แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๒

เปรตขอส่วนบุญ

L56.1.png



พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภแก้ข้อข้องใจเรื่องเสียงเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ดังนี้

ในอดีตกาล นับย้อนหลังไป ๙๒ กัป แต่ภัททกัปนี้ ได้มีนครหนึ่งชื่อว่า กาสี มีพระราชาทรงพระนามว่า ชัยเสน มีพระราชเทวีพระนามว่า สิริมา และมีพระโพธิสัตว์นามว่า ผุสสะ ได้บังเกิดในพระครรภ์ของพระนาง และต่อมาได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ


พระเจ้าชัยเสนเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้นว่า บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นของเรา พระธรรมเป็นของเรา และพระสงฆ์ก็เป็นของเรา เมื่อคิดเห็นดังนี้ ก็ทรงอุปัฏฐากด้วยพระองค์เองทุกวัน ไม่ทรงยอมให้คนอื่นร่วมด้วย

พระพุทธเจ้ามีพี่น้องสามคน ผู้ต่างมารดากัน เป็นพระกนิษฐภาดาของพระพุทธเจ้า พากันคิดว่า อันธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล มิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะบุคคลผู้เดียว และพระบิดาของพวกเราก็ไม่ยอมให้โอกาสแก่ชนเหล่าอื่นเลย “ทำอย่างไรหนอ พวกเราจะพึงได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์บ้าง?”

พี่น้องทั้งสามพระองค์นั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เอาเถิดพวกเราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่งให้ได้ จึงไปสร้างสถานการณ์ชายแดน ประหนึ่งว่าเกิดการปั่นป่วน พระราชาทรงสดับว่า ชายแดนเกิดความปั่นป่วน จึงได้จัดส่งพระโอรสทั้งสามพระองค์ไปปราบปัจจันตชนบท ครั้นพี่น้องทั้งสามไปปราบสงบแล้วจึงกลับมา

พระราชาทรงพอพระทัย โปรดประทานพรว่า “พวกลูกๆ ปรารถนาสิ่งใด ก็จงถือเอาสิ่งนั้นเถิด” พี่น้องทั้งสามพระองค์กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า” พระราชาตรัสว่า “ขอให้เว้นการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเสีย พวกเธอจงเลือกเอาอย่างอื่นเถิด”

พระราชบุตรทั้งสาม
กราบทูลยืนยันว่า “พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการอย่างอื่น พระเจ้าข้า” พระราชาตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงกำหนดเวลามาเถิด” พวกพระราชบุตรทูลขออุปัฏฐาก ๗ ปี พระราชาก็ไม่ทรงอนุญาต จึงได้ต่อรองลงมา ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน จนกระทั่งลดลงมาเหลือ ๓ เดือน จึงทรงอนุญาต

พระราชบุตรทั้งสามพระองค์พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงรับการอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนนี้แก่ข้าพระองค์เถิด”

พระพุทธเจ้าทรงรับด้วยอาการดุษณีภาพ (คือนิ่ง) พระราชบุตรเหล่านั้นจึงส่งลิขิตไปถึงนายเสมียนในชนบทของตนว่า พวกเราจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอด ๓ เดือนนี้ ขอท่านจงจัดแจงสัมภาระต่างๆ สำหรับการอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า มีวิหารเป็นต้น


นายเสมียนเหล่านั้นจัดแจงทุกอย่างแล้ว ได้มีลิขิตตอบไป ฝ่ายพระราชบุตรทั้งสามนั้น ต่างนุ่งผ้ากาสายะ พร้อมทั้งบุรุษ ๑,๐๐๐ คน ผู้ร่วมทำการขวนขวาย ได้พากันอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์โดยความเคารพ

ฝ่ายบุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ผู้เป็นห้องเครื่องของพระราชบุตรทั้ง ๓ พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เขาได้ถวายทานวัตรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานโดยเคารพ ฝ่ายเสมียนในชนบท พากันเข้าไปพร้อมชาวชนบทประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน ได้ให้ทานโดยเคารพอย่างยิ่ง


ในคนเหล่านั้น ชาวชนบทบางพวกได้เกิดขัดใจกันขึ้น เขาเหล่านั้นจึงได้พากันทำอันตรายแก่ทาน พากันกินไทยธรรมด้วยตนเองและเอาไฟเผาโรงครัว ฝ่ายราชบุตรทั้ง ๓ ครั้นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าครบ ๓ เดือนแล้ว ก็ได้พาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์กลับพระวิหาร

บรรดาท่านเหล่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระราชบุตรทั้งสาม เสมียนในชนบท และผู้ร่วมงานกุศลทั้งหมด เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ตามลำดับ ส่วนพวกชนที่ขัดใจกันและทำลายไทยธรรม ก็พากันไปบังเกิดในนรก ชนทั้งสองพวกนั้น จากสวรรค์ถึงสวรรค์ จากนรกถึงนรก ด้วยอาการอย่างนี้ผ่านไป ๙๒ กัป


ครั้นลุถึงภัทรกัปนี้ ในพระศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ คนผู้ขัดใจกันเหล่านั้นมาเกิดเป็นเปรต ในสมัยนั้นพวกมนุษย์พากันให้ทาน แล้วอุทิศเพื่อเปรตทั้งหลาย ผู้เป็นญาติของตนๆ ว่า

“ขอผลแห่งทานนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติของเราเถิด” บรรดาพวกเปรตญาติเหล่านั้น ต่างก็ได้เสวยสมบัติ ส่วนพวกบรรดาเปรตที่ญาติไม่ได้ทำบุญอุทิศให้ คือเปรตพวกที่ขัดใจกันและพากันเผาโรงครัวนั้น ต่างก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ แล้วกราบทูลถามว่า


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงได้เสวยสมบัติอย่างพวกเขาบ้างไหมหนอ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนเปรตทั้งหลาย ในบัดนี้พวกเธอยังไม่ได้ แต่ในอนาคตจะมีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ในกาลนั้นแหละจะมีพระราชานามว่า พิมพิสาร ใน ๙๒ กัป จากภัททกัปนี้ พระองค์ได้เป็นญาติของเธอ พระองค์ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วจะอุทิศแก่พวกเธอ”

พวกเปรตได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความดีใจตื่นเต้น เหมือนกับว่าตนจะได้รับผลแห่งทานในวันรุ่งขึ้นก็ไม่ปาน ครั้นพุทธันดรหนึ่งผ่านไป พระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้ว พระราชบุตรทั้งสาม พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น ๑,๐๐๐ คน จุติจากสวรรค์แล้วได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ในกรุงราชคฤห์ แล้วต่างพากันออกบวชเป็นฤษี และได้เป็นชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งสำนักอยู่ที่คยาสีสะประเทศ


นายเสมียนในชนบท ได้มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนบุตรคฤหบดีผู้เป็นขุนคลัง ได้มาเกิดเป็นเศรษฐีชื่อ วิสาขะ และภริยาของบุตรคฤหบดีได้มาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีนามว่า ธรรมทินนา ส่วนคนนอกนั้นก็ได้มาเกิดเป็นบริวารของพระราชานั่นเอง

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ล่วงไป ๗ สัปดาห์ ก็ได้เสด็จมายังกรุงพาราณสี ทรงโปรดพระปัญจวัคคีย์ โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวาร ๑,๐๐๐ คน แล้วเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ โปรดพระเจ้าพิมพิสารจนได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว


พระเจ้าพิมพิสารทรงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ เพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งเช้าพระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปรับมหาทานในพระราชนิเวศน์ ส่วนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้มารอรับส่วนบุญด้วยหวังว่าพระราชาจะทรงอุทิศผลบุญให้

ฝ่ายพระราชาเมื่อถวายทานแล้ว ก็ทรงดำริว่าจักหาสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้า ว่าจะทรงประทับที่ไหนหนอ? จึงทำให้ทรงลืมอุทิศส่วนบุญไปให้พวกเปรตญาติเสียสนิท พวกเปรตญาติที่รออยู่ เมื่อไม่ได้รับผลบุญจึงเสียใจ ในเวลากลางคืนนั้น จึงได้พากันร้องโหยหวน อันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในที่ใกล้พระราชนิเวศน์ที่บรรทม พระราชาก็ทรงตกพระทัย


รุ่งเช้าจึงทรงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องเสียงนั้นให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เสียงร้องนั้นมิได้เป็นนิมิตร้ายแต่ประการใด แต่เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์มารอส่วนบุญ ที่เมื่อวันก่อนพระองค์ถวายทานแล้ว มิได้อุทิศแก่พวกเขา พวกเขาจึงพากันผิดหวัง และมาส่งเสียงร้องดังกล่าว

พระราชาตรัสถามว่า “เมื่อหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะได้รับหรือพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าดำรัสว่า “ได้ มหาบพิตร” พระราชาจึงทรงนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์เพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ
พระเจ้าพิมพิสารเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ทรงสั่งให้จัดแจงมหาทานเตรียมไว้

ในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงพระราชนิเวศน์ ทรงประทับบนที่อาสนะที่บรรจงจัดไว้ ฝ่ายเปรตเหล่านั้นก็พากันมารอ ด้วยหวังว่าวันนี้พระราชาถวายทานแล้ว จะทรงอุทิศผลบุญให้พวกเขาบ้างเป็นแน่ จึงพากันไปยืนอยู่ในที่ต่างๆ

พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำให้พระราชาได้ทรงเห็นเปรตเหล่านั้น พระราชาเมื่อจะทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ) จึงทรงอุทิศว่า “ขอผลบุญแห่งทานนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติด้วยเถิด” ในทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีอันดารดาษด้วยดอกอุบลได้บังเกิดแก่พวกเปรต เปรตเหล่านั้นได้พากันอาบและดื่มในสระนั้น ได้ระงับความกระวนกระวาย ความลำบาก และความกระหาย ได้เป็นผู้มีสีดังทองคำ

พระราชาได้ถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว และของบริโภค แล้วอุทิศให้ ในขณะนั้นเอง ข้าวยาคู ของเคี้ยว และอาหารอันเป็นทิพย์ ก็ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น เปรตเหล่านั้นพากันบริโภคอาหารทิพย์เหล่านั้นแล้ว ต่างก็มีร่างกายผ่องใสกระปรี้กระเปร่า


ลำดับนั้นพระราชาได้ถวายผ้า ที่นอน ที่นั่ง แล้วทรงอุทิศให้ ในขณะนั้นเอง เครื่องประดับชนิดต่างๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาด ที่นอน เป็นต้น อันเป็นทิพย์ก็ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น และสมบัติของเปรตเหล่านั้นก็ได้ปรากฏต่อพระพักตร์พระราชา โดยการอธิษฐานของพระพุทธเจ้า พระราชาทรงทอดพระเนตรแล้ว ทรงพอพระทัยยิ่งนัก

เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารแล้ว ทรงแสดงอนุโมทนา โดยทรงนำเอา “ติโรกุฑฑเปตวัตถุ” มาทรงแสดงแก่พระราชา ดังนี้


“เปรตทั้งหลาย พากันสู่เรือนของตน แล้วยืนอยู่ภายนอกฝาเรือน ที่ตรอก กำแพง ทางสามแพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อข้าว น้ำ ของกิน ของบริโภคเพียงพอ เขาเข้าไปตั้งไว้แล้ว แต่ญาติของเปรตเหล่านั้นระลึกไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เป็นปัจจัย เหล่าอนุชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด ประณีตสมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ดุจทานที่มหาบพิตรถวายฉะนั้น

ด้วยเจตนาอุทิศว่า ขอทานนี้แล จงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลายของเราจงเป็นสุขเถิด ส่วนเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมนุมในที่นั้น เมื่อข้าวและน้ำมีอยู่เพียงพอ ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีอายุยืนนาน  


การบูชาเป็นพวกญาติได้ทำแล้วแก่พวกเราทั้งหลาย และญาติทั้งหลายผู้ให้ก็ไม่ไร้ผล เพราะในภูมิเปรตนั้น การกสิกรรม การโครักขกรรมไม่มี การค้าขายก็ไม่มี การซื้อการขายด้วยเงินตราก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ไปบังเกิดในภูมิเปรตนั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยผลแห่งทาน ที่ญาติทั้งหลายในโลกมนุษย์นี้อุทิศไปให้

น้ำฝนที่ตกลงในที่ดอน ย่อมไหลลงไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรให้แล้ว จากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยมฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรที่ให้แล้ว จากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน


กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงอุปการคุณ ที่ท่านทำแล้วในกาลก่อนว่า คนโน้นได้ให้สิ่งของแก่เราแล้ว คนนั้นได้ทำอุปการคุณแก่เราแล้ว ญาติมิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา และได้ช่วยทำกิจกรรมของเรา ดังนี้

พึงให้ผลบุญแก่เปรตทั้งหลาย ด้วยว่าการร้องไห้ก็ตาม ความเศร้าโศกก็ตาม การพิไรร่ำไรก็ตาม ไม่ควรทำลาย เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย (แม้ว่าจะร้องไปอย่างไร) ญาติทั้งหลายก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น อันทานนี้แล ที่ให้แล้ว และตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน


ญาติธรรม (คือเปรตญาติ) มหาบพิตรก็ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาบพิตรก็ได้กระทำแล้ว และพลังกายมหาบพิตรก็ได้เพิ่มให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมีประมาณไม่น้อย มหาบพิตรก็ได้ทรงกระทำแล้วแล”

ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ธรรมภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ผู้มีใจสลดด้วยการพรรณนาโทษของการเกิดในเปรตวิสัย แม้ในวันที่ ๒ พระองค์ก็ทรงแสดงติโรกุฑฑเทศนานี้แหละ แก่เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมภิสมัยเช่นนั้นแหละ ได้มีด้วยอาการอย่างนี้ถึง ๗ วันแล

อรรถกถาติโรกุฑฑเปตวัตถุ

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๑

กรรมตามสนอง

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภเปรต ๔ ตน ที่ได้รับผลกรรมต่างกัน ดังนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีมากนัก มีพ่อค้าโกงหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยการโกงต่างๆ มีการโกงตาชั่ง เป็นต้น วิธีการโกงตาชั่งของเขาก็คือ เอาฟ่อนข้าวสาลีเคล้าด้วยดินแดงทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เอาแกลบปนกับข้าวสาลี เป็นต้น


ลูกชายของเขาโกรธพ่อ ว่าพ่อไม่ให้เกียรติเพื่อนของเขาที่มาบ้าน แต่ทำพ่อไม่ได้ ก็เลยพาลเอาเชือกหนัก ๒ เส้น ไปตีศีรษะมารดา

ส่วนลูกสะใภ้ของเขา แอบไปลักกินเนื้อส่วนรวมที่เก็บไว้ทำอาหาร เมื่อถูกซักถามด้วยความสงสัย ก็สาบานว่าถ้าเขากินเนื้อจริง ก็ขอให้ไปเกิดในชาติใดๆ จงเฉือนสันหลังของตนเองกินทุกชาติไป


ฝ่ายภรรยาของเขา เมื่อคนมาขอสิ่งของบางอย่าง ทั้งที่มีอยู่ก็บอกว่าไม่มี พอถูกคาดคั้นก็สาบานว่า ถ้ามีสิ่งของจริงก็ขอให้กินคูถเป็นอาหารทุกชาติไปเถิด

สมัยต่อมา คนเหล่านั้นก็ได้ถึงแก่กรรม คนทั้ง ๔ คนนั้นได้รับผลกรรมตามสนอง ดังนี้

เปรตพ่อค้าโกง
ได้รับผลกรรม ด้วยการเอามือทั้งสองข้าง กอบเอาแกลบที่ลุกโพลงด้วยผลกรรม แล้วเกลี่ยลงที่ศีรษะของตนเอง ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

เปรตลูกชายพ่อค้าโกง ได้รับผลกรรม ด้วยการเอาค้อนเหล็กตีหัวตัวเองอยู่เรื่อยๆ ได้รับความทุกข์แสนสาหัส

เปรตหญิงสะใภ้ ได้รับผลกรรม ด้วยการเอาเล็บของตนเอง ที่ทั้งกว้างและยาว มีความคมมาก กรีดเนื้อที่แผ่นหลังของตนเองกิน เสวยทุกขเวทนาหาประมาณมิได้

เปรตภรรยา ได้รับผลกรรม ด้วยการเอามือกอบคูถ (อุจจาระ) พร้อมด้วยตัวหนอนกิน ได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์

เปรตทั้งสี่ตนได้รับเสวยทุกข์อย่างหนัก จนวันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะได้เดินทางไปบนภูขา และได้ไปถึงที่นั่น จึงพบเปรตทั้ง ๔ ตน และได้ถามถึงบุพกรรม เปรตเหล่านั้นก็เล่าถวาย


ครั้นพระเถระเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้กราบทูลเรื่องเปรต ๔ ตนถวาย พระพุทธเจ้าจึงทรงนำเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุ แล้วทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท พระธรรมเทศนาจึงได้เกิดประโยชน์แก่มหาชนด้วยประการฉะนี้แล


อรรถกถาภุสเปตวัตถุ

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๐

ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ

L56.1.png



พระพุทธเจ้า เมื่อขณะประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึง “มตกภัต” คือข้าวที่อุทิศให้คนตาย มีความพิสดารว่า

ในกาลนั้น คนทั้งหลายย่อมฆ่าแพะ เป็นต้นเป็นอันมาก ทำให้เป็นมตกภัต (อาหารเพื่อผู้ตาย) เพื่อญาติทั้งปวงที่ตายไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นคนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น จึงได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมกระทำสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเป็นอันมาก ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้เชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ย่อมมีอยู่หรือ พระเจ้าข้า?”

พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย! ชื่อว่าความเจริญอะไรๆ ในการทำปาณาติบาต แม้เขาที่กระทำด้วยคิดว่า พวกเราจักให้มตกภัต ดังนี้ ย่อมไม่มี แม้ในการก่อน บัณฑิตทั้งหลายนั่งในอากาศ แสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปาณาติบาตนี้ ให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นละเว้น เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ถูกภพชาติปกปิดไว้” แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตชาติ มาแสดงดังต่อไปนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้สำเร็จวิชาคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะศิษย์ของตนว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงนำแพะตัวนั้น ไปที่แม่น้ำเอาระเบียบดอกไม้สวมคอ เจิม และประดับประดา แล้วจงนำมา”


พวกศิษย์เหล่านั้นรับคำแล้ว ได้พาแพะตัวนั้นไปยังแม่น้ำ ให้อาบน้ำ เจิม และประดับประดาแล้ว พักรอไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ ส่วนแพะตัวนั้นได้ระลึกถึงกรรมเก่าของตนได้ จึงเกิดความดีใจว่าเราจะได้พ้นจากความทุกข์ในวันนี้แล้ว จึงได้หัวเราะลั่นประดุจต่อยหม้อดิน แต่กลับคิดว่าพราหมณ์นี้ฆ่าเราแล้ว จักได้ความทุกข์ที่เราได้แล้ว จึงเกิดความกรุณาต่อพราหมณ์นั้น จึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง

ในขณะนั้นพวกศิษย์จึงได้ถามแพะนั้นว่า “แพะผู้สหาย เจ้าหัวเราะและร้องไห้ด้วยเสียงดังลั่น เพราะเหตุไรหนอจึงหัวเราะ? และเพราะเหตุไรหนอเจ้าจึงร้องไห้?” แพะได้กล่าวว่า “พวกท่านจงถามเหตุผลนั้นกะเรา ในสำนักอาจารย์ของท่านเถิด”


พวกศิษย์จึงได้นำแพะตัวนั้นไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พร้อมทั้งได้แจ้งเหตุให้อาจารย์ทราบแล้ว อาจารย์ได้ฟังคำรายงานของศิษย์แล้ว จึงได้ถามแพะว่า “แพะผู้สหาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้”

ฝ่ายแพะได้หวนระลึกถึงกรรมเก่าที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต จึงได้กล่าวกะพรามหณ์ผู้เป็นอาจารย์ว่า “ท่านพราหมณ์ เมื่อชาติก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นเดียวกับท่านนี้แหละ มีความคิดว่าจะให้มตกภัต จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต


เพราะที่เราฆ่าแพะตัวหนึ่งนั้น เราจึงถูกเขาตัดศีรษะมาแล้ว ๔๙๙ ชาติ ชาตินี้เป็นชาติที่ ๕๐๐ ของเรา ซึ่งเป็นการใช้กรรมชาติสุดท้าย เราจึงเกิดความดีใจว่า เราจะได้พ้นทุกข์อันยาวนาน เห็นปานนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ

แต่ที่เราร้องไห้ เพราะด้วยความกรุณาในตัวท่าน ด้วยคิดว่าเบื้องต้นเราฆ่าแพะตัวหนึ่ง ได้รับความทุกข์คือถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติ แต่จะพ้นทุกข์นั้นในวันนี้ ส่วนท่านพราหมณ์ฆ่าเราแล้ว ท่านก็จะต้องได้รับความทุกข์ถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติเหมือนเรา”


พราหมณ์กล่าวว่า “แพะผู้สหาย เธออย่ากลัวเลย เราจะไม่ฆ่าเจ้า” แพะได้กล่าวกะพราหมณ์ว่า “ท่านพราหมณ์ ท่านพูดอะไร? เมื่อท่านจะฆ่าเราก็ตาม หรือไม่ฆ่าเราก็ตาม วันนี้เราก็ไม่อาจจะพ้นจากความตายไปได้” พราหมณ์ได้กล่าวกะแพะว่า “แพะผู้สหาย เจ้าอย่ากลัวเลย เราจะช่วยอารักขาคุ้มครองเจ้าประดุจเงาตามตัวเลย”

แพะได้กล่าวว่า “ท่านพราหมณ์ การอารักขาคุ้มครองของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปที่เราได้ทำแล้วมีกำลังมากกว่า” พราหมณ์ได้ปล่อยแพะไปแล้วกล่าวว่า “เราจะไม่ให้ใครๆ ได้ฆ่าแพะตัวนี้” จึงได้พาพวกศิษย์ช่วยอารักขาคุ้มครองแพะตามแพะไป


ฝ่ายแพะพอถูกปล่อยแล้ว ก็ได้ชะเง้อคอเริ่มจะกินใบไม้ ซึ่งอาศัยแผ่นหินแห่งหนึ่ง ที่เกิดอยู่ในบริเวณนั้น ในทันใดนั้นเอง ขณะที่แพะกำลังชะเง้อคอจะกินใบไม้นั้นเอง ฟ้าก็ได้ผ่าลงที่แผ่นหินนั้น สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งแตกกระเด็นมาตัดคอแพะ ซึ่งกำลังชะเง้ออยู่ให้ศีรษะขาดตกไปต่อหน้ามหาชน

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในที่นั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อมหาชนอยู่นั้น ได้นั่งขัดสมาธิในอากาศด้วยเทวานุภาพ แล้วกล่าวว่า


“ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า การเกิดในภพชาติต่างๆ เป็นทุกข์ สัตว์จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศก”

พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมนั้นแล้ว มหาชนเกิดความกลัวภัยในนรก พากันงดเว้นจากปาณาติบาต ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมและยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในเบญจศีลแล้ว ก็ได้เกิดตามยถากรรม ฝ่ายมหาชนได้พากันดำเนินอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ มีการให้ทานและรักษาศีล เป็นต้น เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในเทพนคร ยังเทพนครให้เต็มแล้ว


มตกภัตตชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๒๖๘

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

ธรรมะจากโสเภณี

L56.1.png



พระอัมพปาลีเถรี ในอดีตชาติท่านก็ได้บำเพ็ญบารมีไว้มาก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี ท่านได้บวชเป็นภิกษุณี

วันหนึ่ง ท่านไหว้พระเจดีย์แล้ว ก็เดินประทักษิณเวียนขวา โดยมีพระอรหันต์เถรีองค์หนึ่งเดินไปก่อน พระเถรีนั้นได้ถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายนั้นไปตกในลานพระเจดีย์โดยท่านไม่รู้ ฝ่ายภิกษุณีรูปนี้เดินไปภายหลัง เห็นเข้าจึงด่าพระเถรีว่า “อีแพศยาชื่ออะไรนะ มาถ่มน้ำลายที่ตรงนี้”


ภิกษุณีรูปนี้สมาทานสิกขาบทด้วยดี แล้วเกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ปรารถนาจะเกิดเป็นอุปปาติกะ ด้วยการตั้งจิตเช่นนั้น ในพระราชอุทยานในกรุงเวสาลี พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานพบเด็กนั้น จึงนำเข้าพระนครเพราะเหตุที่เกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี

ครั้งนั้น เมื่อนางโตเป็นสาวแล้ว บรรดาเจ้าชายทั้งหลายเห็นนางมีรูปร่างสะสวย น่าชม น่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษ มีเสน่ห์น่ารักใคร่ เป็นต้น ต่างก็ต้องการจะได้นางเป็นหม่อมห้ามของตน จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกัน


นางจึงนำความไปฟ้องร้อง ฝ่ายคณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อจะระงับการทะเลาะวิวาทของเหล่าราชกุมาร จึงได้ตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่านางจงเป็นของทุกๆ คน

นางอัมพปาลีมีศรัทธาในพระศาสนา จึงสร้างวิหารไว้ในสวนของตนแล้วมอบถวายพระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ภายหลังเธอฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ ผู้เป็นบุตรของตน แล้วมีศรัทธาออกบวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะความชรา ก็เกิดความสังเวชใจ เมื่อจะแสดงถึงความสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง จึงได้กล่าวคาถาว่า

แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำ เสมือนสีแมลงภู่มีปลายงอน
เดี๋ยวนี้ ผมของเหล่านั้นก็กลายเป็นเสมือนป่านปอเพราะชรา


แต่ก่อน มวยผมของข้าพเจ้าเต็มด้วยดอกไม้หอมกรุ่น เหมือนผอบที่อบกลิ่น
เดี๋ยวนี้ ผมนั้นมีกลิ่นเหมือนขนแพะเพราะชรา


แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้าดกงาม ด้วยปลายที่รวบไว้ด้วยหวี และเข็มเสียบ เหมือนป่าไม้ทึบที่ปลูกไว้เป็นระเบียบ
เดี๋ยวนี้ ผมนั้นก็บางลงในที่นั้นๆ เพราะชรา


แต่ก่อน มวยผมดำ ประดับทอง ประดับด้วยช้องผมอย่างดี สวยงาม
เดี๋ยวนี้ มวยผมนั้นก็ร่วงเลี่ยนไปทั้งศีรษะเพราะชรา


แต่ก่อน คิ้วของข้าพเจ้าสวยงาม คล้ายรอยเขียนที่จิตรกรบรรจงเขียนไว้
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นลงเพราะชรา


แต่ก่อน ดวงตาทั้งคู่ของข้าพเจ้า ดำขลับมีประกายงาม คล้ายแหวนมณี
เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำลายเสียแล้วจึงไม่งาม


แต่ก่อน เมื่อวัยสาวจมูกของข้าพเจ้าโด่งงามเหมือนเกลียวหรดาล
เดี๋ยวนี้ กลับเหี่ยวแฟบเพราะชรา


แต่ก่อน ใบหูทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนตุ้มหูที่ช่างทำอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นเพราะชรา


แต่ก่อน ฟันของข้าพเจ้าสวยงาม เหมือนหน่อตูมของต้นกล้วย
เดี๋ยวนี้ กลับหักดำเพราะชรา


แต่ก่อน ข้าพเจ้าพูดเสียงไพเราะเหมือนนกดุเหว่าที่ปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ในป่าใหญ่ส่งเสียงร้องไพเราะ
เดี๋ยวนี้ คำพูดของข้าพเจ้าก็พูดพลาดเพี้ยนไปในที่นั้นๆ


แต่ก่อน คอของข้าพเจ้าสวยงามกลมเกลี้ยงเหมือนสังข์ขัดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นงุ้มค้อมลงเพราะชรา


แต่ก่อน แขนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบเสมือนไม้กลอนกลมกลึง
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นลีบเหมือนกิ่งแคคดเพราะความชรา


แต่ก่อน มือทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม ประดับด้วยแหวนทองงามระยับ
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนเหง้ามันเพราะชรา


แต่ก่อน ถันทั้งสองของข้าพเจ้าอวบอัด กลมกลึงประชิดกันและงอนสล้างสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นหย่อยยาน เหมือนถุงหนังที่ไม่มีน้ำเพราะชรา


แต่ก่อน กายของข้าพเจ้าเกลี้ยงเกลา ดังแผ่นทองสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นอันละเอียดเพราะชรา


แต่ก่อน แข้งทั้งสองของข้าพเจ้าประดับด้วยกำไลทองเกลี้ยงเกลาสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือนต้นงาขาดเพราะชรา


แต่ก่อน เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบเหมือนรองเท้าหุ้มปุยนุ่ม
เดี๋ยวนี้ แตกเป็นริ้วรอยเพราะชรา


บัดนี้ ร่างกายนี้ เป็นเช่นนี้ คร่ำคร่าเป็นแหล่งที่อยู่แห่งทุกข์เป็นอันมาก ปราศจากเครื่องลูบไล้ เป็นเรือนชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริงเป็นคำแท้ ไม่แปรเป็นอื่น

พระอัมพปาลีเถรีนี้ ท่านพิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุข (ปาก) คือกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพของตน ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น และขะมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ก็ได้บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค



อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๓๕๘

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

คนปากเสีย

L56.1.png


พระเถระองค์นี้ ท่านก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในศาสนาแห่งศาสนาพระพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล พอถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีความเชื่อในพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระศาสดา ไหว้ต้นโพธิ์พฤกษ์แล้วบูชาด้วยการพัดวี

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาเกิดในเรือนมีตระกูล เมื่อรู้เดียงสาแล้วได้บวชในศาสนา ได้เป็นเจ้าสำนักอยู่ในอารามที่อุบาสกตนหนึ่งสร้างไว้ให้ และให้ความอุปัฏฐากอยู่ประจำ


ครั้นวันหนึ่ง มีพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง ผู้ครองจีวรปอนๆ มาจากป่ามุ่งหน้ามาบ้านโยมเพื่อจะปลงผมและหนวดแล้ว ให้ท่านบริโภคโภชนะอันประณีต พร้อมทั้งถวายจีวรเนื้อดีๆ แก่ท่าน และนิมนต์ให้พักอยู่ในสำนักนั้น ฝ่ายภิกษุเจ้าสำนักเห็นดังนั้น ก็มีความริษยาเพราะมีความตระหนี่เป็นนิสัย ได้กล่าวกะพระเถระนั้นว่า

“ดูก่อนภิกษุ การที่ท่านเอานิ้วมือถอนผมเป็นอเจลก เลี้ยงชีพด้วยคูถ (อุจจาระ) และมูตร (ปัสสาวะ) ยังจะประเสริฐกว่า การอยู่ด้วยการอุปถัมภ์ของอุบาสกที่บำรุงท่านอยู่”


ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ตนเองก็เข้าไปในเวจกุฎี (ส้วม) ในขณะนั้นเองเอามือกอบคูถกินและดื่มมูตร เหมือนคนข้าวปายาส และได้ทำตนอย่างนี้อยู่จนตลอดอายุ ทำกาละแล้วก็ไปหมกไหม้อยู่ในนรก มีคูถและมูตรเป็นอาหารอีกและด้วยเศษแห่งวิบากกรรมนั้นแล แม้ว่าเขาจะมาเกิดเป็นคน ก็เป็นนิครนถ์ มีคูถและมูตรเป็นอาหารอยู่ถึง ๕๐๐ ชาติ

ในพุทธกาลนี้ เขาได้มาเกิดในตระกูลของคนทุกข์ยาก เพราะด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม ที่ไปกล่าวร้ายต่อพระอรหันต์ เขาได้ดื่มนมสดหรือเนยใส ก็ทิ้งสิ่งนั้นเสียมาดื่มเฉพาะมูตรเท่านั้น เขาเอาข้าวสุกให้ก็ทิ้งเสีย มากินแต่คูถเท่านั้น เขาจึงต้องเติบโตมาด้วยอาหารที่เป็นคูถและมูตรเท่านั้น


ใครๆ ก็ไม่อาจจะห้ามเขาได้ ฝ่ายญาติๆ ทั้งหลายจึงขับไล่เขาไป เขาจึงไปบวชเป็นคนเปลือย ไม่อาบน้ำ ครองผ้าเปื้อนด้วยธุลีและฝุ่น ถอนผมและหนวด ห้ามอิริยาบถอื่น ยืนด้วยเท้าเดียว ไม่รับนิมนต์ ถ้ามีผู้เลื่อมใสต้องการบุญ เขาจะฉลองศรัทธาด้วยการเอาปลายหญ้าคาแตะที่อาหารแล้วเลียด้วยปลายลิ้นเท่านั้น

ส่วนเวลากลางคืนไม่เคี้ยวกินคูถสด ด้วยคิดว่าคูถสดมีตัวสัตว์ จึงกินแต่คูถแห้งเท่านั้น เมื่อเขาดำรงชีพอยู่อย่างนี้ถึง ๕๕ ปี มหาชนก็สำคัญเขาว่าเป็นผู้มีตบะมาก มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงมีความเลื่อมใสในตัวเขา


ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยญาณอันแก่รอบของเขา จึงเสด็จไปโปรดในที่นั่น ให้เขาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล และให้บวชอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ขวนขวายในวิปัสสนา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

เมื่อท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้กล่าวว่า


“เราเอาฝุ่นและธุลีทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชิญ เราได้ทำบาปกรรม อันเป็นเหตุไปสู่ทุคติไว้มากเช่นนั้น ถูกโอฆะพัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่พระธรรมเป็นธรรมดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว”


อรรถกถาชัมพุกเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๒ หน้า ๒๕

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

ปลาปากเหม็น

L56.1.png



เมื่อครั้นศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เสด็จปรินิพพานแล้ว ตระกูลหนึ่งมีแม่ชื่อว่า สาธนี ลูกชายคนโตชื่อ โสธนะ น้องชายชื่อ กปิละ และมีน้องสาวชื่อ ตาปนา

ต่อมาทั้งสี่คนก็ออกบวชหมด ลูกชายทั้งสองบวชเป็นภิกษุ ส่วนแม่และน้องสาวบวชในสำนักของภิกษุณี พระโสธนะพี่ชายบวชแล้ว ก็เรียนวาสธุระคือวิปัสสนาธุระ ต่อมาไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์


ส่วนน้องชายถือว่าตนยังหนุ่มอยู่ จึงสมัครเรียนทางคันถธุระ หรือปริยัติก่อน ต่อมาเมื่อชราแล้วจึงจะเรียนวิปัสสนาธุระ เมื่อท่านพระกปิละเรียนปริยัติจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็มีบริวารมาก ลาภก็เกิดขึ้นมาก เกิดความมัวเมาในความที่ตนเป็นพหูสูต สำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต

เมื่อกปิละหลงตนอยู่ ก็ได้กล่าวคำสอนผิดๆ อันตรงข้ามกับคำสอนของพระกัสสปพุทธเจ้า แม้เหล่าภิกษุผู้มีศีลจะกล่าวตักเตือนก็หาฟังไม่ กลับขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายว่า “พวกท่านเหมือนคนมีกำมือเปล่า จะรู้อะไร!” พวกภิกษุเหล่านั้นได้บอกเรื่องนี้แก่พระโสธนะพี่ชาย


พระพี่ชายก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนพระน้องชายว่า อย่าได้กระทำบาปกรรมอย่างนั้นเลย พระกปิละก็ไม่สนใจ ท่านยังคงประพฤติตนเป็นเสี้ยนหนามพระศาสนาต่อไป พระพี่ชายก็ได้บ่นว่า คุณจะปรากฏกรรมของคุณเอง แล้วท่านก็ไม่ใส่ใจอีก

กาลต่อมา พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพาน พระกปิละทำพระศาสนาได้เสื่อมแล้ว ตายไปก็ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก ส่วนพระภิกษุณีมารดาและน้องสาว เมื่อพระกปิละลูกชายถูกภิกษุว่ากล่าว ทั้งภิกษุณีมารดาและภิกษุณีน้องสาว ต่างก็เข้าข้างพระกปิละด่าว่าภิกษุผู้มีศีลเหล่านั้น เมื่อตายไปก็ได้ไปบังเกิดในนรก


ครั้งนี้แล บุรุษประมาณ ๕๐๐ คน ทำบาปกรรมเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นโจรปล้นฆ่าชาวบ้านอยู่ กลางวันได้เข้าไปในป่า พบพระภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง ไหว้แล้วกล่าวว่า

“ท่านขอรับ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกกระผมด้วย” พระเถระกล่าวว่า “อุบาสก ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มี ขอพวกท่านจงสมาทานเบญจศีลเถิด” พวกโจรพากันรับศีล ๕ แล้ว พระเถระได้กล่าวว่า “บัดนี้พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อพวกท่านถูกเขาทำร้ายก็จงอย่าได้ประทุษร้ายตอบแม้ด้วยใจ” พวกโจรเหล่านั้นรับคำของพระเถระแล้ว


ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นต่างตามหาโจรอยู่ ได้ตามมาถึงที่โจรอยู่ ต่างพากันทำร้ายพวกโจรจนตายหมดทุกคน เพราะพวกโจรมิได้ต่อสู้ ต่างพากันรักษาศีลนั่นอยู่ พวกโจรเหล่านั้นเมื่อตายแล้ว ต่างก็ไปเกิดในเทวโลก หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้าเทพบุตร ได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกอยู่พุทธันดรหนึ่ง

ครั้นเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระศาสนานี้ เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า ได้มาเกิดในท้องของภรรยาชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านของชาวประมงใกล้ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรบริวารก็ได้พากันมาเกิดในครรภ์ของภรรยาชาวประมง และได้เกิดในวันเดียวกันนั่นแล ต่อมาเด็กเหล่านั้นก็ได้ทำการประมงแทนตระกูล โดยหัวหน้าอดีตโจรมีชื่อว่า ยโสชะ เป็นหัวหน้าเด็กเหล่านั้น และถืออาชีพเป็นชาวประมงต่อมาด้วยกัน

ครั้งนั้นภิกษุชื่อว่า กปิละ ก็ได้มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่มีกลิ่นปากเหม็นยิ่งนัก อยู่ในแม่น้ำอจิรวดี ด้วยเศษกรรมที่เหลือในนรก จึงได้มาเกิดเป็นปลาปากเหม็น ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้น ถือแห (อวน) แล้วคิดว่าเราจักจับปลาทั้งหลาย จึงได้เหวี่ยงแหลงแม่น้ำไป จับปลาครั้งแรกก็ได้ปลาทอง พวกชาวประมงต่างพากันจับปลาใส่เรือ แล้วยกเรือไปสู่พระราชวัง

พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า “นั่นอะไรสหาย?” พวกเด็กชาวประมงทูลตอบว่า “ปลาพิเศษ พระเจ้าข้า” พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีทอง ก็ทรงดำริว่า พระผู้มีภาคเจ้า จักทรงทราบเหตุที่ตัวนี้มีสีทอง จึงรับสั่งให้นำปลาตามไป แล้วเสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น ทั่วพระวิหารเชตวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไรปลาจึงเกิดเป็นปลาสีทอง และเพราะเหตุใดกลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้นพระเจ้าข้า?”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้เป็นพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่า กปิละ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป

เพราะกรรมนั้นของเธอ จึงไปบังเกิดในอเวจีมหานรก และด้วยเศษกรรมนั้นได้มาเกิดเป็นปลาและมีปากเหม็นยิ่งนัก แต่ด้วยเศษแห่งวิบากกรรม ที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์สรรเสริญพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานาน เธอจึงมีสีเป็นทองมหาบพิตร ตถาคตจะให้ปลานั่นพูดเอง

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามปลาทองว่า “เจ้าคือกปิละหรือ?”

ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกแล้วพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ซื่อว่า กปิละ”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “เธอมาจากไหนเล่า?”

“ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วพระโสธนเถระ พี่ชายของเธอไปไหน?”
ปลาทองทูลตอบว่า “หลวงพี่โสธนะปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วแม่ของเธอนางสาธนีไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “แม่สาธนีเกิดในนรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วนางตาปนาน้องสาวเธอไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “นางตาปนาเกิดในมหานรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “บัดนี้เธอจักไปไหนอีก”
ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปสู่มหานรกพระเจ้าข้า”


ในทันใดนั้นเอง ปลาทองอันความวิปฏิสาร (ร้อนใจ) ครอบงำแล้ว ได้ใช้ศีรษะฟาดเรือ แล้วก็ได้ตายไปเกิดในมหานรก มหาชนที่ได้ดูอยู่เกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่ขณะนั้น ซึ่งมีคฤหัสถ์และบรรพชิตที่มาประชุมพร้อมกัน ได้ตรัสพระสูตรนี้แล้วแล



อรรถกถากปิลสูตร

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๗ หน้า ๒๑๒

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

โทษของคนตระหนี่

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ผู้เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวจัด แม้ว่าจะมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ก็มีชีวิตเป็นอยู่ยาจก ดังนี้

ในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีชื่ออานนท์ มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่มาก เขาจะประชุมพวกญาติทุกครึ่งเดือน แล้วให้โอวาทแก่บุตรของตนชื่อมูลศิริว่า “เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้มา เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่หมดไป แต่ควรจะทำทรัพย์ให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราทำทรัพย์แม้เพียงกหาปณะหนึ่งหมดไป ทรัพย์ทั้งสิ้นก็ย่อมจะหมดไปได้”


อานนทเศรษฐีได้ยกตัวอย่างว่า พึงดูยาหยอดตา ที่ใช้ไปทีละหยดๆ ใช้นานไปมันก็หมดขวดได้ นี้ในทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ พึงดูการก่อรังของจอมปลวกทั้งหลาย มันได้ก่อขึ้นเพียงวันละเล็กวันละน้อย จอมปลวกก็ใหญ่ขึ้นมาได้ นี่เป็นทางเจริญแห่งโภคทรัพย์

ท่านเศรษฐีอานนท์ ได้ฝังขุมทรัพย์ไว้ ๕ แห่ง แต่ไม่ได้บอกให้บุตรรู้ ด้วยความตระหนี่และหวงทรัพย์ เมื่อเขาตายแล้ว ก็ยังมีความผูกพันในทรัพย์นั้น จึงไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาลยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูแห่งหนึ่ง ใกล้พระนครนั่นเอง


พระราชาทรงทราบว่าอานนทเศรษฐีทำกาละแล้ว จึงได้ทรงตั้งมูลศิริเป็นบุตรแทนตำแหน่งเศรษฐีต่อไป ตระกูลแห่งคนจัณฑาล ที่อานนทเศรษฐีไปเกิดนั้น ต้องทำงานรับจ้างมีอยู่ประมาณพันคน พากันออกรับจ้างเป็นกลุ่มอยู่ นับแต่ที่เขาไปเกิดอยู่ในท้องมารดาแล้ว ก็ทำให้มารดาไปรับจ้างไม่ได้ค่าจ้างเลย ไปรับจ้างกับพวกไหนก็ทำให้คนพวกนั้นพลอยอดไปด้วย

พวกจัณฑาลเหล่านั้น ได้กล่าวกันว่า “บัดนี้ พวกเราแม้ทำงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง ไม่ได้แม้แต่ก้อนข้าว ในหมู่พวกนี้ เห็นจะมีคนกาลกิณีอยู่เป็นแน่” ครั้นแล้วจึงแยกพวกจัณฑาลออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่อานนทเศรษฐีไปเกิดอยู่ในท้องมารดา พอเข้าไปกับฝ่ายไหน ก็ทำให้ฝ่ายนั้นอดอยาก ในที่สุดนางก็ถูกเขาคัดนางออกมาอยู่คนเดียว ก็ทำให้นางต้องอดอยากตลอดไป


เมื่อนางคลอดบุตรแล้ว เอาบุตรไปหากินด้วย ก็ไม่มีใครจ้าง ต้องพาอดกลั้นทั้งแม่และลูก จึงต้องให้ลูกอยู่ในที่พัก นางจึงพอหากินได้บ้าง และทารกนั้นเมื่อเกิดมาก็วิกล มีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่เหมือนคนปกติ คือมีรูปร่างน่าเกลียด ดุจปีศาจคลุกฝุ่น

แม้กระนั้นมารดาก็ยังไม่ทิ้งบุตร นางทนเลี้ยงดูด้วยความอดอยากฝืดเคืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทารกโตพอจะหากินได้เองแล้ว นางก็เอากระเบื้องใส่มือ แล้วกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย แม่ลำบากเพราะเจ้ามามากแล้ว บัดนี้แม่ไม่อาจจะเลี้ยงเจ้าต่อไปอีกแล้ว อาหารที่เขาจัดไว้ตามโรงทานมีอยู่ เจ้าจงไปหาเลี้ยงปากท้องเอาเองเถิด”


เมื่อกล่าวแล้ว นางก็ได้ปล่อยทารกไว้ ทารกนั้นก็ได้เดินไปจนถึงบ้านของตน เพราะระลึกชาติก่อนได้ จึงเข้าไปสู่เรือนของตน โดยที่ไม่มีใครเห็น เขาผ่านซุ้มประตูไปถึง ๓ แห่ง พอมาถึงซุ้มที่ ๔ บุตรของมูลศิริเศรษฐีเห็นเข้า ก็เกิดความหวาดกลัวร้องไห้จ้า

ลำดับนั้น พวกบริวารของเศรษฐีกล่าวกะทารกว่า “เฮ้ย! เอ็งจงออกไป ไอ้คนกาลกิณี” ว่าพลางก็โบยตีจนบอบช้ำ แล้วจับเอาไปโยนไว้ที่กองขยะ ครั้นนั้นแล พระศาสดามีพระอานนท์ติดตาม ได้เสด็จบิณฑบาตมาถึงที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ เมื่อพระอานนท์ถูกถามแล้ว จึงทำให้เชิญมูลศิริเศรษฐีออกมา พร้อมด้วยมหาชนประชุมกันแล้ว


พระศาสดาได้ตรัสถามเศรษฐีว่า “ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?” มูลศิริเศรษฐีทูลตอบว่า “ไม่รู้จัก พระเจ้าข้า” พระศาสดาจึงตรัสว่า “ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้เป็นบิดาของท่าน” ครั้นแล้ว พระศาสดาได้ตรัสกะทารกว่า “อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่  ๕ แห่ง ที่ท่านฝังไว้แก่บุตรของท่านเถิด”

พระศาสดาทรงยังมูลศิริเศรษฐี ผู้ไม่เชื่อด้วยการพาไปขุดขุมทรัพย์ แล้วมูลศิริ
เศรษฐีจึงเลื่อมใส ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่มูลศิริเศรษฐี โดยตรัสเป็นคาถาว่า

“คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน ส่วนบุตรและทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน ?”

ในกาลจบพระธรรมเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สรรพสัตว์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้วแล.


อรรถกถาอานนทเศรษฐี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๐ หน้า ๑๘๒

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

ทุกขลาภ

L56.1.png


พระปฏาจาราเถรี เป็นภิกษุณีรูปเดียวในศาสนานี้ ที่มีความทุกข์มากที่สุด แต่ในที่สุดท่านก็ได้พบลาภอันประเสริฐ เรื่องในอดีตชาติมีเพียงเล็กน้อย ดังนี้

ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ นางเกิดในเรือนครอบครัว ในกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย นางได้กระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง


นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางได้ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกิ เป็นพระธิดาองค์หนึ่ง ในบรรดาพระพี่น้องนาง ๗ องค์ ทรงประพฤติโกมาริพรหมจรรย์มาตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงสร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์

นางจุติจากภพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในครอบครัวเศรษฐี พอโตเป็นสาวแล้วได้ทำความสนิทเสน่หากับคนงานคนหนึ่งในเรือนของตน บิดามารดาได้กำหนดวันที่จะมอบธิดาของตนให้แก่ชายหนุ่มซึ่งมีฐานะเสมอกัน นางรู้เรื่องนั้นแล้ว ก็ได้นัดกับชายคนรัก เก็บข้าวของหลบหนีไปอยู่ด้วยกันที่ป่าแห่งหนึ่ง

เมื่ออยู่ด้วยกันไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ ครั้นตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด นางก็คิดถึงบ้าน เพราะที่ป่าดงนี้ไม่มีใครพอจะช่วยได้เลย จึงพูดกับสามีว่า “นายจ๋า ประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในที่นี้อย่างคนอนาถา ฉันจะกลับไปเรือนของครอบครัวละ” ฝ่ายสามีก็ไม่อยากไปเกรงว่าจะถูกทำโทษ จึงพูดผัดเพี้ยนว่า “วันนี้อย่าไป พรุ่งนี้ค่อยไปต่อเถอะ”


นางคิดว่าสามีคงไม่กล้าพานางไป พอสามีออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว นางก็ได้เก็บข้าวของไว้ในเรือน แล้วสั่งบ้านใกล้เคียงว่า นางกลับไปบ้านเก่าของพ่อแม่ แล้วนางก็ออกเดินทางมาคนเดียว มุ่งหน้าไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีกลับมาบ้านไม่พบภรรยา ถามคนบ้านใกล้เคียงรู้ว่านางกลับไปบ้านแล้ว ก็คิดว่าเพราะตัวเอง นางจึงเป็นคนอนาถา จึงเดินสะกดรอยตามไปทันกัน ในขณะนั้นนางก็เจ็บครรภ์อีก แล้วก็คิดจะกลับไปคลอดที่บ้านเก่าอีก สามีก็ไม่ยอมพากลับเช่นเดิม
นางก็ต้องใช้อุบายเดิม พอสามีออกไปทำงาน นางก็บอกเพื่อนบ้าน แล้วออกเดินทางมุ่งไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีก็ตามมาทันในกลางป่าเป็นเวลาใกล้ค่ำ พอดีในขณะนั้นลมกัมมัชวาตเกิดปั่นป่วน มีอาการว่าจะคลอดบุตร เมฆฝนอันมิใช่ฤดูกาลลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้ามีหยาดฝนตกลงมาไม่ขาดสาย เสียงฟ้าคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบไปรอบๆ นางจึงพูดกะสามีว่า “นายจ๋า ช่วยสร้างที่กำบังฝนให้หน่อยสิจ้ะ”

ฝ่ายสามีก็รีบสำรวจดูที่โน่นที่นี่ ทราบว่าที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งมีหญ้าปกคลุมอยู่ จึงไปที่นั้นประสงค์จะตัดท่อนไม้ที่พุ่มไม้นั้น ด้วยมีดที่ถืออยู่ในมือ จึงตัดไม้ซึ่งอยู่ที่พุ่มไม้นั้น ท้ายจอมปลวกที่หญ้าปกคลุม ในทันใดนั้นเอง งูพิษร้ายตัวหนึ่งก็เลื้อยออกมาจากจอมปลวก แล้วกัดสามีล้มลงตายอยู่ในที่นั้นเอง

ฝ่ายนางได้รอสามีอยู่ ฝนก็เปียกทั้งตัว ครรภ์ก็ปวดใกล้คลอด มองหาสามีจนมืดค่ำแล้วก็คลอดบุตร นางต้องโอบลูกน้อยทั้งสอง ซึ่งทนฝนและลมไม่ไหวร้องจ้าไว้กับอก สองเท้าและสองมือคร่อมลูกน้อยทั้งสองไว้ตลอดคืนแสนจะทรมาน

พอราตรีผ่านไปสว่างแล้ว เอาลูกที่คลอดใหม่คล้ายชิ้นเนื้อ นอนบนผ้าเบาะเก่าๆ โอบด้วยมือกกด้วยอก แล้วพูดกะลูกคนโตว่า “มานี่ลูก พ่อเจ้าไปทางนี้” แล้วพาลูกไปตามหาสามี พบว่าสามีนอนตายอยู่ใกล้ๆ จอมปลวก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่า “เพราะตัวเราทีเดียว สามีเราจึงตาย” เมื่อหาเศษไม้มารวมกันเผาศพสามีแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป

ในระหว่างทางก็ถึงแม่น้ำ จะต้องข้ามแม่น้ำนั้นไป แม่น้ำนั่นลึกประมาณแค่อก แต่ก็ไหลเชี่ยวมาก เพราะฝนตกหนักมาทั้งคืน จึงจำเป็นจะต้องเอาลูกข้ามแม่น้ำไปทีละคน เพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากการคลอดบุตร จึงบอกให้ลูกคนโตรออยู่ที่ฝั่งนี้ แล้วนางก็อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปวางไว้ที่ริมฝั่งข้างโน้น ครั้นแล้วก็จะกลับมารับลูกคนโต

พอนางข้ามมาถึงกลางแม่น้ำ ในขณะนั้นก็มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านมา พอเห็นเด็กทารกที่ริมฝั่ง ก็เข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโผบินลงมาจากอากาศ นางเห็นเหยี่ยวนั้นจึงยกสองมือขึ้นไล่ร้องเสียงดังว่า “สุ สุ สุ” ฝ่ายเหยี่ยวก็ไม่สนใจอาการไล่ของนาง เพราะอยู่ไกลมาก จึงเฉี่ยวเอาเด็กน้อยบินขึ้นอากาศไป

ฝ่ายลูกคนโตยินเสียงแม่ร้อง ก็เข้าใจว่าแม่เรียกตัว จึงกระโดดลงน้ำโดยเร็ว กระแสน้ำเชี่ยวจึงพัดลูกคนโตจมน้ำไป นางเสียใจร้องไห้คร่ำครวญว่า “ลูกเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป อีกคนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดไป สามีของเราก็ตายที่กลางป่า”

นางเดินไปร้องไห้ไปบ่นไป พบชายคนหนึ่งจึงถามว่า “พ่อท่าน เป็นชาวเมืองไหนจ้ะ” ชายผู้นั้นตอบว่า “เป็นชาวเมืองสาวัตถีจ้ะ แม่คุณ” นางได้ถามถึงตระกูลเศรษฐี อันเป็นพ่อแม่ของนางว่า “พ่อท่านรู้จักเศรษฐีชื่อนั้นหรือไม่”

ชายเดินทางตอบว่า “รู้จักดีจ้ะ แม่คุณ แต่อย่าถามข้าเลย ไปถามคนอื่นเถิดจ้ะ” นางจึงถามอีกว่า “คนอื่นฉันไม่ต้องการดอกจ้ะ จะขอถามพ่อท่านนี่แหละ ขอจงช่วยบอกฉันด้วยเถิด” ชายนั้นจึงได้ตอบว่า “แม่คุณเอ๋ย โปรดไม่ให้บอกไม่ได้หรือ? วันนี้แม่นางก็เห็นอยู่ว่าเมื่อคืนฝนตกทั้งคืน”

นางได้ตอบชายนั้นว่า “เห็นอยู่จ้ะพ่อท่าน ฝนนั้นตกตลอดคืนยันรุ่ง สำหรับเรื่องส่วนตัวฉันจะเล่าภายหลัง ขอพ่อท่านโปรดเล่าเรื่องของเศรษฐีและภรรยาให้ฉันฟังก่อนเถิดจ้ะ”

ชายนั้นจึงเล่าว่า “แม่คุณเอ๋ย เมื่อคืนนี้เรือนของเศรษฐีถูกฝนและพายุหนัก เรือนพังทับเศรษฐี ภรรยาและบุตรชายเศรษฐีทั้งสามคนตาย ขณะนี้กำลังถูกเผาอยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกัน ควันไฟยังเห็นอยู่ข้างหน้าโน่นแน่ะจ้ะ” เล่าพลางก็ชี้มือให้ดูควันไฟข้างหน้า

บัดนั้นเอง นางก็หมดสติล้มฟุบลง พอรู้สึกตัวนางก็จำไม่ได้ว่าตนได้ปราศจากผ้านุ่งห่ม เพราะเป็นบ้าและความโศกเศร้า จึงเดินวนเวียนเพ้อรำพันว่า “สามีเราก็ตายที่กลางป่า ลูกทั้งสองก็ตาย บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน”

นับแต่นั้นมา นางก็มีชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะมีอาจาระตกไป เป็นผู้เปลือยกายเที่ยวไปอยู่ คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ บางพวกก็โปรยฝุ่นใส่ บางพวกก็ขับไล่ว่าอีบ้าไปให้พ้น บางพวกก็ขว้างด้วยท่อนไม้ด้วยก้อนดิน


ขณะนั้นนางปฏาจาราได้เดินเปะปะบ่ายหน้าไปทางพระเชตวันวิหาร ซึ่งในขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม ในท่ามกลางพุทธบริษัทหมู่ใหญ่อยู่ มหาชนเห็นนางแล้ว พากันห้ามว่าอย่าให้นางเข้ามา

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ จึงตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย” เมื่อนางถึงที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า “แม่นาง จงกลับได้สติเถิด” ในทันใดนั้นเอง นางก็กลับได้สติเพราะพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งอยู่หลุดหมดแล้ว เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมา จึงนั่งคุกเข่าลง ชายผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระศาสดา


นางกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วย สามีก็ได้ตายที่กลางป่า ลูกคนเล็กถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตถูกน้ำพัดไป บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเรือนล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน” นางกราบทูลด้วยความโศกเศร้า น้ำตานองหน้า

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนปฏาจารา! เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เจ้ามาหาเรา ซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความตายของลูกและญาติเป็นเหตุฉันใด ในสังสารวัฏที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้วก็ฉันนั้น น้ำตาที่เธอหลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นนั้น ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก”


เมื่อพระศาสดาบรรยายธรรมกถาเรื่องสังสารวัฏ ที่หาเงื่อนต้นและเงื่อนปลายไม่สิ้นอยู่ ความโศกเศร้าของนางก็บรรเทาลง จึงทรงแสดงธรรมกถาต่อว่า


“ดูก่อนปฏาจารา! ขึ้นชื่อว่าปิยชน (คนที่รัก) มีบุตร เป็นต้น ก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้น หรือเป็นที่พึ่งของคนที่ไปสู่ปรโลกได้  ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อว่าไม่ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงชำระศีลของตนแล้ว ทำทางที่จะไปพระนิพพานให้สำเร็จ ดังนี้”

จบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา พระศาสดาทรงนำนางไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชา นางได้อุปสมบทแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์


อรรถกถาปฏาจาราเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๘๔

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

กรรมของลิงพาล

L56.1.png


ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดกระบือ อยู่ในหิมวันตประเทศ เมื่อเจริญวัยแล้วมีร่างกายสมบูรณ์ ร่างใหญ่ประมาณช้างหนุ่ม เที่ยวหากินไปตลอดเชิงเขา ป่า และห้วย พบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งน่าสบาย จึงได้พักอยู่ประจำที่โคนต้นไม้นั้น


ครั้งนั้น มีลิงลามตัวหนึ่ง ได้ลงมาจากต้นไม้ ขึ้นบนหลังของกระบือ มันถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรด จับเขากระบือโหนตัวเล่น จับหางห้อยโหน ส่วนฝ่ายพระโพธิสัตว์ไม่สนใจในการกระทำอนาจารของลิงนั้น เพราะมีความอดทน มีเมตตา และมีความเอ็นดู เจ้าลิงเห็นกระบือสงบอยู่ ก็ยิ่งกำเริบใจ ได้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ

ในครั้งนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้เห็นความลามกของลิงนั้น จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า “เพราะเหตุไร ท่านจึงอดทนความดูแคลนของลิงผู้ชั่วช้านี้อยู่ได้ ท่านจงทำลิงนี้ให้ฉิบหายด้วยเขาและกีบเสียเถิด”


พระโพธิสัตว์ได้กล่าวตอบเทวดาว่า “ท่านเทวดา เหตุใดท่านจึงจะให้เราทำในสิ่งที่ไม่เจริญแก่ลิงผู้ชั่วช้า จะให้เราเปื้อนซากศพอันลามก ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็จะพึงเป็นผู้ที่เลวกว่าลิง

ศีลของเราก็ย่อมจะขาด และวิญญูชนทั้งหลายก็ย่อมจะติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายด้วยความบริสุทธิ์ ยังดีเสียกว่าความเป็นอยู่อย่างน่าละอายเสียอีก ทำไมเราจะต้องเบียดเบียนผู้อื่น แม้เพราะเหตุชีวิตเล่า

บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมอดกลั้นคำดูหมิ่นของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา เจ้าลิงนี้ย่อมสำคัญสัตว์อื่นว่าเป็นเหมือนเรา มันจักทำอนาจารอย่างนี้ แต่นั้นกระบือที่ดุร้าย ก็จะฆ่าลิงนั้นเสีย การตายของลิงนี้ด้วยสัตว์อื่น ย่อมจะเป็นการพ้นทุกข์จากการฆ่าของเรา”

พระโพธิสัตว์ได้ประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้แก่เทวดา กระบือนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ก็ได้ไปอยู่ในที่อื่น แล้วก็มีกระบือผู้ดุร้ายมาอยู่ที่นั้นแทน ลิงผู้ชั่วช้าสำคัญว่า กระบือตัวนี้คงเหมือนกับกระบือตัวก่อน


มันเห็นกระบือตัวใหม่มาอยู่ใต้ต้นไม้ มันก็ได้ขึ้นบนหลังกระบือแล้วกระทำลามกอนาจารเหมือนเช่นเคย กระบือดุร้ายตัวนั้นจึงได้สลัดลิงตกจากหลังลงมาบนพื้นดิน เอาเขาขวิดที่หัวใจ เอาเท้าเหยียบจนแหลกเหลวไป


อรรถกถามหิสราชจริยา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๗๔ หน้า ๒๙๓

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

กรรมของชายเจ้าชู้

L56.1.png


พระอิสิทาสีเถรีรูปนี้ เดิมทีท่านเป็นผู้ชายมาก่อน และได้สั่งสมบุญบารมีไว้ในชาติก่อนๆ แล้ว แต่ในชาติที่ ๗ จากชาติสุดท้าย เขาได้ไปเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น

จุติ (ตาย) จากชาตินั้นแล้ว ก็ต้องไปตกนรกอยู่หลายร้อยปี พ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ๓ ชาติ ตายจากนั้นก็ไปเกิดเป็นกะเทยเป็นลูกทาส ตายจากลูกทาสก็ไปเกิดเป็น
ลูกสาวช่างทำเกวียนที่ยากจน เมื่อลูกชายนายเกวียนมาพบเข้าก็เอาไปเป็นเมีย แต่นายคิริทาสได้มีเมียอยู่ก่อนแล้ว

เมียเก่าของนายคิริทาสเป็นคนดีมีศีลธรรม เมียน้อยลูกสาวช่างทำเกวียนนั้น มีปกติเป็นคนขี้ริษยา เมื่อมาเป็นเมียน้อยเขา ก็พยายามยุยงให้สามีเกลียดเมียหลวง จนเมียหลวงอยู่ไม่ได้ นางเลยได้ครองความเป็นใหญ่ในบ้านไปจนตาย

ในพุทธกาลนี้ นางได้ไปเกิดเป็นธิดาของเศรษฐี ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสมบัติ ทั้งศีลาจารวัตรก็ดีงาม มีชื่อว่า อิสิทาสี พอนางโตเป็นสาวแล้ว บิดามารดาก็มอบให้กับบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ที่พรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ


อิสิทาสีได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างดี ปฏิบัติสามีดังเทวดา แต่นางก็ได้อยู่กับสามีได้เพียงเดือนเดียว ด้วยผลแห่งกรรมของนาง ก็ทำให้สามีเกิดความเบื่อหน่าย นำนางออกจากเรือนไป ทั้งที่นางมิได้มีความผิดอะไรเลย มาดูจากปากคำที่นางเล่าไว้เอง ดังนี้

“ข้าพเจ้าเกิดที่กรุงอุชเชนี ราชธานีของแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีผู้มีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักและโปรดปรานและเอ็นดู ต่อมาเศรษฐีเมืองสาเกต มาขอข้าพเจ้าให้แก่บุตรของเขา บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ไปเป็นสะใภ้เขา


ข้าพเจ้าเข้าไปทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า ไหว้เท้าพ่อผัวและแม่ผัวทั้งเช้าและเย็นตามวิธีที่ถูกสั่งสอนมา ข้าพเจ้าเห็นพี่น้องคนใกล้เคียง หรือแม้แต่คนสนิทเพียงคนเดียวของสามี ข้าพเจ้าก็หวาดกลัว ต้องให้ที่นั่งเขา ต้องรับรองเขาด้วยข้าวน้ำอย่างเรียบร้อย

เมื่อเข้าเรือนไปที่ประตู จะต้องล้างมือและเท้าก่อน แล้วประนมมือเข้าไปหาสามี ต้องถือหวี เครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ ต้องหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ต้องปฏิบัติสามีเหมือนอย่างมารดาปรนนิบัติบุตรคนเดียวฉะนั้น


ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดี ทำหน้าที่ภรรยาครบถ้วน เลิกมานะถือตัว ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีศีล แม้อย่างนี้สามีก็ยังมีเกลียด เขาบอกกะบิดามารดาว่าฉันจะลาไปละ ฉันไม่ขออยู่ร่วมกะอิสิทาสี ทั้งจะไม่ขออยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกันด้วย

บิดามารดาพูดกะเขาว่า อย่าพูดอย่างนี้สิลูก อิสิทาสีเป็นคนฉลาด มีความสามารถ ขยัน ไม่เกียจคร้าน ทำไมเจ้าไม่ชอบเขาละลูกเอ๋ย? เขาได้ตอบว่า อิสิทาสีไม่เบียดเบียนอะไรฉันดอกจ้ะ แต่ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับเขา ฉันเกลียดเขา ฉันอยู่กับเขามาพอแล้ว ฉันขอลาไปก่อนละ


แม่ผัวและพ่อผัวฟังคำของเขาแล้ว ได้ถามข้าพเจ้าว่า เจ้าได้ทำอะไรผิดต่อเขา จึงถูกเขาทอดทิ้ง? จงพูดไปตามความจริงซิ ข้าพเจ้าตอบว่า หนูไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เบียดเบียนเขา ทั้งไม่ได้พูดคำหยาบคาย หนูหรือจะกล้าทำสิ่งที่สามีเกลียดได้

บิดาและมารดาของเขา มีความเสียใจเป็นทุกข์ หวังจะถนอมบุตร จึงนำข้าพเจ้าไปส่งที่บ้านบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลายเป็นแม่หม้ายอยู่ไม่นาน บิดาก็ได้ยกข้าพเจ้าให้กับชายคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะต่ำกว่าสามีคนแรก แต่เขาก็เป็นสามีข้าพเจ้าได้เพียงเดือนเดียว เขาก็ขับข้าพเจ้าผู้ปฏิบัติสามีดุจทาสีอีก


เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่บ้านไม่นานนัก บิดาเห็นขอทานคนหนึ่ง ก็เลยยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาของเขา เขาเป็นสามีข้าพเจ้าอยู่เพียงครึ่งเดือน เขาก็บอกเลิกกะข้าพเจ้า ขอกลับไปเป็นขอทานอย่างเดิม

เมื่ออยู่โดดเดี่ยวอีก ข้าพเจ้าก็คิดว่าจำจะขอลาบิดาและมารดาไปตาย หรือมิฉะนั้นก็บวชเสียดีกว่า ในขณะนั้น พระแม่เจ้าชินทัตตา ผู้ทรงพระวินัยเป็นพหูสูตสมบูรณ์ด้วยศีล กำลังเที่ยวบิณฑบาตมายังเรือนของบิดา


ข้าพเจ้าเห็นท่านแล้ว จึงลุกขึ้นไปจัดอาสนะของตนถวายท่าน เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็กราบเท้าและถวายโภชนะ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว จึงเรียนท่านว่า “พระแม่เจ้า ดิฉันต้องการจะบวชเจ้าค่ะ”

ลำดับนั้น บิดาได้พูดกะข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย ลูงจงประพฤติธรรมอยู่ในเรือนนี้แล้วกัน จงเลี้ยงดูสมณะพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำไปเถิดลูก” ข้าพเจ้าร้องไห้ประนมมือพูดกะบิดาว่า “พ่อจ๋า ความจริงลูกได้ทำบาปมามากแล้ว ลูกจะขอชำระบาปนั้นให้เสร็จสิ้นกันไปเสียที”


บิดาจึงอวยพรข้าพเจ้าว่า “ขอลูกจงบรรลุโพธิญาณธรรมอันเลิศ และได้พระนิพพานมีพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุดแห่งสัตว์เท้า ทรงกระทำให้แจ้งแล้วเถิด” เมื่อนางบวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัต และระลึกชาติก่อนได้ ๗ ชาติ และท่านได้เล่าประวัติส่วนตัว ดังนี้

“เมื่อข้าพเจ้าเป็นชาย เกิดในนครเอรกัจฉะ เป็นช่างทองมีทรัพย์มาก มัวเมาในวัยหนุ่มได้เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเกิดในนรกเป็นเวลาช้านาน ตายจากนรกแล้วมาเกิดเป็นลิง พอคลอดได้ ๗ วัน ลิงจ่าฝูงก็ได้กัดอวัยวะสืบพันธุ์ นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น


ตายจากลิงแล้วก็ไปเกิดในท้องแม่แพะตาบอดและเป็นง่อย อยู่ในป่าแคว้นสินธพ พออายุได้ ๑๒ ปี พาเด็กขี่หลังไปกระแทกอวัยวะเพศ ป่วยเป็นโรคหนอนฟอน นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น

จุติจากกำเนิดโคแล้ว ไปเกิดในเรือนทาสี ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย พออายุได้ ๓๐ ปีก็ตาย แล้วไปเกิดเป็นหญิงลูกช่างทำเกวียนที่ยากจนขั้นต้น ต้องถูกรุมทวงหนี้ เมื่อมีหนี้พอกพูนทับถมมากขึ้น นายกองเกวียนก็ริบสมบัติ และฉุดข้าพเจ้าไปบ้านของเขา บุตรนายกองเกวียนชื่อคิริทาสเห็นข้าพเจ้าแล้วก็มีจิตปฏิสัมพันธ์ขอไปเป็นภรรยา”



อิสิทาสีเถรี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๔๖๖

L55.png


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:49 , Processed in 0.058900 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.