ตอนที่ ๑๗ การเป็นผู้ใหญ่กับกรรมตามสนอง
วันนี้อาตมาขอเทศน์เรื่องการเป็นผู้ใหญ่กับกรรมตามสนอง ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ก็คือ ต้องสุขุมรอบคอบและจะต้องไม่ยึดติด “เสียง” เป็นหลัก
“เสียง” นี่ไม่มีตัวตน แต่เสียงสามารถทำให้มนุษย์ฆ่ากันได้ เสียงสามารถทำให้มนุษย์รักกันได้ ถ้ามนุษย์ผู้ใดคิดจะทำงานเพื่อส่วนรวมก็ดี จะอวดตนเป็นผู้ใหญ่ก็ดี ควรจะต้องไม่ติด “เสียง” เป็นจุดแรกก่อน
การเป็นผู้ดีจะต้องมีสัจจะ ไม่กล่าวร้ายบุคคลที่สามลับหลัง เช่น นาย ก. เป็นผู้ใหญ่ ได้ยินนาย ข. มาพูดเรื่องนาย ค. ให้ฟัง นาย ก. จะต้องคิดทันทีว่า นาย ข. นี้ เป็นบุคคลเช่นไร นาย ก. จะต้องมีความสำนึกว่าหากนาย ข. เป็นผู้ดี เขาควรจะต่อว่านาย ค. โดยที่คนๆ นั้นอยู่ต่อหน้า ไม่ใช่คนๆ นั้นไม่มีโอกาสพูด ไม่มีโอกาสแก้ตัว
โลกทุกวันนี้ยุ่งยาก ก็เพราะมนุษย์ที่อวดตนหรือยกตน ยังไม่มีจรรยาในการ “พิจารณาตน” ถ้าสัตวโลกอยู่กันอย่างไม่ยึดสิ่งใดเลย โลกนี้ย่อมสงบ ท่านต้องเข้าใจว่า “การให้ทุกข์เขานั้น ทุกข์นั้นถึงตัวท่านเองแน่นอน” นี่เป็นหลักความจริง
สมัยเมื่ออาตมามีสังขารอยู่ปัตตานี ในระยะเริ่มแรกสร้างวัดช้างให้ มีแขกมลายูคนหนึ่งมาบวชอยู่ในวัดของอาตมา แขกมลายูคนนี้ไม่รู้ภาษาสยาม รู้แต่ภาษามลายู ทีนี้เมื่อรู้แต่ภาษามลายู จะสอนให้สวดมนต์ก็ดี จะสอนการอ่านก็ดี ย่อมทำไม่ได้
อาตมาจึงบอกเขาว่า ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์ละ ท่องเพียงสองคำก็พอ คือ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” แขกคนนั้นที่อยู่ในปกครองของอาตมา ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตตามปกติ กลับมาก็นั่งท่องแต่คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว”
มีแขกมลายูด้วยกันเป็นพวกเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ มาเที่ยวที่วัดบอกว่า พระองค์นี้มันพูดอะไรของมันไม่ทราบ ท่องแต่ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” แขกคนนี้ไม่นับถือศาสนาพุทธ แต่รู้ภาษาไทยดี ก็บอกว่าไม่จริง “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นไม่ถึงตัวหรอก” จึงตั้งใจพิสูจน์คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” จริงหรือไม่
วันหนึ่งได้ไปทำโรตีแบบที่ทางปักษ์ใต้เขาชอบกินกันสมัยนั้น คือโรตีแบบแขก แล้วใส่ยาพิษลงไปด้วย นำไปใส่บาตร พระมลายูที่ท่อง “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” บังเอิญเจ้ากรรมวันนั้น พระมลายูองค์นี้บิณฑบาตได้อาหารมามาก แล้วก็ฉันอิ่ม จึงนำโรตีสองชิ้นที่แขกนั้นใส่บาตรไปเก็บเอาไว้
ส่วนคนที่ต้องการพิสูจน์คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” มีลูกอยู่สองคน พอเที่ยงก็หิ้วข้าวมาส่งให้พ่อซึ่งเลี้ยงวัวอยู่ในแถบวัดนั้นกิน แถวนั้นมันเป็นโคกโพธิ์ ด้านขวามีภูเขาน้อยๆ เด็กทั้งสองเดินเที่ยวไปถึงกุฏิของพระที่ท่อง “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว”
พระองค์นี้เห็นว่า เด็กทั้งสองนี้น่ารัก บัดนี้มันก็เลยเพลแล้ว โรตีที่เก็บไว้ก็จะเสียเปล่า จึงนำเอาโรตี ๒ แผ่น ที่พ่อเด็กเขาใส่ยาพิษที่จะให้พระนี้ฉัน ให้เด็กทั้งสองคนนั้นกิน เด็กสองคนนั้นกินแล้วก็กลับไปถึงบ้านก็ป่วยทันที ครั้นใกล้จะตาย พ่อถามว่า “เมื่อเจ้าเอาข้าวไปส่งให้พ่อน่ะ เจ้าไปกินอะไรหรือเปล่า” ลูกสองคนนั้นบอกว่า ไปที่กุฏิพระองค์หนึ่งที่เป็นชาวมลายูด้วยกัน เห็นท่องแต่ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” เห็นว่าแปลก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ท่องแต่คำคำนี้คำเดียว พระนั้นสงสารลูกได้ให้โรตีสองอันกิน
ในที่สุดผลแห่งการพิสูจน์ว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” ก็ปรากฏขึ้น เขาต้องการฆ่าพระองค์นั้น แต่กลับกลายเป็นฆ่าลูกสุดที่รักของเขาเอง เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัว เรามีความบริสุทธิ์ เรามีความเที่ยงธรรม เรามีหลักขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา คุณธรรมเหล่านี้จะรักษาให้เราปลอดภัยทุกอย่าง
ทีนี้การเป็นคน ท่านยึดเสียงหรือไม่ ท่านยึดคำพูดดีหรือไม่ ถ้าท่านยังยึดสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านจะเป็นนักพรตที่ดีไม่ได้ ท่านจะเป็นนักบุญที่ดีไม่ได้ ท่านจะเป็นนักปกครองคนที่ดีไม่ได้ มนุษย์เราถ้ายังติดเสียง ติดคำชมและด่า มนุษย์นั้นยังมีใจไม่ถึงธรรม “สัจธรรมเป็นธรรมอันประเสริฐ”
ทำไมสำนักปู่สวรรค์ถึงยึดจุดนี้ เพราะว่าความจริงย่อมเป็นความจริง สิ่งที่เลวก็เป็นความจริงแห่งความเลว สิ่งที่ดีก็เป็นความจริงของความดี ที่จะกล่าวต่อไปในยุคต่างๆ ของมันเอง โดยไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนไปได้ ธรรมชาติของโลกียะและโลกุตระมันเดินของมันเอง เราจะชนะความเลวด้วยความดี เราต้องมีอุเบกขา หมายถึง คิดว่าสิ่งนี้เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อชื่อ ไม่ใช่ทำเพื่อความมีอำนาจ เมื่อท่านทำใจได้เช่นนี้ ท่านก็จะเป็นคนที่ดีได้และจะเป็นนักเสียสละที่ดีได้
ทีนี้ การที่เราจะให้คนอื่นเหมือนเราหมดย่อมไม่ได้ มนุษย์ต่างคนต่างเกิดมาในโลกนี้ มีกรรมวิบากของคนไม่เหมือนกัน เมื่อมีกรรมวิบากของคนไม่เหมือนกัน สิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน มีคุณธรรมไม่เท่ากัน เราจะเอาใจของเราเป็นสรณะ ว่าที่เราทำนี้ถูก ทุกคนจะต้องว่าถูก เหมือนเรานั้นไม่ได้
ท่านเข้าใจคำว่า “นานาจิตตัง” คือ แต่ละคนมีความคิดของตนเป็นหลัก เราจะทำอะไร ควรมีความสุขุมรอบคอบ เราต้องคิดถึงคนอื่นว่า ทุกคนไม่เก่งเหมือนเรา ทุกคนไม่เหมือนเรา
ดังนั้นจำเป็นต้องมีอภัยทานเป็นสรณะ ถ้าไม่มีการให้อภัยเป็นหลัก เมื่อมนุษย์ผู้นั้นตายไป ก็จะมีแต่กิเลสตัณหาแห่งความยึดมั่นในตน จะมีแต่ความพยาบาทอาฆาตจองเวร เมื่อจิตไม่บริสุทธิ์ ย่อมเป็นทางนำไปสู่อบายภูมิ นี่คือหลักความจริงของโลกวิญญาณ
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่อยากจะเทศน์อะไรมาก เพียงแค่ขอให้เข้าใจว่า จงมีขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา จงตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมทุกๆ ประการ อย่าติดเสียง ไม่ว่าเสียงดีหรือเสียงไม่ดี อันตรายใดๆ จะทำอะไรท่านไม่ได้เลย
เจริญพร
(เทศน์เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๑๔.๔๕ น.) |