แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

  ตอนที่ ๑๒

โลภมากลาภหาย

L56.1.png


ในอดีตกาล ในกัปที่ ๕ แต่ภัทรกัปนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพ่อค้าเร่ มีชื่อว่า เสรีวะ ในแคว้นเสริวรัฐ เสรีวะโพธิสัตว์มีเพื่อนเป็นพ่อค้าด้วยกันคนหนึ่ง มีชื่อว่า เสรีวะ เหมือนกัน แต่เป็นพ่อค้าเร่ขี้โกง

วันหนึ่ง พ่อค้าเร่ทั้งสองได้ไปค้าขายในพระนครอริฏฐปุระ โดยทั้งสองพ่อค้าต่างแยกกันไปคนละฟากถนน โดยพ่อค้าโกงเข้าไปก่อน ก็ไปในบ้านของตระกูลเศรษฐีเก่า แต่ภายหลังยากจน มีอยู่เพียงยายกับหลานสาวคนหนึ่งซึ่งยังเล็กอยู่


เมื่อพ่อค้าโกงเดินเร่เข้าไปถึงบ้านเศรษฐีเก่า ก็ได้ร้องขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ หลานสาวได้ยินก็ร้องให้ยายช่วยซื้อของประดับให้ แต่ยายก็บอกว่าไม่มีเงินจะซื้อ แต่เมื่อหลานสาวรบเร้าหนักเข้า ยายรำคาญก็เที่ยวมองหาของแลกเปลี่ยน ก็พอดีเห็นถาดเก่าอยู่ใบหนึ่ง จึงเรียกพ่อค้าเร่เข้ามา แล้วเอาถาดเก่ายื่นให้ ขอแลกเครื่องประดับเล็กน้อยให้แก่หลานสาว

เมื่อพ่อค้าโกงรับถาดมาพิจารณาดู พร้อมกับขีดดู ก็รู้ว่าเป็นถาดทองคำแท้ มีราคาแพงมาก ก็คิดจะได้เปล่าๆ จึงแกล้งทิ้งถาดลงแล้วว่า “ถาดนี้จะมีราคาอะไรกัน ไม่เอาหรอก” พูดแล้วก็ทำเป็นเล่นตัว เดินออกไป โดยคิดว่าจะได้ถาดทองคำเปล่าๆ

ฝ่ายยายก็คิดว่าเป็นถาดไม่มีค่า จึงปลอบหลานว่า “ถาดมันไม่มีราคาหรอกหลานเอ๋ย พ่อค้าเขาจึงไม่เอา นิ่งเสียเถอะหลาน ก็เรามันจนจะทำยังไงได้ล่ะ” เมื่อพ่อค้าโกงผ่านไปแล้ว พ่อค้าโพธิสัตว์ก็ผ่านมายังบ้านนั้น เมื่อหลานสาวเห็นก็ร้องให้ยายซื้อของประดับให้อีก เมื่อไม่มีเงินให้ก็ใช้ไม้เก่า คือเอาถาดใบนั้นให้พ่อค้า แล้วแต่พ่อค้าจะให้เท่าไรก็ได้

ฝ่ายพ่อค้าโพธิสัตว์รับถาดมาพิจารณา และขีดดูแล้ว ก็บอกยายว่า “ยายจ๋า ถาดนี้เป็นถาดทองคำแท้ ราคาหาค่ามิได้ สินค้าของฉันทั้งหมดยังไม่เท่าราคาถาดทองคำนี้เลย ฉันไม่มีของพอจะแลกถาดนี้หรอก”

ฝ่ายยายก็ว่า “โอ! คงเป็นบุญของพ่อแล้ว เมื่อครู่นี้เอง พ่อค้าเร่มาดูก็ว่าเป็นถาดไม่มีราคา เขาไม่ต้องการ นี่คงเป็นบุญของพ่อที่เห็นถาดใบเก่าเป็นทอง พ่อจงเอา ไปเถอะ แล้วให้ของตามสมควรเถิด”


พ่อค้าเร่ผู้มีใจเป็นธรรม จึงเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ๕๐๐ กหาปณะ พร้อมทั้งสิ่งของทั้งหมดมีมูลค่า ๕๐๐ กหาปณะ มอบให้แก่ยายหลานทั้งหมด ขอแต่ตาชั่งและถุงใส่ของพร้อมกับเงิน ๘ กหาปณะ เพื่อเป็นค่าเรือจ้างข้ามแม่น้ำเท่านั้น

ฝ่ายยายกับหลานก็สุดแสนจะดีใจ และนับถือพ่อค้าเร่ที่มีความยุติธรรม ฝ่ายพ่อค้าโกงคนนั้น เมื่อออกจากบ้านยายมาสักครู่ ก็คิดเสียดายถาดทองคำจึงหวนกลับมาอีก พอยายเห็นพ่อค้าโกงจึงบริภาษว่า “กลับมาทำไมอีกล่ะ แกตีราคาถาดทองอันมีค่าถึงแสนกหาปณะเพียงกึ่งกหาปณะเท่านั้น บัดนี้พ่อค้าเร่ใจดีได้เอาถาดทองคำนั้นแล้ว”


พ่อค้าโกงพอรู้ว่าพ่อค้าเพื่อนกันเอาถาดไปแล้ว ก็เกิดความเสียดายและเสียใจเป็นกำลังไม่อาจจะควบคุมสติไว้ได้ ถึงกับล้มฟุบสลบไปทันที พอฟื้นขึ้นมาก็สติแตก เพราะความโศกที่สูญเสียถาดทองไป ได้โปรยกหาปณะและสินค้าไว้ที่ประตูเรือนของยายนั่นเอง

ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ยหมด คว้าคันตาชั่งทำเป็นไม้ค้อน รีบตามพ่อค้าใจดีไปโดยเร็ว ไปทันกับพ่อค้าโพธิสัตว์ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรือจ้างได้ออกเรือไปแล้ว เขาจึงได้ร้องเรียกว่า “เรือจ้างกลับมาก่อน นายเรือจงกลับมาก่อน” ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้บอกนายเรือจ้างว่า “นายเรือจ๋า อย่ากลับไปเลย”


ฝ่ายพ่อค้าโกงเห็นดังนั้น ก็เกิดความแค้นใจเป็นกำลัง ความร้อนก็เกิดขึ้นในอก เลือดได้พุ่งออกจากปาก หทัยแตกพร้อมกับการผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์ก่อนสิ้นชีพในนั้นเอง

นี่เป็นการอาฆาตในพระโพธิสัตว์ เป็นครั้งแรกของพระเทวทัตแล.



อรรถกถาเสรีววาณิชชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๑๗๙

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

วาจาใครคิดว่าไม่สำคัญ

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรตตนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าเหมือนหมูไว้ ดังนี้

ในอดีตกาล ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ครั้งนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้มีมารยาททางกายดีมาก คือ สำรวมกายน่าเลื่อมใส แต่ท่านไม่สำรวมวาจาคือปาก มักจะด่าว่าภิกษุทั้งหลายเป็นประจำ  ครั้นมรณภาพ (ตาย) แล้ว ท่านจึงไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพุทธันดรหนึ่ง


(ช่วงที่ว่างจากพระพุทธเจ้า) จึงพ้นจากนรกแล้วมาเกิดในยุคพระพุทธเจ้าของเรานี้ ในร่างของเปรตมีหัวเป็นหมู ด้วยเศษของบาปกรรมที่ด่าพระ อยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ร่างกายของเปรตตนนั้น มีสีเหมือนทอง ด้วยอำนาจของกุศลกรรมที่ได้บวชพระ แล้วมีการสำรวมทางกายดี แต่ต้องมีหัวเป็นหมูเพราะด่าพระ

เช้าวันหนึ่ง ท่านพระนารทะพักอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ได้ออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ แล้วได้พบกับเปรตในระหว่างทาง จึงได้ถามถึงบุพกรรม (กรรมเก่า) ของท่าน เปรตผู้มีรัศมีกายสว่างช่วงโชติ ดุจสีทองคำไปทั่วทิศ จึงได้เล่าให้ท่านฟัง พร้อมทั้งขอร้องให้ผู้ที่บวชอยู่ อย่าได้ใช้ปากด่าว่าภิกษุเหมือนตนเลย


เมื่อท่านพระนารทะกลับจากบิณฑบาต และฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปกราบทูลเนื้อความเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ ซึ่งประทับนั่งอยู่ท่ามกลางที่ประชุมพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา)

พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ! เมื่อก่อนเราก็ได้เคยเห็นเปรตนั้นเช่นกัน” ครั้นแล้วจึงยกโทษของวจีทุจริต (ทำความชั่วทางปาก) มาตรัสพร้อมทั้งแสดงอานิสงส์แห่งวจีสุจริตแก่พุทธบริษัทด้วย


อรรถกถาสูกรเปตวัตถุ

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

เหตุที่เกิดเป็นทาส

L56.1.png


ในอดีตกาล ในสมัยที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนาในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ท่านได้ถวายผลมะม่วงแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อชิตะ ผู้ลงมาจากเขาคันธมาทน์มาเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้กระทำบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมาก


ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านได้เกิดในเรือนของทาสในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และได้รับมอบหมายให้ท่านดูแลพระวิหาร ท่านก็เอาใจใส่ด้วยดีมีศรัทธา อีกทั้งได้เห็นพระพุทธเจ้า และได้ฟังพระสัทธรรมอยู่เนืองๆ จนมีศรัทธาแก่กล้าแล้ว จนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบวช ท่านเศรษฐีก็อนุโมทนาและอนุญาตให้บวชได้ด้วยความเป็นไท

ท่านพระทาสกเถระ ได้บำเพ็ญบารมีมามาก แต่ต้องไปเกิดในท้องของนางทาสี ก็ด้วยเศษกรรมที่ท่านทำไว้ในสมัยศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ในสมัยนั้นท่านเจริญวัยแล้ว ได้บำรุงพระอรหันต์รูปหนึ่ง แต่มีอยู่วันหนึ่งท่านได้บังคับให้พระอรหันต์รับใช้ท่าน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ท่านจึงต้องมาเกิดในท้องของนางทาสีในชาตินี้


พระอรรถกถาทาสกเถรคาถา  

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๑๔๓

L55.png



Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

กรรมพัฒนาได้

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรต ซึ่งเป็นลูกของเศรษฐีคนหนึ่ง ดังนี้

ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นที่รักที่ชอบใจของท่านเศรษฐีมาก พอลูกรู้เดียงสา เศรษฐีและภรรยามีความคิดกันว่า แม้ว่าลูกของเราจะใช้จ่ายวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน เขาจะใช้จ่ายไปถึงร้อยปี ทรัพย์สมบัติของเราก็ไม่หมด ด้วยความคิดว่าถ้าลูกไปศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ ก็จะทำให้ลูกลำบาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจจะใช้ทรัพย์ของเรานี้หมดอยู่แล้ว


เมื่อลูกชายโตพอที่จะมีภรรยาได้แล้ว เศรษฐีได้ไปสู่ขอหญิงที่มีสกุลคู่ควรกันมาให้ลูกชาย ทั้งสองครองคู่ด้วยความสุขในโลกีย์สุข โดยไม่ใส่ใจในการทำมาหากินประการใด อีกทั้งไม่ฝักใฝ่ในการทำบุญกุศลอีกด้วย และลุ่มหลงอยู่ด้วยกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส จนบิดามารดาได้ถึงแก่กรรมลง

เมื่อสิ้นผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เขาทั้งสองก็ยิ่งใช้จ่ายทรัพย์หนักมากยิ่งขึ้น มีการหานักร้อง นักรำ และนักเลงอบายมุขมาร่วมบันเทิงเริงรมย์สนุกสนานกันเต็มที่ทุกวัน ทรัพย์ก็เริ่มลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้น ต้องไปกู้ยืมเขามาใช้จ่าย ในที่สุดแม้บ้านและที่ดินก็ถูกเจ้าหนี้ยึดไปหมด ต้องกลายเป็นคนอนาถาถือกระเบื้องเที่ยวขอทานเขากินไปวันๆ ทั้งผัวเมียอาศัยหลับนอนตามศาลาสาธารณะในกรุงราชคฤห์นั่นเอง


ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกมิจฉาชีพได้ชักชวนลูกอดีตเศรษฐีว่า รูปร่างแข็งแรงและหนุ่มแน่นอย่างนี้ จึงประโยชน์อะไรด้วยการขอเขากิน มาหากินกับพวกเราดีกว่า งานไม่หนักแต่ได้ทรัพย์มาก ลูกอดีตเศรษฐีก็เห็นดีด้วย จึงเข้าร่วมกับกลุ่มโจรเข้าปล้นบ้านครั้งแรก โดยให้เขาคอยเฝ้าที่หน้าด้านประตู ถ้าเห็นเจ้าทรัพย์วิ่งออกมาก็ให้เอาฆ้อนใหญ่ทุบให้ตาย

ส่วนลูกอดีตเศรษฐีได้ยืนรออยู่จนพวกเจ้าทรัพย์พบตัว จึงช่วยกันส่งไปให้พระราชาชำระโทษ พระราชาได้ตัดสินให้ประหารชีวิตในที่สาธารณะ แต่ก่อนที่จะประหารชีวิตก็ต้องมีการมัดมือไพล่หลัง คล้องพวกมาลัยสีแดง โรยศีรษะด้วยผงอิฐ ตีกลองประจานไปบนรถ เฆี่ยนด้วยหวายประจานไปทั่วเมืองจนไปสู่ที่ประหาร ประชาชนพากันมาดูโจรปล้นกันมาก

ในนครนั้นมีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อว่า สุลสา เธอได้ยืนดูอยู่ที่หน้าต่างปราสาท เธอจำชายคนนั้นได้ว่า เคยเป็นผู้บำเรอของเขา เธอเกิดนึกสงสารในความทุกข์ของเขา ซึ่งครั้งนั้นเคยเป็นถึงลูกเศรษฐี บัดนี้ถึงความพินาศที่สุด แม้ชีวิตก็จะอยู่อีกไม่นาน จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูก และน้ำดื่มไปให้เขา ขอความกรุณารอให้นักโทษคนนี้กินขนมและดื่มน้ำก่อนจึงค่อยประหาร

ในระหว่างนั้นเอง พระมหาโมคคัลลานะ ท่านตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นนักโทษคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนจิตคิดว่า “ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาปมาตลอด เพราะฉะนั้นชายคนนี้จะต้องไปเกิดในนรก ครั้นพอเราไปพบเขาถวายขนมและน้ำดื่มแล้วก็จะไปเกิดในภพเทวดา เราควรจะได้เป็นที่พึ่งของนักโทษผู้นี้


เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ไปปรากฏตัวข้างหน้าเขา ในขณะที่มีคนกำลังนำขนมต้มและน้ำดื่มไปให้เขา ครั้นเขาเห็นพระเถระก็มีจิตคิดยินดีเลื่อมใส คิดว่า “เราจะถูกฆ่าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยการกินขนมและดื่มน้ำ และด้วยผลแห่งทานนี้ ก็ย่อมจะเป็นเสบียงพาไปสู่โลกอื่น”

จึงสั่งให้เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่พระเถระ และเพื่อจะเจริญศรัทธาของนักโทษนั้น เมื่อนักโทษกำลังแลดูอยู่นั่นเอง ท่านพระเถระก็นั่งฉันขนมต้มและดื่มน้ำของนักโทษแล้วจากไป เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษไปตัดศีรษะยังที่ประหาร


ด้วยอานิสงส์ที่เขาได้ทำบุญไว้กับพระเถระ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เขาควรที่จะได้ไปเกิดในเทวโลกชั้นสูง แต่เพราะจิตของเขาเศร้าหมองในเวลาจะดับจิต เพราะคิดถึงนางสุลสา ดังนั้นจึงไปเกิดเป็นเทพชั้นต่ำ คือเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันที่สนิทที่ภูเขา

ท่านผู้รู้ได้กล่าวถึงลูกอดีตเศรษฐีว่า
ในปฐมวัย ถ้าเขาดำรงรักษาสกุลดี เขาก็จะได้เป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีอื่นๆ ในกรุงราชคฤห์นั่นเอง ในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยกลางคน ในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยสุดท้าย

แต่ถ้าในปฐมวัย เขาได้บวช ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นพระสกิทาคามีหรือพระอนาคามี ถ้าบวชในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เพราะความที่คลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงกลายเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในการทุจริต เขาจึงต้องเสื่อมจากสมบัติทั้งปวงอย่างน่าสังเวชใจยิ่ง


ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรหรือรุกขเทวดานั้น เห็นนางสุลสาไปเที่ยวสวน เกิดความกำหนัด จึงเนรมิตให้เกิดความมืด แล้วนำนางไปยังภพของตน อยู่ร่วมกันนาน ๗ วัน และได้แนะนำตนแก่นาง ถึงสาเหตุที่เขาได้มาเกิดเป็นรุกขเทวดาในที่นี้ (เพราะขนมของนางเป็นเหตุ)

ฝ่ายมารดาของนาง เมื่อไม่เห็นนางสุลสากลับมา ก็ร้องไห้วิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้ ชาวบ้านจึงแนะนำว่าพระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ท่านอาจจะทราบที่อยู่ของนางก็ได้ นางจึงรีบไปหาพระเถระ พระเถระบอกว่าในวันที่ ๗ นางสุลสาก็จะกลับมา
ในที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทที่พระเวฬุวันนี้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

ลำดับนั้น นางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรว่า “การที่ดิฉันจะอยู่ในภพของท่าน เป็นการไม่สมควรเลย วันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้ว ที่ท่านพาดิฉันมา เมื่อแม่ดิฉันไม่เห็น ก็ย่อมจะเศร้าโศกเป็นห่วง ขอท่านจงพาดิฉันไปส่งไว้ที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทเถิด”

ฝ่ายรุกขเทวดาจึงได้พานางสุลสาไปส่งไว้ที่ท้ายพุทธบริษัท ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ โดยที่ประชุมไม่เห็นเทพบุตร เห็นแต่นางสุลสาคนเดียว ที่ประชุมได้ตื่นเต้น สอบถามนางเป็นการใหญ่ นางก็ได้เล่าให้ฟังโดยตลอด


ที่ประชุมต่างพากันสงสัยว่า อดีตลูกเศรษฐีตอนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่เคยทำบุญเลย ทำแต่บาปตลอด เหตุไฉนทำบุญเพียงขนมต้มและน้ำดื่มเพียงเล็กน้อย จึงได้เกิดเป็นเทพบุตรได้ ต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วกัน ในเวลาจบพระธรรมเทศนา รุกขเทวดา นางสุลสา พุทธบริษัทต่างได้บรรลุธรรมแล้วแล


อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุ

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนายพรานชื่อ โกกะ ผู้ยุให้สุนัขกัดพระเถระ แล้วตนเองก็ได้รับกรรมนั้นสนอง ดังนี้

เช้าวันหนึ่ง นายพรานโกกะผู้หากินทางล่าเนื้อ มีธนูเป็นอาวุธคู่มือ และมีสุนัขเป็นบริวารล่าเนื้ออยู่ฝูงหนึ่ง ออกป่าล่าเนื้อไปพบภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ พบภิกษุเขาก็โกรธ พลางคิดว่า “เราพบคนกาลกิณีเสียแล้ว วันนี้เราคงจะไม่ได้เนื้อเป็นแน่”


ฝ่ายภิกษุนั้นเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็ได้เดินทางกลับทางเดิม ก็มาพบกับนายพรานโกกะเข้าอีก ฝ่ายนายพรานโกกะเที่ยวมองหาเนื้อในป่าก็ไม่พบ แต่กลับมาพบพระเข้าอีก คราวนี้ก็มีความโกรธเป็นกำลังสอง จึงยุให้สุนัขทั้งฝูงไล่กัดพระ

ฝ่ายพระก็ได้อ้อนวอนว่า “อุบาสก ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย” นายพรานร้องบอกว่า “วันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้อะไรเลย เพราะมาพบท่าน ท่านก็มาพบข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าจะให้สุนัขกัดท่าน” ว่าแล้วก็ได้ให้สัญญาณแก่สุนัข พระเถระก็ดีรีบปีนขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่งโดยเร็ว ได้นั่งที่สูงชั่วคนยืน สุนัขทั้งหลายก็พากันล้อมต้นไม้ไว้


นายพรานโกกะร้องว่า “แม้ท่านขึ้นต้นไม้ก็จะไม่พ้นภัยไปได้” ว่าแล้วเขาก็เอาปลายลูกธนูแทงเท้าของพระเถระ แม้พระเถระจะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ฟัง กลับกระหน่ำแทงใหญ่ พระเถระถูกลูกศรแทงเท้าข้างหนึ่ง ก็หดเอาเท้าขึ้น เขาก็แทงอีกเท้าหนึ่ง เท้าทั้งสองถูกแทงเลือดไหล

ขณะที่พระเถระกำลังหดเท้าทั้งสองขึ้นลงอยู่นั่นเอง ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทง ท่านจึงคุมสติไม่อยู่ จีวรได้หลุดลุ่ย และหล่นลงมาคลุมร่างของนายพรานโกกะเข้าทั้งตัว ฝ่ายฝูงสุนัขเห็นผ้าเหลืองหล่นลงมา จึงคิดว่าพระเถระตกลงมาแล้ว ต่างพากันรุมกินนายพรานจนเหลือแต่กระดูก


เมื่อพวกสุนัขออกมาจากจีวรแล้ว พระเถระจึงหักกิ่งไม้ขว้างสุนัขเหล่านั้น เมื่อสุนัขเหล่านั้นแหงนขึ้นไปดูบนต้นไม้ เห็นภิกษุยังอยู่ จึงรู้ว่ามันได้กัดเจ้าของเสียแล้ว จึงพากันวิ่งเข้าป่าไป ฝ่ายพระเถระเมื่อกลับมาวัดแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ เพราะเกรงว่าตนจะยังมีศีลบริสุทธิ์อยู่หรือไม่

พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ภิกษุ! ศีลของเธอไม่ด่างพร้อย เขาผู้ทำร้ายเธอผู้ไม่ทำร้ายตอบจึงถึงความพินาศ และมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เขาถึงความพินาศ แม้ในอดีตกาลเขาก็ได้ทำร้ายต่อผู้ที่ไม่ทำร้ายตอบ และก็ได้ถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน” ครั้นแล้วทรงนำอดีตของนายพรานมาเล่า ดังนี้


ในอดีตกาล มีหมอคนหนึ่งเที่ยวไปตามหมู่บ้าน เพื่อต้องการรักษาคน เดินไปจนเมื่อยก็ไม่มีใครจะให้รักษา เกิดความหิวรบกวน แล้วเดินไปพบกับเด็กกลุ่มหนึ่ง กำลังเล่นกันอยู่ที่ประตูบ้าน เขาก็จึงเกิดความคิดว่า “เราจะให้งูกัดเด็กเหล่านั้นแล้วรักษา เราก็จะได้ค่าอาหาร”

คิดดังนี้แล้ว จึงได้ให้งูนอนชูหัวอยู่ที่โพรงใต้ต้นหนึ่ง แล้วจึงบอกกับเด็กๆ เหล่านั้นว่า “นี่แน่ะเจ้าหนูทั้งหลาย นั่นลูกนกสาลิกา อยู่ในโพรงไม้นั่น พวกเจ้าจงจับมันสิ”

ในทันใดนั้นเอง เด็กน้อยคนหนึ่งต้องการลูกนก จึงได้ปีนขึ้นต้นไม้แล้วเอามือล้วงลงไปในโพรง จับที่คองูไว้แน่น เมื่อดึงออกมา จึงรู้ว่ามันเป็นงู จึงเกิดความกลัวสลัดงูอย่างแรงลงไปตกบนหัวของหมอพอดี งูจึงได้กัดคอของหมอ และกัดหมอจนถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง

นายพรานโกกะนี้แล แม้ในกาลก่อนก็ได้ทำร้ายต่อผู้ที่ไม่ทำร้ายตอบและได้ถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน พระศาสดา ครั้นทรงนำเอาอดีตประวัติมาแสดงจบแล้ว ทรงสรุปว่า

“ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ เป็นผู้บริสุทธิ์ บาปกรรมย่อมกลับคืนสู่ผู้นั้น ผู้เป็นคนพาล เหมือนธุลีอันละเอียดที่เขาซัดทวนลมไปฉะนั้น” ในกาลจบพระธรรมเทศนา มหาชนย่อมได้รับประโยชน์แล้วแล



เรื่องนายพรานสุนัขโกกะ

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๒ หน้า ๔๕

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

คู่บุญ - คู่ชีวิต

L56.1.png



ได้ยินว่า ในกาลแห่งศาสนาของพระปทุมุตรพุทธเจ้า พระภัททกาปิลานีเถรี เกิดในเรือนแห่งตระกูลในนครหังสวดี รู้ความแล้วไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุณีของผู้ระลึกชาติได้ จึงกระทำบุญญาธิการแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น และได้กระทำบุญจนตลอดชีวิต

เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ได้เกิดในเรือนตระกูล ในกรุงพาราณสี แล้วได้ไปสู่ตระกูลของสามี


วันหนึ่ง ได้ทะเลาะกับน้องสาวของสามี เมื่อเห็นน้องสาวของสามีได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เขาจักได้สมบัติอันโอฬาร จึงรับบาตรจากหัตถ์ของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเทภัตตาหารทิ้งเสีย เอาเปลือกต้มใส่จนเต็มบาตร แล้วถวายทานแทน มหาชนต่างติเตียนว่า “นางคนพาล พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านทำอะไรผิดกะเจ้าหรือ?”

นางเกิดความละอายเพราะคำของมหาชน จึงรับบาตรมาอีก แล้วเอาเปลือกต้มออกเททิ้ง ขัดถูบาตรด้วยผงเครื่องหอม เอาของมีรสอร่อย ๔ อย่าง ใส่จนเต็ม แล้ววางบาตรที่สว่างด้วยเนยใส ซึ่งมีสีเหลืองเหมือนดอกบัว ที่ราดไว้ข้างบน แล้วตั้งความปรารถนาว่า “บิณฑบาตนี้มีแสงสว่างฉันใด ขอร่างกายของเราจงมีแสงสว่างฉันนั้นเถิด”

เมื่อนางได้เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายเท่านั้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ นางได้เกิดในเรือนของเศรษฐีมีสมบัติมาก นางจึงมีร่างกายเหม็น พวกมนุษย์พากันรังเกียจ


นางเกิดความสังเวชตนเอง จึงเอาเครื่องประดับของตนขายแล้วสร้างอิฐทองคำประดิษฐานไว้ที่พระเจดีย์ของพระพุทธเจ้า และถือเอาดอกอุบลบูชา ด้วยบุญกรรมนั้น ร่างกายของนางจึงมีกลิ่นหอมจับใจ ภพนั้นเองนางจึงเป็นที่รักที่ชอบใจของสามี นางได้ทำกุศลตลอดชีวิต

เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว นางก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ แม้ในสวรรค์นั้นนางก็ได้เสวยทิพยสุขตลอดชีวิต ครั้นจุติจากสวรรค์แล้ว นางก็ได้ไปเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพาราณสี เสวยสมบัติเช่นสมบัติของเทวดา


นางได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเวลานาน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นปรินิพพานแล้ว นางเกิดความสังเวชใจ จึงบวชเป็นดาบสินีอยู่ในพระราชอุทยาน เจริญฌานทั้งหลายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

ในพุทธกาลนี้ นางจุติจากพรหมโลกแล้ว ได้เกิดในเรือนของตระกูลพราหมณ์โกสิยโคตร ในเมืองสาคลนคร เติบโตเป็นสาวด้วยบริวารใหญ่ เจริญวัยสมควรแล้ว มารดาบิดาได้นำไปสู่ตระกูลสามี มีชื่อว่า ปิปผลิกุมาร ในมหาติตถคาม

เมื่อปิปผลิกุมารออกบวช นางจึงละโภคะกองใหญ่ออกบวชตาม ได้เข้าไปอยู่อารามของเดียรถีย์ ๕ ปี ต่อมานางได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักของพระนางมหาปชาบดีโคตรมี เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่ช้านานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต


ท่านจึงกล่าวไว้ในอุปทานว่า “ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารมีพระนามว่า ปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในครั้งนั้นในพระนครหังสาวดี มีเศรษฐีชื่อว่า วิเทหะ เป็นผู้มีรัตนะมาก

ข้าพเจ้าเป็นชายาของเขา บางครั้งเศรษฐีนั้นพร้อมทั้งบริวาร ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมของพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทรงตั้งภิกษุองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศทางธุดงค์

สามีของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าตลอด ๗ วัน แล้วซบเศียรลงแทบยุคลบาทตั้งความปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง พระพุทธเจ้าเมื่อจะให้เศรษฐีและบริวารรื่นเริงในธรรม ได้ตรัสว่า


“ดูก่อนลูก! เธอจักได้ตำแหน่งที่ปรารถนาจงใจเย็นเถิด ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่า โคตมะ พระศาสดาพระองค์นั้นจักมีธรรมทายาท จักมีโอรสอันธรรมเนรมิต จักมีสาวกนามว่า กัสสปะ

เศรษฐีสามีได้ฟังพระพุทธพยากรณ์ดังนั้น ก็มีความเบิกบานใจ มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต


ในกาลนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าและพระสาวกปรินิพพานแล้ว เศรษฐีให้เชิญญาติและมิตรมาประชุมกัน พร้อมใจกันสร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะสูง ๗ โยชน์ รุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้ให้ช่าง ๗ คน เอารัตนะ ๗ อย่าง ทำตะเกียงขึ้น ๗๐๐,๐๐๐ ดวง ใส่น้ำหอมให้เต็มทุกดวง ได้ตามไว้ในที่นั้นๆ ลุกโพลงดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาพระคุณยิ่งใหญ่ของพระผู้อนุเคราะห์ปวงสัตว์

ข้าพเจ้าให้ช่างทำหม้อ ๗๐๐,๐๐๐ ลูก เต็มด้วยรัตนะต่างๆ มีวัตถุที่ควรบูชาอันเป็นทอง ตั้งไว้ในท่ามกลางระหว่างหม้อทุกๆ ๘ หม้อ มีวรรณะรุ่งเรืองเหมือนพระอาทิตย์ เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดล้วนแล้วไปด้วยรัตนะ


ข้าพเจ้าสร้างเอาเครื่องบูชาที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ แล้วได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ กล่าวธรรมอันประเสริฐตามกำลังจนตลอดชีวิต ได้เสวยสมบัติทั้งที่เป็นของเทวดาและของมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้นเหมือนเงาไปกับตัวฉะนั้น

ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในพระนครพันธุมดีมีพราหมณ์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ดี เป็นผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมและทรัพย์ แต่ภายหลังกลับตกยาก


ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นพราหมณีของเขา มีใจเสมอกัน บางคราวพราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ ได้ถวายผ้าห่มผืนหนึ่ง มีแต่ผ้านุ่งผืนเดียวกับไปเรือน บอกข้าพเจ้าว่า “แน่ะเธอผู้มีบุญมาก จงอนุโมทนาเถิด ฉันได้ถวายผ้าห่มแต่พระพุทธเจ้าแล้ว”

ครั้งนั้นข้าพเจ้าทราบแล้ว ได้ประนมมืออนุโมทนาว่า “ข้าแต่นาย ผ้าห่มท่านถวายดีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐผู้คงที่” พราหมณ์กับข้าพเจ้า มีความเจริญด้วยสุขสมบัติร่วมกัน ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ในกรุงพาราณสีที่น่ารื่นรมย์


ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้เป็นมเหสีของท้าวเธอ สูงกว่าพวกพระสนม เป็นที่สองของท้าวเธอ ท้าวเธอโปรดปรานข้าพเจ้า เพราะความเสน่หาอันเนื่องมาจากภพก่อนๆ

พระราชานั้นทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ กำลังเที่ยวบิณฑบาต ทรงเบิกบานพระทัยได้ถวายสิ่งของอันควรแก่ค่ามากแล้วนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑปรัตนะผสมด้วยทองงดงามสูง ๑๐๐ ศอก ทรงเลื่อมใสให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมดมาถวายทานด้วยพระองค์เอง

แม้ครั้งนั้นข้าพเจ้าก็ได้ถวายทานร่วมกับพระเจ้ากาสีด้วย ท้าวเธอพร้อมทั้งพระภาดามาเกิดในตระกูลกุฎุมพีผู้มั่งคั่ง และมีความสุข ข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพราหมณ์ผู้พี่ น้องชายของสามีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเอาอาหารของพี่ชายถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพี่ชายมาได้บอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้ยินดีทาน


ขณะนั้นข้าพเจ้าก็ได้ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนสามีของข้าพเจ้าก็ได้ถวายอาหารควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลานั้นข้าพเจ้าโกรธ ได้เททานของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเสีย ได้ถวายบาตรที่เต็มไปด้วยเปลือกต้มแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น

ครั้งข้าพเจ้าเห็นสามีมีหน้าแสดงว่าสม่ำเสมอ ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจมาก สามีของข้าพเจ้ารับบาตรแล้วเอาน้ำหอมอย่างดีล้างบาตรให้สะอาด ข้าพเจ้ามีจิตยินดีเลื่อมใส ได้ถวายน้ำตาลกรวดกับเปรียงจนเต็มบาตร ข้าพเจ้าไปเกิดในภพไหนๆ ก็มีรูปงาม เพราะได้ถวายทาน แต่ก็มีกลิ่นตัวเหม็น เพราะทำกรรมไม่ดีหยาบหยามพระปัจเจกพุทธเจ้า


เมื่อสามีสร้างพระเจดีย์แห่งพระกัสสปพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีเอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียกด้วยน้ำหอม ที่เกิดจากเครื่องหอม ๔ อย่าง แล้วร่วมก่อด้วย ด้วยบุญกรรมนั้นจึงพ้นจากโทษที่มีกลิ่นตัวเหม็น

ข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมบุญกับสามีเป็นพิเศษ เมื่อสามีของข้าพเจ้าไปเกิดในแคว้นกาสี มีพระนามว่า สุมิตตะ ข้าพเจ้าก็ได้เป็นภรรยาของเขา เจริญด้วยสุขสมบัติ เป็นที่รักของสามี ครั้งนั้นสามีได้ถวายผ้าโพกศีรษะเนื้อดีแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้ข้าพเจ้าก็มีส่วนในการอนุโมทนาทานนั้นด้วย


เมื่อสามีไปเกิดในกำเนิดชาวโกสิยะในแคว้นกาสี สามีพร้อมกับชาวโกสิยะ ๕๐๐ คน ได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส และได้ถวายไตรจีวร ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมบุญกรรมนั้นด้วย

เมื่อท่านกาละจากภพนั้นแล้ว ก็ได้มาเกิดเป็นพระราชาพระนามว่า นันทะ มีพระอิสริยยศยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าก็ได้เป็นพระมเหสีของท้าวเธอ เป็นผู้มีความมั่งคั่งด้วยกามสุขทุกอย่าง

เมื่อเคลื่อนจากภพนั้นแล้ว พระเจ้านันทะก็ได้เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ข้าพเจ้ากับพระเจ้าพรหมทัต ได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดีให้อยู่ในพระราชอุทยานและบำรุงบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้ปรินิพพานแล้วจนตลอดชีวิต ภายหลังบวชแล้วเจริญอัปปมัญญา ได้ไปสู่พรหมโลกด้วยกันทั้งสอง


ครั้นจุติจากพรหมโลก สามีของข้าพเจ้าเกิดเป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า ปิปผลิ บิดาเป็นพราหมณ์โกสิยโคตร ส่วนข้าพเจ้าเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์ มีชื่อว่า ปิลานี ที่เมืองมัททชนบทในสากลบุรี

พราหมณ์สามีไปตรวจดูงานบางคราว เห็นสัตว์ทั้งหลายที่ถูกกากัดกินแล้วเกิดความสลดใจ ครั้งนั้นข้าพเจ้าเอาเมล็ดงาออกพึ่งแดด เห็นมีหนอนกัดกินอยู่เกิดความสลดใจ ครั้งนั้นพราหมณ์สามีออกบวช ข้าพเจ้าจึงออกบวชตาม อยู่ในสำนักปริพาชก ๕ ปี


เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงผนวชแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปหาท่าน ครั้นบวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต เรามีพระมหากัสสปะผู้มีสิริเป็นกัลยาณมิตร เราทั้งสองเห็นโทษในโลกแล้วออกบวช ฝึกตนแล้ว ข้าพเจ้าเผากิเลส ถอนภพได้แล้ว บรรลุวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว”

พระภัททกาปิลานีเถรี เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นผู้มีความชำนาญอย่างเชี่ยวชาญในปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เพราะได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในภพนั้นๆ กาลต่อมา พระศาสดาประทับท่ามกลางสงฆ์ทรงตั้งพระเถรีไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุทั้งหลายผู้ทรงระลึกชาติได้


อรรถกถาภัททกาปิลานีเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๑๕

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

เรื่องเล็กที่เป็นเรื่องใหญ่

L56.1.png



ในสมัยแห่งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ เดือน จึงจะมีการสวดพระปาฏิโมกข์ครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้นมีภิกษุ ๒ รูป มีความรักใคร่สามัคคีกันดีมาก ท่านทั้งสองกำลังเดินทางจะไปลงโบสถ์

ในระหว่างเดินทางมากลางป่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งเกิดปวดอุจจาระ จึงเข้าไปยังป่าละเมาะเพื่อถ่ายทุกข์ พอท่านถ่ายเสร็จแล้วก็เดินออกมา ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ยืนรออยู่ห่างกันไม่มากนัก มีภุมภเทวดาตนหนึ่ง เกิดความคิดเล่นๆ ว่า ภิกษุสองรูปนี้รักใคร่กันดีมาก เราจะทำให้ภิกษุสองรูปนี้แตกคอกันได้ไหม?


พอภิกษุรูปนั้นทำกิจถ่ายทุกข์เสร็จแล้วเดินออกมา เทวดาก็จำแลงรูปตนเองเป็นหญิงสาวเดินตามหลังพระไป ทำประหนึ่งสยายผมแล้วก็เกล้าใหม่ เดินตามหลังพระออกจากพุ่มไม้ไป โดยที่พระรูปนั้นไม่เห็นและไม่รู้ด้วย

แต่พระเพื่อนกันเห็นโดยตลอด จึงรู้สึกรังเกียจและเสียใจที่รักใคร่กันมานาน ไม่คิดว่าท่านจะเป็นคนลามกถึงอย่างนี้ จึงไม่ประสงค์จะเดินทางร่วมกับท่านอีกต่อไป จึงส่งบาตรและจีวรให้ แล้วกล่าวว่า “นิมนต์เอาบาตรและจีวรของท่านไปเถิด ผมไม่ปรารถนาจะร่วมทางกับท่านผู้มีความประพฤติลามกเช่นนี้อีกต่อไป”


ดวงหทัยของภิกษุผู้มีความละอาย (ลัชชี) นั้น เมื่อได้ฟังคำเช่นนั้นก็ประหนึ่งว่า ถูกเขาเอาหอกที่คมกริบเสียบเข้าแล้ว จึงกล่าวว่า “ท่านครับ ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ผมยังไม่รู้ตัวว่าต้องอาบัติแม้เพียงทุกกฎเลย ท่านกล่าวหาว่าผมเป็นคนลามก ท่านเห็นอะไรหรือ?”

พระผู้เป็นสหายจึงกล่าวว่า “ก็ท่านออกมาจากพุ่มไม้กับสตรีสาว ซึ่งประดับและตกแต่งตัวแล้วมิใช่หรือ?” พระเถระผู้ถูกกล่าวหาตอบว่า “ท่านครับ เรื่องนี้ไม่จริงเลย ผมไม่เห็นสตรีสาวที่ท่านว่านี้เลย แม้ว่าพระเถระจะกล่าวยืนยันถึง ๓ ครั้ง พระเถระผู้ร่วมเดินทางก็ไม่เชื่อถือถ้อยคำ ยึดถือเอาว่าสิ่งที่ตนเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง จึงไม่เดินทางร่วมกับท่านไปโดยทางอื่น


ต่อแต่นั้นมา พอถึงเวลาลงพระอุโบสถ ภิกษุเถระนั้นเห็นภิกษุที่ตนรังเกียจนั่งอยู่ในอุโบสถ ก็มีความคิดว่า “ภิกษุเช่นนี้มีอยู่ในโรงอุโบสถนี้ เราจักไม่ทำอุโบสถร่วมกับเธอ” เมื่อดังนี้แล้ว ก็ได้ยืนอยู่ภายนอกอุโบสถ

ในขณะนั้น ภุมมเทวดาผู้ลามกคิดว่า เราทำกรรมหนักแล้วหนอ เหตุไฉนพระคุณเจ้าจึงยืนอยู่ในที่นี้ จึงกล่าวกะภิกษุเถระนั้นว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุไฉนพระคุณเจ้าจึงไม่เข้าไปสู่โรงอุโบสถ?


เทวดาแปลงเป็นชายจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านอย่าได้ถือเรื่องนี้เลย พระเถระนี้มีศีลบริสุทธิ์ ผู้ที่เป็นหญิงสาวที่ท่านเห็นคือกระผมเอง เพื่อจะทดลองมิตรไมตรีของท่านทั้งสอง ว่าจะมั่นคงหรือไม่หนอเท่านั้น จึงได้แปลงเป็นเพศสตรีดังที่ท่านเห็นแล้วขอรับ”

พระเถระถามว่า “ดูก่อนอุบาสก ก็ท่านเป็นอะไร?”
ภุมมเทวดาตอบว่า
“กระผมเป็นภุมมเทวดาตนหนึ่งขอรับ”


ภุมมเทวดาเมื่อชี้แจงแล้ว ก็หมอบลงแทบเท้าของพระเถระ แล้วอ้อนวอนว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงได้โปรดอโหสิกรรมกระผมด้วยเถิด พระเถระนั้นไม่รู้โทษของตน ขอท่านจงทำอุโบสถเถิด”

ครั้นแล้วจึงได้นิมนต์พระเถระเข้าร่วมในโรงอุโบสถ แต่พระเถระนั้นแม้ว่าจะทำอุโบสถร่วมกันก็ตาม แต่ก็ไม่นั่งในที่เดียวกัน ไม่มีความสนิทสนมอย่างแต่ก่อนและไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ส่วนพระเถระที่ถูกโจทก์ เมื่อบำเพ็ญวิปัสสนาบ่อยๆ ก็ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว


ด้วยผลแห่งบาปกรรมนั้น ภุมมเทวดาได้ไปสู่อบายภูมิตลอดพุทธันดรหนึ่ง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ผลแห่งกรรมนั้นก็ได้สนองเขาทุกชาติ ในชาติสุดท้ายนี้ เขาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี มีชื่อว่า ธานมาณพ หรือ กุณฑธานะ ภายหลังได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มีศรัทธาได้ออกบวช

นับแต่วันที่เขาบวชแล้ว รูปสตรีผู้ประดับและตกแต่งนางหนึ่งจะติดตามอยู่ด้านหลังของท่านอยู่เสมอไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัดที่กุฏิ หรือออกบิณฑบาต จะนั่งหรือยืนอยู่ในที่ใด รูปสตรีสาวก็จะอยู่ด้านหลังของท่านตลอดเวลา แต่ท่านจะไม่เห็นรูปนางนั้นเลย


ท่านจึงเป็นที่เย้ยหยันและรังเกียจของพระเถระทุกรูป คิดว่าท่านได้ซ่อนสตรีไว้ในกุฏิ แม้ว่าในขณะออกบิณฑบาต รูปสตรีก็เดินตามท่านไปด้านหลังด้วย จนผู้ใส่บาตรรังเกียจ และประชดท่านว่า “เอ้า ทัพพีนี้ถวายท่าน แต่ทัพพีนี้ให้แก่สตรีเพื่อนของเรา”

เมื่อท่านถูกพระเณรว่ากล่าวกระทบแรงๆ ท่านก็ไม่อาจจะอดทนได้ จึงได้ด่าว่าโต้ตอบไปบ้าง เรื่องก็เลยมีผู้ไปฟ้องพระพุทธเจ้า จึงทรงเรียกมาถาม และตรัสว่ามันเป็นวิบากกรรมเก่าของเธอ ขอให้เธอจงอดทน อย่ากล่าวคำหยาบตอบโต้อีก


เรื่องดังจนไปถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงเสด็จไปสอบสวนด้วยพระองค์เองถึงกุฏิ ก็เห็นรูปสตรีในกุฏิจริง แต่พอเข้าไปค้นก็ไม่มี จึงรู้ว่าเป็นผลแห่งกรรมเก่า จึงทรงรับเป็นผู้อุปถัมภ์ มิฉะนั้นท่านก็ไม่อาจจะบวชอยู่ได้ เพราะไม่มีผู้ใส่บาตร

เมื่อพระเถระได้ผู้อุปถัมภ์ จึงมีโภชนะที่สบาย เป็นเหตุให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อเจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว รูปของหญิงนั้นก็ได้หายไป


   อรรถกถากุณฑธานเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๑๒๙

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

เหตุที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่า

L56.1.png



สมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ประชุมปรึกษากันว่า “อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรู้ไหม เพราะเหตุใดลาภสักการะ จึงเกิดขึ้นมากมายแก่พระพุทธเจ้า ?”

พวกเดียรถีย์กล่าวว่า
เออ เรารู้ ลาภสักการะเกิดขึ้นเพราะอาศัยภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชื่อว่า โมคคัลลานะ ด้วยเหตุว่าพระโมคคัลลานะนั้น ไปยังเทวโลกแล้วถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดาทำ แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า เพราะเขาทำกรรมอย่างนี้ จึงได้เสวยสมบัติในเทวโลกเห็นปานนี้

และถามกรรมกับพวกสัตว์ที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมชื่อนี้ จึงได้ไปเสวยทุกข์อย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้ว จึงได้ลาภสักการะใหญ่

พวกเดียรถีย์ต่างมีฉันทะเป็นอย่างเดียวกันว่า ถ้าพวกเราฆ่าพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้ว ลาภสักการะนั้นก็ย่อมจะบังเกิดแก่พวกเรา อุบายนี้มีประโยชน์ แล้วคิดกันว่า พวกเราจักกระทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย


จึงได้ชักชวนพวกอุปัฏฐากของตน ได้ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ แล้วได้เรียกโจรนักฆ่าคนมา แล้วพูดว่า “มีพระชื่อพระมหาโมคคัลลานะ กำลังอยู่ที่กาฬประเทศ ท่านจงไปที่นั่นแล้วฆ่าพระมหาโมคคัลลานะเสีย”

ครั้นกล่าวแล้ว ก็ได้มอบเงินหนึ่งพันกหาปณะแก่โจร พวกโจรได้ทรัพย์แล้ว จึงพากันล้อมสถานที่อยู่ของพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระรู้ว่าพวกโจรล้อมที่อยู่ จึงได้หนีออกไปทางรูกุญแจ พวกโจรไม่เห็นพระเถระในวันนั้น จึงพากันมาล้อมในวันรุ่งขึ้นอีก พระเถระรู้ว่าพวกโจรมาอีก จึงทำลายช่อฟ้าเรือนหนีออกไป เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกโจรจึงไม่อาจจะฆ่าพระเถระได้


ในครั้งที่สามนี้ พวกโจรมาล้อมอีก พระเถระรู้ว่ากรรมของตนมาถึงแล้ว จึงไม่คิดหลบหนี พวกโจรจึงได้ทุบตีพระเถระจนกระดูกแหลกละเอียดเหมือนเมล็ดข้าวสาร ครั้งนั้นพวกโจรคิดว่าพระเถระตายแล้ว จึงได้โยนศพทิ้งไปหลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วพากันหนีไป

พระเถระคิดว่า เราจักไปเฝ้าพระศาสดาก่อน แล้วจึงจักปรินิพพาน จึงได้ประสานร่างกายด้วยฌาน และเหาะไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน” พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอจักปรินิพพานหรือ? และปรินิพพานที่ไหนเล่า?”


พระเถระกราบทูลตอบว่า “ที่กาฬประเทศ พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสถามอีกว่า “โมคคัลลานะ! ถ้าอย่างนั้น เธอจงกล่าวธรรมะแล้วจงไปเถิด เพราะนับแต่นี้ไป เราจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว” พระมหาโมคคัลลานะ ได้ถวายบังคมพระศาสดาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ แสดงฤทธิ์มีประการต่างๆ แสดงธรรมเสร็จแล้ว ได้ถวายบังคมพระศาสดา แล้วไปยังกาฬศิลาปรินิพพานแล้ว

เรื่องข่าวพวกโจรฆ่า
พระมหาโมคคัลลานะ ได้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีป ฝ่ายพระเจ้าอชาตศัตรู จึงได้ทรงส่งพวกจารบุรุษเพื่อสืบหาพวกโจร เมื่อพวกโจรเหล่านั้นพากันไปดื่มสุราในโรงสุรา เมื่อเมาแล้วก็อวดอ้างบ้าง ต่างถกเถียงกันไปมา พวกจารบุรุษจึงได้จับพวกโจรเหล่านั้น แล้วกราบทูลให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบ

เมื่อสอบสวนแล้วรู้ว่าเป็นแผนชั่วของพวกเดียรถีย์สั่งฆ่า จึงได้จับพวกเดียรถีย์ทั้งสิ้นได้ ๕๐๐ คน ให้ขุดลุมหลึกเพียงสะดือที่ท้องสนามหลวง แล้วให้เอาสมณะเปลือยทั้ง ๕๐๐ คน และพวกโจรอีก ๕๐๐ คน ใส่ในหลุมครึ่งตัวเอาดินกลบ เอาฟางสุมแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น ครั้นเผาแล้วได้เอาไถเหล็กไถอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คนเหล่านั้นเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ไป

ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายต่างสนทนากันในธรรมสภาว่า “พระมหาโมคคัลลานเถระ มาถึงแก่ความตายไม่สมแก่ตนเลย” พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย! โมคคัลลานะตายไม่เหมาะสมแก่ตนในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่ก็เหมาะสมแท้แก่กรรมที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในชาติก่อน”


ครั้นแล้วทรงนำเอาอดีตกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ มาทรงแสดง ดังนี้ ในอดีตกาล มีกุลบุตรผู้หนึ่งในนครพาราณสีกระทำการงานต่างๆ มีการตำข้าว หุงข้าว เป็นต้น ด้วยตนเองเลี้ยงบิดามารดาตาบอดอยู่ บิดามารดาเห็นว่าเขามีความลำบากนัก จึงได้กล่าวกะเขาว่า

“ลูกเอ๋ย เจ้าผู้เดียวทำงานทั้งในบ้านและในป่าลำบากมาก เราจักนำเอากุมาริกาคนหนึ่งมาช่วยงานของเจ้า” กุลบุตรนั้นได้ห้ามว่า “ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ลูกจักบำรุงเลี้ยงคุณพ่อและคุณแม่ด้วยมือของลูกเองขอรับ”


พ่อแม่ได้พยายามอ้อนวอนสักเท่าไร เขาก็คัดค้านตลอด จนพ่อแม่ได้นำกุมาริกามาให้เขา หญิงนั้นได้ทำหน้าที่ภรรยาอย่างเดียวอยู่ไม่นานเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ก็ได้กล่าวกะสามีว่า “ดิฉันไม่อาจจะอยู่ในบ้านเดียวกันกับบิดามารดาของพี่ได้” ฝ่ายสามีก็ไม่สนใจในคำพูดของภรรยา

เมื่อสามีออกไปนอกบ้าน หญิงนั้นจึงได้เอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่นั้นๆ พอสามีกลับมาจึงได้ถามว่า “นี่อะไรกัน จึงสกปรกไปทั้งบ้าน?” นางจึงได้กล่าวเสริมว่า “นี่เป็นการกระทำของคนแก่ตาบอดทั้งสอง เขาเที่ยวทำให้สกปรกไปทั่วเรือน ฉันทำความสะอาดไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อาจจะอยู่ร่วมกับคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว”   

เมื่อนางได้กล่าวว่าอยู่บ่อยๆ สามีก็คิดว่าเป็นความจริง จึงเห็นพร้อมกับภรรยาที่จะกำจัดพ่อแม่ชราที่ตาบอด ให้พ้นไปจากบ้านนี้ตามแผนชั่วของตน วันหนึ่ง หลังจากพ่อและแม่บริโภคอาหารแล้ว ลูกจึงได้กล่าวว่า “ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ พวกญาติของเราในที่โน้น ต้องการให้คุณพ่อและคุณแม่ไปเยี่ยมเขาบ้าง ลูกจะพาคุณพ่อและคุณแม่ไปจ้ะ”

พ่อและแม่ดีใจที่จะได้พบญาติ เขาจึงอุ้มพ่อและแม่ขึ้นเกวียนน้อยไป พอไปถึงกลางดงเป็นที่เปลี่ยว จึงได้กล่าวกะพ่อว่า “ข้าแต่พ่อ พ่อจงถือเชือกไว้ นำเกวียนไปเองเถิด ในที่นี้มีโจรชุกชุม ผมจะเดินทางไปข้างหน้าดูแลความปลอดภัยก่อน” พูดแล้วก็ส่งเชือกบังคับโคให้พ่อไป ส่วนตัวเองลงเดินไป พอไปได้สักครู่หนึ่ง ก็ทำเสียงเป็นโจรจะมาปล้น


ฝ่ายพ่อและแม่คิดว่าเป็นเสียงพวกโจร จึงกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย พวกโจรมันมากันแล้ว พ่อกับแม่แก่แล้วอย่าห่วงเลย ขอให้ลูกรีบหนีเอาตัวรอดเถิด” แม้ว่าพ่อและแม่จะร้องอยู่อย่างนั้น เขาก็ทำเป็นเสียงดัง แล้วเขาก็ทุบตีพ่อและแม่จนตาย โยนศพทิ้งไปในดงแล้วกลับมาบ้าน

พระศาสดานำอดีตกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระมาตรัสแล้ว ทรงแสดงผลกรรมต่อไปว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะทำกรรมเพียงเท่านี้ ได้ไปหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือ จึงต้องมาถูกทุบจนแหลกละเอียดอีกถึง ๑๐๐ ชาติ


โมคคัลลานะได้ถึงแก่กรรม ที่สมควรแก่กรรมแล้ว ฝ่ายพวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับพวกโจรอีก ๕๐๐ ผู้ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ย่อมถึงความพินาศ ๑๐ ประการ

๑. ย่อมได้รับเวทนาอันกล้า
๒. ย่อมประสบความเสื่อม
๓. ย่อมถึงความตาย
๔. ย่อมเกิดอาพาธหนัก
๕. ย่อมมีจิตฟุ้งซ่าน
๖. ย่อมได้รับภัยจากพระราชา
๗. ย่อมถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง
๘. ย่อมเสื่อมจากญาติ
๙. ย่อมเสื่อมจากโภคทรัพย์
๑๐. ย่อมถูกไฟไหม้เรือน


เมื่อกายแตกทำลายแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก ดังนี้



มหาโมคคัลลานเถราปทาน

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๗๐ หน้า ๔๙๐

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

กรรมดี กรรมชั่ว

L56.1.png



พระอุบลวรรณาเถรี ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าปทุมุตระ นางเกิดในเรือนของสกุล ในกรุงหังสวดี พอรู้เดียงสาแล้ว ก็ไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับมหาชนฟังธรรม เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีผู้มีฤทธิ์ เธอจึงถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ๗ วัน เพื่อปรารถนาตำแหน่งนั้น

นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต ได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า นางก็ถือปฏิสนธิในวังของพระเจ้ากาสีในกรุงพาราณสี มีพระนามว่า กิกิ เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่งในระหว่างพระธิดา ๗ องค์ ทรงประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ได้สร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์ แล้วไปเกิดในเทวโลก


ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว นางก็กลับมาสู่มนุษย์บังเกิดในสถานที่คนทำงานด้วยมือ (กรรมกร) ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง วันหนึ่งนางเดินทางไปกระท่อมกลางนา ในระหว่างทางได้เห็นดอกบัวในสระแต่เช้าตรู่ จึงลงสู่สระนั้นเก็บดอกบัวและใบบัว เพื่อใส่ข้าวตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่นา แล้วนั่งคั่วข้าวตอกในกระท่อม จัดวางข้าวตอกไว้ ๕๐๐ ตอก

ในขณะนั้นเอง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งซึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์กำลังออกจากนิโรธสมาบัติ มายืนอยู่ไม่ไกลนาง นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือดอกบัวและข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเอาดอกบัวปิดปากบาตรถวาย


เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่าอันธรรมดานักบวชย่อมไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจะไปเอาดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปเอาดอกไม้กลับคืนมา แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้แล้ว ก็คงจะไม่รับเป็นแน่ จึงเอาดอกบัวไปถวายอีก แล้วก็ขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วกระทำความปรารถนาว่า

“พระคุณเจ้าขา ด้วยผลแห่งข้าวตอกเหล่านี้ของข้าพเจ้า ขอบุตรของข้าพเจ้าจงมีเท่าจำนวนข้าวตอก (๕๐๐) ด้วยผลแห่งดอกบัว ขอดอกบัวจงผุดขึ้นๆ ทุกย่างก้าว ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วเกิดอีกเถิดเจ้าข้า”


พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งนี้นางกำลังเห็นอยู่ แล้วนางได้วางดอกบัวไว้เป็นเครื่องเช็ดเท้าใกล้บันไดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ

ด้วยผลแห่งบุญกรรมนั้น เมื่อนางปฏิสนธิในเทวโลก ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นรองรับทุกย่างก้าวของนาง เมื่อนางจุติจากเทวโลกแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในสระบัวแห่งหนึ่ง ใกล้ภูเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยอยู่


เช้าวันหนึ่งดาบสตื่นแต่เช้าตรู่ ได้ลงไปเพื่อล้างหน้าในสระบัว เห็นดอกบัวดอกหนึ่งใหญ่กว่าทุกดอกแต่ยังตูมอยู่ น่าจะมีเหตุอะไรในดอกบัวนั้น จึงลงน้ำไปจับดอกบัว พอดาบสจับถูกดอกบัวก็บานทันที

ดาบสเห็นมีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ในดอกบัว พอเห็นเท่านั้นดาบสก็เกิดความรักประดุจธิดา จึงนำไปบรรณศาลาพร้อมทั้งดอกบัว ให้เด็กนอนบนดอกบัว ด้วยอานุภาพของนาง น้ำนมก็เกิดที่หัวแม่มือ นับแต่นางเริ่มเดินได้ ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นที่เท้าทุกย่างก้าว

ต่อมาเมื่อนางเป็นสาวแล้ว ได้เฝ้าบรรณศาลาอยู่ ในขณะที่ดาบสเข้าป่าหาผลาผลไม้ มีพรานป่าพบเข้า จึงไปเฝ้ากราบทูลพระราชา พระเจ้าพาราณสีจึงเสด็จมา แล้วขอนางไปเป็นพระมเหสี


เมื่อพระนางได้เข้าไปอยู่ในวังแล้ว พระราชาก็ทรงอภิรมย์อยู่กับพระนางเพียงองค์เดียว ไม่สนพระทัยสตรีอื่นๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความริษยาไต่ความว่า พระนางเป็นนางยักษิณี เพราะมนุษย์ธรรมดาย่อมจะไม่มีดอกบัวผุดรองรับพระบาท แต่พระราชาก็ได้นิ่งเสีย

ต่อมาพระนางก็ทรงครรภ์แก่แล้ว ชายแดนเกิดความแข็งเมืองขึ้น พระราชาจำต้องออกไปปราบ ในระหว่างนั้นพระนางก็ใกล้ประสูติ พวกหญิงคนรับใช้ใกล้ชิดได้รับสินบนจากพวกสนมที่ริษยา ให้เอาท่อนไม้ทาเลือดไปไว้ที่ข้างพระนางในขณะที่ประสูติ

พระนางประสูติพระโอรสองค์ใหญ่ คือพระมหาปทุมกุมารองค์เดียว แต่พระกุมาร ๔๙๙ องค์ เกิดโดยสังเสทชกำเนิด ขณะนั้นหญิงรับใช้รู้ว่าพระนางยังไม่ได้สติ จึงเอาท่อนไม้ทาเลือดไปวางไว้ข้างพระนาง แล้วให้สัญญาณแก่สตรีเหล่านั้น ๕๐๐ คน ให้ช่างกลึงทำกล่องใส่พระกุมาร มาใส่พระกุมารทั้ง ๕๐๐ องค์ ลงในกล่องแล้วตีตราซ่อนไว้


ฝ่ายพระนางปทุมวดีพอรู้สึกพระองค์ ก็ตรัสถามว่าเราคลอดแล้วหรือแม่คุณ? หญิงรับใช้ผู้รับสินบนพูดตะคอกพระนางว่า “พระแม่เจ้าจะได้ทารกแต่ที่ไหนเล่า นี่ทารกของพระนาง” แล้วก็เอาท่อนไม้มาทาเลือดแสดงให้พระนางทอดพระเนตร พระนางทอดพระเนตรแล้วก็ทรงโทมนัส ให้ผ่าท่อนไม้เผาไฟเสียโดยเร็ว หญิงรับใช้รับพระเสาวนีย์แล้ว ก็ทำเป็นหวังดี รับผ่าท่อนไม้ใส่เตาในทันที

ฝ่ายพระราชาเสด็จกลับจากการปราบชายแดน พวกสตรีเหล่านั้นก็พากันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์คงไม่ทรงเชื่อพวกข้าพระบาท คำที่ข้าพระบาทกราบทูล เป็นเหมือนมิใช่เหตุการณ์ ขอพระองค์โปรดเรียกหญิงรับใช้ของพระมเหสีมาถามดูเถิดเพคะ พระเทวีของพระองค์ประสูติเป็นท่อนไม้”

พระราชายังไม่ทันทรงสอบสวน ก็เข้าพระทัยพระนางมิใช่มนุษย์ จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากวัง พอพระนางถูกขับออกจากวัง ดอกบัวก็หายไปจากพระบาท และพระฉวีวรรณก็เผือดลงไปด้วย พระนางออกจากวังไปแล้ว ก็ไปพบกับหญิงชราคนหนึ่งในระหว่างถนน หญิงชราพอพบพระนางเท่านั้นก็เกิดความรักดังธิดา จึงถามพระนางว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะไปไหนเล่า?”


พระนางตอบว่า “ดิฉันเป็นคนจรมา กำลังจะหาที่อยู่จ๊ะ” นางจึงชวนพระนางไปอยู่ด้วย จัดหาอาหารเลี้ยงตามฐานะที่ยากจน ฝ่ายหญิงเหล่านั้น เมื่อพระนางปทุมวดีถูกขับไปแล้ว ก็เอากล่องใส่กุมารเหล่านั้นไปลอยที่แม่น้ำ ภายหลังพระราชาทรงทราบว่าเป็นแผนชั่วของพวกสนม จึงจัดกองทัพไปรับพระนาง พร้อมทั้งได้พระกุมารที่ลอยไปติดตาข่ายไว้ด้วย

เมื่อพระนางเสด็จเข้าวังแล้ว ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นที่พระบาทอีก พระราชาทรงโปรดปรานพระเทวีอย่างเดิม ต่อมาพระกุมารเหล่านั้นเติบโตแล้วทรงเล่นน้ำในสระมงคลโบกขรณี ที่ดาดาษไปด้วยดอกปทุมในพระราชอุทยาน ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นดอกบัวเก่าร่วงหล่นจากขั้ว ทรงดำริว่าชราเห็นปานนี้ยังมีแก่สิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมีชีวิตจะไม่ชราไปหรือ?


ทรงพิจารณาดอกบัวโรยเป็นอารมณ์แล้ว ก็บังเกิดพระปัจเจกโพธิญาณทุกพระองค์ เสด็จขึ้นนั่งบนดอกปทุมขัดสมาธิ เมื่อทรงลูบพระเศียร เพศของคฤหัสถ์ก็หายไปกลายเป็นเพศนักบวช เหาะไปบนเขานันทมูลกะ

แล้วฝ่ายพระนางทรงเศร้าโศกพระทัยว่า เรามีบุตรมากก็มากลายเป็นคนไร้บุตรเสียแล้ว ด้วยความเศร้าโศกนั้นเองก็ได้เสด็จทิวงคต แล้วไปเกิดในตระกูลคนทำงานเลี้ยงชีพด้วยมือ ในหมู่บ้านใกล้ประตูกรุงราชคฤห์


ต่อมามีสามีแล้ว วันหนึ่งนำข้าวยาคูไปนาเพื่อสามี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ซึ่งในจำนวนนั้นก็เป็นบุตรของตนนั่นเอง กำลังเหาะมาบิณฑบาต จึงรีบไปบอกสามีว่า “นายเจ้าขา ดูพระปัจเจกพุทธเจ้าสิ เรานิมนต์ท่านมาฉันเถิด” สามีกล่าวว่า”ธรรมดานกสมณะเหล่านี้ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าดอกจ้ะ”

พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ลงมาในที่ไม่ไกลจากคนทั้งสองนั้น ภรรยาได้ถวายอาหารในส่วนของตนพร้อมกับนิมนต์ว่า “พรุ่งนี้ขอท่านทั้ง ๘ องค์ โปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้าด้วยนะเจ้าคะ” พระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่า อุบาสิกานี้เป็นโยมมารดาของตนมาเกิดใหม่ รุ่งขึ้นจึงพาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ องค์ มาด้วย


นางมีความยินดีถวายอาหารจนพอแก่พระ ๕๐๐ องค์ แล้วนำเอาดอกอุบลขาบ ๘ กำ มาวางไว้แทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ รูป ที่ได้นิมนต์ไว้ แล้วตั้งความปรารถนาว่า “พระคุณเจ้าข้า ขอวรรณะแห่งสรีระของข้าพเจ้าจงเป็นเหมือนวรรณะข้างในของดอกอุบลขาบเหล่านี้ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วด้วยนะเจ้าคะ”

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำอนุโมทนาแก่มารดา ก็พากันไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ นางได้ทำบุญกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากมนุษย์แล้วได้ไปเกิดในเทวโลก


ในพุทธกาลนี้ นางได้มาเกิดในสกุลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดาตั้งชื่อมีนามว่า อุบลวรรณา เพราะมีผิวพรรณคล้ายดอกอุบลขาบ ในเวลาที่นางโตเป็นสาวแล้ว พระราชาทั่วชมพูทวีปต่างพากันส่งทูตไปยังบ้านเศรษฐีว่า ขอจงส่งธิดาให้แก่เราเถิด

ฝ่ายบิดาก็ไม่อาจจะสนองพระประสงค์ของพระราชาทุกพระองค์ได้ แต่เราจักทำอุบายอย่างหนึ่งให้ธิดาปลอดปัญหา จึงเรียกธิดามาถามว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าบวชเสียได้ไหมลูก”

คำขอของบิดาเป็นประหนึ่งน้ำมันที่เคี่ยวมาแล้วร้อยครั้ง ได้ราดรดลงที่ศีรษะ เพราะนางมีชาติสุดท้ายที่เกิดแล้ว นางจึงตอบบิดาว่า “ลูกจักบวชจ้ะ พ่อจ๋า” ดัง
นั้น เศรษฐีจึงได้นำธิดาไปบวชในสำนักภิกษุณี


เมื่อพระนางบวชได้ไม่นานนัก วันหนึ่งเป็นวาระที่นางดูแลโรงอุโบสถ เมื่อจุดประทีปแล้วกวาดอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวเทียนอยู่นั่นเอง เมื่อเพ่งมองอยู่บ่อยๆ ก็ทำฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น กระทำฌานนั่นแลให้เป็นบาท ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมทั้งอภิญญาและปฏิสัมภิทา

ด้วยเหตุพระอุบลวรรณาเถรี ได้สั่งสมบารมีมาทางผู้มีฤทธิ์มาก พระพุทธเจ้าจึงทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้มีฤทธิ์

วันหนึ่ง ท่าน
พระอุบลวรรณาเถรีได้พิจารณาถึงโทษความทรามและความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย จึงเกิดความสลดใจ ที่ในชาติหนึ่งท่านเคยร่วมสามีเดียวกันกับธิดาของท่าน จึงกล่าวคาถาว่า

“เราทั้งสองคือมารดาและธิดา เป็นหญิงร่วมสามีเดียวกัน เรานั้นมีความสลดใจ ขนลุก ที่ไม่เคยมี น่าตำหนิจริงๆ กามทั้งหลายไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น มีหนามมาก ที่เราทั้งสองคนคือมารดากับธิดาเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกัน เราเห็นโทษของกามทั้งปวง เห็นว่าการบวชเป็นทางเกษมปลอดโปร่งจึงออกจากเรือนบวชแล้ว”


อุบลวรรณาเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๓๑๗

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

เหตุที่เป็นโรคเรื้อน

L56.1.png



ในอดีตกาล พระสมิติคุตตเถระ ได้เคยสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้นๆ เป็นอันมาก ในกาลแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ท่านพบพระวิปัสสีพุทธเจ้าแล้ว เกิดความเลื่อมใสแล้วบูชาด้วยดอกมะลิ

ด้วยผลแห่งบุญกรรมนั้น เขาจะเกิดในภพใดๆ ก็ได้ตั้งอยู่ในฐานะที่มีกุลสมบัติ รูปสมบัติ และบริวารสมบัติ เหนือผู้อื่นในชาตินั้นๆ แต่ในชาติหนึ่ง เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ก็เกิดความคิดว่า “สมณะโล้นรูปนี้ ชะรอยจะเป็นโรคเรื้อน ด้วยเหตุนั้นสมณะรูปนี้จึงเอาผ้าคลุมตัวเที่ยวไป” เขาคิดดังนี้แล้ว ก็ถ่มน้ำลายรดแล้วหลีกไป

ด้วยผลแห่งบาปกรรมนั้น เขาต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานาน เมื่อต่อมาได้บวชเป็นปริพาชกได้เห็นอุบาสกผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรคนหนึ่ง แล้วขุ่นเคืองใจได้ด่าว่า เจ้าคงเป็นขี้เรื้อน ดังนี้ แล้วได้ทำลายจุณสำหรับอาบน้ำที่คนทั้งหลายวางไว้ที่ท่าน้ำ ด้วยบาปกรรมนั้น เขาต้องไปเกิดในนรกอีก ต้องเสวยทุกข์อีกสิ้นปีเป็นอันมาก


ในพุทธกาลนี้ เขาได้มาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี มีนามว่า สมิติคุตตะ พอเขาเจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมของพระศาสดาได้เกิดจิตศรัทธา จึงบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วได้เป็นผู้มีศีลาจารวัตรดีน่าเลื่อมใส แต่ผลแห่งกรรมเก่าของท่านเกิดตามมาทัน โรคเรื้อนได้เกิดขึ้นในร่างกายของท่าน ทำให้ร่างกายเป็นริ้วรอยแตกแยกทั่วไป มีน้ำเหลืองไหลออกทั่วตัว ท่านนอนพักอยู่ในศาลาสำหรับภิกษุอาพาธ

ครั้นวันหนึ่ง ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ไปตรวจเยี่ยมภิกษุไข้ และสอบถามภิกษุไข้ต่างๆ ในที่นั้น เห็นภิกษุสมิติคุตตะแล้ว ท่านได้บอกกรรมฐานที่มีเวทนานุปัสสนาเป็นอารมณ์ว่า


“ดูก่อนอาวุโส ตราบใดที่ขันธ์ยังดำรงอยู่ ก็ต้องเสวยทุกข์ทั้งปวงอยู่ตราบนั้น แต่เมื่อขันธ์ทั้งหลายไม่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์จึงจะหมดไป”

เมื่อให้กรรมฐานแล้ว ท่านก็ได้จากไป ท่านพระสมิติคุตตะได้ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน เจริญวิปัสสนาได้กระทำให้แจ้งอภิญญา ๖ แล้ว เมื่อท่านได้บรรลุธรรมแล้ว ได้เปล่งวาจาว่า

“บาปกรรมใด ที่เราได้ทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ เราจึงได้รับผลของบาปนั้นในชาตินี้เอง ส่วนบาปใหม่จะไม่มีอีกแล้ว”


สมิติคุตตเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๓๙๔

L55.png


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:48 , Processed in 0.052496 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.