แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

สวนปฏิบัติธรรมชมวิว บ.นางิ้ว อ.สังคม จ.หนองคาย สถานที่เหมาะแก่การปลีกวิเวก [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"หนูจะเดินปัญญายังไงค่ะ คุณแม่ชี" 

เวลาคุณนั่งตัวก้มตัวเงย คุณมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดมั้ย หูได้ยินเสียงคุณมีสติรู้มั้ยว่าเสียงเข้ามา พอเสียงมากระทบแล้วคุณยินดียินร้ายมั้ย คุณเกลียด คุณชัง คุณโกรธมั้ย พอใจไม่พอใจคุณมีมั้ย 

ขณะคุณกำลังนั่งสมถะ คุณลองปิดพัดลม ไปที่ธรรมชาติๆ อากาศร้อนๆคุณหงุดหงิดมั้ย คุณทำใจเป็นกลางได้มั้ย ขณะที่อากาศร้อนใจทุรนทุรายมั้ย ใจมันทนได้มั้ย ดีซะอีกให้เรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเพราะมันจะไม่สงบ ไม่เงียบ ไม่เย็น อากาศมันร้อนทางกาย ใจมันจะร้อนด้วยรึเปล่า เราต้องแยกแยะตรงนี้ 

ถ้าคุณอยากเข้าสู่ปัญญา ขณะร้อนพอมีลมพัดโชยมา คุณรู้มั้ย ให้คุณรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง อารมณ์ที่มาสัมผัส หูได้ยินเสียง จมูกคุณได้กลิ่น นั่งสมาธิหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ได้กลิ่นอาหาร กลิ่นอะไรเข้ามาคุณรู้สึกมั้ย คุณรู้มั้ยตอนลิ้นสัมผัสอาหาร คุณสังเกตว่ารสอาหารมันอยู่เฉพาะลิ้น หรือกลืนลงไปในลำคอมันยังมีรสอยู่ หรือไม่มีรส คุณพิจารณานี่ ยกปัญญาขึ้นมา ว่ารู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้มั้ย 

เวลาคุณมีอารมณ์มาสัมผัสทางหูได้ยิน ที่อารมณ์ไม่พอใจถูกตำหนิติเตียน ถูกเขาว่า ถูกเขานินทา ดูสิว่าคุณโกรธมั้ย มันมาจากไหนล่ะ ก็มาจากมันมีตัวกู เขาว่าให้เรานี่นา แล้วตัวเราอยู่ตรงไหนละ ค้นหาสิ ค้นหาสิว่าตัวอยู่ตรงไหน มีแข้งมีขามีหู มีตาแยกออกเป็นอย่างๆ แต่อย่าเพิ่งแยก ให้คุณกำหนดรู้ไป ปัญญาคุณเกิดเมื่อไหร่เดี๋ยวเขาก็จะบอกเอง ขอให้ปฏิบัติ ให้รู้เท่าทันอารมณ์ เดี๋ยวปัญญาเขาเกิด 

ตอนที่เฉย คุณดีใจในอารมณ์ที่เฉย ที่นิ่งที่เย็นมั้ย มีความรู้สึกว่าเสพอารมณ์ในใจมั้ย อารมณ์สุข มีความพอใจอยู่ลึกๆมั้ย คุณจะปล่อยวางตัวตนได้ คุณต้องรู้ว่ามันมีพิษมีภัยยังไง คุณต้องเข้ามาเรียนรู้ใจของคุณ ทุกขณะที่อารมณ์มากระทบว่าคุณเป็นยังไง


Rank: 1

"นั่งสมาธิแล้วความจำหาย บางทีพุทธโธก็หาย แต่ก็จะดึงกลับมา จะเดินนั่งนอนยืนมีแต่พุทธโธ ฟังธรรมได้ทั้งคืน จิตของลูกเป็นอะไร แก้ไขอย่างไรค่ะ" 

ขณะที่นั่ง พอหายใจเข้าพุท พอหายใจออกโธปุบ ให้ใช้สติสำรวจอาการ 32 ของตัวเอง จากปลายเท้าจรดหัว จากหัวจรดปลายเท้าว่า ยังนั่งตัวตรง ตัวเอน คอก้ม คอหักมั้ย ให้มีสติเห็นสมบูรณ์เหมือนลืมตาอยู่ทุกขณะ แล้วจะไม่มีอาการอย่างนั้น ที่มันวูบหายไปเพราะสมาธิลงลึก แล้วจิตดิ่งลงในสมาธิ สติอ่อนมันเลยวูบหายไปแว่บเดียว เหมือนตัวเองไม่มีตัวไม่มีตน 

อย่านั่งนาน ให้นั่งแค่ 10 นาที เดิน 10 นาที ไปจนครบชม. พอสติแก่กล้าขึ้น มีสติสมบูรณ์เมื่อไหร่ นั่งนานก็จะไม่เป็นอาการนั้น ทำถูกแล้ว ไม่ว่าอะไรเกิดขี้น ก็ให้มีสติรู้อยู่กับพุทกับโธ แต่อย่าลืมสำรวจตัวเองอยู่ทุกขณะ รู้ตัวเองทุกขณะ ว่าครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ นั่งอยู่ท่าอะไร จิตก็จะไม่ลงลึก เพราะมีสติสมบูรณ์

ที่ฟังธรรมได้ทั้งคืน เพราะจิตมีศรัทธา มีความเลื่อมใสในธรรม จิตมันจดจ่อ ถ้าจิตมาอยู่กับกายก็ให้หยุดฟัง ให้ฟังจิต เอาจิตกับสติมาตั้งอยู่กับตัวเอง จิตจะไม่คล้อยไปกับเสียงธรรม ปฏิบัติให้มากแล้วจะเข้าใจสิ่งที่ฟัง ฟังแค่ 5 นาที แต่เข้าถึงและเข้าใจ ก็มีอานิสงส์มากกว่าฟังทั้งคืน


Rank: 1

"ข้อเสียของการนั่งหลังงอ" 

รูปคุณแม่ชีเกณฑ์กับผู้ปฏิบัติธรรมขณะนั่งสมาธิ เมื่อครั้งที่ท่านไปเปิดปฏิบัติธรรมที่สมุทรปราการ เห็นเพียงท่านที่นั่งหลังตรง ท่านบอกว่าเวลานั่งให้ยืดหลังให้ตรง อย่าให้งอเพราะจะทำให้ปวดหลัง ช่วยให้ไม่ง่วงและสติตั้งมั่น ในเวลาปกติก็พยายามยืดหลังให้ตรง อย่าให้งอ กระดูกที่งอจะทำให้เกิดอาการปวดหลัง 

ทำตามที่ท่านบอก เวลานั่งสมาธิจะคอยดูว่าหลังงอไหม กลายเป็นว่าสติมาจดจ่อที่นี่ เป็นเรื่องดี พอหลังตรง ลมหายใจเข้าสะดวกยาวถึงท้อง หายใจโล่งขึ้น ไม่รู้สึกอึดอัด และไม่รู้สึกว่าต้องบังคับลมหายใจ กลับเห็นลมเข้าลมออกของเขาเองกลายเป็นแค่คนดูเฉยๆ บางครั้งขี้เกียจและลืมโดยเฉพาะในชีวิตปกติ เมื่อเห็นคนแก่หลังงอ ก้มหน้าเดินจนเกือบถึงพื้น เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น จึงพยายามฝืนความขี้เกียจของตัวเอง 

บอกท่านว่าเวลานั่งสมาธิหรือนั่งสวดมนต์นานๆ จะไม่รู้ตัวว่าขาชา มารู้สึกตอนลุก ขาชามากจนลุกไม่ได้ ท่านบอกว่าจมอยู่ในสมาธิมากเกิน ถ้ามีสติขาชาเล็กน้อยก็จะรู้ตัวแล้ว หาใช่เรื่องดี ขาชาเพราะเลือดไหลไปเลี้ยงขาไม่ได้ แก่ตัวไปอาจทำให้เป็นอัมพฤกอัมพาต ใช่ว่าตั้งใจจะนั่งให้ถึงชม.แล้วห้ามขยับตัว หากขาชาให้ขยับขาได้ ไม่ใช่ให้ทนอยู่อย่างนั้น เปลี่ยนขาเราก็มีสติรู้ตัวต่อเนื่องก็เป็นสมาธิเหมือนกัน 

ถามคุณแม่ชีว่าแล้วคนที่อ้วนมาก หรือคนที่เอาขาทับกันไม่ได้ให้นั่งอย่างไร ท่านบอกว่าไม่ต้องยกขามาทับกันก็ได้ ให้วางขาบนพื้นในรูป 3 เหลี่ยม หรือนั่งแล้วขาชามากขยับขาไว้แบบนี้ก็ได้ 

สำหรับคนที่นั่งนานไม่ได้ ปวดเข่า ปวดหลัง ก็ให้นั่ง 5 นาที 10 นาทีแล้วลุกขึ้นเดิน หรือเดินมากไม่ได้ก็ให้เดิน 5 นาที 10 นาทีแล้วนั่ง ช่วยให้ไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดมาก และไม่ทำให้จมในความคิดมากเกินไป ช่วยกระตุ้นให้สติมีกำลังตื่นตัวมากขึ้น เรื่องฟุ้งซ่านก็จะหายไป แต่ต้องใช้เวลา เมื่อดีขึ้นแล้วค่อยเพิ่มเวลาขึ้นทั้งเดินทั้งนั่ง


Rank: 1

"คุณแม่ทำยังไง หนูถึงจะเห็นอสุภะ เห็นกระโหลกเหมือนเขา"

ไปนั่งเพ่ง นั่งเห็นกระดูก ซี่โครง เห็นตับ เห็นไต มีแต่ของสกปรกโสโครก ถ้าใจมันยังวางไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เห็นกระดูกซี่โครงแล้วเวลาเขาด่า มันยังโกรธอยู่ มันก็ไม่ดี จะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไรหรอก เห็นแล้วปลงได้มั้ยละ ถ้าปลงได้ใช้ได้ ถ้าปลงไม่ได้ก็ใช้ไม่ได้ แปลว่ายังเห็นไม่ถูก 

เห็นถูก เห็นชอบ เหมือนมรรคมีองค์ 8 เออ..กายนี้มันเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็เสื่อม ผมมันดำเดี๋ยวก็หงอก มันแปรปรวนเนาะ เกิดมามันดำ กลางคนเข้ามามันหงอก แล้วใครจะยอมมั่งละ ถ้าเห็นมันเป็นธรรมชาติทำไมไม่ปล่อย เอาวัตถุนิยมมาย้อมทำไม หนังที่มันเหี่ยวก็เป็นธรรมดา ถ้ายังบำรุงกันอยู่มันก็วางไม่ได้ เห็นอสุภะแต่ยังห่วงสวย อยากให้ตัวเองดูดี มันก็วางไม่ได้ 

กิเลสหยาบละไม่ได้ แล้วจะละกิเลสละเอียดได้อย่างไร ผู้เข้าปฏิบัติ ถ้ารู้แจ้งเห็นจริง มันต้องเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติ ก็ปล่อยมัน เอาอะไรมาหยุดมันก็ไม่อยู่ ย้อมไปก็ชั่วขณะ เดี๋ยวก็คืนสู่สภาพเดิม บำรุงขนาดไหน แพงขนาดไหน ดีขนาดไหน ก็หยุดความแก่ความเหี่ยวไม่ได้ สู้เอาเงินไปทำบุญเป็นสเบียงให้แก่ตัวเองดีกว่า

ธรรมะมองแว่บเดียวแล้วพิจารณาให้แตกฉาน แค่หงอกเส้นเดียวก็บรรลุธรรมได้ อสุภะภายนอก ความสกปรกโสโครกมีให้เห็นกันทั้งวัน เห็นแล้วพิจารณาด้วยปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เอออันนี้มันเสื่อมแล้วนะ ตามองแทบไม่เห็น มันฝ้ามันฟางแล้ว หูมันก็เริ่มตึง ไม่มีอะไรเลยที่จะเที่ยง นี่แหละท่านว่าให้เห็นทุกข์สัจจริงๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของมัน 

แม้ไม่เห็นอสุภะ แต่เข้าใจธรรมชาติของกายนี้ เข้าใจที่มันแปรปรวน เข้าใจที่มันทุกข์ ไม่ไปหลงมัน ไม่ไปยึดมัน อยู่กันไปตามสภาพ ป่วยก็ไม่ทุกข์กับมัน อันนี้แม้ไม่เห็นก็ใช้ได้แล้ว กายนี้จะวางได้ไม่ใช่เห็นอสุภะภายใน แต่วางได้ด้วยปัญญา คนที่เห็นได้ก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญา เห็นโทษเห็นภัยมันจึงจะวางได้ เห็นอย่างเดียว ละไม่ได้วางไม่ได้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด


Rank: 1

"เดินจงกรมแล้วยังไม่พ้นนรกได้ เพราะอะไร"

คำว่าเดินจงกรม แล้วไม่พ้นนรกได้เพราะอะไร เพราะวาระจิตที่ไม่เห็นความเป็นจริง แม่จะยกตัวอย่าง แม่บวชมาตั้งแต่น้อย ถ้าสมมุติว่าแม่บวช แต่แม่ไม่ได้เห็นความเป็นจริง ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง ก่อนที่จิตจะถอดออกจากกายหยาบ แม่เกิดไปหลงอะไรสักอย่างหนึ่ง 

สมมุติแม่สร้างเสนาสนะ แล้วมีเหตุต้องตาย ขณะที่จิตกำลังออกจากร่าง จิตคิดปุบ...เราตายไปแล้ว ใครจะมาดูแล จิตมาเกาะอยู่ตรงนี้ทันที มันก็เลยไปไหนไม่ได้ ถ้าแม่สร้างกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พอจะตายปุบ เป็นมโนภาพของสัตว์ที่ฆ่ามาปรากฎ จิตของเราไปตกปุบ มันก็ไปเป็นสัตว์นรกทันที 

เดินจงกรมปฏิบัติทำไมไม่ได้ขึ้นสวรรค์ มันอยู่ที่ใจ ใจที่รองรับอารมณ์ขณะที่จิตจะถอดออก ดังนั้นผู้ปฏิบัติแม้แต่แม่ ใครก็ตามจะรับรองไม่ได้ จะรองรับได้มีแต่อารมณ์วาระสุดท้ายที่จะรับ 

"ถ้าจิตไม่ปรุงไม่แต่ง จิตไม่เกาะไม่เกี่ยวแน่นอน ถ้าตายไปในขณะนั้น จิตก็ไม่เวียนว่ายตายเกิด ถ้ามีวิบากอยู่อาจไปสู่ภพภูมิที่ดี ที่เป็นเทพก็เป็นเทพ ที่มีสติปัญญา อยู่ในโลกทิพย์ก็ไม่หลงโลกทิพย์"

ถ้าขณะจิตกำลังจะถอดออกจากกายหยาบ แล้วมีนิมิตภาพขึ้นมา เราต้องตั้งสติ มีสติรู้เท่าทันกับจิต พอมีนิมิตภาพสติจะทำงาน แม้แต่จิตจะออกจากร่าง แม้จะฝัน ถ้าจิตฝึกมาดีแล้ว เขาจะบริหารเอง พอเค้าเห็นนิมิตภาพ เขาก็กำหนดว่าเห็นหนอๆ ภาพนั้นก็สลายไป เมื่อสลายไปเราก็หลุดจากภาวะตรงนั้น 

คุณโยมต้องเจริญสติ จนสติรู้เท่าทันกับจิตที่จะปรุงแต่ง มีปัญญารู้เท่าทันแล้วก็วาง พอเห็นภาพปุบ เพ่งด้วยพลังจิต ภาพนั้นก็จะสลายไป จิตก็จะพ้นจากภาวะนั้น ปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะช่วยคุณโยมได้ การปฏิบัติก็เพื่อตรงนี้ รู้เท่าทันอารมณ์และดับมันได้ทัน สำคัญที่สุดคือวินาทีสุดท้ายก่อนที่เราจะไป


Rank: 1

"โสดาบันขาดจากอะไรค่ะ"

เชื่อในการปฏิบัติของตัวเอง เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ห้อยพระเครื่องรางต่างๆ ไม่ทำบุญนอกศาสนา ไม่ไปทำพิธีศาสนาพรหมณ์ เขาว่าตรงนั้นหมอดูแม่น พระองค์นั้นนั่งเก่ง ไม่เฮฮาไปกับเขา ใตร่ตรองเสียก่อน ไม่ไปชักชวนคนอื่นว่าท่านนั้นเป็นผู้วิเศษ อันนั้นเป็นได้จริงแต่เป็นโลกีย์ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น

ผู้ถึงโสดาบันรู้อย่างนี้ก็นิ่งเสีย ไม่ไปยินร้ายกับสิ่งเหล่านั้นเพราะเข้าใจแล้ว ไม่ถือฤกษ์ถือยาม ว่างเมื่อไหร่ก็ดีวันนั้น เวลาดีตัวเองไม่ดีเวลาก็ไม่ดี ถ้าตัวเองมีคุณธรรม อะไรก็เข้าตัวเองไม่ได้ ไม่ยึดถือคาถา เครื่องรางของขลัง ถ้าขาดจริงจะไม่เอาเลย 

บางคนทำได้แต่ไม่ขาด เพราะยังไม่รู้แจ้ง ไม่ใช่สะสมไม่พอ แต่ปัญญามันยังไม่รู้แจ้ง ไม่ได้รู้ด้วยปัญญา ไม่ได้มั่นใจด้วยปัญญา เชื่อมั่นในการปฏิบัติที่ถูกทางว่าจะพาข้ามพ้นวิบากได้ ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสโลก เชื่อใจตัวเอง 

ไม่ยึดถือเครื่องรางของขลัง พระเครื่อง คาถาต่างๆ เพราะเชื่อว่าถ้าใจมีสติ อะไรจะไปเข้าไม่ได้ ถ้ามันเป็นกรรมก็เป็นกรรมไม่มีอะไรที่จะมากั้นได้ ไม่ยึดถือในสมบัติ ไม่ยึดในคน มันยากอยู่ที่จะเป็นได้ ถ้ายังไม่แจ้งพูดไปมันก็ไม่เชื่อ เผลอก็ไปเป็นเหมือนเดิมอีก ฟังแล้วใจมันยังไม่มั่นก็เขวอยู่เหมือนเดิม 

อย่างตอนที่เราเจอทุกข์ เจอภัยพิบัติหนักๆ ขาดความมั่นใจในธรรม ก็อดไม่ได้ที่จะไปบนบานศาลกล่าว ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ไปหาร่างทรงหมอดู มันต้องรู้ด้วยตนเอง มั่นใจด้วยตนเอง แจ้งด้วยตนเอง ต้องรู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ถึงจะเข้าถึง ให้เข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าถึงด้วยสัญญา มันจึงจะละทุกอย่าง วางทุกอย่าง และจะไม่หวนกลับคืนไปอีก


Rank: 1

"กำหนดเพื่อรู้เท่าทันจิต"

มีคุณโยมมาถาม ทำยังไงถึงจะรู้เท่าทันจิต แม่บอกเขาว่าคุณโยมต้องเจริญสติ แล้วคุณโยมจะทันมัน พอนั่งปฏิบัติหูได้ยินเสียงปุบ ให้คุณโยมกำหนดได้ยินหนอ ๆ อารมณ์กระทบอันใด อายตนะภายนอก ความรู้สึกที่ใจให้รู้เท่าทัน ให้กำหนดรู้ ใหม่ๆ อาจจะฝึกกันหน่อย มันขัดตัวเอง ขัดใจ อย่าตามใจตัวเอง ขัดมันดู แล้วคุณโยมก็จะเท่าทันกับอารมณ์ จะเห็นอารมณ์ จะเท่าทันขึ้น แล้วมันก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ 

แม่บวชได้ 7 วัน ไปเข้าปฏิบัติที่บุญศรีมณีกรณ์ เขาให้กำหนด ยุบหนอพองหนอ หนอทุกอิริยาบถทั้งที่กายที่ใจ แม่บ่นในใจ มันจะสงบมั้ยเนี่ย เราเคยพุทโธ นั่งปุบนิ่งเลย พอมาวิปัสสนา หูได้ยินเสียงก็ให้รับรู้ ไม่ให้ปล่อย ได้ยินหนอๆ ขวาย่างซ้ายย่าง ให้กำหนดอะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายไปหมด แล้วเมื่อไหร่จะเห็นธรรมะละ

พอเปลี่ยนไปปฏิบัติกับหลวงปู่เลื่อน ท่านเป็นอาจารย์สายยุบหนอ พองหนอรุ่นแรก วันแรกท่านบอกว่า...ลูกชีลดสักกายทิฏฐิซะมั่งสิ หลวงปู่ขอบิณฑบาต ลดสักกายทิฏฐิซะลูก ครูบาอาจารย์บอกอะไร ลูกก็ทำตามเถิด อย่าเถียง แม่ไม่ได้เถียงท่าน แต่แม่เถียงในใจ พอรู้ว่าหลวงปู่รู้ว่าเราต้าน เกิดศรัทธาทันที 

พอสติรู้เท่าทัน ก็เลยรู้ว่าที่ให้เรากำหนดรู้ทันเสียง เพราะเมื่อเรารู้ว่าเสียงอันนี้ มันเป็นแค่เสียงเกิดแล้วดับ ถ้าเราไม่ปรุงแต่งว่าเขาด่า พอได้ยินเสียงปุบ เราจะไม่โกรธเลย เวลาหิวทุรนทุรายก็ไม่ให้กิน ให้เอาขึ้นมากำหนด ถ้าอยากให้หยุดเลย มันหายอยากจึงให้กิน ทานข้าวเป็นชม.ได้ 3 คำ ท่านให้เคี้ยวให้ละเอียด ถ้าไม่ละเอียดกระอักออกมาเคี้ยวใหม่ 

ตั้งแต่นั้นมา มีความสงบขึ้น รู้เท่าทันขึ้น ได้เห็นอาการที่เกิดดับ ความปรุงแต่งก็ค่อยๆ จางไป ท่านให้ขัดกิเลสขนาดนั้น ถึงได้รอดมา แม่ได้เห็นคุณค่า ก็เลยได้มาแนะนำ มันยากจริงๆ ที่จะรู้เท่าทันจิต กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น จิตคนเรามันเร็ว รูขุมขนที่ว่าถี่ อารมณ์ที่จะแทรกเข้าไปถี่ยิบกว่านั้น ต้องทำสติให้หนายิ่งกว่ากำแพงปูน ถึงจะรู้เท่าทันจิต 

คนอื่นจิตเป็นยังไงกรรมใครกรรมมัน เห็นแต่ใจเรา มันจะอยู่ได้เพราะเราเอาชนะอารมณ์ เอาชนะใจเรา ชนะคนอื่นยาก เพราะกิเลสมันหนา ชนะใจตัวเอง ก็เท่ากับชนะใจคนทั้งโลก


Rank: 1

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"

เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ คุณแม่ชีเกณฑ์ให้แก้ด้วยการให้ตั้งเวลาให้นั่งสมาธิ 5 นาที เดินจงกรม 5 นาที สลับไปมาจนครบชม. ถ้านั่ง 5 นาทียังเป็นอยู่ให้หดเวลาลงมาอีกเหลือนั่ง 3 นาที เดิน 3 นาที ถ้านั่งลงไปแล้วยังเป็นอยู่ก็หดเวลาลงมาอีก หรือให้เดินอย่างเดียว ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ถ้ายังเป็นอีกก็ให้ทำแบบเดิม ต่อเมื่อหายจากอาการนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นมาให้เหมาะสม แต่อย่ากลับไปนั่งนานๆ อีก มันจะไหลลงไปที่เดิม

คุณแม่ท่านว่าอาการเช่นนี้อาจด้วยวิบากกรรมของเรา และสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ให้เราดูปรับเวลาให้ร่างกายได้พักบ้าง มันโยกตัวลงไปเพราะสติมันน้อย ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวของร่างกายได้ และท่านให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของตัวเราเองทุกครั้งที่ไปปฏิบัติ และให้ทำบุญตักบาตรกับข้าวอาหารให้เขาด้วย

ถามคุณแม่ว่าทำแบบนี้แล้วทำไมจึงหาย ท่านว่าขนาดเราให้ลุกนั่งอย่างนั้น ใจมันยังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้เลยใช่ไหม แต่ต้องทนเพราะอยากหาย แล้วคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้มีอาการแบบนั้น เขาจะทนอยู่ได้หรือ เขาก็ร้อนเหมือนกันที่เราผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น แต่เราอย่าไปปฏิบัติไล่เขาอย่างเดียว เราต้องแผ่เมตตาและทำบุญให้เขาได้อิ่มอาหารอิ่มใจด้วย จะได้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน การอย่างนี้ทำให้มีเราความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดระยะนับชม. จะทำให้สติเราตั้งมั่นและบริบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น การลุกนั่งเสมอกันช่วยปรับธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกายให้สมดุล โรคที่เป็นอยู่ก็จะถูกขับออก เลือดลมไหลเวียนสะดวก หายง่วง หายซึม กระปรี้กระเปล่า ไม่ขี้เกียจ นั่งแล้วไม่ฟุ้งไม่จม ตื่นตัวรู้สึกอยู่ตลอด

ขณะที่มีอาการเช่นนี้ในใจคิด เราคงไปปฏิบัติให้ใครเห็นไม่ได้แล้ว โยกไปโยกมาน่าอายมาก รู้ตัวแต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ช่างแสนยาก ตอนผลุบเข้าไปก็ไม่รู้ตัว นั่งได้แค่อึดใจก็ไปติดกับเสียแล้ว 3 อาทิตย์ที่ต้องลุกนั่งอยู่อย่างนั้น ใจก็ไม่หงุดหงิด เป็นปกติเพราะมันชินแล้ว อาการง่วง ฟุ้งซ่าน ตัวโยกหายไป สติตื่นจนไม่ยอมหลับทั้งกลางวันกลางคืน นอนก็เหมือนไม่นอน เป็นอย่างนั้นเกือบเดือนกว่าจะเป็นปกติ

ต้องกราบขอบพระคุณ คุณแม่มากๆที่ทำให้หายจากอาการเช่นนี้ การปฏิบัติเองคนเดียว จำเป็นมากๆ ที่จะต้องมีผู้สอบอารมณ์ ไม่อย่างนั้นเราคงติดอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่



Rank: 1

"แบกอะไรหนักที่สุดในโลก"

แบกขันธ์ แบกความคิด แบกความปรุงแต่ง แบกอัตตาตัวตนหนักสุด แบกความปรุงแต่งก็หนัก คนมันฆ่ากันได้ก็เพราะแบกความปรุงแต่ง พอไม่แบกอัตตาตัวตน เสียงเขาพูดมันก็ธรรมดา ภาพคนนั้นก็ไม่ขวาง เสียงดังก็ไม่รำคาญ ไปไหนก็ไม่มีเรื่องกับใคร ขับรถก็ไม่เกิดอุบัติเหตุ ไปทำงานเจ้านายก็ไม่ว่า ลูกน้องก็รัก 

มีคนมาถามทำยังไงลูกค้าจะเข้าร้านเยอะๆ แม่ก็ว่าคุณโยมก็ปฏิบัติภาวนา ทำบุญ ตักบาตรตามกำลัง แล้วแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาที่ร้าน แผ่เมตตาให้ลูกค้า ไม่เอาแพงและที่สำคัญคือลดอัตตาตัวตน ลูกค้าก็จะเต็มร้านเอง คนที่ลดอัตตาตัวตน ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจใส่ลูกค้าอย่างดี ไม่แบ่งคนนั้นคนนี้ เข้าอกเข้าใจ ใครที่เห็นใครที่สัมผัส เขาก็เกิดเมตตา มาแล้วก็อยากมาอีก ก็เพราะความไม่มีอัตตาตัวตนของเรา


Rank: 1

"ได้ยินเสียงที่พิเศษ เห็นนั่นเห็นนี่ รู้นั่นรู้นี่ รู้พระอภิธรรม ไม่ใช่การหลุดพ้นใช่ไหมครับ"

ใช่ รู้จิตคนก็ไม่ได้หลุดพ้น แต่รู้อารมณ์ ดับอารมณ์ตัวเองได้ต่างหากจึงจะหลุดพ้น มีนายทหารผู้หนึ่งเขาบอกว่า เขานั่งเข้าฌาน หยั่งรู้จิตผู้นั้นผู้นี้ 

เขารู้หมดแต่ยังโกรธยังเกลียดอยู่ พอเขาอ่านในเนตว่าแม่แก้อารมณ์ เขาก็โทรมา แม่ก็บอกว่า คุณโยมสติช้า ปัญญาคุณช้า มีแต่สมาธิ มันจะไปทันได้ไง

คุณโยมต้องทันหูตาจมูกลิ้นกายใจ หูได้ยินเสียง เสียงไปหาหูหรือหูได้ยินเสียง เสียงมาหาหูครับคุณแม่ ถ้าเสียงมาหาหู แล้วทำไมคุณโยมไม่สักแต่ว่าเป็นเสียง ทำไมถึงว่าเป็นเสียงเขาด่าละ ก็คุณโยมมีอัตตาตัวตนอยู่นี่ คุณโยมรู้ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ตัวเองว่าถืออัตตาตัวตน ถ้าไม่มีตัวไม่มีตนแล้วอะไรจะโกรธละ 

เขาไปเที่ยวหาครูบาอาจารย์หมด รู้จักหมดเลย หลวงปู่จาม หลวงปู่หล้า หลวงปู่บัว ท่านก็บอกให้ดูแต่ใจกับพุทโธ เขาก็ดูแต่พุทโธ แต่มันก็ยังไม่หาย แม่บอกว่าคุณก็เจริญสติเสียนะ สติคุณรู้ว่ากำลังจะโกรธ คุณดับได้มันก็ไม่โกรธ 

เรียนพระอภิธรรมก็ช่วยคุณโยมให้หลุดพ้นไม่ได้หรอก คุณโยมต้องปฏิบัติเห็นจริงถึงจะหลุดพ้นได้ คุยไม่รู้จักจบ สงสัยไม่รู้จักสิ้น ถ้าคุณโยมจะสิ้นก็อยู่ที่ปัญญากับสติรู้เท่าทันอารมณ์ ดับอารมณ์ทัน รู้ใจคนอื่นก็ไม่สู้เท่ารู้ใจตัวเอง 84,000 พระธรรมขันธ์ ย่อลงมาก็กายกับใจ รู้เท่าทันอารมณ์ ดับอารมณ์ได้ เป็นสิ่งที่เลิศที่สุดแล้ว


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 00:36 , Processed in 0.037284 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.