้รู้ได้ เราก็ยึดอันนั้นเป็นหลักของเรา ถ้าสมมติว่าท่านต้องการอยากรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง มีปัญหาเกิดขึ้นในใจ ถ้าท่านเคยทำสมาธิให้จิตว่าง พอจิตว่างลงไปแล้ว คำตอบมันจะผุดขึ้นมา


สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราหมดความตั้งใจ วิปัสสนาจะเกิดขึ้นมาได้ต่อเมื่อเราหมดความคิด หมดความตั้งใจ คือ ความว่างของจิต สมาธิก็เกิด การหมดความคิด ก็คือความว่างของจิต วิปัสสนาคือปัญญาก็เกิด


เอาละ สำหรับการกล่าวธรรมอันเป็นเครื่องประดับสติปัญญาความรู้ของท่านทั้งหลาย ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา

ในท้ายที่สุดนี้ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคุณธรรม จงดลบันดาลให้ทุกท่านประสบความสำเร็จที่ตนพึงปรารถนาโดยทั่วหน้ากัน.

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗๑

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

(พระธรรมสิงหบุราจารย์)

วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

L47.png



การที่เราหันจิตใจมารักษาศีลกินธรรมนี้...จงมีความตั้งใจให้จริง เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นทิพย์ ไม่มีความอิ่มอันใดจะเสมอเหมือนการอิ่มพระธรรม !

ความอิ่มในรสชาติอาหารนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบให้แก่ธาตุขันธ์เท่านั้น เป็นความไม่เที่ยงเสื่อมสลายลงได้ เมื่ออิ่มไปชั่วขณะก็หิวอีกอย่างนี้เป็นต้น แต่ธรรมะเป็นของสมบูรณ์ อิ่มแล้วจะมีความอิ่มที่คงทนถาวร ไม่เสื่อมสลาย ผู้ใดมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัย บุคคลนั้นจะมีความอิ่มความพอ...

แม้ธรรมนั้นจะมิได้เป็นรูปร่างที่มองเห็นกันด้วยตาเนื้อ...แต่ธรรมเป็นธรรมชาติอันละเอียดสุขุม สุดที่จะนำมาเปรียบเทียบกับของสมมติทั้งหลายได้

ใจเป็นความละเอียดฉันใด ธรรมก็เป็นของละเอียดสุขุมฉันนั้น...ใจนี้แหละเป็นที่สถิตของธรรมทั้งปวง !... ผู้ปฏิบัติธรรมะจงพยายามศึกษาค้นคว้าวิปัสสนาให้เที่ยงแท้ด้วยสติปัญญา จึงจะบังเกิดเห็นผลแก่ท่านด้วยดี

อันวิชาศาสตร์ต่างๆ นั้น อาตมาขอศึกษาให้รู้ว่ามีจริงเท่านั้น เมื่อรู้แล้วก็หยุด ! ...ที่หยุดไม่ได้ คือ การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน...ต้องดำเนินไปเสมอไม่ขาดตอน จะขาดตอนไม่ได้เป็นอันขาด !

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗๐

หลวงปู่ถวิล จิณณธัมโม

(พระครูอรัญญาภิรัต)

วัดธรรมหรรษาราม (วัดยางระหง) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

L47.png



สมัยออกธุดงค์ตามป่าดงเพื่อไปนมัสการพระอาจารย์มั่นผู้ล้ำเสิศประเสริฐหาไม่ได้อีกแล้ว กิเลสหลุดออกจากตัวเป็นแท่งๆ เลย เมื่อได้ยินเสียงเสือ...มันร้องคำรามแต่ละที ทำให้จิตใจปล่อยวางลงได้เป็นอย่างดี สติแก่กล้ามาก...

...เมื่อใดได้ฝึกสอนอบรมจิตใจให้แก่กล้าแล้วรับรองว่าต้องได้ผล...ปัจจุบันนี้เกรงว่าจะไม่เอาจริง และไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปล่ะซี จึงได้เที่ยวก่อกรรมกันไม่ว่างเว้น...ครั้นพอมีภัยจวนตัวเข้า พึ่งหาพระ...ก็กรรมมันไล่ถึงตัวแล้ว ใครจะไปช่วยได้เล่า...!

บางคนเลิกนับถือพระเอาเลยก็มี...นี่คือความไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว มันจึงเป็นคนตาบอดกันเกือบหมดประเทศน่ะ !...ศีล ๕ ก็ยังปฏิบัติไม่ครบ ดูซีดูเอาว่าจะจริงไหม พระพุทธเจ้าชี้ให้ดูก็ยังมองไม่เห็นนะ...

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖๙

หลวงปู่เมตตาหลวง

(หลวงปู่สิงห์ สุนทโร)

(พระญาณสิทธาจารย์)

วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม (วัดพระขาว) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

L47.png



ศีล สมาธิ ปัญญา...ทางสายนี้ต้องใช้สติปัญญาให้มากๆ...ให้ใช้ศรัทธาความพากเพียรเป็นเครื่องบุกเบิก เพื่อจะได้ผ่านไปเป็นระยะๆ โดยมีความมานะพยายามเป็นพลังช่วยหนุน สนับสนุนจิตใจ ให้ผ่านพ้นกิเลสตัณหาวิชชาทั้งหลายนั้นแหละ...จึงจะได้รับประโยชน์ในเบื้องต้นและเบื้องปลาย

...จงน้อมนำจิตใจ ถวายสู่พุทธบูชา ตายเป็นตาย...แล้วนั่งภาวนาบริกรรม-พุทโธ ไม่มีวิธีอื่น มีวิธีนี้เพียงอย่างเดียว...นั่งภาวนามีสติตามรู้ให้ทันกับความนึกของจิต จิตจะไปที่ไหน...ให้เอาสติจับไว้ อย่าให้คลาดเคลื่อนภาวนาไปเรื่อยๆ หายใจเข้า-พุธ...หายใจออก-โธ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหวาดหวั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น...ข้อสำคัญ อย่าเผลอสติก็แล้วกัน...!

นั้นแหละ...เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มอบกายถวายตัวเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อการภาวนาโดยแท้...บุคคลเช่นนี้หายากที่สุด เกรงอย่างเดียว ไม่เอาจริงเท่านั้น...มันจึงหละหลวมไม่มั่นคง...แม้ใจก็อ่อนไหวได้นะ!

ข้อสำคัญ...ขออย่ามองออกไปจนเกินตัว จงพิจารณาอยู่ในกายนี้แหละ ธรรมะจะเกิดก็ตรงนั้นแหละ

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖๘

หลวงปู่คำพอง ติสโส

วัดถ้ำกกดู่ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

L47.png



ลูกเอ๋ย....ความเมตตาปรานี พรหมวิหารธรรม ย่อมมีอยู่ในจิตใจของทุกๆ คนนั่นแหละนะ แต่บางคราว เจ้ากิเลสตัวเชื้อโรคนี้ มันฝังตัวหัวลงบนจิตใจมนุษย์เข้าไปแล้ว จะไม่ไล่ไม่เข้าย่ำยีมันบ้างเลยนั้น ต่อไปมันจะเคยตัวนะ !

เพราะฉะนั้น เวลาถางป่ารกๆ โดยเฉพาะป่ากิเลสนี้ เราต้องฟันหนักๆ หน่อย มิเช่นนั้นต้นรากเหง้ามันไม่ขาด...ไม่ขุดรากถอนโคน ไม่ช้ามันก็งอกเงยขึ้น อีกไหมล่ะ !...ยิ่งพวกเรานี่นะ ชอบเลี้ยง ชอบขุน ชอบรดน้ำพรวนดินอยู่เป็นประจำๆ...มันจะกลับงามขึ้นอีกประไรเล่า…!

ถ้ารู้ตัวเจ้ากิเลสนี้ มันจะอยู่จะอาศัยอะไรอยู่...ก็ต้องฟันให้มันกระเทือนเลย มันจะได้รู้สึกตัว

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖๗

พระอาจารย์วัน อุตตโม

(พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร)

วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) อ.ส่องดาว จ.สกลนคร

L47.png



พระเถระองค์หนึ่ง ท่านไปบำเพ็ญใกล้สระแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงเขาลงไปเก็บดอกบัว ขณะเก็บดอกบัว เขาก็ร้องรำทำเพลง...พระท่านก็พิจารณาตามเสียงของเพลงเขานั้น ให้รู้เห็นทุกขสัจจะ สมุทัยสัจจะ...เพราะในขณะที่เขาร้องเพลงเพลิดเพลินนั้น...ก็คือ เขาเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะกิเลสแผดเผาจิตใจ เขาจึงได้ระบายออกในลักษณะร้องเพลง นั้นเรียกว่า เป็นความระบายกิเลส

ทั้งในขณะนั้น เขาก็มีความรักใคร่ยินดีเพลิดเพลินอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส ซึ่งเป็นสมุทัยสัจจะบอกทุกขสัจจะที่กิเลสแผดเผาจิตของเขาด้วย บอกสมุทัยสัจจะที่เป็นตัวเหตุให้เกิดความรักใคร่ยินดี เกิดตัณหา เกิดความทะเยอทะยานอยากในจิตด้วย

แล้วพระท่านก็เกิดความสังเวชเกิดความเบื่อหน่าย จิตของท่านก็หลุดพ้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะอาศัยเสียง เพราะนั้นเป็นตัวเหตุ ท่านน้อมนำมาพิจารณา นิโรธ ความรู้แจ้งก็เกิดขึ้น กิเลสทั้งหลายก็หมดสิ้นไป

นี่แหละ...เมื่อจิตเป็นธรรมะแล้ว ก็พิจารณาเป็นธรรมะไปได้ หรือจะเห็นรูปร่างกายที่เขาแต่งให้สวยงามก็เช่นเดียวกัน ข้างในเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ของโสโครกสกปรก แต่เขาแต่งข้างนอกก็เหมือนกันกับโลงผีที่เขาแต่งให้สวยงาม แต่ข้างในน่าเกลียดน่ากลัว...คนเราก็เหมือนกัน ใจที่มีกิเลสก็น่ากลัว...มันเกิดความโลภน่ากลัว เกิดความโกรธก็น่ากลัว เกิดความหลงก็น่ากลัว

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖๖

พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ

L47.png



ถ้ารู้ธรรม...ก็ขอให้สักแต่ว่ารู้ เมื่อรู้แล้วก็นำธรรมะนั้นมาฟอกซักชำระเสียให้สะอาด...ใจเรามันสกปรกมานาน ต้องล้างเสียที อวิชชามันเยอะมันหุ้มไว้จนหมดมิด...เมื่อจิตใจหมดแล้ว (...รู้ด้วยสติปัญญานะ)


จิตใจผู้รู้นั่นแหละ มันก็จะปล่อยวางธรรมนั้นไป จิตผู้รู้ก็จะทรงอานุภาพด้วยปัญญาอย่างโดดๆ ไม่เกี่ยวข้องแวะกับอะไร เป็นปกติใสสว่าง เป็นจิตเดิมแท้.....ทีนี้แหละ อะไรที่ไม่รู้มันก็จะรู้ สิ่งไหนไม่อยากรู้มันก็รู้ มันก็ตื่น มันก็เบิกบานของมันไป


ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงต้องสอนเอาความโง่ของพวกเราออก เอาความดีใส่มาแทนให้ เราก็จงรับไปปฏิบัติซี...เอามาแล้วก็มาวางไว้เฉยๆ มันจะได้ประโยชน์อะไรเล่า !

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖๕

พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร

วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

L47.png



ผู้พิจารณา...ผู้มีธรรมะในใจ ท่านอยู่ในโลกเหมือนกันกับใบบัวอยู่ในน้ำ แต่ทว่าน้ำไม่มีซึมซาบเข้าไป...ถึงน้ำจะมาตกค้างบนใบบัว เดี๋ยวมันก็หลุดก็หล่นออกไป ไหลออกไป ใบบัวไม่เคยซึมในน้ำที่ไปถูกไปต้อง...

นี่...จิตใจของท่านที่มีธรรมะชำระกิเลสตัณหาได้ ก็ทำนองเดียวกัน ท่านจึงอยู่ในโลกด้วยความสุขความสบาย ไม่ลุ่มหลงวุ่นวายไปเหมือนพวกเรา

กิเลสในจิตใจของมนุษย์มันมีด้วยกันทุกท่านทุกคน เพียงแต่จะน้อยมากต่างกันเท่านั้น...บางท่านก็มีความโกรธมาก บางท่านก็มีความโลภมาก บางท่านก็มีความหลงมาก บางท่านมีเพื่อจะรักษาโรคประเภทนี้


ถ้านำธรรมะของพระพุทธเจ้ามารักษาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการพิจารณาจริงจัง โรคที่มีอยู่ในจิตในใจ คือ กิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิต่างๆ ค่อยจะสะอาดไป...ตกไป...หลุดไป

L48.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 02:40 , Processed in 0.048387 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.