แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

สวนปฏิบัติธรรมชมวิว บ.นางิ้ว อ.สังคม จ.หนองคาย สถานที่เหมาะแก่การปลีกวิเวก [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"โสดาปฏิมรรค กับ โสดาบันปฏิผลต่างกันอย่างไรครับ"

โสดาบันปฏิมรรคยังไม่เป็นผล ถ้าเป็นผลก็จะไม่หลงในโลกโลกีย์ ไม่หลงในอารมณ์ ไม่หลงในหญิง ไม่หลงในชาย จะสวยจะงามจะรวยเท่าไหร่ เราก็ไม่พึงปรารถนา ผู้เป็นมรรคอยู่ก็มีโอกาสหลงได้ ก็กลับคืนไปสู่ภาวะเหมือน โสดาบันปฏิมรรค สามารถมีครอบครัวแต่รักษาศีล 5 ไม่ทุกข์ ไม่เกาะอารมณ์อารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติ

โสดาปฏิผลจะไม่คิดหวังคืนกลับไปสู่ครองเรือน มีแต่จะมุ่งหน้าเข้าไปสู่อีกภาวะที่เราได้ยินได้ฟังในหนังสือ โสดาบันปฏิผล จะไม่ยึดถือในสีลัพตปรามาส คือไม่เชื่อนอกศาสนา ไม่เชื่อร่างทรง แต่รู้ว่าวิญญาณมีจริง ไม่เชื่อว่าศาสนาไหนนอกศาสนาพุทธ จะสอนเท่ากับศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่หลงงมงาย ไม่ถือเครื่องรางของขลัง นี่คือสมบัติของโสดาบัน 

ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ได้ยินข่าวเขาบอกตรงนั้นตรงนี้มีหมอดูแม่นๆ อย่างนี้ๆ ก็ไม่เชื่อไม่สนใจ ไม่ไปรู้ไม่ไปฟัง ฟังอยู่รู้อยู่แต่จะไม่วิ่งเข้าไปหา ได้ยินว่าพระองค์นี้ดังนะ สามารถช่วยคนได้ มีคาถาอาคม แล้วให้เครื่องรางของขลัง ช่วยให้เราพ้นจากทุกข์ได้ โสดาบันปฏิผลไม่เชื่อเลย แล้วไม่มีในใจของโสดาบัน จะไม่ยึด ไม่ติด ไม่เกาะ ไม่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ 

เครื่องรางของขลังก็ไม่ใส่ แม้แต่จะใส่ก็สลัดปลดออก สิ่งใดที่มันเข้ามาแล้วทำให้ตัวเองยึด ตัวเองเกาะ ให้ตัวเองติดอยู่ เมื่อมาถึงภาวะนี้ใหม่ๆ จะขน จะละ จะเอาไปทานให้หมดเลย นี้คือลักษณะของผู้เข้าถึงกระแสนั้น เมื่อขาดสะบั้นแล้วถ้าไม่มีคู่ ถ้าเป็นผลก็จะไม่แต่งงาน จะไม่ไปสมสู่ โสดาบันปฏิผลจะไม่มีการปลุกเศก ไม่มีการสะเดาะเคราะห์ จะให้ดูแต่จิต ส่งเสริมแต่การปฏิบัติธรรมอย่างเดียว 

เชื่อว่ากรรมต้องชดใช้ด้วยกรรม บุญส่งเสริมให้เราสูงขึ้นไป เชื่อบุญกับบาป ทางเดียวที่จะแก้กรรมได้คือ ปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะหลุดพ้น ที่จะแก้ไขได้ทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่จะทำลายเราได้ แม้แต่ว่าเครื่องราง มนต์ คาถาอาคมอันใดๆ ก็เข้าไม่ได้ เพราะสติเรารู้ ปัญญาเรารู้แล้ว มันก็กระเด็นออกไป



Rank: 1

"ต้นไม้ไม่มีราก"

ต้นไม้ใหญ่ยืนอยู่ได้หลายร้อยปีเพราะรากแก้วรากฝอยที่แข็งแรง เปรียบดั่งชาติมีได้เพราะจิตที่เข้าไปยึดไว้ ปล่อยสิ่งที่ยึดไว้ทั้งรากแก้วรากฝอยหมดเมื่อใดชาติก็ล้มลงเมื่อนั้น 

สิ่งใดละที่ทำให้ใจเข้าไปยึดติด ความยินดียินร้ายนั่นเอง แล้วทำอย่างไรละจึงจะละความยินดียินร้ายลงได้ สติและปัญญาเห็นโทษเห็นภัยมันนั่นไง

ยินดีมากชอบมาก ยินร้ายมากไม่ชอบมากก็เป็นรากแก้ว ชอบน้อยไม่ชอบน้อยก็เป็นรากฝอย ละทั้งชอบและไม่ชอบ เป็นกลางๆ ชอบก็เป็นภพชาติ ไม่ชอบก็เป็นภพชาติ คือต้นไม้ที่รากค่อยๆทะยอยตาย เมื่อถึงเวลาต้นไม้หรือชาตินั้นก็จะล้มลง และไม่มีวันจะงอกรากหรือฟื้นขึ้นมาใหม่ เพราะรากแห่งความยินดียินร้ายได้ถูกทำลายลงแล้วเสียสิ้น


Rank: 1

"อ่านใดเล่า เท่าอ่านใจตน"

ไม่มีใครเผาเราได้เท่ากับเราจุดไฟเผาตัวเอง(ยกเว้นตอนตาย) ไม่มีใครดับไฟในใจเราได้ นอกจากตัวของเราเอง คมมีดใดจะคมเท่ากับมีดที่เรากรีดลงบนหัวใจตัวเอง หนีคนทั้งโลกได้แต่หนีใจตัวเองไม่พ้น ความจริงคือสิ่งที่เราต้องยอมรับและต้องเผชิญ ทุกข์อันใดเล่าจะเท่ากับทุกข์ที่อยู่ในใจ 

แบกของหนักโดยไม่รู้ว่าแบก เปลือกก็เป็นเพียงเปลือกหาช่วยอันใดได้ ความจริงแท้คือสิ่งที่อยู่ในใจ เราเป็นเพียงสัตว์โลกตัวหนึ่ง มันมาเดี๋ยวมันก็ไป มันไปเดี๋ยวมันก็มาใหม่ ทำไปเพื่อใคร เพื่อกลับมาใหม่หรือเพื่อไม่กลับมา

ธรรมะแท้ของพระพุทธเจ้า ธรรมะเพื่อการหลุดพ้น มองลงที่ใจ วัฏฏะเริ่มที่ใจและจบที่ใจ ใจไม่มีสิ่งใด ไม่มีภาษา ไม่มีคำพูด มีเพียงความรู้สึก 

ไม่มีใครอ่านใจเราได้เท่าตัวเราเอง ไม่มีใครเข้าใจเราได้เท่าเราเข้าใจตัวเอง ไม่มีใครแก้ใจเราได้เท่าเราแก้ใจตัวเอง ไม่มีใครสอนใจเราได้เท่าเราสอนใจตัวอง อ่านใจคนอื่นหรือจะสู้อ่านใจเราเอง


Rank: 1

"เดินจงกรมบริกรรมพุทโธ เดินอย่างไรให้เห็นอาการเกิดดับ"

คุณแม่ชีเกณฑ์ท่านสอนให้เดินช้าๆ เท้ายกขึ้น ให้คำว่าพุท การรับรู้ที่เท้าเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และก่อนเท้าจะลงให้หยุดไว้ จะเห็นคำว่าโธผุดขึ้นในใจ ให้มันดับไปก่อนแล้วค่อยเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธที่เอ่ยขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การรับรู้ เท้าที่ลงและคำว่าโธเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน 

เมื่อเห็นใจมันสั่งให้เอาเท้าลงหรือบอกให้ไป อย่าไปทำตามมัน หยุดดูให้มันดับลงก่อนจึงไปต่อ ถ้าความคิดเกิดขึ้นให้หยุดค้างไว้ ความปวดเกิดขึ้นก็ให้หยุดค้างไว้ เมื่อความคิดและอาการปวดดับจึงไปต่อ มันมาอีกก็หยุดอีก มันดับเราก็ไปต่อ

การเห็นการเกิดดับ เป็นต้นทางของการวิปัสสนา เป็นปัญญาขั้นแรกที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นและเข้าถึงการเกิดดับจากการปฏิบัติ จะปฏิบัติธรรมเข้าใจได้ง่ายและไม่เนิ่นช้า

จะบริกรรมอะไรหรือไม่บริกรรม คุณแม่ท่านให้สังเกตจุดเดียวกันคือ จุดที่การรับรู้เกิดแล้วก็ดับ และเห็นจิตที่คิด จิตที่สั่งเกิดแล้วดับ การเดินช้าแล้วหยุดจะทำให้เราเห็นธรรมชาติอันแท้จริงนี้ เพราะใจที่ไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับ ความคิดจึงต่อกันยาวเหยียด

ถ้าคิดมากไม่ยอมหยุดเพราะสติเรายังไม่มีกำลังพอ หยุดค้างไว้และให้กำหนดคิดหนอๆ หรือตามอาการความรู้สึกในใจ หากฟุ้งมาก อึดอัดมาก ให้บริกรรมออกเสียงดังๆ เพื่อให้จิตคลายและมาสนใจอาการที่ปากเป็นระยะ เมื่อต่อเนื่องมากๆ มันไม่ถูกปรุงแต่งให้คิดต่อ ความคิดนั้นก็ดับลง หรือจะคิดให้มันจบไปเลย เมื่อสรุปได้ก็วาง


Rank: 1

"เส้นทางการบิณฑบาตบนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว" 

ผู้ที่จะขึ้นไปอยู่บนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว จะต้องเดินเท้าลงเขาขึ้นเขาตามพระไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนางิ้ว รวม 10 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ในวันที่ฝนตกถนนสายนี้จะกลายเป็นทะเลโคลน ลื่นจนไม่สามารถเดินลงมาได้ จึงควรต้องเตรียมอาหารแห้ง ปลาแห้ง ปลาหมึกแห้งกุ้งแห้ง เครื่องกระป๋อง ติดตัวไปใช้ในยามฉุกเฉิน ผักสดสามารถหาเก็บได้บนเขา ทั้งผักกูดและผักบุ้ง ข้างบนมีเตาแก๊สและหม้อหุงข้าวให้ และการเดินทางขึ้นสวนปฏิบัติธรรมชมวิวต้องใช้รถอีแต๋น รถกระบะสามารถขึ้นไปได้เฉพาะวันที่ฝนไม่ตกเท่านั้น 

ขณะนี้คุณแม่ชีเกณฑ์ พระอาจารย์พิชิต ครูบาตั้ม และช่างจาก จ.ร้อยเอ็ด ขึ้นไปอยู่บนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว เป็นระยะเวลา 7 วันแล้ว เพื่อดำเนินการสร้างศาลาโรงธรรมและกุฏิปูน 1 หลังให้แล้วเสร็จ 

***สวนปฏิบัติธรรมชมวิว จะเปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการช่วงวันที่ 20 ธ.ค. 57-5 ม.ค. 58 หลังจากนั้นจะปิดชั่วคราว เพื่อดำเนินการสร้างกุฏิไม้อีก 3 หลังให้เสร็จ***

สิ่งที่ต้องเตรียมตัวขึ้นไปคือเต้นท์ ของใช้ส่วนตัว ชุดขาวสำหรับผู้ต้องการเดินลงมาบิณฑบาตกับพระ อาหารแห้งยกเว้นข้าวสาร ถุงดำใส่ขยะ ยา ไฟฉาย ยาทากันยุง ไม้แขวนผ้า ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เชือก เครื่องนอน เครื่องกันหนาว ข้างบนมีตะเกียงเทียนให้ ต้องนำเทียนติดตัวมาด้วย และข้างบนมีตัวต่อมาก มาตอมอาหารราวกับแมลงวัน ขอให้ทุกท่านเตรียมยาและศึกษาวิธีป้องกันตัวจากตัวต่อมาด้วย สามารถฝากรถไว้ได้ที่สถานีตร.บ้านนางิ้ว น้องชายคุณแม่ชีเกณฑ์ คุณตร.เสน่ห์ นิลพันธ์ ประจำอยู่ที่สถานีตร.บ้านนางิ้ว

ติดต่อแจ้งชื่อเพื่อขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์ บนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว ได้ที่ คุณแม่ขีเกณฑ์ 0861009373 (วันทูคอล) 10.00-16.00 น.หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/pages/สวนปฏิบัติธรรมชมวิว-จหนองคาย/1502603876685810?ref=hl

Rank: 1

ทริปอาสาขนหินสร้างกุฏิบนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว 25-26 ต.ค. 57 (22 รูป)

ติดตามภาพบรรยากาศอาสาขนหินสร้างกุฏิบนสวนปฏิบัติธรรมชมวิว 25-26 ต.ค. 57 ได้ที่https://m.facebook.com/events/613532795430754


Rank: 1

"หนูไม่มีเวลาไปปฏิบัติค่ะ"


จะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ จะทำงานก็ปฏิบัติได้ ให้คุณรู้เท่าทันทุกอริยาบถที่เคลื่อนไหว ทุกความรู้สึกทั้งที่กายที่ใจ แต่รู้อย่างเดียวมันก็ยังละไม่ได้ แก้ไขตัวเองไม่ได้ พอเผลอสติมันก็เป็นอีก ทุกข์อีก โกรธอีก คุณต้องรู้โทษรู้ภัยมันด้วย จะแก้ตัวเองได้คุณต้องรู้จักตัวเอง แล้วเจริญทั้งสติและปัญญาไปด้วยกัน

การปฏิบัติในรูปแบบทุกวันสำคัญที่ตรงนี้ คุณต้องสละเวลาบ้าง ใช้กายและจิตเป็นสนามฝึกซ้อม หัดให้เรารู้เท่าทัน ดับอารมณ์ได้ทัน แม่ไม่ได้ให้นั่งสงบอย่างเดียว เราต้องลุกขึ้นมาเดิน มาเคลื่อนไหว รู้จักกับสิ่งที่มากระทบและรู้ว่าต้องจัดการมันอย่างไร 

มีสักวันไหมที่ไม่เคยโกรธ ไม่เคยหงุดหงิด ไม่เคยเบื่อ ไม่เคยกลัวอนาคต 
ไม่ไปใส่อารมณ์กับใคร ไม่แบกอารมณ์กลับมา อย่ามัวช้าอยู่เลย มั่นใจได้หรือบุญที่ทำมามากมายจะประกันได้ว่า เราจะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ดุร้าย ก่อนตายใจมันโหด มันเหี้ยม มันอาฆาต มันก็อาจไปเป็นสัตว์ที่ดุร้ายได้ใช่ไหม 



Rank: 1

"ติดอะไรอยู่"

ผู้ปฏิบัติธรรม: คุณแม่ครับ ทำไมผมยังไม่บรรลุสักที ผมติดอะไรอยู่ 

คุณแม่ชีเกณฑ์ : ใจคุณติดอะไรอยู่ คุณยังไม่รู้ใจคุณ แล้วใครจะไปรู้ใจคุณได้ ใจคุณยังยินดีกับอะไร ยังยินร้ายกับอะไร มันก็ติดอันนั้นแหละ

คัดลอกมาจาก https://www.facebook.com/pages/สวนปฏิบัติธรรมชมวิว-จหนองคาย/1502603876685810?ref=hl

Rank: 1

"วิธีไหนก็ดีหมดแต่ขอให้รู้เท่าทัน"

คำสอนใดก็ตาม วิธีกรรมใดก็ตาม ลงมาแล้วก็ให้คุณเห็นใจ เท่าทันกับความคิด กับความปรุงแต่ง ให้เกิดปัญญา จะวิธีไหนก็ดีหมด บริกรรมไหนก็ดีหมด แต่ขอให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่จะมาปรุงแต่งจิตให้มันทุกข์ ให้มันสุข 

พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านบอกว่า จงให้รู้เท่าทันใจที่มันปรุงแต่ง เดี๋ยวมันก็ปรุงว่าอันนั้น เดี๋ยวมันก็ปรุงอย่างนี้ เหมือนปลาที่จะทอดไม่เห็นว่ามันเค็ม ก็ยังไปเอาเกลือมาใส่ เหมือนจิตที่รับรู้อารมณ์ จิตก็เป็นสภาวะเฉยๆ กลางๆ แต่เราต่างหากเล่า ปรุงรสให้มันใช่มั้ย 

จะเอารสหวานหรือรสเปรี้ยวละ เขาด่าเรา โอ้..รสเปรี้ยวมาแล้ว ก็โกรธใช่ไหม ได้กินแล้วมันเปรี้ยวซ่า มันแทงใจดำเรา เพราะเราถือว่ามันเป็นเสียง มันถือยึดว่าเป็นตัวกูของกู ถ้าเป็นของคุณ ผมอย่าหงอกนะ หนังอย่าเหี่ยวสิ เต่งตึง สั่งมันสิ สั่งได้มั้ย สั่งมันไม่ได้ใช่มั้ย 

อย่างนั้นมันไม่ใช่ของเราเนาะ ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง รู้แล้วก็วาง แต่เราก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็เหมือนที่คุณโยมเสียสละมาสนทนาธรรม มาปฏิบัติ เสียสละเงินทองมา หาได้ใช่เอาใส่แต่ปากที่เมือนทะเล มีเท่าไรก็ไม่เต็มมีแต่ถ่ายเทออก จะวิธีใดก็ตาม จะที่ไหนก็ตาม ก็ขอให้คุณโยมรู้เท่าทันจิตตัวเองและดับให้ทันปัจจุบัน

คัดลอกมาจาก
https://www.facebook.com/pages/สวนปฏิบัติธรรมชมวิว-จหนองคาย/1502603876685810?ref=hl

Rank: 1

"คุณแม่ค่ะ อธิบายความหมายของสติปัฏฐาน 4 แบบง่ายๆและเข้าใจได้ง่ายให้หนูได้ไหมค่ะ"

วิปัสสนาในสติปัฏฐาน 4 อย่าง 1. กาย 2. เวทนา 3.จิต 4.ธรรม.....
ไม่ว่าลูกจะเดิน จะนั่ง จะนอน จะพูด จะคิด จะกระทำสิ่งใด ให้มีสติรู้เท่าทันทุกอย่าง ทั้งที่กายและที่ใจ คำว่ารู้ทันกาย รู้ทั้งกายที่เคลื่อน กายเจ็บ กายปวด ก็ให้มีสติรู้ แล้วดูใจเราทุกข์กับมันมั้ย ห่วงมันมั้ย มันเจ็บมันปวด มันมีอารมณ์หงุดหงิดมั้ย

เวทนามี 2 อย่างคือเวทนาที่กายกับเวทนาที่ใจ ความรู้สึกที่ใจที่เรียกมันเป็นเวทนาเพราะมันเจ็บปวดใจ จิตก็มีสติรู้เท่าทันกับอารมณ์ที่มันมาปรุงแต่งจิต ให้คิดโน่นคิดนี่ เดี๋ยวก็แว่บไปนั่น เดี๋ยวก็แว่บไปนี่ ธรรมก็คือธรรมารมณ์ อารมณ์ที่มากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์ที่มันโกรธ มันเกลียด มันรัก มันชอบ มันชัง มันเบื่อ สารพัดอารมณ์

มีคนหนึ่งบอกว่าฉันไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมได้ เขาคิดว่าต้องทำให้จิตสงบตลอด ต้องเป็นกุศล ต้องดี ถ้าไม่ดีไม่ใช่ธรรม พอไปปฏิบัติก็พยามยามให้ไม่คิด มันเลยสู้กัน ก็เลยว่าตัวเองมันยาก ไปแล้วปฏิบัติไม่ได้ เหมือนน้องคนหนึ่งก็ว่า หนูจะทำได้มั้ยละคุณแม่ หนูอยากไปแต่กลัวจะปฏิบัติไม่ได้ แม่ก็ว่าทำไมจะไม่ได้ แม่ให้มาดูความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท ความน้อยใจ

เราอยู่กับอารมณ์ทางตา หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส เดี๋ยวมันหยุดหงิด เดี๋ยวมันฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมันโมโห เดี๋ยวมันขี้เกียจขี้คร้าน แล้วมันยากมั้ยละ มันอยู่กับอารมณ์ นี่แหละให้ไปรับรู้ ให้ไปวางสิ่งเหล่านี้ ทุกคนก็หัวเราะมีกำลังใจ นี่ต่างหากละธรรม ธรรมารมณ์ที่มาทำให้เราหวั่นไหวนี่ไง

จะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ จะทำงานก็ปฏิบัติได้ ให้คุณรู้เท่าทันทุกอริยาบถที่เคลื่อนไหว ทุกความรู้สึกทั้งที่กายที่ใจ แต่รู้อย่างเดียวมันก็ยังละไม่ได้ แก้ไขตัวเองไม่ได้ พอเผลอสติมันก็เป็นอีก ทุกข์อีก โกรธอีก คุณต้องรู้โทษรู้ภัยมันด้วย จะแก้ตัวเองได้คุณต้องรู้จักตัวเอง แล้วเจริญทั้งสติและปัญญาไปด้วย

การปฏิบัติในรูปแบบทุกวันสำคัญที่ตรงนี้ คุณต้องสละเวลาบ้าง ใช้กายและจิตเป็นสนามฝึกซ้อม หัดให้เรารู้เท่าทัน ดับอารมณ์ได้ทัน แม่ไม่ได้ให้นั่งสงบอย่างเดียว เราต้องลุกขึ้นมาเดิน มาเคลื่อนไหว รู้จักกับสิ่งที่มากระทบและรู้ว่าต้องจัดการมันอย่างไร

มีสักวันไหมที่ไม่เคยโกรธ ไม่เคยหงุดหงิด ไม่เคยเบื่อ ไม่เคยหวาดหวั่น 
ไม่ไปใส่อารมณ์กับใคร ไม่แบกอารมณ์กลับมา อย่ามัวช้าอยู่เลย มั่นใจได้หรือบุญที่ทำมาจะประกันได้ว่า เราจะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ดุร้าย ก่อนตายใจมันโหด มันเหี้ยม มันอาฆาต มันก็อาจไปเป็นสัตว์ที่ดุร้ายได้ใช่ไหม

คัดลอกมาจาก
https://www.facebook.com/pages/สวนปฏิบัติธรรมชมวิว/1502603876685810?ref=hl



‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 02:44 , Processed in 0.039784 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.