ตอนที่ ๕๖ ประวัติและข้อธรรม-คำสอน และการใช้พระผงจักรพรรดิและลูกแก้วจักรพรรดิ
โดย พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) (วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่)
ชาตะภูมิ
หลวงตาม้า เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๗ ที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ในสกุล สุวรรณคุณ โยมบิดามีนามว่า วันดี โยมมารดามีนามว่า โสภา ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๓ คน
เมื่อท่านยังเล็กอยู่นั้น โยมมารดาได้นำท่านไปฝากให้คุณยายเลี้ยงดู ทำให้ท่านมีโอกาสและคุ้นเคยกับการเข้าวัดตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ ท่านยังได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าด้วย ซึ่งในงานนั้นท่านได้มีโอกาสพบเห็นพระธุดงค์สายพระป่า ผู้มีปฏิปทาจริยวัตรงดงามเรียบร้อย มาร่วมในงานเป็นจำนวนมาก
ชีวิตฆราวาส
ต่อมาหลวงตาได้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรคณะ ๑๑ จากนั้นท่านจึงได้เข้าทำงานอยู่ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ (สมัยนั้นอยู่บริเวณซอยอารีย์) และในช่วงที่ทำงานอยู่นี้เอง เพื่อนคนหนึ่งของท่านได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านก็ได้ตามไปร่วมงานบวชของเพื่อน และได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๒๐
นับแต่นั้น ท่านก็เทียวมาระหว่างกรุงเทพฯ-อยุธยา เพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆ กับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑๐ ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด เมื่อท่านปรึกษาเรื่องการบวชกับหลวงปู่ หลวงปู่ได้ว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ ต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอก บางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจร ก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ
เหตุการณ์ก่อนบวช
ถึงแม้ว่าหลวงตาม้าจะยังเป็นฆราวาส แต่ท่านก็ใช้การบวชใจเป็นพระเรื่อยมาจนกระทั่งประมาณ ๑ ปี ก่อนที่ท่านจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับขี่รถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รถของท่านถูกรถอื่นเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูงแล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป
หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว แพทย์บอกว่ากะโหลกศีรษะของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมอง และไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆ เลย หลังจากอยู่พักรักษาตัวเพียง ๓ เดือน กะโหลกศีรษะก็ประสานกันดีเหมือนเดิม หลวงตาเล่าให้ฟังว่า วันนั้นท่านแขวนเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่ดู่เท่านั้น
บวชพร้อมทั้งกายและใจ
หลังจากที่ได้ผ่านการบวชจิต ได้รับการศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆ จากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ และได้ผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่แล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ หลวงปู่ได้บอกว่า เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระเราก็เป็นพระไม่ได้ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงตาจึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูภัทรกิจโสภณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ (สมณศักดิ์ปัจจุบันคือ พระพุทไธศวรรย์วรคุณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรธรรมนิเทศ (บุญส่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิจิตรกิจจาทร (เสน่ห์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า " วิริยธโร "
บำเพ็ญบารมีธรรม
หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้ท่านอยู่ให้ครบพรรษาเสียก่อน ขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวลผู้สืบทอดวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงตาม้าด้วย
ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ไม่ขอเรียน เพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด
หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕๐๐ บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบรูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน มาให้หลวงตา ๑ องค์ และบอกกับหลวงตาว่า เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้
หลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์ กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว ว่ามีถ้ำที่มีบรรยากาศสงบสัปปายะ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว
เมื่อธุดงค์มาถึงตำบลเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ ถ้ำฮก ซึ่งหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกแก่การอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป
หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับ ถ้ำเมืองนะ ซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมมากจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่า ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้น กลับสะอาดสะอ้านมาก เหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน
ท่านจึงได้กำหนดจิตดู ก็พบว่าใต้ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมาก คอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมา
หลังจากจำพรรษาที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตา และเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่าง ว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา หลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก ๑๙ นิ้วองค์หนึ่ง ให้ลูกศิษย์นำขึ้นมาถวายให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่งนี้อีกด้วย
นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก หลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงก็ต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้
ท่านจึงได้กำหนดจิตดู ก็พบว่าที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
ประวัติการสร้างพระผงกรรมฐาน
ในช่วงประมาณ ๓ ปีแรก ที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดยไม่ออกไปไหน เพื่อหวังจะได้บรรลุนิพพานในชาตินี้ แต่หลังจากที่ท่านเร่งปฏิบัติธรรม พิจารณาทบทวนธรรมะต่างๆ ที่หลวงปู่ดู่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แล้ว ท่านก็ได้พบกระแสพลังงานเก่าของตนเอง ว่าท่านเคยปฏิบัติธรรมสร้างบารมี ตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เช่นเดียวกับหลวงปู่ดู่ ครูบาอาจารย์ของท่าน
ต่อมา เมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำ เพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอยเป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิต่างๆ แทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ ที่ได้ศึกษากระแสพลังงานเหนือพลัง และความรู้ต่างๆ จากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ
รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะ ซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรม สร้างบารมี ช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป
ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ จึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน ๓ เดือน
ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง ๒ เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมายหลายอย่าง
ท่านจึงได้เริ่มเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมในสายโพธิญาณ แล้วสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เรื่อยมา ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน โดยทำเป็นพิมพ์ต่างๆ เช่น พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิประทับยืนปางเปิดโลก พระเหนือพรหม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พระศรีสยามเทวาธิราช ฯลฯ รวมถึงลักษณะปั้นเป็นลูกกลมๆ เรียกว่า ดวงแก้วมณีนพรัตน์
การที่หลวงปู่ดู่และหลวงตาม้าจัดสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า ยังมีบุคคลจำนวนมากที่ขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และเนื่องเพราะศิษย์หรือบุคคลนั้นมีทั้งที่จิตใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับที่ยังต้องพึ่งพิงกับวัตถุมงคลอยู่
หลวงปู่ดู่เคยกล่าวเป็นข้อคิดไว้ว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล” เพราะอย่างน้อยก็เป็นการดึงให้ใจอยู่กับพระเครื่อง การได้เห็นพระนับเป็นพุทธานุสติ ใจย่อมเป็นบุญ ซึ่งดีกว่าปล่อยให้ใจไปติดอยู่กับเหล้ายาหรือกิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ
การสร้างพระของหลวงตานั้น ท่านจะนำมวลสารต่างๆ ของหลวงปู่ดู่มาผสมรวมกับปูนซีเมนต์ขาว และน้ำมนต์จักรพรรดิ จากนั้นจึงนำไปกดพิมพ์ออกมา แล้วนำไปอธิษฐานจิตปลุกเสก ด้วยกระแสพลังเหนือพรหมแห่งพระคาถามหาจักพรรดิ นอกจากนี้ พระเครื่องของหลวงตาทุกองค์ ยังได้ผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วยวิชาภูตพระพุทธเจ้า จึงทำให้พระเครื่องของท่านสามารถดิ้นได้พูดได้ราวกับมีชีวิต
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติที่หมั่นนำพระของท่านไปกำสวดมนต์ภาวนาอยู่เสมอ จนจิตสงบเบาสบาย และสามารถจูนพลังงานจิตของตน ให้เข้ากับพลังเหนือพลังอันบริสุทธิ์ที่ท่านได้อธิษฐานไว้ในพระได้ ย่อมสามารถนำพระของท่านมาใช้กำภาวนา ถามตอบแนวทางการปฏิบัติธรรมต่างๆ ได้ เสมือนราวกับว่ามีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า มาช่วยเหลือคอยตอบข้อสงสัยต่างๆ อยู่เบื้องหน้าตนเลยทีเดียว
นับแต่ครั้งแรกที่เริ่มสร้างพระจนถึงปัจจุบันนั้น หลวงตาได้สร้างพระผงกรรมฐานตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ไว้แล้วมากกว่า ๑๐ ล้านองค์ ท่านจะสร้างพระทุกวันพระ ส่วนหนึ่งท่านจะเก็บไว้ในไห แล้วนำไปไว้ตามถ้ำหรือวัดต่างๆ เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาต่อไป และพระอีกส่วนหนึ่ง ท่านจะนำมาแจกให้ลูกศิษย์นำไปใช้กำสวดมนต์เจริญภาวนากัน โดยท่านสร้างพระผงกรรมฐานนี้ไว้เพื่อแจกเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำเพื่อจำหน่าย
หลวงตากล่าวว่า พระผงกรรมฐานนี้ ใครอยากได้ต้องมาขอที่ถ้ำ ท่านจะมอบพระที่เลี่ยมพลาสติกแล้วพร้อมประคำให้ ท่านบอกว่าถ้าไม่เลี่ยมให้ เมื่อได้ไปแล้ว ก็มักจะเอาไปวางไว้ ไม่เอามาใช้สวดมนต์ภาวนากัน ส่วนประคำก็ร้อยให้เพื่อจะได้นำพระมาห้อยคอ เพื่อใช้ปฏิบัติธรรมได้เลย
หลวงปู่ดู่ เคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าใช้พระเป็น ถึงนิพพานได้เลย ”
พระผงกรรมฐาน เป็นพระใช้ มิใช่พระเก็บหรือสะสมเอาไว้เฉยๆ ในตู้ และไม่มีกำหนดว่ารุ่นใดเป็นรุ่นหนึ่งรุ่นสอง เพราะหลวงตาม้าและศิษย์ที่ได้รับการครอบวิชาให้สามารถสร้างพระตามสูตรนี้ได้นั้น มีการสร้างพระอยู่เรื่อยๆ
การเก็บพระผงกรรมฐานเอาไว้เฉยๆ ไม่คล้องคอติดตัว ไม่แช่ถังน้ำในบ้านเพื่อทำน้ำมนต์ไว้กินและอาบ ไม่ใช้เพื่อการปรับภพภูมิช่วยส่งวิญญาณ ถือว่าเสียประโยชน์เปล่า เสมือนกับมีเงินทองแล้วไม่รู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น
แสงสว่างแห่งบุญจากพระเครื่องของหลวงตา
กระแสพลังงานแห่งบุญบารมีอันบริสุทธิ์ ที่หลวงตาได้อธิษฐานจิตรวมลงสู่พระเครื่องของท่านทุกองค์นั้น นอกจากจะสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจากพระธรรมธาตุที่เกิดขึ้นบนพระเครื่องที่ท่านสร้างแล้ว ยังมีลูกศิษย์หลายคนได้เคยเห็นกระแสพลังงานแห่งบุญอันสว่างไสวนั้นอย่างชัดเจนด้วยตนเองอีกด้วย
โดยเวลานำพระเครื่องมาใช้สวดมนต์ภาวนานั้น หลวงตามักจะแนะนำให้ปิดไฟ หรือจุดเทียนไว้ให้มีแสงสว่างเพียงไม่มาก เพื่อให้มีบรรยากาศสงบสัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม และยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ศึกษากระแสพลังงานแห่งบุญได้ด้วยตนเองอีกด้วย
โดยมีลูกศิษย์ที่นำพระของท่านไปหลับตาสวดมนต์และปิดไฟในห้องมืดสนิท แต่กลับเห็นแสงสว่างสีนวลๆ ส่องผ่านเปลือกตาที่หลับอยู่เข้ามาอยู่เสมอ บางคนก็ตกใจ ลืมตาดูว่าแสงอะไร แต่เมื่อลืมตาดูก็พบแต่ห้องมืดสนิท ปราศจากแสงใดๆ ส่องผ่านมา โดยแสงสว่างเหล่านี้ ไม่ใช่จะเห็นเฉพาะตอนหลับตาสวดมนต์ภาวนาเท่านั้น บางคนแม้ลืมตาอยู่ก็สามารถมองเห็นแสงสว่างนั้นได้เช่นกัน
หลวงตาได้เมตตาอธิบายว่า นั่นคือแสงสว่างแห่งบุญ ทุกครั้งที่เราได้ทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นใส่บาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฯลฯ จะมีแสงสว่างแห่งบุญนั้นปรากฏขึ้นเสมอ เพียงแต่จิตเรายังไม่สบายหรือนิ่งละเอียดพอที่จะเห็นแสงสว่างนั้นได้เท่านั้น แต่เมื่อเรานำพระเครื่องมากำสวดมนต์ภาวนาจนจิตนิ่งเบาสบายดีแล้ว ก็ย่อมจะสามารถเห็นแสงสว่างอันเกิดจากบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้
รวมทั้งแสงสว่างจากเทพพรหมทั้งหลายที่มาอนุโมทนากับบุญที่เราได้ทำ และแสงสว่างแห่งบุญบารมีอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ เทพพรหมทุกๆ พระองค์ ที่หลวงตาได้อธิษฐานจิตรวมลงสู่พระเครื่องของท่านได้
ทุกๆ ครั้งที่หลวงตาสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิ หรืออธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องต่างๆ นั้น ท่านจะอธิษฐานจิตรวมบุญบารมีอันไม่มีประมาณทั้งหมดส่งเป็นกระแสพลังเหนือพลังไปสู่พระเครื่องที่ท่านได้เคยสร้างไว้ทุกๆ องค์เสมอ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าพระเครื่องที่ทุกท่านได้รับจากหลวงตาไปทุกๆ องค์นั้น ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสกจากหลวงตาอยู่ตลอดเวลา
และหากหมั่นนำไปสวดมนต์ภาวนา ทำจิตให้เบาสบายดีแล้ว ก็อาจมีโอกาสได้เห็นแสงแห่งบุญบารมีนั้น ที่หลวงตาได้เมตตาอธิษฐานจิตไปสู่พระเครื่องทุกองค์ เพื่อคอยช่วยเหลือดูแลลูกศิษย์ลูกหาทุกคนทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยตาของตนเอง ดังมีลูกศิษย์หลายคนได้เคยพบเห็นและพิสูจน์แจ่มแจ้งมาแล้ว
กระแสบุญบารมีอันบริสุทธิ์สว่างไสว ที่หลวงตาได้เมตตาอธิษฐานจิตรวมลงสู่พระเครื่องของท่านทุกองค์นี้เอง ทำให้นอกจากจะใช้พระเครื่องของท่านในการปฏิบัติธรรมได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้แผ่บุญส่องสว่างชี้นำทางให้เหล่าภพภูมิต่างๆ ทั้งหลาย ที่ยังวนเวียนทุกข์ทรมานในโลกนี้ ให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีมีความสุขมากขึ้น
รวมทั้งยังสามารถใช้โน้มนำให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย หรือเหล่าวิญญาณ ภูตผีปีศาจ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเจ็บไข้ได้ป่วย อุบัติเหตุต่างๆ ความทุกข์ยากลำบากชีวิต การเงินไม่คล่องตัว ฯลฯ ให้กลับกลายมาเป็นมิตรกับเรา มาร่วมช่วยสร้างบุญกุศลและบารมีกับเราต่อไปได้อีกด้วย ดังที่จะได้กล่าวถึงต่อไป
แก้วจักรพรรดิ (แก้วมณีนพรัตน์)
แก้วจักรพรรดิ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แก้วมณีนพรัตน์ นั้น สร้างมาตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่ดู่ยังทรงขันธ์อยู่ โดยท่านใช้ปูนซีเมนต์ขาวผสมกับพระผงจักรพรรดิ ปั้นเป็นลูกกลมๆ เจาะรูทะลุตรงกลาง แล้วร้อยเชือกแจกเด็กๆ แถววัดสะแก เคยมีเหตุการณ์ที่เด็กแขวนลูกแก้วจักรพรรดิตกน้ำแล้วไม่จม ทำให้เป็นที่ต้องการของชาวบ้าน อีกทั้งว่ากันว่าขอได้ตามใจนึก จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกแก้วสารพัดนึก
หลวงตาม้า เป็นผู้สืบทอดวิชาการสร้างพระผงจักรพรรดิ (พระผงกรรมฐาน) และลูกแก้วจักรพรรดินี้มาจากหลวงปู่ดู่ แต่เนื่องจากการทำลูกแก้วจักรพรรดิด้วยผงปูน ต้องใช้วิธีปั้นทีละลูก ใช้เวลาทำมาก และเนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถผลิตลูกแก้วสำเร็จ และหาซื้อได้ง่าย ลูกศิษย์จึงซื้อลูกแก้วเหล่านั้นมาให้หลวงตาอธิษฐานจิตให้เป็นลูกแก้วจักรพรรดิ
ซึ่งหลวงตาบอกว่า มีคุณสมบัติเหมือนกับลูกแก้วจักรพรรดิที่ทำจากผงปูนทุกประการ สามารถใช้แทนกันได้ ด้วยเหตุนี้ ลูกแก้วจักรพรรดิของหลวงตาจึงมีแบบชนิดที่เป็นผงปูนปั้นกับชนิดที่เป็นแก้วสำเร็จ
ลูกแก้วจักรพรรดินี้ สามารถนำมาใช้บูชาติดตัว ใช้กำเอา ช่วยภาวนาทำสมาธิ ใช้อธิษฐานเพื่อทำน้ำมนต์ หรือใช้ในการอธิษฐานเพื่อปรับภพภูมิก็ได้ เช่นเดียวกับพระผงกรรมฐานทุกประการ
ในกรณีของการใช้เพื่อปรับภพภูมิ ทำให้ผู้ที่ทำการแผ่บุญไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ บ่อย แต่จะใช้การวางลูกแก้วไว้ในสถานที่นั้นแทน แล้วอธิษฐานขอให้ลูกแก้วจักรพรรดิแผ่บุญออกไปเองโดยอัตโนมัติ เหล่าวิญญาณที่ประจำอยู่ตรงสถานที่นั้น หรือเร่ร่อนผ่านไปยังสถานที่นั้น เมื่อเห็นแสงแห่งบุญที่เปล่งออกจากลูกแก้ว ก็จะสามารถอนุโมทนาในบุญนี้ได้ตลอด
การวางลูกแก้วตามสถานที่ต่างๆ เพื่อปรับภพภูมิ จึงเป็นการสงเคราะห์โลกทั้งหลายไม่มีประมาณ และเมื่อมีการขยายพื้นที่ในการวางลูกแก้วจักรพรรดิกว้างขวางออกไปเพียงไร พื้นที่ในการแผ่บุญบารมีก็จะยิ่งกว้างไกลออกไปเพียงนั้น
“ การปฏิบัติน่ะ ถ้าทำจริงนะไม่ยาก ที่ยากน่ะไม่พากันทำ
(ให้สวด) ก่อนนอน ตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ
ใครจะใหญ่เกินกรรม ”
ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก : • คณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงตาม้า วิริยธโร. ใครจะใหญ่เกินกรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๗, ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓. |