แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมะสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์และสานุศิษย์พระโพธิสัตว์ ; หลวงปู่ทวด [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔๐

คนเสียสละอย่างแท้จริง



ประธานกรรมการ – กราบนมัสการหลวงปู่ เนื่องด้วยจะจัดการประชุมใหญ่สานุศิษย์ทั่วประเทศ เพื่อรวมพลังช่วยทำงานศาสนามากขึ้น อันเป็นการทำงานตามเป้าหมายอุดมการณ์ จึงขอพระเมตตาโปรดประทานโอวาทด้วย

หลวงปู่ทวด – เจริญพร คือในปัญหาในหลักของงานนั้นมันก็ต้องเข้าใจว่า การทำงานเป็นการเข้าไปหาความทุกข์ การทำงานเราจะต้องรู้หลักแห่งปัจจัยของงาน และงานที่ยากที่สุดในโลกมนุษย์ก็คือ งานของศาสนา เพราะการจะเป็นนักบวช การจะเป็นนักบุญ การจะเป็นนักพรต การจะเป็นผู้ที่ให้เขาศรัทธา การเป็นเจ้าลัทธิหรือเป็นอะไรนั้น ต้องเป็นบุคคลที่เข้าซึ้งถึงอุดมการณ์ที่ตนมุ่งนั้น

เป็นการปฏิบัติเพื่อความสุขของส่วนรวม โดยชีวิตนี้ไม่มีอนาคตเป็นของตน และจะต้องอุทิศทุกเสี้ยววินาทีแห่งการมีชีวิตอยู่ของตน เพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายของอุดมการณ์ โดยตนจะไม่ทรยศสัจจะของตน ตนยอมถวายชีวิตนี้ปฏิบัติเพื่ออุดมการณ์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า เป็นการทำงานทวนกระแสน้ำ เป็นการทำงานทวนกระแสคลื่น

ทุกวันนี้ที่ท่านจะสังเกตว่า โลกฝ่ายอกุศลอบายมุขนี่วิ่งนำกว่าฝ่ายที่หวังสันโดษ ทีนี้ ปัญหาในเรื่องการปรับปรุงงานทางโลกที่วุ่นวาย เพราะคนทำงานนั้นเขาทำด้วยเพราะอยากใหญ่อยากรวย ไม่ใช่ทำด้วยการเข้าใจว่า ที่เราทำงานนั้นเพราะเรามีกรรมที่จะต้องมาใช้เขา


ถ้ามนุษย์ทำงานมีกระแสจิตว่า เราทำงานเพราะเรามีกรรม ซึ่งคนที่ดีที่สุดก็จะไม่ต้องมาเกิดเป็นคน ต้องไปเกิดเป็นเทพพรหมอยู่บนสวรรค์ ถึงจะเรียกว่าดี เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว ไม่มีใครจะดีกว่าใคร ไม่มีใครจะชั่วกว่าใคร ล้วนแต่มีอกุศลกรรมและกุศลกรรมนำตนให้มาเกิด

ทีนี้ เมื่อสภาพของการเกิดเป็นคนแล้ว ก็ต้องเต้นไปตามจังหวะแห่งการเกิดตามปัจจัย เพราะฉะนั้นตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้ามนุษย์ทุกรูปทุกนามรู้จักแลให้ดี ภาษาทางใต้นี่เขาเรียกว่า แล คือการดูนั่นเอง


คือ แลให้ดีถึงหลักแห่งอริยสัจ ๔ หลักแห่งปัจจัยของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาดำเนินการแห่งชีวิต ดำเนินการแห่งการทำงาน ดำเนินการแห่งการวินิจฉัย ดำเนินการแห่งการพิจารณาในการจดจ่อ สิ่งนั้นก็จะเป็นไปได้ดี เพราะไปด้วยการมีสติ ไม่ใช่ไปด้วยการมีโทสะ โมหะ โลภะ

ฉะนั้นการปรับปรุงงานขณะนี้ ประเทศสยามทุกๆ วงการตกอยู่ในภาวะคือ ขาดคนที่เสียสละอันแท้จริง มันเป็นปัญหาหลัก เพราะเราถูกอบายภูมิเขาครอบงำกันมาก เราไม่ได้ชำระจิตกันในทุกสังคม

เมื่อมันตกอยู่กลางกลียุค จริงอยู่มนุษย์ทั้งหลายล้วนแต่จำเป็นอยู่รอดด้วยหลักแห่งปัจจัย ๔ และไม่ใช่ว่าคนนั้นจะต้องได้เงินเดือนมากๆ แล้วก็ทำงานได้ดี เมื่อทำงานด้วยการได้รับผลตอบแทนมาก แต่ไม่ได้ทำงานด้วยการฉันทะ ก็ย่อมไม่เกิดวิริยะเป็นหลัก
คนเราถ้าทำงานด้วยความฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาแล้ว งานทุกอย่างก็ทำได้ดี

คนก็ไม่ใช่ว่ามีเงินมากๆ แล้วจึงจะพ้นทุกข์ ผู้ที่ทำงานนั้น ถ้าเขามีจิตแห่งการคิดว่า ชีวิตเกิดมาใช้กรรม ที่เราเป็นคนเพราะมีกรรม เราอยู่ในโลกนี้ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ต้องตายจากโลก วันหนึ่งกินข้าวกี่ชาม สิ่งที่สะสมนั้นเอาไปได้หรือไม่ ถ้าทุกๆ ชีวิตเข้าใจภาวะนี้แล้ว คิดอยู่อย่าง “พอกิน พอใช้ พออยู่ อยู่อย่างสงบ สันโดษ สันติ” สังคมนั้นๆ ก็ดีได้

เพราะฉะนั้น การที่จะปรับปรุงเอาทางโลกเข้ามาร่วมกับทางธรรมนั้น อาตมาก็เห็นด้วย แต่ว่าเราอย่าไปปรับปรุงเหมือนกับทางโลกกับเขาล่ะ เช่น การทำงานด้วยการมีตัวโลภ แต่ถ้าเราปรับปรุงให้ว่า ให้เขาทำงานด้วยความวิริยะ จดจ่อ ทำงานด้วยการอยู่แค่พอกินพอใช้พออยู่แล้ว งานนั้นมันจะดียิ่งกว่าคนที่ทำงานมีเงินเดือนมากๆ อันนี่เป็นปัญหาที่สำคัญในวงงาน นี่อาตมาฝากเป็นข้อคิด

(วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๙)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๙

การเสวยกรรม



เลขาธิการ - กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูง หลวงปู่เคยรับสั่งว่า มนุษย์มีกรรมของเขา แล้วประเทศชาติก็มีกรรมของเขา ทำให้ผมไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเรามีนรกสวรรค์แล้ว คนทำชั่วก็ไปใช้โทษในนรกแล้ว คนทำดีก็ไปได้รับผลดีในสวรรค์แล้ว เหตุใดเมื่อมาเกิดในมนุษย์ จึงมีผลกรรมตามมาอีกครับ มันน่าจะหมดกันไปแล้ว

หลวงปู่ทวด - วิบากกรรมอันนั้นมันยังไม่หมด ถึงได้มาเกิดเพื่อใช้กรรมเก่าอีก เข้าใจไหม

เลขาธิการ -
หมายความว่า ถึงใช้กรรมในนรกสวรรค์อย่างไรก็ไม่หมด ยังมีส่วนที่เหลือมา

หลวงปู่ทวด - มันมี เขาเรียกว่า กฎของสังสารวัฏ หมายความว่า เขาเรียกว่า นี่เพราะกรรมที่มันพัวพันยังไม่หมด ก็ต้องมาใช้กรรมอันนี้กับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ตาย ลูกหนี้อยู่ เจ้าหนี้มาเกิดเป็นลูกของลูกหนี้ เพื่อใช้หนี้อันนี้เสร็จก่อน ทีนี้ในการที่เกิดมาเป็นลูกหนี้ เป็นการที่เขามาสร้างกรรมอีกอันหนึ่ง


เพราะฉะนั้น เขาจึงมีหลักว่า เทพพรหมที่มีสติพร้อม เขาจะพยายามปฏิบัติตนให้เป็นปัจเจกโพธิเจ้าในสวรรค์ให้มากที่สุด เพื่อให้กระแสเหนือกรรมขึ้นมาแทน เขาว่าเมื่อจิตเป็นอรหันต์ จิตเป็นพระพุทธเจ้า จิตสู่นิพพาน จิตอันนี้ใช้กรรมเสร็จแล้ว สามารถหลุดออกจากคลื่นของสังสารวัฏ หลุดออกจากการดึงดูดของกระแสแม่เหล็กแห่งกรรมนี้ มันเป็นเรื่องลี้ลับของเรื่องนรกสวรรค์

เลขาธิการ – กระผมเข้าใจว่า เหมือนกับคนติดตาราง เมื่อติดตารางไปแล้วมันก็หมดกันไป เหมือนวิญญาณเมื่อลงนรกก็ใช้กรรมไปแล้ว ทำไมขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ยังต้องรับเคราะห์กรรมอีก

หลวงปู่ทวดกรรมเก่ายังไม่หมด

เลขาธิการ – ไม่หมดหรือครับ

หลวงปู่ทวด – ในส่วนที่เขาสร้างบุญไว้มากนี่กับว่าเขาสร้างความชั่วน้อย แล้วช่วยเขาให้ไปอยู่ในนรกน้อย อยู่นรกแล้วขึ้นมาเสวยบุญกุศลที่สร้างไว้มาก อันนั้นแล้วไม่มีสติควบคุมอารมณ์สร้างความดีต่อ เขาเรียกว่า สติไม่คล้อยตามในบุญนั้นๆ เพื่อบำเพ็ญบารมีแห่งความดีขึ้นไป แล้วจึงหลุด เข้าใจหรือยัง

เลขาธิการ - ที่กระผมถามนี่ มีความคิดเบื้องหลังคำถามอันนี้คือ อย่างว่าประเทศไทยเราจะต้องเผชิญวิบากกรรม จะต้องมีกรรมหนักเรื่องอะไรก็ตาม นองเลือดอะไรก็ตามนะครับ ถ้าเราสามารถกลับคนที่จะทำความชั่วเหล่านั้นให้กลายเป็นคนดี ให้ความชั่วที่เขามีอยู่ที่ต้องใช้ในโลกมนุษย์นั้น ให้เขาไปใช้กรรมในนรกเสีย แล้วให้แผ่นดินไทยที่จะรับกรรมนั้นเป็นแผ่นดินที่สงบสันติอย่างนี้จะได้ไหมครับ

หลวงปู่ทวด - มันเป็นกรรมวิบากของเขา

เลขาธิการ - ไม่ได้หรือครับ คือย้ายไปเสีย แทนที่เขาก่อกรรมที่บนผืนแผ่นดินไทยในยุคนี้ครับ ให้เขาไปลงนรกเสียเลย มีทางให้เกิดแผ่นดินสันติสุขไหมอย่างนี้ครับ ทำนองย้ายครับ ย้ายไปย้ายมา

หลวงปู่ทวด - เรื่องช่วงต่อของกรรมอันนี้ คือหมายความว่า ถ้าสำนักปู่สวรรค์นี้ยังมีวิธีช่วยบางอย่างให้มันเบาบางลงได้ คาถาชินบัญชรนี่ออกได้มากๆ ยิ่งดี เพื่อคนจะได้ช่วยกันสวดมนต์อธิษฐานจิตให้ประเทศสงบ

เลขาธิการ -
ครับผม ผมคิดว่าต้องพิมพ์เพิ่มเติมอีก


(วันเสาร์ที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๖)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๘

ขันติบารมี



เจริญพร

สานุศิษย์ทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกันปรึกษากันในคณะของท่านที่ได้รับในการแต่งตั้งเป็นกรรมการ หรือว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานในสำนักนี้ ทีนี้ในภาวะนี้ ในการทำงานขณะนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากที่เราก็จะต้องแลกันก็คือว่า อาตมาจะได้ให้คติของเรื่องคำว่า “การทำงานที่นี่ เราจะต้องมีขันติธรรม”

คือ ขันติเป็นผลในการที่จะนำไปสู่ในความสำเร็จของงาน เรียกว่าในการประชุมนี้ บางคนมีความหนักใจในปัญหาต่างๆ ซึ่งที่จริงแล้วปัญหาทั้งหลาย ถ้าท่านเชื่อว่า “กรรมมันต้องเป็นกรรม” ทุกอย่างมันก็ต้องมีสมุฏฐาน ในเรื่องเหตุก็ต้องมีผลในการแก้ไขปัญหาทั้งหลาย ขออย่างเดียวว่า


ขอให้ท่านมีความขันติในการทำงาน ขันติต่อคำสรรเสริญนินทา ขันติต่ออารมณ์ของเพื่อนร่วมงาน ขอให้ปลงตก เพราะว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมานับเป็นกรรม เป็นภาระที่ต่างคนต่างสะสมมาไม่เหมือนกัน ภาษาพระเขาเรียกว่า “นานาจิตตัง”

ภาวะแห่งนานาจิตตังนี่ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้กระแสอารมณ์อันใดอันหนึ่งให้มันตรงกันที่จะทำงานใหญ่ได้ โดยวางในเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นอารมณ์นานาจิตตังในอนุสัยแห่งความเห็นชอบของตนเองออก แล้วมุ่งเป้าหมายที่จะให้ได้ลุล่วงในผลงาน

ขณะนี้จุดสำคัญ อาตมาก็อยากจะให้ท่านทั้งหลายพิจารณาในการที่ท่านโตจะวางแผนในเรื่อง จัดงานลงพลังจิตสมเด็จฯ ๙ ประเทศ ที่จะไปจัดงานที่เมืองราชบุรีในเทือกเขาถ้ำพระนั้นเป็นเรื่องหลัก ซึ่งในผลงานที่วางไว้นั่นก็รู้สึกว่าใหญ่


ทีนี้งานใหญ่มันจะสำเร็จหรือไม่ มันก็อยู่ที่ผู้ร่วมงานรู้จักแบ่งหน้าที่ตามภาวะ ถ้อยถีถ้อยอาศัยในระหว่างการดำเนินงาน ต้องประสานงานกันให้ดี ผลงานนั้นก็จะสำเร็จได้ดี คือท่านต้องเข้าใจว่า คำว่าทำงานใหญ่ ทำให้ดีมันทำยาก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็เรียกว่า สิ่งชั่วนั้นมันมีพลังเหนือสิ่งดี เพราะถ้าสิ่งชั่วไม่มีพลังเหนือสิ่งดีแล้ว ท่านจะเห็นว่า ผู้สำเร็จก็จะต้องมีมากมาย

ถ้าในการทำทุกอย่างในสิ่งที่เป็นเรื่องของคำว่า ดี ยุติธรรม สัจจะ บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ทำง่าย ก็คิดว่าคงจะต้องมีบรมศาสดาจารย์เกิดขึ้นมากกว่าดอกเห็ด แต่เหตุไฉนสองพันกว่าปี พุทธศาสนามีทั้งดีทั้งยอดก็มีเพียงองค์เดียว คือ องค์สัมมาสัมพุทธสิทธัตถะ


เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เราก็กำลังต้องทำงานที่เรียกว่า คนเขาไม่ทำ เขาก็มองเราเป็นพวกงมงายก็ดี พวกบ้าก็ดี เราก็ถือขันติในการที่จะประสานงานกับคน งานนั้นๆ ให้มันลุล่วงไป สิ่งเหล่านี้อาตมาก็จะใคร่อยากจะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ

การประสานงานทำให้ลุล่วงในเป้าหมายที่วางไว้ไม่มากก็น้อย คือว่า คำว่างาน งานที่เรียกว่า “ทุกข์” เราทำงานคือ เราไปสร้างงานหรือเข้าไปจัดทำอะไรนี่ เขาเรียกว่า “เริ่มก่อทุกข์” แต่ผลของ “ทุกข์” นั้น เราก็ต้องคิดว่า เมื่อ “ทุกข์” อันนั้นเราสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ทุกข์อันนั้นเราสร้างขึ้นมาเพื่อเบียดเบียนตัวเราเอง หรือทุกข์อันนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเบียดเบียนคนอื่น


หรือถ้าพูดแบบภาษาอาตมาเขาเรียกว่า ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาขณะนี้ เราเรียกว่า “บำเพ็ญทุกขบารมี” เพื่อให้หลุดพ้นในสังสารวัฏ และทุกข์ที่เราจะสร้างกันนี่ เรายอมทุกข์กายใจเรา เพื่อความสุขของมวลมนุษย์ของเพื่อนร่วมแผ่นดิน

ซึ่งอาตมาก็เคยพูดไว้ตั้งนานแล้วว่า เรื่องของแผ่นดิน เรื่องของบัลลังก์ มันเป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ เหตุมีปัจจัย ปัจจัยมีเหตุ ถ้าเราจะไปพูดแบบว่า คนอื่นเขาไม่ทุกข์แล้วเรามาทุกข์ทำไม ก็จะไปเป็นปัญหาขึ้นมา


ปัญหานี่ก็หมายความว่า คนอื่นเขาทำไมไม่เป็นทุกข์ ก็เพราะเขาไม่รู้จะทำอย่างไร หรือไม่มีทางที่จะดับทุกข์อันที่เกิดขึ้นมา ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า บารมีอาจจะไม่ถึงบ้าง ตัวมีความรู้ไม่เพียงพอที่จะมาแก้ไข ก็เลยปล่อย ก็เลยวาง หรือว่าเห็นแก่ตัว

ทีนี้ภาวะแห่งสังคมสยามปัจจุบันเช่นนี้น่ะ ท่านคิดว่าเห็นแก่ตัวน่ะ นึกว่าท่านจะอยู่รอดหรือ เมื่อศาสนา เศรษฐกิจ การปกครอง บ้านเมือง ราชบัลลังก์ มันเป็นลูกโซ่ที่เกี่ยวข้อง ในสังคมมนุษย์แห่งประเทศสยามอยู่ในภาวะอันเลวร้ายเช่นนี้


ทีนี้ ในการทำงานในสังคมกลียุคเช่นนี้ เราจะต้องอาศัย “ขันติธรรม” เป็นหลัก จะต้องอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่ายุคใด การทำงานใหญ่นั้น ไม่ใช่ว่ามีคนจะสนับสนุนหมด เขาเรียกว่าโลกที่มันเกิดมาเป็นคู่ มีโลกียะ ต้องมีโลกุตระ มีทุกข์ต้องมีสุข

ทีนี้เราต้องขันติในการทำงานที่ฟังเสียงนินทาสรรเสริญ แล้วก็ไม่ยึดเสียงนั้น แต่เราต้องมุ่งพิจารณาในงานของหมู่คณะเป็นหลักว่า เรากำลังจะมาสร้างสังคมหมู่คณะให้เข้าซึ้งถึงสัจธรรม เข้าซึ้งถึงความจริง เข้าซึ้งถึงความตายอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเราก็จะยิ่งมีขันติธรรมที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คำว่าขันติ ในข้อนี้คือ ขันติบารมี

อาตมาเชื่อว่า สองพันกว่าปีนี่แล้ว จะหาผู้ที่มีขันติหนักแน่นขนาดเท่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี เจ้าชายสิทธัตถะทิ้งราชบัลลังก์บำเพ็ญพรตจนสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่ว่าสำเร็จนั้นแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็จะอยู่ถึงปัจจุบันจนมีผู้สืบต่อ พระองค์ต้องทำงานหนักอย่างยิ่งในการที่จะจรรโลงเผยแพร่ความสำเร็จนั้น ในระหว่างที่พระองค์ประกาศผลสำเร็จอันนั้น ท่านต้องเข้าใจว่าลำบากขนาดไหน

พระองค์เดินด้วยเท้าจากราชคฤห์ไปพาราณสีก็ดี ไปสาวัตถีก็ดี  ไปเวสาลีก็ดี พุทธคยาก็ดีเป็นต้น สมัยนั้นพระองค์เดินเกือบทั่วชมพูทวีปด้วยเท้าของพระองค์ประกาศสัจธรรม ไม่ใช่ไปถึงไหนคนเขาต้องต้อนรับพระองค์หมด ไปถึงบางแห่งพระองค์ยังถูกเขาขว้างปา ถูกเขาเหยียดหยาม ถูกเขาไล่


ถ้าเป็นพวกเรานี่ก็จะบอกว่า เอ๊ะ เราเอาของดีมาให้แล้วยังไล่เรานี่ ไปทำมันทำไม แต่ด้วยขันติบารมีของพระองค์ในการเผยแพร่ความสำเร็จแห่งสัจธรรม จึงทำให้สิ่งที่พระองค์ทิ้งเอาไว้รอดเหลือจนมาถึงอนุชนรุ่นหลังที่จะต้องศึกษา จะต้องตามรอยองค์โคตมะ

เพราะฉะนั้น ในท่ามกลางยุคนี้ยิ่งกว่าสมัยสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศศาสนา เราจึงจะต้องมีขันติมากกว่านี้ ฉะนั้น อาตมาในคืนนี้ก็จะให้ท่านท่องว่า


“ขันติเพื่ออยู่รอด ขันติเพื่อทำงาน ขันติเพื่อแผ่นดิน ขันติเพื่อราชบัลลังก์ ขันติเพื่อศาสนาและถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผลงานนั้นก็ลุล่วงเป้าหมายไม่มากก็น้อย

เจริญพร

(วันเสาร์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๗

สิ่งอัศจรรย์ของโลก



ลักษณะสภาพทั่วไปของประเทศสยามขณะนี้ มันอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ถึง “จุดวิปริต” ทีนี้ในภาวะถ้าเราพูดในลักษณะคนทั้งหลายที่มีใจเป็นกลาง และเชื่อดวงของประเทศเชื่อในเรื่องของอำนาจวาสนา ซึ่งท่านจะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมา ปีศาจลิงขึ้นครองเมืองและสามารถรักษาสถานการณ์ได้

ต่อมาพวกนี้รักษาไม่ได้ เพราะวาสนาไม่ถึงของการเป็นผู้นำ ทีนี้เรื่องของประเทศไทยนี่ อาตมาก็ได้พูดมามากมายแล้วว่า ดวงของประเทศไทย ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีบุญวาสนาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วคำว่า ความสงบในแผ่นดินไทยย่อมไม่มี

ตามที่เจ้าหน้าที่รายงานอาตมาแล้ว เขาแทรกซึมเข้าไปในโรงเรียนชั้นประถมทั่ว ๗๑ จังหวัดแล้ว ฝ่ายธรรมะแทรกซึมอะไรเล่า เพราะฝ่ายธรรมะกำลังเงิน กำลังทรัพย์ กำลังคนไม่พอ


ฝ่ายเขาก็มีเป้าหมายการรบ เขารบแบบมีความหวังในเรื่องการปลดแอกอะไรที่เขาจะสรรหาขึ้นมาพูด แต่ฝ่ายเราเรียกว่า บางคนรบเอาเบี้ยเลี้ยงแบบหวังขึ้นสองขั้น รบแบบต้องการเหรียญตรา การรบเช่นนี้ ท่านจะต้องคิดเรื่องนามธรรมว่า มันเป็นไปได้ไหม คือ

การทำอะไรก็แล้วแต่ จะต้องทำด้วยความศรัทธาแน่วแน่และจริงจัง มันจึงจะได้ผลของงาน แบบท่านทั้งหลายมาที่นี่ มาด้วยความศรัทธา มันย่อมจะดีกว่า คือไม่มีใครบังคับท่าน ท่านก็มาเอง เป็นต้น


เพราะฉะนั้น จิตเป็นหนึ่งในการทำงานฉันใดก็ฉันนั้น และในภาวะขณะนี้ ฝ่ายธรรมะก็ต้องรีบรุกหนักแล้ว เพื่อชิงเหตุการณ์ ทีนี้ผลการกระทำมันไปได้ ถ้าฝ่ายธรรมะร่วมกันส่งเสริม และขณะนี้ฝ่ายธรรมะต้องไม่ถือเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นงานอดิเรก

แต่ข้าราชการบางคนถือหลักราชการ ในการทำหวังเงินเดือนสองขั้น หวังยศถาบรรดาศักดิ์เป็นงานหลัก ทีนี้งานทั้งหลาย คนมาร่วมมันจะต้องมีสมองและมีอะไรบ้าง และก็เวลานี้มีใครที่เรียกว่า รักชาติกันจริงจัง ทำงานเพื่อมนุษยชาติอย่างไม่คิดถึงตัวเอง


วันหนึ่งผ่านไปเวลาก็ผ่านไป เราต้องรีบเร่งทำ งานมันก็จะได้เข้าสู่เป้าหมาย ถ้าทุกคนและฝ่ายบริหารไม่ทิฐิกัน ไม่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ทุกคนไม่เอาราชการบังหน้า และทุกคนประกาศว่า ยินดีต่อสู้เพื่อไปปรับปรุงประเทศ ทุกคนจะต้องทำอย่างจริงจัง

แต่ทุกวันนี้ส่วนมากทุกคนยังมีห่วง ยังมีเรื่องห่วงเมีย ยังมีเรื่องห่วงลูก ยังมีเรื่องผัว วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง อารมณ์แห่งความห่วงของท่านหมดไปกี่ชั่วโมง งานของประเทศและงานการอยู่รอดของประเทศ งานของสยามประเทศไม่ใช่คนสองคนทำได้ มันจะต้องเป็นกลุ่มงานของสังคมที่ทำกันอย่างจริงจัง และคิดว่าท่านคงไม่อยากจะให้เมืองไทยลุกเป็นไฟใช่ไหม


ซึ่งอาตมาก็ได้พูดไว้ตั้งนานแล้วว่า เรื่องของประเทศสยาม คน ๔๐ ล้านคน คัดออกมามี ๔ ล้าน ๔ ล้านคัดออกมา ๔ แสน ๔ แสนนี่ คนจริงเที่ยงธรรมกล้าสู้เพียง ๔ หมื่น คัดออกจากอยู่ตามป่าตามดง เหลือแค่ ๔ พันคน นี่คือสภาพของเมืองไทย

และเรื่องจะปรับปรุงประเทศในเรื่องอะไรต่างๆ นั้น การปรับปรุงต้องมีอำนาจ แล้วจึงปรับปรุงสังคมสยามได้ แล้วต้องใช้เวลา ๒๐ ปี แล้วเราจะต้องมีอำนาจตั้งแต่บัดนี้ถึงจะกู้ประเทศไทยไม่ให้ล้มจ่มได้ และถ้าท่านจะเปรียบกับฝ่ายที่เขาทำลายนั่น เขาเดินมากี่ปี ถ้าหน่วยราชการร่วมมือกับเราอย่างจริงจังแล้ว ฝ่ายอธรรมย่อมพ่ายแพ้

เรื่องการต่อสู้ในประเทศสยามเวลานี้ มนุษย์ที่ไม่มีตัวโลภมีกี่คนในสังคมนี่ แล้วสันดานแห่งอนุสัยของคนในสยามในขณะนี้ ถูกอบรมมาด้วยเงินและอำนาจที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์เป็นเรื่องยาก ในการเลือกตั้งอะไรก็ดี ท่านดูซิว่าเขาต้องทุ่มเงินกัน การเมืองไม่ใช่เรื่องบริสุทธิ์ของเมืองไทย


และเรื่องอะไรต่างๆ อีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งมันแก้ไม่ได้ทุกจุด เพราะกรรมมันหนัก จะช่วยได้ก็เพียงให้เบาบางลงและวิบากช้าลงเท่านั้น และจะสำเร็จได้มากก็ต้องอาศัยมนุษย์ที่เอาจริงที่อยากให้ “งานอันเป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลกบรรลุเป้าหมาย”

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๘)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๖

การปรับปรุงงาน



เรื่องที่เรียกว่า “เกิดความศรัทธา” ทุกคนศรัทธา ทุกคนไม่ใช่ไม่ศรัทธาอาตมา แต่ว่ามันศรัทธาแล้วใช้จังหวะไม่ถูก คือใช้เวลาไม่ถูก คือตามจริงท่านโตวางไว้ทีแรก ถ้ามันทำกันมันก็ดี ท่านเป็นนักปกครองเก่า ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมายมณเฑียรบาล ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมายในยุคนั้นตั้งแต่ ร.๔ ท่านวางตั้งแต่มีสภาเลขาฯ สามคน คณะกรรมการทุกอย่างเข้าสู่สภาเลขาฯ สภาเลขาฯ เข้าสู่กองจัดการ แล้วก็ยื่นให้กับประชาชน

ทีนี้ในการบริหารงานต้องเข้าใจว่า งานที่ยากที่สุดคือ งานศาสนา เราจะต้องมีความสุขุม แล้วมนุษย์ทุกคนนี่ ไม่มีคนไหนเขาจะเอาความชั่วของตัวออกมาพูด มนุษย์น่ะเขาจะต้องพูดว่า ตัวเองมีความดี นี่คือการเป็นมนุษย์ปุถุชน แล้วก็มนุษย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อยากเด่นบ้าง อยากจะมีชื่อบ้าง แต่ไม่มองตัวเอง ตัวเรามีขนาดไหน ตัวเราจะแบกข้าวสารได้กี่กิโลฯ เขาเรียกว่าไม่คิด นี่ก็เป็นเรื่องของมนุษย์

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกการจะเป็นนักปกครองที่ดีจะต้องสุขุม จะต้องเยือกเย็นและจะต้องพิจารณาคำพูดของคนที่มาพูดกับเรา เพราะว่ามนุษย์ทุกคนพูดมันรู้แต่ในตัวเขา เรียกว่าจุดสำคัญต้องจำเอาไว้ อย่าเชื่อคน เรื่องของคนกลร้อยแปด เราจะต้องพิจารณาสุขุม


บุคคลนี้พูดอย่างนี้ บุคคลนี้เข้าสังคมหรือไม่ ได้กรองออกมาแล้ว ก็สมองคนนี้จะใช้ทำอะไร สมองคนนี้จะทำอะไรได้  แล้วเราใช้ให้ถูกจังหวะถูกหลักการ ทุกคนก็มีดีของเขา โจรเขาก็มีดีของเขา แห่งความแน่วแน่ในการเป็นโจร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็มีดีของมัน คือการทำงานเกี่ยวกับมนุษย์

เรื่องการปรับปรุงงาน จะต้องมีความสุขุมและเข้มแข็ง คือ อุดมการณ์สิบประการมันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นงานระดับโลก ต้องค่อยๆ กรอง ช่วยกันทำอย่างแข็งแกร่ง ถ้าทุกอย่าง ถ้ามีคนแข็งจริง อาตมาก็เคยบอกว่า สิบคนก็ทำงานใหญ่ได้

สมัยยุคกลียุคตะวันตก เขาส่งองค์เยซูมาทำงาน สาวกยังไม่ถึงสิบคนทำงานใหญ่ได้ ขอให้เอาจริง กรรมการมาถึงไม่ใช่มานั่งนินทามานั่งคุยกัน มาถึงมือเท้ารู้จักทำบ้าง กรรมการก็เหมือนกับกรรมกร ไม่ใช่กรรมการมาถึงนั่งคุยกัน แล้วการทำงานเขาเรียกว่า ยิ่งไม่มีการปรึกษามันก็ยิ่งไม่รู้ พายเรือคนละที มึงตีฆ้อง ตีฉาบตีฉิ่งกันคนละที ตามหลักแล้วการทำงานเสร็จ ตกเย็นต้องคุยกัน

วันนี้มีอะไรบกพร่อง ใครบกพร่องอะไร มันก็จะถึงเป็นผู้ที่เขาเรียกว่า ผู้ที่อยู่ในธรรมะ ไม่ใช่คนนี้มาชี้คนนั้นบอก พวกนั้นเกิดโวยวายไม่พอใจ คนนี้ชี้ว่าถูกเสมอ ประจบตัวเอง มนุษย์เรา ถ้าไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่มีฌานญาณ ย่อมไม่รู้ความผิดของตัวเอง แล้วปุถุชนมีเหตุผลช่วยตัวเอง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ นี่คือสันดานปุถุชน นี่คือเรื่องของสัตวโลก

อาตมารู้ดีว่า เมื่อสมัยอาตมาปกครองกรุงศรีอโยธยา ทำไมอาตมาไม่ทำ เพราะอาตมารู้ว่าขืนไปเป็นสังฆราชอยู่น่ะ กิเลสหนา เข้าวังเขาบอกว่าสังฆราชเดินไม่ได้ ต้องให้เขาหามเข้าวัง ทีนี้สังฆราชก็ไม่มีตีนเดิน อาตมาก็เลยหนี เพราะกิเลสมนุษย์หนามาก แล้วก็การปกครองในยุคนั้นมันง่ายกว่ายุคนี้


ทีนี้ ผู้ที่ทำงานก็ยังไม่เข้มแข็ง แล้วก็ไม่สามารถชิงทันเหตุการณ์เวลา เพราะว่าไปกลัวโน่นกลัวนี่ คือมีความอาย กลัวเสียเกียรติ มีความกลัวอะไร อาตมาบอก ถ้าท่านมาทำงานกับงานที่ทวนกระแสคลื่นและทำงานไม่คล้อยตามมนุษย์ ท่านยังกลัวอาย ท่านยังกลัวเสียชื่อ ท่านยังไปที่ไหนไม่กล้าพูด ไปแอบพูด แล้วก็อย่าทำเลย

และเรื่องธรรมะที่ลึกซึ้งๆ ที่ท่านโตเทศน์ไว้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับนี้ล่ะ ทำเป็นเล่มให้มาก และจะต้องมีคณะหนุ่มสาวที่ออกไปเผยแผ่มันก็จะขยายงานได้

คือสยามต้องอย่าลืมว่า

สันดานคนไทย
เชื่อบรรพบุรุษ
นับถือประเพณี


เรียกว่า ในการคล้อยตามโฆษณาสินค้าอย่างใดก็แล้วแต่ ถึงดีขนาดไหน ถ้าไม่มีการโฆษณา เขาไม่ค่อยเชื่อ นี่คือสันดานคนสยาม แล้วก็ ลืมง่าย เขาเรียกว่าคนไทยนี้น่ะ คำพังเพยเขามีอยู่สามคำ เขาเรียกว่า “ฝรั่งกลัวตาย คนจีนกลัวอด คนไทยขี้ขอ หนุ่มไทยชอบรัก หญิงไทยชอบผัว” คือเอาแต่เรื่องกามคุณตั้งโบราณกาล แล้วก็รักง่ายหน่ายเร็ว นี่มันเป็นตั้งแต่อโยธยามาแล้ว


มันเป็นสันดานของสยาม เขาเรียกว่า เผ่าพันธุ์มันเป็นอย่างนี้ เวลานี้มันกลายเป็นว่าอารยธรรมทางตะวันตก ซึ่งเป็นอารยธรรมที่ป่าเถื่อนครอบงำสยามเข้าไปอีก มันก็ยิ่งเข้าไปกันใหญ่มันหลายๆ อย่าง ที่อาตมาบอกว่า รู้แต่ว่าต้องการนิ่ง เพราะไม่อยากพูด พูดแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องที่ภาวะ...

อาตมามันเดินแนวโพธิสัตว์ โพธิสัตว์เขาเรียกว่า ทุกวิถีทางที่จะช่วยให้มนุษย์มีความสุข ทุกวิถีทางที่จะช่วยให้มนุษย์ไม่มีความตระหนกตกใจ อาตมามีแต่แก้
อาตมาก็ถืออย่างนี้

ทีนี้ มติโลกวิญญาณตั้งสำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่แก้ เรียกว่ามีหน้าที่ปิดทองก้นพระ บางอย่างเราพูดได้ พูดแล้วมันก็จะกระจายออกไปไม่ได้ รู้แต่ในหมู่ลูกศิษย์ ที่ก่อนนี้เคยพูดมามาก เพราะว่าถ้าเรากระจายออกไปเวลานี้ เขาเรียกว่าบ้านเมืองเขามีอะไร เขาเรียกว่า ข้อหาบ่อนทำลาย

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๕

หลักการทำงานใหญ่



เจริญพร

การทำงานทั้งหลาย ท่านต้องเข้าใจว่างานใหญ่ คนๆ เดียวย่อมทำไม่ได้ งานใหญ่ย่อมต้องเป็นหมู่คณะ การทำงานเป็นหมู่คณะก็จำเป็นจะต้องเดินไปด้วยกัน งานนั้นจึงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้


การทำงานใหญ่ เราก็อย่าไปถือหลักว่า ถ้าไม่มีเราแล้วงานนั้นจะไม่สำเร็จ กฎของธรรมชาติมันจะมีตัวตายตัวแทนของมันอยู่เสมอ เขาเรียกว่า เกิดดับของมันเอง เพราะฉะนั้นการทำงานใหญ่ต้องมีหลัก คือ

๑. ต้องเชื่อมั่นว่างานนั้นจะต้องสำเร็จ นั่นคือการสร้างพลังใจ


๒. หมู่คณะต้องมีความสามัคคี งานนั้นก็จะสำเร็จเป็นขั้นที่สอง


๓. ต้องอย่าสำคัญตนผิดว่า ในหมู่คณะนั้นไม่มีมีเราแล้วงานนั้นจะไม่สำเร็จ


ถ้าท่านมีคติ ๓ ข้อนี้ อยู่ในใจและเป็นรูปของกลุ่มทำงาน อาตมาคิดว่า งานทั้งหลายไม่เกินความสามารถของมนุษย์ ถ้างานเหล่านั้นไม่ใช่งานดุลกรรม งานฝืนกฎแห่งกรรมมากนัก

ทีนี้ ปรกติที่โลกมันเกิดความวุ่นวายทั้งหลาย เพราะมนุษย์ไปสำคัญตนผิด ไปสำคัญว่า ถ้าไม่มีเราแล้ว งานนั้นก็คงจะไม่สำเร็จบ้าง ไปสำคัญว่าตนนั้น มีความรู้เก่งกว่าคนอื่นบ้าง ตนนั้นมีความดีเกินกว่าคนอื่นบ้าง คนอื่นเป็นคนไม่ดีทั้งหมด เป็นต้น มันจึงเกิดความวุ่นวายของโลกขึ้น


คือ ถ้ามนุษย์ยึดหลักแห่งการเป็นปุถุชนที่ดีแล้ว ต้องเข้าใจว่า ชีวิตแห่งการเป็นปุถุชนนั้น ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครเลวกว่าใคร เพราะทุกคนเกิดมาใช้กรรมของตน ทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างความดีหรือความชั่ว ไม่มีใครที่จะเลือกเกิดได้ และไม่มีใครที่จะเลือกตายได้ ทุกคนมาตามกรรมวิบาก ถ้าทุกคนมีคติอันนี้และพยายามวางในการทำงานให้ดี คิดว่างานทั้งหลายก็จะดีได้

การทำงานเป็นเรื่องของการหาทุกข์ แต่การหาทุกข์มันมีหลายลักษณะ หาทุกข์เพื่อความสุขของตัวเอง หาทุกข์เพื่อความสุขชั่วขณะหนึ่ง หาทุกข์เพื่อความสุขมวลมนุษย์ อันนี้มันก็อยู่ในหลักของการที่เราหาทุกข์ด้วยการบำเพ็ญเมตตาบารมี เพื่อสันติสุขของโลกมนุษย์ ก็ย่อมที่จะได้กุศลในการทำงาน อันนี้ก็ฝากเป็นข้อคิด


แต่ว่างานทั้งหลายจะสำเร็จหรือไม่ มันอยู่ที่มนุษย์มีความจริงจัง จดจ่อ แน่วแน่ และไม่ทรยศต่อสัจจะของตนเอง เมื่อมนุษย์เอาจริงแล้วก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์มาก จะต้องได้รับผลตอบแทนมากในการทำงาน แต่ว่าการทำงานของสำนักปู่สวรรค์นั้น อาตมาขอใช้คำว่า “การทำงานอยู่ที่มนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่พระเจ้า” พระเจ้าพร้อมที่จะให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้น แต่อยู่ที่มนุษย์เอาจริง

ทีนี้ เราต้องพูดถึงเรื่องบุญบารมีสะสมมาแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำงานนั้น ท่านจะต้องยอมอยู่ในภาวะของความปลงตกว่า ตนเองมีบารมีขนาดไหน มีบุคลิกฯ ขนาดไหน แล้วก็พูดถึงว่า ในโลกนี้นับมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้ การสร้างวัตถุมันสร้างง่าย แต่การสร้างคนมันสร้างยาก


สำนักปู่สวรรค์อาตมามาทำงาน ๑๒ ปี ท่านโตทำทุกวิถีทางที่เรียกว่า เหวี่ยงแหตกปลา เพื่อให้คนเข้ามาช่วยทำงานส่วนรวม และคนที่ไม่คิดเข้ามาร่วมงานนั้น เพราะกรรมที่ไม่ได้สร้างกันมาบ้าง บุญที่เขาไม่ถึงบ้าง มันก็ไม่ติด เป็นต้น

อาตมาถึงได้บอกว่า คนเรามันอยู่ที่วาสนา วาสนาตนมีแค่ไหน มันก็ได้แค่นั้น เจ้าอาวาสบางคนสร้างวัด สร้างแล้วตัวก็อยู่ไม่ได้ แต่คนอื่นได้อยู่ เพราะคนๆ นั้นสิ้นสุดวาสนาเพียงเท่านั้น และบางคนขันติธรรมยังไม่ถึงที่จะทำงานใหญ่ได้ เช่น


วิธีการลองใจ เขาไปบอกว่านี่ฉันลองใจเธอนะว่าเธอจะอยู่กับฉันได้หรือไม่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ลองใจ มันก็บอก มึงเตรียมตัวนะกูจะลองใจนะ มันก็ไม่ต้องเรียกว่า การเตรียมงานที่จะก้าวอีกชั้นหนึ่ง

มันจะต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งของประสาทคน พิสูจน์ความเข้มแข็งของม้าที่จะขี่ แต่ผู้นำที่เขาจะทำงาน เขาย่อมมีวิธีการพิสูจน์ของเขาและย่อมที่จะไม่ต้องบอกให้ท่านรู้ว่าจะพิสูจน์ในแบบไหน นี่เป็นปริศนาธรรมให้คิด

(วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๔

มองกันคนละมุม



สานุศิษย์ – หลวงปู่ครับ มีชนกลุ่มหนึ่งได้เขียนข่าวอย่างไม่เข้าใจเราครับ ขอหลวงปู่พิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป

หลวงปู่ทวด – คือเรื่องทั้งหลายนี่ งานของเรา มันเป็นงานทวนกระแสคลื่น งานไม่คล้อยตามโลก และงานที่จะโกยมนุษย์ให้ขึ้นจากทะเลแห่งความบ้าคลั่งนั้น ก็เป็นเรื่องที่ลำบากที่จะต้องแลกันให้ดี เพราะฉะนั้นในฐานะที่เรียกว่า ท่านกำลังจะทำงานที่ก้าวขึ้นไกลไปกว่าปัจจุบัน


อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า ก็ย่อมที่จะมีมารสูงตามไปเป็นภาระเป็นเรื่องของรูปธรรม ปัญหาก็อยู่ที่ความหนักแน่นขนาดไหนในการที่จะก้าวงานต่อไป แล้วงานมันไม่ใช่งานแค่นี้ งานที่นี้เป็นงานที่แข่งกับเวลาอีก เป็นเรื่องที่หนักสำหรับมนุษย์ที่คิดจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ทีนี้ปัญหาเวลานี้ เรื่องต่างๆ ที่บุคคลหลายฝ่ายเข้าใจผิด อันที่จะเกิดอะไร ตามภาษาชาวบ้านว่า เรื่องความเป็นคนที่ไม่เข้าใจไปในเรื่องงานที่เราทำผ่านมา ก็กลายเป็นที่เรียกว่า คงจะเกิดกรณีวิวาทกันขึ้น ถ้าพูดในทัศนะของธรรมะแล้ว มันไม่มีใครทำถูก ไม่มีใครทำผิด

คำว่า "ถูก" ก็อยู่ที่ชนกลุ่มที่เห็นด้วยกัน หรือว่าของชนกลุ่มที่อยู่ในวิธีการรับรู้ในกิจการนั้นๆ และก็พอใจในกิจการนั้นๆ ก็ถือว่าถูก ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่งที่เขาเห็นว่า “ผิด” นั้นก็เกี่ยวกับว่า เขาก็มีทัศนะของเขา เขาก็มีความเห็นของเขา และเขาก็มองแค่ผิวเผิน ไม่ได้มองเข้าไปลึกซึ้งถึงคณะบุคคลที่ทำงาน ถึงเป้าหมายของงานที่เขาทำเพื่ออะไร เขาก็มีความคิดเห็นของเขานั้นก็ถูก

เพราะฉะนั้นภาษาของพระ “นานาจิตตัง” เมื่อคำว่า “มติ” คืออะไร ที่จริงมันเป็นเพียงแต่อารมณ์ บางครั้งที่นานาจิตตังมันมีอารมณ์มาตรงกันเข้ามากๆ ก็กลายเป็น “มติ” ขึ้นมาเท่านั้น ถ้าว่าในลักษณะของปรมัตถธรรมแล้ว ทุกอย่างมันไปตามธรรมชาติของมัน ทุกอย่างมันไปตามเรื่องของมัน


ฝ่ายเราที่ทำงานชิ้นนี้ เราก็ถือว่างานของเราดำเนินไปตามวิถีของเรา เราก็เรียกว่าของเราถูก ฝ่ายที่เขามุ่งทำลาย เขาเรียกว่า มีความในใจคิดร้ายต่อชนเผ่าไทย เขาก็ถือว่าเป็นการทำผิดไป

อันนี้มันก็เป็นเรื่องของการเรียกว่า ของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง แต่คนที่มองของสิ่งนั้นอยู่กันคนละข้าง แต่คนที่มองของสิ่งนั้นอยู่กันคนละมุม ทัศนียภาพต่างกันก็มองเห็นสิ่งของสิ่งนั้นไปคนละทัศนะ ไปคนละแบบ เท่าที่สายตาจะส่งถึง


ในความจริงของสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกันที่ตั้งอยู่ในใจกลางแห่งโต๊ะ แต่คนละรอบโต๊ะ มันอยู่กันคนละจุด มันก็มองกันไปคนละแง่ เพราะฉะนั้นถ้าทัศนะของอาตมา อาตมาก็มีคติของอาตมาว่า “นิ่งเสียโพธิสัตว์” นั้นคือคติของอาตมา

ท่านทั้งหลายก็รู้สึกว่าวันนี้มากันมาก ถ้าวันไหนท่านเกิดความเบื่อหน่าย ขอท่านพยายามนึกถึงการสละความสุขส่วนตัวช่วยส่วนรวม คือพยายามสร้างความศรัทธา จริงจังจดจ่อให้จิตใจอย่าไปคล้อยตามอารมณ์ทางอายตนะแห่งโลกีย์ และก็คิดว่าแผนงานต่างๆ ที่ท่านจะทำ คงจะสำเร็จได้ไม่มากก็น้อย


แต่ว่ามันมีทัศนะอุดมการณ์อย่างหนึ่ง คือว่าท่านจะต้องทำงานแข่งกับเวลา ท่านจะไปทำงานแบบงานส่วนตัว ทำงานบริษัทหรือว่าทำงานการค้า ทำงานแบบกิจการเอกชนทั่วไป โดยใช้เวลาทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะขณะนี้ท่านกำลังวิ่งแข่งกับวิบากกรรมของโลก และกำลังชิงเวลากับวิบากกรรมของประเทศไทย

(วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๓

ชีวิตของนักพรต



พระมหาสังวร – กราบนมัสการหลวงปู่ ลูกขอแนะนำในการเป็นนักพรตนักบวชครับ

หลวงปู่ทวด - การเป็นนักบวชที่จะให้สันโดษ สงบ จะได้มีโอกาสปฏิบัติฌานญาณ จะต้องไม่มีตำแหน่งเป็นอะไร และจะต้องไม่มีอะไรห่วง มันก็จะได้ผลในด้านของนามธรรมแห่งการปฏิบัติจิต ถ้าท่านเป็นนักบวชแล้ว ยังคิดว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็จงอย่าวางแผนเอื้อมมือไปขย้ำฟ้า เพราะมันเท่ากับบวชแล้วหาทุกข์เข้าตัว


ทีนี้มนุษย์สมัยนี้ อาตมาไม่รู้ว่าบวชกันแบบไหน เมื่อสมัยอาตมาได้มีโอกาสหนีจากการเป็นสังฆราชมาอยู่ที่น้ำตกทรายขาว แล้วอาตมาคิดว่า “นั่นแหละสุขที่สุด” คือการเป็นนักพรตที่ดี จะต้องไม่มีห่วง และไม่มีตำแหน่งเป็นอะไรเลย เพราะถ้าท่านมีบ้าน ท่านห่วงบ้านก็ทุกข์ ท่านมีเมือง ท่านห่วงเมืองก็ทุกข์ ท่านคิดช่วยคนอื่น ห่วงการทุกข์ของคนอื่น ท่านก็สร้างทุกข์เข้ามาสู่ตัวท่านเอง

ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักว่า ตราบใดที่ตัวเรายังเป็นนักพรตที่ดีไม่ได้ จะต้องหัดไม่ห่วงบ้าน อยู่เฉยๆ บ้าง มันก็จะได้ไม่ทุกข์ ซึ่งกรรมวิบากของมนุษย์แต่ละคนมันเป็นเรื่องที่ยากที่เราจะช่วยเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้มันเป็นกลียุค ในความคิดเห็นของอาตมาก็ว่าอยู่เฉยๆ ละดีที่สุด


คนศรัทธาเรา เราก็ช่วยเท่าที่เขาศรัทธา คนเขาไม่ศรัทธาเรา เราก็ช่วยเท่าที่เขาไม่ศรัทธา ให้เขายิ่งไม่ศรัทธาเรา เราจะได้ไม่ทุกข์กันมาก ถ้าเราจะไปห่วงเขาก็จะไปยุ่งกับเขามาก พลังจิตที่ยังอ่อนหัดนั้นก็ทำให้เราเกิดทุกข์มาก ที่เราบวชน่ะ บวชเพื่อให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่บวชเพื่อก่อทุกข์

พระมหาสังวร – แต่กระผมมาคิดพิจารณาดู เท่าที่ฟังธรรมว่า โลกียะนี้จะต้องไปคู่กันกับโลกุตระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลวงปู่ หลวงพ่อได้เมตตากรุณามาโปรดสัตว์ในยุคนี้ ก็เป็นประโยชน์กับผู้อื่นไปได้บ้าง ก็จะพยายามทำ เราต้องการที่จะหาสถานที่ที่ตั้งใจไว้นั้น เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมหรือว่าเพื่อที่จะให้ผู้ที่ประพฤติธรรมได้อาศัย ฉะนั้นมีความกังวลอยู่บ้าง ก็ขอพระเดชพระคุณหลวงปู่ให้สติ


หลวงปู่ทวด - สถานที่นั้นยังใกล้ความเจริญ ชีวิตของการเป็นนักพรตดีที่สุด คือ อยู่ถ้ำกับอยู่ป่า แล้วก็ดีที่สุดคือว่า เรามีแค่กะลาใบหนึ่งพอ ก็ขอเขากินไปวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ขอ เราก็ปลูกถั่วเลี้ยงตัวเอง แล้วอยู่ในถ้ำที่คนไม่มาเจอ เหมาะสำหรับในยุคนี้ดีที่สุด คือในยุคนี้จะหาคนที่มีความกตัญญูมันก็ยาก จะหาคนที่จะมีการอาลัยอาวรณ์นึกถึงคุณของผู้ที่สร้างความดีก็ยาก

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่าทุกวันนี้นักพรตน่ะ จะมีนักพรตที่มีมหาเมตตามากเกินไป มหาเมตตาในตัวนี้หมายถึงว่า บวชแล้วตัวเรายังไม่รู้ว่าตัวเราเป็นอะไร ตัวเราเป็นพระหรือเป็นแพะ หรือเป็นหมูหรือเป็นสัตว์ จิตยังไม่สามารถเข้าถึงโลกุตรธรรมถ่องแท้ ก็เตรียมแผนกันสร้างทางโลกียะอย่างใหญ่โต


ผลก็คือ โลภะเข้าครอบ โทสะเข้าครอบ โมหะเข้าครอบ ก็เลยกลายเป็นว่า พระสงฆ์ส่วนที่ว่านี้ ในขณะนี้ยังทำแข่งในทางโลกียะ ว่าใครจะสร้างโบสถ์ใหญ่กว่าใครได้หรือไม่ เรานี่ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสหลายวัด สิ่งเหล่านี้คือ นำความฟุ้งซ่านให้มาก นำความห่วง นำความทุกข์เข้าสู่ตัวให้มาก

ต้องเข้าใจว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีจากกรุงกบิลพัสตุ์เข้าสู่แคว้นมคธ ในขณะนั้น พระเจ้าพิมพิสารก็ได้ตามหนุ่มน้อยที่มีความงามไปสู่ที่วิเวก จะแบ่งแคว้นมคธให้กับเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะยังบอกว่า


ขอให้ท่านอยู่อย่างราชตระกูล เราขออยู่อย่างขอทานต่อไป เราถือว่าความเป็นอยู่ในชีวิตอย่างขอทานนี้มีสุขที่สุด คือเราไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง เราไม่มีวังที่จะห่วง เราไม่มีอาณาประชาราษฎรที่จะห่วง เราไม่มีบิดามารดา ลูกเมียที่จะห่วง เราเพียงแต่ห่วงว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้ จะค้นอย่างไรให้พบ “พุทธะ” เราจะได้นำพุทธะมาช่วยคน นี่คือวิถีที่พระพุทธองค์ออกบวช

แต่นักบวชยุคนี้ ตัวเองยังไม่ทันช่วยตัวเองได้ คิดจะไปตั้งสำนักโน้น ตั้งสำนักนี้ มันก็น่าคิด คือพวกเจ้ามันไม่เหนื่อยใจ แต่อาตมาเหนื่อยใจแทนนะ

พระมหาสังวร –
กระผมเห็นว่าสถานที่นั้นพอเหมาะที่จะตั้งสำนักบำเพ็ญธรรม


หลวงปู่ทวด - การบำเพ็ญธรรมที่ไหนมันก็บำเพ็ญได้ ถ้าตัวเรารู้จักบำเพ็ญปรับปรุงยกจิตใจให้เหนือสิ่งแวดล้อม และสามารถแยกอารมณ์โลกุตรธรรมให้เหนือโลกีย์ เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญๆ ไปคิดถึงเมีย เขาจะไปมีผัวน้อยหรือไม่ หรือจะไปคิดๆ ว่า ลูกเรานี่น่าสงสาร หรือไม่ที่กำลังคิดถึงพ่อและแม่ แล้วเดินผ่านหน้าบ้านตัวเองจะต้องมองดูว่า บ้านนี้มีคนมาอยู่แทนเราหรือไม่ เจ้าจะไปบำเพ็ญเมืองไหน มันก็ไม่มีสุข นี่พูดถูกใจไหมล่ะ

พระมหาสังวร – ถูกใจครับ ลูกรู้สึกว่าปัจจุบันนี้เป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าทั้งนั้นแหละ เหตุนั้นจึงว่าจะต้องพยายามในการที่จะหลีกเร้นออกจากสถานที่ให้พอเหมาะพอสม


หลวงปู่ทวด - คือ พวกเอ็งมันทัศนะแบบเอื้อมมือจับฟ้าขย้ำ เหยียดเท้าแผ่นดินให้เป็นทะเล แต่ทัศนะอาตมาแล้ว เราจะต้องบำเพ็ญตัวเองให้รู้จักคำว่า ตัวเราเองเป็นอะไร แล้วค่อยออกสู่วงการสังคมที่จะเอื้อมฟ้าแล้วเหยียดดิน คือ ทำงานอย่างโครงการใหญ่โตนี่มันเรียกว่า “มหากรุณา” จนเกินไป เวลานี้จึงสร้างทุกข์มหันต์เข้า ก็เลยแก้กันยาก


ปัจจุบันนี้การต่อสู้กับพวกอธรรมนี่เรียกว่า กองทัพธรรมยังไม่แข็งแกร่ง และที่เรียกว่าฝ่ายธรรมนั้น จะต้องสามัคคีมากกว่านี้ ฝ่ายอธรรมมันจึงจะเหนือไม่ได้ โลกียะในยุคปัจจุบันนี้มันเดินก้าวหน้ากว่าโลกุตระ ๙๙ เปอร์เซนต์ ถ้าโลกุตรธรรมมีถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ต่อสู้กับอธรรม ๘๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็พอจะสู้กันไหว เข้าใจหรือยัง เพราะขณะนี้อธรรมเหนือธรรม ๙๙

พระมหาสังวร – ในพรรษานี้กระผมว่า ไปอยู่ไกล บางทีก็จะพยายามไม่กลับมาเห็นบ้าน

หลวงปู่ทวด –
ในพรรษานี้ถ้าจัดบวชเณร ๓๐ รูปเสร็จแล้ว จะต้องให้จัดคนไปควบคุม และท่านโตจะไปอบรม ก็อาตมาบอกแล้วว่า พวกเจ้ามันทำอะไรชอบเหมือนหนุ่มสาวรักกัน เพื่ออะไร เพื่อที่จะครองสุดยอดของรัก คือการแต่งงาน อย่านึกว่าอาตมานี่เป็นคนที่ไม่ชอบพูดแล้วไม่รู้เรื่องอะไร แต่งงานเสร็จน่ะหวังอะไร หวังลูก การสัมพันธ์ทำให้ลูกเกิดมานี่ง่าย มันร้องแต่จะทำให้ลูกเกิด แต่จะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกที่ดีน่ะมันยาก


เหมือนการบวชให้ใครต่อใครนี่น่ะมันง่าย แต่จะอบรมสั่งสอนทำให้เขาเป็นนักบวชที่ดีเป็นพระที่สมบูรณ์ มันเป็นเรื่องน่าคิด การมีปัจจัยแล้วก็ประกาศไปก็มีคนมาบวช บวชแล้วจะสอนให้เขารู้ธาตุแท้ของการเป็นพระนั้นยาก เหมือนให้กำเนิดลูกนี่น่ะมันง่าย แต่จะเลี้ยงลูกจนโต จนลูกทำมาหากิน สอนจนลูกให้เป็นลูกที่ดี มันใช้เวลาเท่าไหร่ เจ้าช่วยคิดให้อาตมาดูซิ

เพราะฉะนั้นผลงานของท่านโต นี่ดีแต่ปฏิบัติยาก อาตมารู้ดีอยู่แล้วว่า จิตใจมนุษย์นี่มันเปลี่ยนทุกวินาที อย่าไปเชื่อเขามากนัก มนุษย์คนไหนรับปากว่าปฏิบัติได้ๆ นี่ อาตมาเฉยๆ อาตมาเฉยคำพูดนั้น มันไม่มีความหมายสำหรับอาตมา ต้องรอจนกว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นผลขึ้นมา จึงถือว่าใช้กันได้


ไม่ใช่มนุษย์มาบอกให้อาตมาว่า ได้ๆ ๑๐ คำ อาตมาจะเชื่อสักคำบอกตรงๆ เพราะความไม่เชื่อ จึงทำให้อาตมาเป็นคนนิ่งๆ เข้าใจไหม คือ จิตใจมนุษย์ในขณะนี้ ตอนพบเราอารมณ์หนึ่ง ออกไปข้างนอกอารมณ์อื่นกระทบเข้า ก็เปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง เพราะว่าเขาไม่ใช่เป็นผู้มีฌานญาณ ยังเป็นปุถุชน ปุถุชนก็ย่อมมีความหวั่นไหวตามอายตนะ เมื่ออยู่ที่เราก็อารมณ์หนึ่ง ห่างออกจากเราก็มีอารมณ์หนึ่ง ไปถึงบ้านพบลูก เมีย ผัว ก็อีกอารมณ์หนึ่ง ไปยึดเชื่อมันได้หรือ

ถ้าทัศนะอาตมาก็คือว่า ถ้ามนุษย์ที่ร่วมงานไม่เห็นแก่ตัวกันจนเกินไป จะทำงานใหญ่นั้นจะต้องมีความจริงจังกว่านี้อีกมากๆ มันจึงจะสู้อายตนะไหว ทีนี้ถ้าอยู่ ก็ให้มันอยู่กันเฉยๆ ไม่เดิน ไม่ถอย แล้วถ้าจะบุกต้องเตรียมกายใจ พร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม


เมื่อนั้นมันต้องบุกกันจริงๆ เมื่อบุกนี่มันยิ่งขยายๆ โอกาสแห่งความพังฉิบหายมันก็จะเข้ามาใกล้ทุกขณะ เพราะจะปลูกบ้านนี่ มันมัวแต่ขึ้นหลังคา ข้างล่างไม่ยอมให้มันแน่นหนาก่อน ฐานล่างไม่แน่นขึ้นหลังคา ขึ้นชั้นหนึ่งไม่พอ ขึ้นชั้นสอง ขึ้นชั้นสามชั้นสี่ มันก็จะตูมตามพังลงมา ซึ่งอาตมามาทำงานมันคนละแนวกับท่านโต

ท่านโตชอบแบบเหวี่ยงแหตีอวน ซึ่งมันกว้างเกินไป ของอาตมาต้องการใช้แบบอธิษฐานบารมีว่า ใครมีกรรมพัวพันก็มา ไม่มีกรรมพัวพันก็อย่ามา การทำงานนี้ต้องเข้าใจว่า มนุษย์ทำทุกอย่างมันขึ้นอยู่คำที่องค์สมณโคดมตรัสว่า “นานาจิตตัง” ทุกคนเขาจะต้องการความคิดของตนเป็นใหญ่


และสิ่งที่มนุษย์ทุกยุคที่มีประจำใจของมนุษย์แต่ละคนที่ยังเป็นปุถุชน คือ อยากเด่น อยากงาม อยากให้คนอื่นเขายกย่อง นี่คือเหตุการณ์ธรรมดาของมนุษย์ เพราะมนุษย์มันไม่เข้าซึ้งถึง “ความตาย” อย่างถ่องแท้ มันจึงทำงานของศาสนาไม่ได้

ถ้าท่านจะทำงานใหญ่ของศาสนา จะต้องรู้จัก “ตายระหว่างเป็น” ไม่ใช่ “ตายตอนถึงอายุขัย” ตายระหว่างเป็น จะต้องตัดอารมณ์อย่างแน่วแน่ ตัดออกจากสังคมในครอบครัว ตัดห่วงในผัว ในลูก ในเมีย ในสมบัติทั้งปวง รวมทั้งสังขารที่เราหลงยึดอยู่ จะต้องปลงให้เห็นสังขารแตกดับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และผุพังเน่าเปื่อยไป ทุกวันนี้มีเพียงวิญญาณอาศัยสังขารนี้ เพื่อใช้กรรมตามวาระ


เมื่อนั้นคือ เราค้นกายในกาย จนเห็นการตายระหว่างเป็นแล้ว เราก็จะสามารถยกชีวิตถวายเป็นพุทธบูชา อุทิศกำลังจิตทั้งหมดอยู่กับส่วนรวม จึงทำงานศาสนาใหญ่ได้ แล้วงานนั้นมันจะก้าวไปได้

ตราบใดที่ยังมีห่วงแม่ ห่วงเมีย ห่วงลูก ห่วงคนโน้น ห่วงคนนี้ ทำงานใหญ่ไม่ได้ อารมณ์มันไม่รวม สมาธิไม่เกิด มันฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านแล้วพลังธาตุไฟมันแตก การแตกตัวของธาตุไฟเกิดความหวั่นไหวของจิต กลียุคในขณะนี้มันต้องรู้จักนิ่งดูสถานการณ์

คือ บุกอย่างท่านโตได้ แต่มันต้องรวมกำลังกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นๆ มันจึงจะตามทันเหตุการณ์ของประเทศ เพราะฉะนั้นเขาเรียกว่า อย่าโลภให้มาก ที่นี่อยู่ในปัจจุบันรักษาให้รอดก่อน ค่อยขยายอาณาจักร

(วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๒

คำอนุโมทนาของหลวงปู่ทวด


วันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙



วันนี้นับว่าเป็นนิมิตอันดีอีกวาระหนึ่งที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกัน จะปรึกษาในการเปิด งานสันติเจดีย์ ที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สึกว่าเท่าที่อาตมารับทราบ วันนี้เป็นงานที่ท่านโตจัดว่าเป็นงานที่ใหญ่มาก ในการจะทำงานใหญ่นั้น ก็ไม่ใช่ว่าคนใดคนหนึ่งคนเดียวจะทำสำเร็จได้

การทำงานใหญ่จำเป็นที่จะต้องรวมกันเป็นหมู่คณะ ทีนี้การรวมกันเป็นหมู่การรวมกันเป็นคณะ ก็ควรจะต้องให้มีระเบียบวินัย ในการที่เรียกว่า ว่ากันตามหน้าที่การงาน ขั้นตอน ผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ว่างานทุกอย่างจะต้องให้แม่ทัพสั่งการเท่านั้น แม่ทัพก็ต้องมีนายกอง ต้องมีนายหมู่ นายหมวด ในการทำงานนั้นจึงจะเรียบร้อยได้


ทีนี้การทำงานนั้น ท่านต้องเข้าใจว่า การทำงานคือเรื่องของการหาความทุกข์เข้าตัว เพราะคำว่า “งาน” โดยเฉพาะงานเพื่อส่วนรวม เพื่อมนุษยชาติก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีอุปสรรคมาก ผู้รับไปทำจะต้องมีความจดจ่อ จะต้องมีการใช้สมองในความสุขุมคัมภีรภาพ งานนั้นเขาเรียกว่า ก็มีทางสำเร็จ

ทีนี้ในการทำงานนั้นท่านจะต้องมีการวางแผนงานให้ดี และก็ต้องดูแลแผนงานให้ดี ดูแลเสร็จ ท่านจะต้องวินิจฉัย วินิจฉัยแล้ว ก็จะต้องทบทวน ทบทวนแล้วจะต้องคิดว่า ถ้าทำอย่างนี้ลงไปไม่สำเร็จ เราจะทำอย่างนั้นลงไปได้ไหม เพื่อที่จะให้สำเร็จในงานนั้นๆ เพราะฉะนั้น เขาว่าการทำงาน ถ้าไม่มีแผนงานก็เหลว งานก็เละ

ทีนี้อีกประการหนึ่ง ในการทำงานนั้น หมู่คณะมาก ปัญหาก็มาก คำพูดก็มาก คำพูดมาก อารมณ์ก็มาก อารมณ์มาก โทสะก็มากตามมา นี่คือเรื่องของมนุษย์ปุถุชน ฉะนั้น ในเรื่องของนานาจิตตัง ในเรื่องของทิฐิมานะแต่ละคนนั้น ท่านจะต้องฟังในการงาน และมีการเรียกว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัยในงาน เรียกว่านักพูดที่ดี เขาก็ต้องหัดเป็นนักฟังที่ดี นักฟังที่ดีบางคน ก็ต้องหัดเป็นนักพูดที่ดี


ทีนี้การทำงาน ท่านต้องเข้าใจว่า ทำงานหมู่คณะมาก ระเบียบวินัยจะต้องแข็ง ถือว่าคำว่าเพื่อนฝูง คำว่ามิตรสหาย คำว่ากันเองต้องนอกงาน แต่ระหว่างงานเขาเรียกว่า สมมุติการสวมหัวโขนเต้น ก็ต้องเต้นตามจังหวะโขน แต่ต้องเต้นด้วยมีสติพร้อม ท่านก็จะไม่มีทุกข์ยึดหัวโขน

ฉะนั้น อาตมาก็ขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์วิริยะเดินทางกันมาจากไกลๆ บ้าง มาจากภาคเหนือมากหน่อย ภาคใต้ไม่ค่อยมาก ก็เห็นว่าการที่เรียกว่า ภาคเหนือภาคอีสานมากันมาก ก็คิดว่าท่านทั้งหลายคงเข้าใจในสถานการณ์ที่ท่านจะทำว่าเป็นงานอะไร


และเป็นงานที่เรียกว่า ภาษาชาวบ้านก็คือว่า งานท่านเป็นงานเอกชนทำ ไม่ใช่ท่านเป็นรัฐบาลทำ เมื่อเอกชนจัดงานใหญ่ ก็ย่อมที่จะมีทุกข์มาก มีอุปสรรคมาก มีปัญหามาก แต่ว่าท่านจะต้องค่อยๆ แก้ ค่อยๆ คิด และท่านมีความมั่นใจดำเนินไป อาตมาก็คิดว่า ก็จะเรียบร้อยได้ดีและก็จะสำเร็จเข้าเป้าของงานได้

แต่ถ้าท่านทำแบบสักแต่ว่าทำ ก็จะเรียบร้อยยากและก็จะไม่สำเร็จตามเป้า คือการเป็นคนต้องรู้จักแบ่งเวลาของงานออก ต้องรู้จักแบ่งเวลาของงานส่วนรวมส่วนตัวออก แล้วท่านก็จะทำงานใหญ่ได้ และก็จะทำงานได้ดี แต่ถ้าท่านไม่รู้จักในการที่เรียกว่า แยกแยะในการงาน ในการดูแล ในการพิจารณาในการวาง ท่านก็มีชีวิตแต่ความล้มเหลว


เพราะฉะนั้น อาตมาคิดว่าในงานครั้งนี้ เท่าที่ท่านมาประชุมกันมากมายและก็ทำกันทุกคน ก็คือว่างานนี้เรียบร้อยได้ แต่ท่านมาประชุมกันแค่ประชุม ประชุมเสร็จก็ต่างคนต่างกลับแล้วก็ลืมกันแค่นี้ งานก็จะมีแต่ความขลุกขลัก ความเรียบร้อย อันนี้อาตมาขอให้ท่านพิจารณา

คิดว่าไม่มีอะไรที่จะพูดมากกว่านี้ ก็ขอให้ทุกท่านทั้งหลาย มีความอุตสาหะในการที่จะต่อสู้เพื่อมนุษยชาติ

เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๑

การเสียสละเพื่อส่วนรวม



บางคนมันเรียกเป็นคนที่ดี แต่ดีจนเกินไป ดีมันเลยแตก มันเลยกลายเป็นขม คือ เรียกว่าทำแล้วก็ยังยึด สละแล้วก็ยังยึดบ้าง มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นคนที่เรียกว่า มันจริงจังแล้วก็ถืออารมณ์ตนเป็นหลัก มันเป็นเรื่องที่น่าคิด

ถ้าจะพูดถึงการทำงานน่ะ ทำงานได้แต่ว่ายอมลดทิฐิหน่อย คือว่ามันเป็นคนที่เรียกว่า จะถืออารมณ์ตนเป็นใหญ่ แล้วก็เห็นว่ามนุษย์ทุกคนดีหมด ไม่รู้ว่าเวลานี้เขามากันยังไงไปยังไง คือเป็นอย่างนี้มันก็ลำบาก

คือเรื่องความเสียสละแล้ว ก็เรียกว่าสำนักนี้มาอยู่ได้ถึงเวลานี้ ก็เพราะเด็กหญิงคนนี้ เพราะว่าสำนักเก่าถูกไล่ ถูกการเรียกว่าเป็นกรรมอันหนึ่งที่เรียกว่า เราลงมาอย่างที่เรียกว่าจะให้มนุษย์มันเชื่อ ว่าจากเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย จะได้รับความร่วมมือกลับไม่ได้รับความร่วมมือ เขามองในแง่ที่เรียกว่า ไม่เข้าซึ้งถึงเรื่องการทำงานเพื่อส่วนร่วม

ก็เกิดเรื่อง เด็กหญิงเขาก็ให้ที่นี่ เสร็จแล้วคนที่มาขณะนี้ก็รวยกว่าเขาแยะ ไม่มีใครกล้าออกเงิน เขาก็ยอมขายบ้านตัวเองมาเริ่มก่อสร้าง ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นนักเสียสละ แต่มันเสียสละแล้วยังยึด มันเป็นเรื่องที่น่าคิด ฉะนั้นถ้าคนนี้จะใช้งานจะต้องทำอย่างไร ให้เขารู้จักละบ้าง แล้วรู้จักวางบ้าง ก็จะเป็นม้าที่ปราดเปรียวที่จะใช้งานได้ในด้านบุกสังคม คือไม่มีความอาย


คือว่าทุกคนนี่น่ะ มันถือว่าไม่ยึดตัวตนแล้วมันก็จะทำงานได้ ถ้าทุกคนยังมีอารมณ์มีเล่นแง่เล่นงอน และการทำงานส่วนรวมมันเป็นจุดสำคัญที่สุด คือว่าเมื่อจะร่วมทำงานแล้ว จะต้องมีการเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีการไว้วางใจกัน ไม่ใช่กูคอยจ้องมึง พลาดเมื่อไรเซมากูซ้ำ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด

รู้ไหมรู้จักคำว่า เซมากูซ้ำ เพราะว่าปุถุชนการเป็นมนุษย์ การเป็นปุถุชนเป็นสิ่งที่ว่าไม่ทำอะไรไม่ผิดหรอก จะทำอะไรมันมีเขาเรียกว่า มีผิดหรือถูก แต่ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้มันผิดน้อย นี่เป็นเรื่องสำคัญของการเป็นคน ทีนี้คนน่ะไม่แลตัวเอง มันไปแลแต่คนอื่น มันก็แย่  


การทำงานมันต้องแลตัวเอง ตัวเองมีความสามารถแค่ไหน คนนี้ทำอยู่ให้เขาทำไป และจะต้องพยายามคิดหาทางช่วยงานที่ทำเขาทำให้สำเร็จ มันก็ไม่คิดกัน มันคิดแต่มึงทำนี่มึงจะเด่นกว่ากู กูต้องไปหาเรื่องมึง ไม่ได้อะไรเลย คืออาตมาบอกแล้ว จิตใจผู้หญิงมันอ่อนไหวแล้วมันวุ่นวายมากที่สุด และเวลานี้ทุกคนที่มาช่วยกำลังเป็นลูกจ้างของโลกวิญญาณ

ถึงแม้ว่าเวลานี้บางคนได้เบี้ยหวัดบ้าง ไม่ได้เบี้ยหวัดบ้าง แต่เงินเดือนไปคิดกันที่โลกวิญญาณ ก็ควรจะทำกันให้มันดีสมกับเบี้ยหวัดที่เขาให้เราบ้าง หรือว่าเราทำ เพราะว่าเรารักงานส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพราะจำใจ ทำเพราะฝืนใจ ทำเพราะเพื่อคนอื่น นี่น่ะมันไม่ได้ประโยชน์


มันต้องทำด้วยความศรัทธา ว่าเราเกิดมาสร้างความดี ไม่กี่ปีไม่ถึงร้อยปีก็ต้องจากการเป็นมนุษย์ การมีชีวิตเกิดเป็นคนนี่มันเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐนี้น่ะอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี ไม่ถึงร้อยปีก็เอาอะไรไปไม่ได้ บ้านช่องอะไรก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ตายไปแล้วเหลือแต่วิญญาณไปเสวยกรรมในปรภพ เหลือแต่ชื่อดีกับชั่วให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทา

เมื่อเราปลงเช่นนี้ เราสละตนออกมาทำงานที่นี่ เราต้องคิดว่าเราปลงตกแล้ว เราสละแล้ว เราประกาศตนออกมารับใช้สังคม ซึ่งเป็นสังคมศาสนาที่จะมาปรับปรุงโดยไม่คล้อยตามเขา เป็นสังคมใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ไม่กี่ปีแล้วจะต้องเข้มแข็งกว่านี้กัน สิ่งใดที่ควรละได้ก็ควรละ สิ่งใดที่คิดว่าไม่ควรจะนั่งคุยกัน นั่งเล่นอะไรกันก็ควรจะเลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนที่จะมาเป็นกรรมการหรือเป็นวงในก็อยากจะเรียกว่า ทุกคนมีภาระ อาตมาก็อยากจะให้ว่า กองจัดการควรจะจัดการให้เรียบร้อย

และคำว่าไม่มีเวลา อย่าพูด ถ้าคนเราไม่จัดเวลาแล้วมันไม่มีเวลา ตลอดทั้งชาติก็ไม่มีเวลา บอกแล้วว่าธรรมชาติเขาสร้างเวลาให้มนุษย์นอนแปดชั่วโมง ทำงานแปดชั่วโมง พักผ่อนแปดชั่วโมง ในเวลาหนึ่งวัน เรารู้จักทำให้มันถูกต้อง มันก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงพอดี

ในการที่ท่านจะไปบำเพ็ญที่ป่านั้น การกินมันควรจะทำอย่างไร ควรจะใช้ให้ดินเป็นพืชพันธุ์ขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่คอยอาศัยเมืองหลวง ถ้าเกิดตูมตามขึ้นมามันตัดขาดแล้วมันจะไปคอยเมืองหลวงได้อย่างไร ดินนี้จะต้องทำให้เป็นอาหาร อาตมาเมื่อครั้งไปอยู่เกาะแก้วพิสดารตั้งห้าพรรษา ล้อมรอบด้วยน้ำทะเล อาตมาปลูกมันกับถั่วเลี้ยงตัวอยู่ที่นั่นได้ห้าพรรษา


แล้วก็นานๆ ก็จะได้พวกอาหารจากพวกโจรสลัด เพราะว่าที่นั่นเขาเรียกว่าเกาะประหาร แถวนั้นพวกโจรสลัดเวลามันปล้นเสร็จแล้ว มันมาฆ่ากันบนเกาะ ฆ่าตายแล้วมันนิมนต์อาตมาสวดแล้วก็ให้อาหารก็มี คือหน้าที่ไปสวดผีที่พวกโจรสลัดมันฆ่ากัน ได้ให้อาหารสักมื้อหนึ่งพวกมันไปปล้นมา แล้วอาตมาส่วนมากก็กินแต่ถั่วกินแต่ผัก แล้วทำไมอยู่ได้

เพราะว่าถ้าท่านใช้กำลังภายในให้ถูกหลัก มันจะดีกว่ากินยาบำรุงจำเอาไว้ คือพยายามนั่งสมาธิให้เป็นเวลา เดินจงกลม เพราะว่าการเดินจงกลมนี่เขาเรียกว่า มนุษย์เกิดจากธาตุดิน ลม ไฟ ผสมกัน โรคไต โรคความดันสูงต้องตื่นตีสี่ตีห้ามาเดินจงกรมที่สนามหญ้า มีน้ำมีน้ำค้างให้มันดูดพวกน้ำบริสุทธิ์เข้าไปปรับไตความดัน แล้วมันก็จะสงบเข้าใจไหม


พวกโรคเบาหวานมันเกิดจากพวกน้ำตาลเข้าไปอยู่ในหัวใจอยู่ในเส้นเลือด เราต้องเดินให้เหงื่อออก เดินให้เลือดมันประสานกันมันจะเกิดการละลายออกมาเอง แล้วก็ทำสมาธิถ่ายเทออกมาทางผิวหนัง สมัยยุคนั้นเขาไม่ต้องกินยากันมากก็อยู่ได้ แล้วยาชนิดหนึ่งก็คือหญ้าทั่วไป หญ้าขมทุกชนิดเป็นยา หญ้าหวานกินแล้วตาย จำเอาไว้ อาตมากินหญ้าเป็นครั้งคราวมันก็อยู่ได้ เอาละถ้าไม่มีอะไรอาตมากลับ

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-18 20:39 , Processed in 0.040414 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.