แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมะสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์และสานุศิษย์พระโพธิสัตว์ ; หลวงปู่ทวด [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๐

มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ



สานุศิษย์ สาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันสมมุติในโลกมนุษย์ที่ได้วนเวียนมาอีกครั้งหนึ่งตามกฎแห่งสังสารวัฏ ในการเวียนว่ายแห่งวิสาขมาส

ท่านทั้งหลายก็ได้มาจัดพิธีการบูชาครูขึ้น เพื่อระลึกและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่ออาตมาก็ดี ต่อเทพพรหมก็ดี ต่อผู้สำเร็จทั้งหลายก็ดี นับเป็นการแสดงออกที่สมการเป็นคน เพราะการเป็นคนที่ให้สมการเป็นคนนั้น จะต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณเป็นหลัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เต็มไปด้วยมนุษย์หรือว่าคนแห่งสมมุตินานาชาติ นานาจำพวกจากทั่วทุกสารทิศแห่งสยามประเทศ ทั้งสานุศิษย์ ทั้งสาธุชน ทั้งผู้ที่มาสังเกตการณ์ก็ดี ทั้งผู้ที่คิดอยากจะมาร่วมพิธีนี้ก็ดี ซึ่งเป็นการให้เข้าใจว่าในภาวะเช่นนี้ ซึ่งเป็นภาวะแห่งกรรมวิบากของโลกมนุษย์ที่อยู่ในกลียุคแห่งมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ในการที่เข้าครอบงำที่จะคิดทำลายจองล้างจองผลาญ

อาตมาได้แลไปทั่วสารทิศแล้วว่า เมื่อสารทิศทั้งหลายเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่จองล้างจองผลาญ ในเมื่ออาตมาเป็นผู้เกิดในสยามประเทศ ได้สิ้นขันธ์ในโลกมนุษย์ไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ ก็ได้คิดจะช่วยกันบำรุงขยายให้ชาวสยามมีความที่เรียกว่า ละทิฐิมานะในตนในการยึด ในการวางตนให้อยู่อย่างรู้จักความพอประมาณแห่งชีวิตการเป็นมนุษย์


โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันวิสาขมาส เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานในวันเดียวกัน เป็นวันแห่งสังสารวัฎที่เรียกว่า เป็นวันที่ชมพูทวีปได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ในวันแห่งวิสาขมาสต่างกรรมต่างวาระ

วาระที่หนึ่ง ได้เกิดประสูติคือ เกิดบุรุษแห่งธรรมราชาขึ้นในลุมพินีวัน


วาระที่สอง ได้เกิดบุรุษอาชาไนยผู้ได้หยั่งรู้ถึงความอันบริสุทธิ์ที่พุทธคายา


วาระที่สาม ได้เกิดเศร้าสลดบุรุษอาชาไนยที่ได้หยั่งรู้ถึงความบริสุทธิ์ ได้เผยแพร่ธรรมะนั้นให้สู่มวลสัตว์โลก ได้ทิ้งขันธ์สิ้นจากโลกมนุษย์ที่เมืองกุสินารา


ซึ่งเป็นการแสดงของสังขารที่ไม่เที่ยง เป็นการแสดงออกความแห่งวัฏฏะ เป็นการแสดงออกของสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่การเกิดเป็นมนุษย์เรียกว่า การเป็นสัตว์โลก เป็นผู้ประเสริฐที่มาใช้กรรม


เมื่อในวาระเช่นนี้ เมื่อเราทั้งหลายยังจะต้องใช้กรรมกันอยู่โลกแห่งวัฏจักร เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาบำเพ็ญทางจิต บำเพ็ญตน ให้ละคลายในทิฐิมานะแห่งความยึดตน หลงตน เข้าใจว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รู้ว่า เป็นนั้น เป็นโน่น เป็นนี่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมมุติ การสมมุติการเป็นใหญ่ก็ดี การสมมุติการเป็นเจ้าลัทธิก็ดี การสมมุติในสิ่งต่างๆ ก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ กาลเวลาไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องไปสู่ความสลาย เหลือแต่วิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่ว


เมื่อเราทั้งหลายรู้ว่าเหลือแต่จิตวิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่วเท่านั้น เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาฝึกในการเตรียมตัวในการฝึกให้เห็นนามธรรม เขาเรียกว่า “ปรมัตถธรรม” ให้มีความเมตตาประจำใจ ในภาวะความเมตตา ความอภัยของการเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิ่งที่ค้ำจุนให้โลกสงบ

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายในวันนี้ที่ได้มาทำพิธีบูชาครูและกระทำพิธีขอขมาก็ดี เป็นการแสดงออกของมนุษย์ที่ไม่ตกอยู่ในทิฐิมานะที่ยึดตน ที่หลงตน ว่าตนทำถูกทุกอย่าง


การเป็นมนุษย์ การเป็นปุถุชนย่อมมีการทำผิดทำถูกคละเคล้ากันไปในชีวิตการเป็นคน เพราะชีวิตแห่งการเป็นคนล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้แห่งพญามารของโทสะ โมหะ โลภะ เจ้าแห่งโทสะออก เจ้าแห่งโมหะเข้า เจ้าแห่งโมหะออก เจ้าแห่งโลภะเข้า เป็นเรื่องที่เวียนกันไปเวียนกันมาอยู่ในร่างกายและจิตใจของมนุษย์

แต่ใจเราจะทำยังไง
จึงแลเห็นเจ้าโทสะ
จึงแลเห็นเจ้าโมหะ
จึงแลเห็นเจ้าโลภะ


เราจะแลเห็นเจ้าโทสะ เราจะแลเห็นเจ้าโมหะ เราจะแลเห็นเจ้าโลภะ เราก็ต้องมีสติ  การที่จะมีสตินั้น เราก็ต้องทำสมาธิ ในสมาธิแห่งการตามทันอายตนะของสิ่งทั้งหลายที่สมมุติเข้ามาสู่กายเข้ามาสู่ในจิตเราในการกระทบเรา

ที่นี้การเป็นปุถุชน จะดำรงชีวิตเพื่อที่จะได้มนุษย์สมบัติ ได้สวรรค์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติ ในเรื่องจะทำยังไงในชีวิตแห่งการเป็นปุถุชน


ชีวิตแห่งการเป็นปุถุชนจะได้มนุษย์สมบัติก็คือ จะต้องมีเขาเรียกว่า ทำทาน เรียกว่า “จาคะ” มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ มีความเห็นใจซึ่งกันและกันในเหล่าเพื่อนมนุษย์ มีความอภัยต่อเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมงานก็ดี ไม่ได้มีตัวโลภะ ตัวโมหะ เข้าครอบงำ เราหาทางชี้ทางช่วยเหลือ เราหาทางตื่นตัว เราหาทางช่วยเหลือในสมบัติของโลก ดูแลให้โลก อย่าทำลายโลก เราก็ได้มนุษย์สมบัติ

ที่นี้ในการที่จะได้สวรรค์สมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญศีลและสมาธิบารมี จึงจะได้สู่เรียกว่า สวรรค์สมบัติ

ที่นี้ในการที่จะได้นิพพานสมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญสมาธิจิตให้แข็งแกร่ง ให้ได้ฌานญาณ อย่างน้อยเขาเรียกว่า อาสวักขยญาณ จึงจะได้นิพพานสมบัติ


ความปรารถนาสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่มีความแน่วแน่ของคำว่า เอกัคตาจิต ในความจริงใจในการดำเนินการเด็ดเดี่ยวในการทำงาน ในการตั้งสัจจะเขาเรียก สัจจบารมีในการบำเพ็ญจิต ก็ที่จะได้สิ่งเหล่านี้ตามความปรารถนา

ฉะนั้นท่านทั้งหลายในการจัดพิธีในวันนี้ ก็เรียกว่าเป็นพิธีดี เป็นพิธีมงคล และสิ่งที่ท่านขออาตมาก็จะให้ ให้ตามสิ่งที่ท่านจะได้ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่ท่านจะได้ แต่การจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตนต้องดำเนินตนจึงจะได้ของตน และตนจะต้องตั้งมั่นอยู่ในจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้ตั้งมั่นในสิ่งนั้น ท่านก็จะได้สมความปรารถนา


เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๙

านพิทักษ์เอกราชและศาสนา



เรื่องการทำงานจะต้องทำอย่างไรนั้น ท่านต้องพิจารณาว่า ชีวิตที่ยอมมีชีวิตอยู่นั้น เพราะล้วนแต่มีความหวังของชีวิต เพราะฉะนั้นการทำงาน ถ้าเราทำแบบถึงก็ช่าง มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องทุกข์ร้อน แล้วคำว่า “งาน” คือ “ทุกข์” ปกติมนุษย์ไม่มีงานอะไรมาก ถ้ามนุษย์ผู้นั้นไม่คิดช่วยผู้อื่น คือ


มีสังขารกับวิญญาณ รูปธรรมกับนามธรรม รูปธรรมก็ต้องการสิ่งปฏิกูลบำรุงเพื่อให้ขันธ์อยู่ อยู่เพื่อใช้กรรม สิ่งปฏิกูลก็ต้องการพืชผักอาหาร คนเรากินแค่พืชผักอาหารมันก็อยู่ได้ นามธรรมก็หมายถึงว่า กินอิ่ม จิตฟุ้งซ่าน ก็ต้องเอาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ในการระงับการฟุ้งซ่านของกิเลสตัณหา ตามเรื่องของคนก็มีเท่านี้

แต่ทีนี้เรื่องไม่เท่านี้ เพราะว่ามนุษย์ทุกชีวิตถูกตัวโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำกันมากจนถอนกันไม่ขึ้น เข้าถึงกระดูกเข้าเส้นเอ็นกันหมด มันก็เกิดความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นในโลกมนุษย์ เพราะอาตมานี่เป็นห่วง ก็อยากจะถามท่านว่า ท่านทำงานนี่ ท่านจะทำแบบสำเร็จหรือจะทำแบบสำเร็จก็ช่างไม่สำเร็จก็ช่าง


ทีนี้ท่านจะทำแบบนี้ สำเร็จมันต้องมีปัจจัยพร้อมบ้าง มีบางสิ่งบางอย่างพร้อมที่จะดำเนินงาน คือการทำงานก็เท่ากับเราเข้าไปหากองทุกข์ เพราะมันจะต้องมีปัญหา มันจะต้องมีอุปสรรค มันจะต้องมีอะไรต่ออะไรที่ตามมาในเรื่องของคำว่า “วงงาน”

ทีนี้ผู้ร่วมงานในวงงาน จะต้องมีความขันติเป็นหลัก จะต้องมี “อภัยทาน” เป็นหลัก จะต้องมีเมตตาธรรมเป็นหลัก จะต้องคิดว่าทุกคนประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาและอารมณ์ จิตวิญญาณบางครั้งก็ย่อมที่จะมีอารมณ์เกิดขึ้น มีอะไรบ้าง ก็ควรจะอภัยทานด้วยความเมตตา


ผู้ที่ทำอะไรผิด ก็ควรสงสารและควรจะหาทางช่วยเหลือแก้ไขชี้แจง ไม่ใช่ซ้ำเติม ซึ่งท่านจะเห็นว่า ท่านโตนี่ ใครทำอะไรพลาดไปแล้ว ท่านเคยพูดไหม ท่านมีแต่จะพูดเรื่องต่อไป

ฉะนั้นเราทั้งหลายก็มาอยู่ในเรือพระโพธิสัตว์ อาตมาก็คิดว่า เมื่อท่านทั้งหลายคิดจะสู้ เพื่อความอยู่รอดของสยามประเทศ ท่านควรจะมีเข็มทิศแห่งความต้องการความสำเร็จ แล้วก็ต้องมีความวิริยะกระตือรือร้น อุตสาหะในการทำ มีความจริงจังต่องาน มีการอภัยทานต่อผู้ร่วมงาน มีความเมตตาต่อผู้ที่ทำผิด ทุกคนเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมที่จะต้องมีความผิดพลาดเป็นสิ่งธรรมดา และอาตมาหวังว่าทุกคนคงจะใช้หลักสัจจะเป็นหลัก แล้วทุกคนก็ไม่มีอะไร


คือการทำงานใหญ่นี่ เขาไม่ต้องการมีคนมากหรอก ถ้ามันเอากันจริง แต่ละครั้งในสู้ชีวิตก็ดี ในการทำอะไรก็ดี อย่างพระเจ้าตากสินเริ่มก่อการมีเพียง ๕ คน เท่านั้นเอง ไม่ใช่มากมายเยอะแยะ แล้วค่อยมาเพิ่มเติมกันตอนหลัง ทีนี้การทำงานนี่ เราจะต้องมั่นใจ จะต้องสร้างพลังบวก ไม่ใช่สร้างพลังลบ หรือไม่ใช่ทำแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง สำเร็จก็ช่าง

งานระดับที่จะยุติสงครามโลก งานระดับที่จะปรับปรุงสังคมอยู่ในศีลในธรรม งานระดับที่จะอุดช่องโหว่ในการที่จะครองประเทศของปีศาจอสูร เป็นงานใหญ่
ขอทิ้งไว้ให้ท่านคิดว่า คนที่จะอยู่อย่างสบาย คือคนที่ไม่มีภาระมาก คนที่มีภาระมาก คนนั้นมีทุกข์มาก คนที่มีเกียรติมาก คนนั้นก็แบกทุกข์มาก นี่เป็นกฎธรรมดา เพราะเป็นสิ่งสมมติ

และโลกมนุษย์ขณะนี้ “อำนาจ” ไม่มีตัวตน แต่ทุกคนก็หลงอำนาจ ทุกคนก็อยากได้อำนาจ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงสิ่งสมมติบัญญัติขึ้นในโลกมนุษย์ และทุกคนควรจะต้องจำเอาไว้ว่า ท่านกำลังทำอะไร เมื่อคนเราคิดว่า

ชีวิตหนึ่งเกิดมาทำไม
ชีวิตหนึ่งอยู่เพื่ออะไร
ชีวิตหนึ่งมีอะไรเป็นแก่นสาร
ชีวิตหนึ่งสร้างอะไรเป็นที่ตรึงใจคนในอนาคต


เมื่อดวงจิตมาเกิดเป็นสัตว์มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐนี่ต้องใช้สมอง พิจารณาการทำอะไรมันต้องไม่มีการท้อถอย มีความแน่วแน่ มีความจริงใจ ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ ถ้าเชื่อตามคำพูดคนอื่นก็ไปตกหลุมพรางคน และการทำงานที่ยากที่สุดในโลกมนุษย์คือ “งานศาสนา” ซึ่งไม่ใช่งานง่าย การเป็นนักบุญ การเป็นนักพรต การเป็นนักบวชเผยแพร่ศาสนา เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทีนี้การจะทำงานเพื่อมนุษยชาติ จะทำงานเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น ตนจะต้องสามารถทำจิตว่า

เราพร้อมที่จะทุกข์เพื่อคนอื่น
เราพร้อมที่จะฟังคำนินทาจากคนอื่น
เราพร้อมที่จะวางจิตนิ่งต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเข้ามาพัวพัน


แล้วจะทำงานได้สำเร็จ ถ้าท่านหวั่นไหวเรื่อยๆ ท่านจะทำงานเพื่อมนุษยชาติเพื่อส่วนรวมสำเร็จยาก ซึ่งความสำเร็จแห่งการทำงานอยู่ที่ตัวท่านมีความวิริยะ อุตสาหะ กระตือรือร้น และมีความจริงจังต่องาน ในสภาพงานที่เราจะทำ เขาเรียกว่า เป็นงานทวนกระแสคลื่น อยู่ในภาวะอำนาจฝ่ายต่ำมีมาก ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีความอดทน แล้วก็มีความหนักแน่นในการทำงาน และงานที่เกิดความวุ่นวายกัน มันเกิดจาก “คน”

คือ คนไม่รู้จักหน้าที่การเป็น “คน”
ไม่รู้จักหน้าที่ของตน
ไม่รู้จักขอบเขตของตน
ไม่รู้จักสำนึกว่าตนมีความสามารถขนาดไหน
ไม่พิจารณาว่าตนมีหน้าที่อะไร


สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ถ้าทุกๆ คนรู้หน้าที่ รู้ฐานะ รู้การกระทำของตนแล้ว ก็คงไม่วุ่นวาย เปรียบเหมือนร่างกายมนุษย์


จมูกก็ทำหน้าที่ของจมูกหายใจ
ปากก็ทำหน้าที่ของปากเป็นการพูด
หูก็ทำหน้าที่ของหูเป็นการฟัง


มันก็ไม่มีอะไรที่จะขัดแย้งเกิดขึ้น ทีนี้การทำงานนั้น คนบางจำพวกเรียกว่า ตัวมีหน้าที่แค่นี้ ก็ชอบที่จะไปมีหน้าที่เกินกว่านั้น และการเข้าร่วมในการทำงาน


อาตมาก็ขอบอกว่า ทุกคนมีอนุสัยต่างกัน แบบบางคนไม่เข้าใจว่า ทำไมบางคนเข้าร่วมงานแล้ว ก็ทำตัวเป็นอุปสรรคกับงาน เพราะว่าสภาวะจิตถูกกิเลสตัณหาครอบงำ อนุสัยเดิมต่ำช้าย่อมที่จะอยู่ในสถานที่และหมู่คณะที่บริสุทธิ์ได้ไม่นาน เพราะคนที่จะเข้าร่วมงานนั้น ธาตุแท้ของทุกคนจะต้องแสดงออกของมันเอง

แต่ว่าแนวทางโพธิสัตว์นั้น เขาดำเนินแนวทางแห่งความเมตตา และไม่ใช่ไม่รู้ว่าใครทำอะไร ใครอิจฉาใคร ใครเป็นอะไร เช่น บางคนหน้าที่ที่ไม่ควรจะรู้อะไรมาก ก็ต้องเสือกรู้เสือกเห็น รู้อะไรก็ต้องพูดมาก คือ ไม่รู้ในหน้าที่ในภาวะของตน ถึงแม้ว่าที่ใดเป็นดินแดนสงบ แต่คนอยู่จิตไม่สงบ ไม่ถึงธรรม มันก็ฟุ้ง

ทีนี้สิ่งเหล่านี้อาตมาก็ไม่โทษคนอยู่ เพราะว่าสามัญปุถุชนย่อมมีกิเลสตัณหาครอบงำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นที่สงบ แต่ว่าคนอยู่ไม่สงบ และเหตุที่ไม่สงบเพราะอะไร เพราะว่าไม่ดำเนินแผนตามขั้นตอนแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา
คือ


คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ “หยุด” พิจารณา แล้วค้นหาสัจจะของศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาในธรรมะได้

ทีนี้ระหว่างผู้ร่วมงาน ควรจะมีอภัยทานเป็นหลัก มีความเมตตาผู้ร่วมงานกันให้มากและพยายามพิจารณาว่า ขอบเขตความสามารถที่มอบให้ทำ เช่น เรียกกลับหรือว่าสับเปลี่ยนตำแหน่ง คนก็มิสมควรเสียใจ ตนก็ต้องนึกว่า เหตุที่มีการให้โยกย้ายนั้น เพราะตนมีขอบเขตความสามารถแค่นี้ และมีความเหมาะสมกับงานนั้น


แต่ถ้าการสั่งการนั้นไม่ถูกต้อง ก็สมควรที่จะอุทธรณ์เพื่อพิจารณาได้ ไม่ใช่ว่าการสั่งการนั้นไม่รับฟังเสียงผู้ที่ถูกสั่ง ถ้าเหตุผลเพียงพอ ก็ควรอย่างยิ่งที่มีการไต่สวนพิจารณาใหม่อีกครั้ง เพราะว่า “เราปกครองด้วยสัจธรรม” อันไม่ใช่เผด็จการ

และการทำงานใหญ่นั้น ถ้าเตรียมการยังไม่พร้อมแล้วด่วนลงมือทำงาน ก็เหมือนไม่ถึงเวลาคลอด แต่เมื่อมันคลอดออกมาก่อนกำหนดแล้ว มันก็ต้องดำเนินตามภาวะของการที่คลอดมาไม่แข็งแรง ต้องเปราะแปะ ต้องเยียวยา ต้องประคองกันไป เพราะว่ามันคลอดก่อนกำหนด เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดความวุ่นวายได้ง่ายและเกิดอยู่เนืองนิจด้วย

ในปัญหาเรื่องคนนั้น ถ้าคนทำงานไม่พอ แล้วบางคนยังอยากจะไปทำหน้าที่โน้นบ้าง หน้าที่นี้บ้าง คือทำแบบตามใจฉัน และถ้ามีคนพอกับการงานแล้ว งานก็ยังไม่ดีขึ้นอีก อันนี้ก็ต้องโทษฝ่ายระดับบริหารทั้งหลาย ที่ไม่พยายามติดตามและวิเคราะห์การทำงานของลูกงานอย่างใกล้ชิด


ซึ่งท่านทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้นำ หรือว่าผู้ปฏิบัติตาม ควรที่จะถามตัวท่านเองในทุกขณะจิตว่า “เรากำลังทำงานอะไรเป็นหลักที่เราได้รับมอบหมายมา” ซึ่งก่อนที่จะรับมอบมา คิดว่าทุกคนคงจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงรับมาปฏิบัติ ดังนั้นถ้าทุกคนคอยเตือนสติตัวเองอยู่เสมอ คิดว่างานทุกอย่างจะเจริญก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ

ทีนี้ บางคนถามว่า ทำไมสำนักจึงไม่ประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่า ขณะนี้ เทวดามาทำงานช่วยโกยสัตวโลกให้พ้นทุกข์แล้ว จะได้เป็นเหตุให้ช่วยคนได้อีกจำนวนมาก อันนี้ อาตมามีธรรมนิยายให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือ

เมื่อสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จพักบ้านช่างทองบ้านหนึ่ง ก็ได้พบมานพคนหนึ่งที่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในกรุงสาวัตถี ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าพยายามเทศน์สั่งสอนให้เขาฟัง และพยายามบอกเป็นนัยๆ ว่า เราคือ สัมมาสัมพุทธเจ้า มานพน้อยนั้นก็ยังเป็นคนโง่ ก็บอกว่า “ธรรมที่แสดงมานี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ฉันคิดว่าคงไม่เท่ากับพระพุทธเจ้าแสดง เพราะฉะนั้น ฉันจึงต้องเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าให้ได้”

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เวลานี้มนุษย์อยู่ในกลียุคเปรียบเหมือนหนึ่งมานพน้อยคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะไปไหนไม่ได้ คือ สำนักเราเกิดผุดขึ้นมาในท่ามกลางอำนาจวัตถุความสะดวกสบาย และกระแสจิตของมนุษย์นี่ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาทีตามกฎแห่งความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


คือ คนเรานี่ถ้าอยู่อย่างยึดธรรมะเป็นสรณะ เท่ากับสมัยใหม่เขาเรียกว่า ยึดอุดมการณ์ ยึดจุดยืนอะไรกันของพวกท่าน คนๆ นั้นก็จะปฏิบัติตนอย่างเสมอปลายไปได้นาน แต่ถ้าอยู่อย่างยึดตัวบุคคลเป็นสรณะ หรือว่ายึดเส้นยึดสายพึ่งหน้าคนในการทำงาน คนๆ นั้น ก็ย่อมที่จะเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้นาน

แล้วเรื่องความ “พอ” และการใช้สมองของมนุษย์ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรามันไม่มี
เพราะฉะนั้น ในการที่สำนักดำเนินการในขณะนี้ เราดำเนินไปตามโครงการแบบ “แนวทางแห่งพระโพธิสัตว์” คือ “ตนยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อความสุขของคนอื่น”

แต่ถ้าท่านจะดำเนินการแบบ “แนวทางอรหันต์” ก็คือ “ตัดช่องน้อยไปนิพพาน” ซึ่งโลกมันจะแตกจะเกิดอะไรฉันไม่รู้ทั้งนั้น และการทำงานนี่ตั้งแต่เปิดโลกมาแล้ว เขาเรียกว่า เทวดากับอสูรก็รบกันมาเรื่อย ซึ่งการทำงานที่จะราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรค งานนั้นไม่ใช่งาน และคนทำงานไม่ผิดพลาด คนนั้นก็ไม่เคยทำงาน นี่เป็นกฎธรรมดาคำว่า “งาน

การทำงานมันเป็นเรื่องเข้าไปหาความทุกข์ ทีนี้ บางคนมันทำงานแบบตัวทำผิดพลาดไปแล้ว ชอบลากคนอื่นลงไปผิดพลาดเพื่อร่วมรับความผิดด้วย นี่เราเรียกว่า “พาลให้คนอื่นล่มจมไปด้วย” และการทำงานนั้น บางครั้งเงินที่ไม่ควรเสียดาย ก็ไปเสียดายกัน การสั่งงานนั้น บางคนรับคำสั่งแล้วก็ไม่ทำและก็ไม่ได้รับการทำโทษ เพราะอะไร เพราะความเมตตา และคนยุคนี้ “เมตตา” คุยกันไม่รู้เรื่อง

ยุคกลียุคนี้ เมตตาเขานึกว่ากลัวเขา
สงสารเขานี่นึกว่ารักเขา


และฝ่ายที่กำลังรุกทั่วโลก ทำไมเขาทำสำเร็จได้ เพราะเขาไม่ใช้ “เมตตา” เขาใช้กลอุบายหลอกลวงและขู่เข็ญให้ทำงาน ทำผิดก็สั่งยิงทิ้ง คนสมัยนี้ชอบอย่างนี้ นี่คือ เรื่องของ “ยุค”

เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจว่า เรากำลังก้าวสู่ยุคอะไร แต่อาตมาก็ยังบอกแล้วบอกอีกว่า อาตมาเชื่อมันสมองท่านโตที่จะนำความอยู่รอดให้สยามประเทศได้ แต่ถ้ามันไม่รอด มันเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ เพราะมนุษย์นี่จิตใจสามวันดีสี่วันไข้ เพราะอะไร เพราะความเปลี่ยนแปลงของกระแสจิตทุกวินาที


ผู้ที่เขาทำงานสำเร็จ เพราะเขามีความแน่วแน่ จิตจะต้องไม่หวั่นไหว เมื่อปักหลักลงไปแล้ว จะต้องแข็งแกร่งเหมือนภูเขาที่ไม่มีสะทกสะเทือนต่อลม ที่ไม่สะทกสะเทือนต่อฝนที่ไม่เกรงกลัวต่อเสียงคำรามของฟ้า เขาจึงสำเร็จจิตทางฌานญาณกันได้

แล้วท่านสังเกตดูซิว่า อำนาจฝ่ายต่ำขณะนี้มันมีมากขนาดไหน ตลอดแนวทางที่ไปถึงบ้านท่าน ท่านลองนับดูซิว่าระหว่างร้านขายเหล้ากับร้านขายธูปเทียน มีอย่างละกี่โรง ลองไปนับดูซิ ซึ่งมันจะแสดงว่าอำนาจฝ่ายต่ำมันมีมาก แต่ยุคปัจจุบันเมื่ออำนาจฝ่ายต่ำมาก กระแสจิตที่ขาดสมาธิขาดสติ ย่อมที่จะคล้อยตามอำนาจฝ่ายต่ำที่ผ่านมาทางอายตนะตา หู จมูก ลิ้น และถ้าคนทำงานใหญ่ ถึงจะทำสำเร็จ เขาจะไม่คุย

ทีนี้ ถ้าผู้นำมีความแน่วแน่อันหนึ่งของการทำงาน จะต้องหนักแน่นและเป็นตัวของตัวเอง หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เมื่อปักหลักลงไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ถอนหลัก”


การร่วมกันทำงานใหญ่นั้น ท่านอาจจะพบกับปัญหาบ้าๆ บอๆ พวกหนึ่ง ซึ่งบางคนรับงานไปแล้ว ทำไม่ได้กลับพาล แต่ไม่มอบงานให้ก็สะเออะเสือกขึ้นมาจะรับงาน และบางคนชอบวางโครงการ แต่พอปฏิบัติกลับไม่มีความจริงจังและการเสียสละอย่างแท้จริงในการทำงาน ปล่อยให้เกิดผลเสียหายนานาประการ โดยไม่ยอมแก้ไขหรือว่าปรับปรุง

ขอให้ท่านพยายามพิจารณาฐานะตนบ้างในการทำงาน โดยอย่ามีจิตวิจิกิจฉา มีความอิจฉาริษยา ซึ่งการเคลื่อนไหวของการทำงานทุกตารางนิ้ว มันอยู่ในข่ายของผู้นำทั้งหมด ซึ่งในการเป็นผู้นำนั้น ย่อมที่จะพยายามถือหลักเมตตา เพื่อปรับปรุงจิตใจคนให้ดีขึ้นและจะทนจนกว่าถึงวินาทีสุดท้าย จึงจะสั่งการลงโทษ นี่ละ “น้ำใจผู้นำที่แท้จริง”

คนเราตื่นเช้าขึ้นมา ถ้าทุกคนรู้หน้าที่ว่าตนต้องทำอะไร งานนั้นเป็นหน้าที่ของใคร ถ้ามีเวลาว่างนั่งสมาธิแผ่เมตตาอันเป็นการทำงาน เพราะว่ามิฉะนั้น การที่นั่งคุยกัน คุยกันเกินสิบห้านาที มันไม่พ้นเรื่องนินทาทั้งนั้น มันควรที่จะใช้เวลาว่างเป็นเวลาปรึกษางานมากกว่า


และบางคนนั้น ทำงานยิ่งกว่าแนวห้าเสียอีก หรือเป็นหนอนบ่อนไส้ มันต้องเสือกรู้เสือกเห็นและก็พูดผิดพูดถูกกับชาวบ้านอยู่เสมอ อันเป็นการสร้างความเสียหายกับวงงานและหมู่คณะอย่างใหญ่หลวง ซึ่งคนเราจะพิจารณาตนบ้าง มิฉะนั้นระดับบริหารนั้นต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราทำงานเพื่อส่วนรวมเพื่อสังคมแล้ว

จะเห็นว่า ขณะนี้เมืองไทยตกอยู่ในภาวะสงครามประสาท ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าพวกท่านประสาทไม่แข็งก็บ้ากัน ซึ่งการทำงานใหญ่นั้น รบศึกภายนอกมันไม่น่ากลัว รบศึกภายในนี่มันปวดหัว อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าศึกภายนอกนั้น ยังพอจะระวังกันได้ ศึกภายในแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใครบ้างที่เป็นหนอนบ่อนไส้ที่คอยสร้างปัญหาให้


ท่านจะต้องพยายามทำสมาธิให้มั่นคงและจะเป็นผลให้เกิดปัญญา และการทำงานนั้นบางครั้งเสียรูปงาน เพราะคนเสือกรู้เสือกเห็น และบางคนก็ทำอะไรแล้วทำไม่ได้ ต้องสำนึกว่า เราไม่มีความสามารถ ก็ควรถอนตัวเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าดำเนินการบ้าง

แต่ถ้าถูกบีบให้ถอนตัวก็กลายเป็นทรยศ ตั้งป้อมเป็นศัตรู อันเป็นอนุสัยฝ่ายอธรรมของคนเรา ตอนอยู่วงงานเขารวมตัวเสียสละทำงานอย่างจริงจังไม่ได้ แต่ออกไปจากวงงานแล้วก็รวมตัวกับฝ่ายต่ำได้ เพราะไม่มีกฎระเบียบมาก มีเงินทองให้ใช้ และถ้าหลงเงินก็จะเปิดโอกาสถูกฝ่ายอธรรมหลอกนานหน่อย และถ้าท่านทรยศต่อฝ่ายอธรรม
อย่าหวังเลยว่า เขาจะปล่อยให้ท่านลอยนวล เขาต้องสั่งฆ่า

การทำงานนั้น ถ้าทำแล้วมันไม่สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าละอายเลย ขอให้ท่านพยายามปรับปรุงแก้ไข งานนั้นๆ จะดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าท่านมีผู้นำที่ดีและจริงจังต่องานด้วยแล้ว ท่านในฐานะที่เป็นผู้ตามเรียกว่า ลูกน้องนั้นไม่ปฏิบัติตาม ชอบรู้ดีกว่า นั้นแหละจะเป็นสิ่งที่ให้งานพังพินาศลง เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง เรียกว่า “งานเสียเพราะลูกน้อง”

ทีนี้ขอเตือนว่า ในการทำงานนั้น เรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมต้องแยกออก มีในขอบเขตการประชุม ผู้รับผิดชอบระดับไหนก็ต้องมีการประชุมระดับนั้น ไม่ใช่นั่งเกรงใจกัน ให้คนที่ไม่มีหน้าที่ก็นั่งประชุมได้ มันต้องมีขอบเขตในการทำงาน


และในการวางงาน ท่านจะต้องวางแบ่งสายงานให้ดี เมื่อแบ่งดีแล้ว ก็จะสะดวกแก่การควบคุมในการทำงานอยู่ในขอบเขต แต่บางคนที่ช่างพูดจนเลอะเทอะกันเลยเถิดไปเยอะแยะ แต่ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติที่ดี เรียกว่าเอาพูด คือรู้เกินครู รู้มากไม่ยอมปฏิบัติ

เพราะฉะนั้น คนที่จะรับหน้าที่ต่างๆ นั้น ขอให้ศึกษาเข้าถึงแก่นแท้ของนโยบายแล้วปฏิบัติในขอบเขตที่ตนรับผิดชอบเหล่านั้น ก็จะไม่ทำให้ผิดพลาด ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนตัวและหมู่คณะ ถ้างานมันขยายกว้าง เรื่องอุปสรรคทั้งหลายย่อมมีมาก ท่านจะต้องรีบวางนโยบายและผู้รับผิดชอบงานภายในให้เรียบร้อย อันจะเป็นการวางป้อมปราการที่ดี แล้วจึงรีบเร่งวางนโยบายในการที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคในการขยายงานสู่ภายนอก

ดังนั้น ผู้ที่จะร่วมทำงานเพื่อความอยู่รอดของชาติ เพื่อพิทักษ์เอกราชของสยามนี่ ให้พยายามพิจารณาตน ดีกว่าที่จะไปพิจารณาคนอื่น แล้วก็คิดถึงขอบเขตความสามารถของตนว่ามีขนาดไหน และก็รับผิดชอบได้ขนาดไหน อย่าไปทำงานแบบเรียกว่า เอาหน้าได้หน้า


ซึ่งตามความจริงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้หน้าเลย ไม่มีอะไรเสียหน้าเลย เพราะหน้าทุกคนก็ติดอยู่ที่หัวทุกคน อยู่บนบ่าทุกคน “คนไหนที่มีอารมณ์ร้อนๆ ตัวเองก็ต้องพยายามระงับอารมณ์” ก็ต้องเข้าใจว่าทุกคนเข้าร่วมการทำงาน ต่างคนต่างมาด้วยความศรัทธาและเสียสละ และทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและคิดว่าทุกอย่างต้องสำเร็จแน่นอน

เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๘

พุทธภาวะ พุทธภาระ



เจริญพร

คืนนี้ซึ่งเป็นคืนแห่งวิสาขบูชา เป็นการสมมติของการนับในโลกมนุษย์ สภาวะแห่งการสมมตินี้ ถ้าว่าตามหลักแห่งความจริงแล้ว คำว่า “วิสาขบูชา” ก็อยู่ในภาวะของมันคือ สภาพแห่งการวนเวียนมาและเวียนไป นี้เป็นสิ่งสมมติของมนุษย์

เพราะฉะนั้นคืนนี้ที่มีพรหม เทพ มนุษย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในพิธีในวันนี้ คำเทศน์ของอาตมานี้ อาตมาจะให้หัวข้อว่า “พุทธภาวะ พุทธภาระ”

อะไรเรียกว่า พุทธภาวะ นั้น ในสภาวะแห่งการเป็นพุทธะนั้น มันก็เป็นภาวะของพุทธะ การถึงก็ไม่ใช่พุทธะ การไม่ถึงก็ไม่ใช่พุทธะ ภาวะอันนั้น คืออยู่ในกึ่งกลางพุทธะและในวิถีการแห่งการเป็นพุทธภาวะนั้น มันมีอยู่ในหลักแห่งการปณิธานพุทธภาวะและปัญญาพุทธภาวะ


และในวิถีการปัญญาพุทธภาวะนั้น เป็นวิถีการแห่งการเรียนสมมติของโลกมนุษย์ และการที่ผู้ที่รู้ว่าตัวว่า “เป็นพุทธในปัญญา” นั่นแหล่ จะเป็นบุคคลที่รู้ และเป็นบุคคลที่จะต้องไปสู่ในอบายภูมิมากกว่าที่จะไปถึงพุทธภูมิ

เพราะอะไรเล่า เพราะในสภาพการณ์แห่งการนั้น ได้ถือว่าตีข้อธรรมะข้อใดแหลกแตกแล้ว ก็ถือว่านั้นมันไม่ถึงหรอก ผู้ใดเข้าใจว่าตัวนั้นถึงพุทธภูมิ ผู้นั้นเข้าไม่ถึงพุทธภูมิ เพราะอะไรเล่า เพราะในวิถีการที่จะบำเพ็ญตนเป็นพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นการตั้งปณิธานมาจากแต่ละอสงไขย และในสภาพการณ์แห่งการที่จะเป็นพุทธภาวะนั้นจะต้องมี

หนึ่ง อธิษฐานบารมี
สอง บุญในอดีตชาติ
สาม พลังแห่งจิตในการปฏิบัติทางฌาน


ทีนี้ ในสภาวการณ์แห่งวิถีการที่จะถึงพุทธะนั้นแหล่ เจ้าตัวก็ไม่ทิ้งว่า ตัวนั้นคือพุทธะ คือวิถีการแห่งการเป็นพุทธะ จะต้องแสดงแก่ในหมู่ชนผู้นับถือ ผู้ที่เห็นเข้าใจ คือ ในวิถีการ อาตมาทำไมจึงไม่พูดว่าพุทธภาวะ พุทธภาระ คือ


ในภาวการณ์นั้นแหล่ องค์สมณโคดมเมื่อได้บำเพ็ญตนว่า สำเร็จเป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไซร้ องค์สมณโคดมนั้นก็ได้มีวิถีการหาหมู่คณะแห่งการตั้งศาสนาพุทธขึ้น ณ ในครั้งกระนั้น องค์สมณโคดมต้องมีภารกิจแห่งการปฏิบัติ เมื่อวิถีการที่จะแสดงว่า ข้านี้แหละคือผู้ที่อยู่เหนือธรรมะ ในสภาวะแห่งการแสดงตนว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลก เหนือธรรมนั้นแหละ จะแสดงอย่างไร

ในอดีตกาลครั้งหนึ่ง องค์สมณโคดมจะไปโปรดเหล่าชฏิลทั้งหลาย ในสภาวะนั้นแหล่ องค์สมณโคดมไปถึง ได้แสดงว่า เรานี่คือผู้ถึงแห่งสภาวะพุทธะ เรานี้พุทธะ เรานี้คือผู้อยู่เหนือโลก อยู่เหนือธรรม เหล่าชฏิลทั้งหลายที่จะทดสอบว่า “อันที่องค์สมณโคดมถือว่าตนเป็นถึงพุทธะนั้นจริงหรือไม่”

เหล่าชฏิลได้นิมนต์องค์สมณโคดมไว้เพื่อฉันข้าว ในวิถีการแห่งการทดสอบอารมณ์ขององค์สมณโคดม เหล่าชฏิลเอาอะไรให้องค์สมณโคดมฉัน เขาเหล่านั้นได้นำข้าวสาลีและกับที่ให้องค์สมณโคดมฉันนั้น มีสองอย่างคือ ขี้วัวและเยี่ยววัว


ในสภาวะอันนี้แหล่ องค์สมณโคดมต้องพิสูจน์ว่า ตนนั้นสามารถฉันขี้วัวและเยี่ยววัวนั้นเข้าไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ถึงแห่งพุทธะ ในสภาวะอันนี้แหล่ องค์สมณโคดมก็ได้แสดงอัจฉริยะแห่งการเป็นพุทธะให้เห็น โดยองค์สมณโคดมได้เข้าอาโปปฏิฌาน เข้าฌานขั้นละลายอาหารนั้นเป็นอากาศ ตัวองค์สมณโคดมก็เป็นอากาศ ได้ฉันข้าวสาลีพร้อมด้วยขี้วัวและเยี่ยววัวนั้นเข้าไปหมด

หลังจากในวิถีการฉันเสร็จแล้ว องค์สมณโคดมยังได้แสดงธรรมะข้อ “เครื่องไม่จีรังนี้ปฏิกูลเปื่อยเน่าไปทั้งสิ้น” จนเหล่าชฏิลนั้น ได้รับรู้ว่าอ้อนั้นหนอองค์สมณโคดมยังสามารถฉันลงไป ฉันเสร็จแล้วก็ยังสามารถมีการเทศน์ให้ฟังด้วย ซึ่งเป็นการว่า จิตนั้นถึงวิมุตติจิตอันแท้จริงแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้นี้เป็นเอหิปัสสิโกเป็นยอดแห่งอัจฉริยะตามหลักของปัจจุบัน และในวิถีการแห่งการที่องค์สมณโคดมในการพิสูจน์ตนเป็นพุทธภาวะนั้น ก็มีอีกครั้งหนึ่ง

องค์สมณโคดมได้เดินทางไปสู่หมู่บ้านในสาวัตถี ในหมู่บ้านสาวัตถีนั้นล้วนแต่นับถือพราหมณ์ และในสภาวะองค์สมณโคดมไปถึง
เหล่าชาวสาวัตถีในหมู่บ้านทั้งหลายก็ได้พิสูจน์ว่า องค์สมณโคดมถึงพุทธภาวะจริงหรือไม่ ก็นิมนต์องค์สมณโคดมนอนอยู่กลางแจ้ง ในภาวะคืนแห่งองค์สมณโคดมนอนอยู่ ณ ที่นั้น คืนนั้นได้เกิดฝนห่าใหญ่อย่างท่วมแผ่นดิน องค์สมณโคดมก็ไม่เปียก แม้จะนอนอยู่ที่นั่น

ซึ่งในภาวะอันนี้แหล่ การที่จะถึง “พุทธภาวะ” นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคิดว่าจะพูดว่า เราถึงพุทธะก็ถึง มันจะต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้ชาวโลกเขาเห็นว่า เราถึงพุทธภาวะได้จริงดังที่เราแอบอ้าง ดังที่เราอวดตน และองค์สมณโคดมก็ไม่เคยไปอวดว่า ตนนี่ถึงแห่งพุทธะ


หลักแห่งการเป็นนั้น สภาวะพุทธะ เรียกว่า พุทธะนั้น อยู่ในหลักแห่งวิถีการของมัน ของธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีสภาพการณ์นี้ ไม่มีผู้ใดรับตัวว่าถึงพุทธะ แล้วก็ถึงพุทธะ เพราะอะไรเล่า ผู้ถึงพุทธะก็ไม่ใช่ ผู้ไม่ถึงพุทธะก็ไม่ใช่ อยู่ในสมมุติแห่งส่วนสายกลางนั่นแหล่

และพูดอีกอย่างหนึ่ง ในวีถีการเรียกว่า ภาวะและภารกิจขององค์สมณโคดมที่ปฏิบัติอยู่ในวิหารเชตวันก็ดี การโปรดสัตว์โดยการบิณฑบาตนั้น องค์สมณโคดมก็ได้เดินทางที่เรียกว่ากิโลๆ เป็นโยชน์ๆ ไปโปรดผู้ที่จะถ่ายกรรมให้เขา จะได้ยกระดับจิตแผ่กุศลให้เขา


ไม่เหมือนพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้เรียกว่า เดินนิดหน่อย ก็ขี้เกียจเดิน แล้วก็เดินเข้าวัด และในวิธีการอันนี้แหล่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้พิสูจน์ว่า ผู้ที่ว่าเวลานี้บวชเป็นพระสงฆ์นั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามภารกิจที่องค์สมณโคดมถือมา พระบางองค์เรียกว่า สักแต่ห่มผ้าเหลือง กินแล้วก็นอน

ในสภาพการณ์นี้แหล่ หลักและความจริงแห่งพุทธะขององค์สมณโคดมตอนนั้น พุทธภาวะอยู่ แต่มนุษย์ยุคนี้ติดอยู่ในวัตถุ ติดอยู่ในหลักแห่งวิถีการหลง จึงไม่ได้เข้าถึงรู้ซึ้งถึงภาวะแห่งพุทธะอันนั้นแหล่ ในภารกิจแห่งการในวิถีการณ์แห่งการปกครองขององค์สมณโคดมในวิหารเชตวันในสมัยก่อนนั้น องค์สมณโคดมก็ปกครองในวิถีการเป็นนักปกครองที่ดี คือ

ในหมู่เหล่าพระสงฆ์ทั้งหลาย เรียกว่าพระสาวกขององค์สมณโคดมในวิหารเชตวัน องค์สมณโคดมได้แบ่งวิถีการปกครองออกเป็นหมวด หมวดละสิบคน และในสภาพการณ์แห่งการปกครองนั้น องค์สมณโคดมได้จัดวิถีการณ์แห่งวิธีการเรียกว่า “ปุจฉาวิปัสสนา” เป็นวิถีการณ์แห่งการที่ตื่นเช้าขึ้นมาทำภารกิจเสร็จแล้ว ตกเย็นเข้ามาในหมู่คณะใดหมู่คณะนั้น จะต้องมาพิจารณาตน จะต้องพิจารณาหมู่คณะฝ่าย ก. จะต้องพิจารณาอุปนิสัยหมู่คณะฝ่าย ข. พิจารณาหมู่คณะฝ่าย ค. ว่าผู้นี้กระทำผิดอะไรให้ปรับปรุง

ในสภาวะนั้นแลจึงได้ทำให้อาณาจักรขององค์สมณโคดมแตกกว้างใหญ่ไพศาลถึงปัจจุบันนี้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเหล่าผู้มีจิตแห่งการเป็นอรหันต์ประชุมนั้นแล เขาไม่มีอารมณ์ และวิถีการปกครองว่าผู้ที่ปกครองนั้นแลตัวย่อมไม่ค่อยรู้ภาวะของตัว ผู้อื่นชี้ภาวะของตัวและผู้นั้นจะต้องรีบปฏิบัติเปลี่ยนแปลงตามภาวะผู้อื่นชี้แล ผู้นั้นจะได้ปกครองไปสู่ในหลักแห่งความสำเร็จแน่

เพราะฉะนั้นในยุคแห่งวิถีการที่ว่าจะพูดอะไร อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเทียบอะไรให้มนุษย์ฟังแห่งการพุทธภาวะนั้น ก็เทศน์แล้วว่า มันไม่มีการอวดรู้ ต้องผู้ที่ปฏิบัติถึงและแสดงออกถึงเหล่ามนุษย์รับรอง ผู้นั้นถึงจะถึง “พุทธภาวะ พุทธภาระ” ซึ่งในสถานการณ์ยุคนี้ เหล่าเกจิอาจารย์ทั้งหลายล้วนแต่เต็มไปด้วยคัมภีร์เปล่า อ่านหนังสือตำราหนึ่งเล่มก็ถือว่าตัวเก่ง ถือว่าตัวถึงพุทธภาวะ จึงหลงอยู่ในอบายภูมิ หลงอยู่ในหลักแห่งโลกีย์

ในวิถีการแห่งจิตนั้น ถ้าถึงภาวะแห่งการเป็นพุทธะนั้น คำว่า “หิว” ย่อมไม่มี คือขันธ์นี้เป็นของโลก โลกนี้เป็นของขันธ์ ขันธ์เพื่อให้โลกอยู่ อยู่เพื่อขันธ์นี้ตาย ซึ่งในวิถีการณ์ ถ้าว่าในหลักแห่งความจริงแล้ว องค์สมณโคดมจะได้ฉันแต่มื้อเดียว และในสภาพการณ์อีกข้อหนึ่งซึ่งเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้สนใจว่า องค์สมณโคดมฉันแล้ว มีวิถีการณ์มังสวิรัติหรือไม่

อาตมาขอแถลงแทนองค์สมณโคดมให้ทราบว่า คำว่า มังสวิรัติขององค์สมณโคดมนั้น ฉันลงไปนั้น ไม่มีคำว่าอร่อยและไม่อร่อย ดูนิ่งเฉย และพระองค์จะฉันสิ่งที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันเพื่อให้ขันธ์อยู่ ขันธ์อยู่เพื่อนามธรรม ปฏิบัติเผยแผ่สอนหลักแห่งคำว่า “สัจจะ”

เพราะฉะนั้นในวิถีการณ์นี้แล เหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่จะบำเพ็ญตนสู่โลกุตระนั้น จงโปรดอย่างทะนงตนเป็นอะไร ตนได้อะไร ผู้ที่หลงตนทะนงตนว่า ตนได้อะไร เป็นอะไร ผู้นั้นคือไม่ถึงอะไร

(พระธรรมเทศนา คืนวันวิสาขบูชา

วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ เวลา ๒๒.๐๐ น.)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๗

สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับความอยู่รอดของประเทศ



เจริญพร

วันนี้เท่าที่แลก็เป็นนิมิตที่ดีที่ทางเหนือทางใต้ก็มา ภาคอีสานก็มาร่วมกันที่นี้ การทำงานศาสนาเป็นงานที่ลำบาก งานที่ต้องใช้ขันติธรรมเป็นหลัก ดังนั้นงานของศาสนาเป็นงานใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้สมอง ต้องใช้ความคิด ต้องใช้ความวิริยะ ต้องใช้ความขันติ ต้องใช้ความแลตน


ทีนี้ ในขณะนี้ในเรื่องประเทศสยาม เป็นภาวการณ์ของกรรมวิบากที่ฝ่ายอสูร ฝ่ายปีศาจเขากำลังรุ่งเรืองและดำเนินการสำเร็จของเขา ก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทีนี้ในภาวะแห่งการใกล้เข้ามาแล้ว

เมื่อท่านยังติดในทรัพย์   ไม่ช้าก็จะไม่มีทรัพย์ยึด
ถ้าท่านยังห่วงในเรื่องบ้าน   ไม่ช้าก็จะไม่มีบ้านห่วง
เพราะฝ่ายอสูรปีศาจพวกนี้ไม่มีบ้าน


ทีนี้มาแลมนุษย์ในยุคปัจจุบัน มันเป็นยุคที่น่าอนาถ เป็นยุคแห่งการที่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่การกิน เห็นแก่ความเป็นอยู่ เห็นแก่ความสบายที่จะเอาตนรอด ไม่ได้คิดว่าในสังคมนี้ สังคมการเป็นสัตวโลกที่สืบเผ่าพันธุ์นี้ ที่คุยกันรู้เรื่องในภาษาไทย จะต้องมีการพัวพัน จะต้องมีการช่วยเหลือจะต้องมีการค้ำจุน จะต้องมีการเรียกว่าแลกันไป

แต่สังคมกลางกลียุคเช่นนี้ เป็นสังคมที่ล้วนแต่มีมานะทิฐิในการที่ยึดตน ในการที่หลงตน ในการที่จะให้ตนสบาย เมื่อภาวะเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการที่เปิดช่องว่างให้ผู้ที่เรียกว่าทำลายศาสนา หรือว่าเหล่าปีศาจ เหล่าอสูรบำเพ็ญเกิดมาในกลางพิภพนี้ มีทางดำเนินผลสำเร็จ ถ้าเราพูดในลักษณะของดวงดาวโหราศาสตร์ก็เรียกว่า ดวงอสูรดวงปีศาจกำลังขึ้น


ในปัญหา เมื่อดวงอสูรดวงปีศาจกำลังขึ้นนี้ ท่านที่ถือว่าคนเป็นฝ่ายธรรมะ ท่านที่ถือว่าท่านกำลังมีความรักแผ่นดิน แต่ว่าท่านก็ยังยึดในตน ท่านไม่มีการวางตน ไม่มีการรวมพลัง ไม่มีการที่จะทำกันอย่างเอาจริงเอาจังเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย

ท่านอาจจะถามว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หายไปไหน ต้องเข้าใจว่าประเทศลาวจะพินาศก็ดี เทวดาของประเทศเขา เขาก็มากันมาก แต่ว่ามนุษย์ที่ติดในวัตถุยุคปัจจุบัน ที่เขาไปถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะวัตถุเข้าครอบงำจิตใจของมนุษย์ ประเทศเหล่านั้นเห็นเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง มองข้ามไป ตั้งตนอยู่ในความประมาท

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายก็ได้มาได้เข้าใจ เหตุการณ์มันจะเป็นอย่างไร ถ้ายังตั้งตนอยู่ในตนที่ยึดตน ที่คิดว่าเราก็ช่วยแต่ปากก็พอ และช่วยส่งกระแสจิต แล้วท่านคิดว่าท่านจะอยู่ได้หรือ ถ้าท่านคิดว่าท่านอยู่ได้ก็เชิญอยู่


แต่ถ้าท่านอยู่ไม่รอด ประเทศสยามหรือประเทศไทยอยู่ไม่รอด ท่านจะมาโทษวิญญาณไม่ได้ ต้องโทษพวกท่านเอง ความอยู่รอดของมนุษย์ไม่ใช่ความอยู่รอดของเทวดา เทวดาเพียงแต่ส่งเมตตามาช่วย ถ้าท่านไม่ยอมช่วยตนเอง แล้วก็จะมาว่าอาตมาไม่ได้

เวลานี้ต้องเข้าใจว่างานของเทวดา คำว่า “ไม่สำเร็จ” ไม่มี ที่ไม่สำเร็จเพราะมนุษย์ห่วง มนุษย์ไม่เอาจริงเอง มนุษย์ยึดตน ห่วงสมบัติ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องตัดสินใจให้แน่ว่า จะเอาบ้าน หรือเอาประเทศ ถ้าจะเอาประเทศก็ต้องเลิกยึด เลิกห่วงใยในเรื่องบ้าน เรื่องสมบัติ เรื่องลูก เรื่องเมีย ต้องวางให้หมดอย่างจริงจัง


แล้วเสียสละความสุขส่วนตัวและทรัพย์สินเงินทอง มาช่วยกันพิทักษ์รักษาให้ประเทศมีเอกราชอยู่รอด อาตมาก็คิดว่า มีทางสำเร็จ

เจริญพร

(พระโอวาทเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๐ น.)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๖

ชิงลูกตะกร้อ



ในลักษณะการเป็นอยู่ของโลกวิญญาณแล้ว เรื่องการชิงดีชิงเด่น เรื่องการแพ้ชนะ เรื่องอะไรเหล่านี้ทางโลกวิญญาณเขาไม่มี เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ พวกมารเขาก็อยู่ตามโลกของมาร เทพเจ้าก็อยู่กันตามที่อยู่ของเทพ พรหมก็อยู่ตามความเป็นอยู่ของพรหม ยมโลกเขาก็อยู่กันตามความเป็นอยู่ของยมโลก แต่ในโลกมนุษย์นี้เป็นโลกแห่งสื่อกลางของการใช้กรรม

ขณะนี้เป็นกลางกลียุค ทีนี้ปัญหาเวลานี้ ก็คือว่าอาตมาได้รับการขอเห็นใจและร่วมมือจากท่านโต ทีนี้ปัญหาก็คือ การทำงานท่านต้องเข้าใจว่า ท่านกำลังจะทำงานอะไรเป็นหลักก่อน งานในขณะนี้ที่ท่านจะทำเป็นงานที่เปรียบเสมือนหนึ่งก็คือว่า สงครามแย่งชิงมนุษย์


ถ้าเปรียบอีกจุดหนึ่งก็คือ ขณะนี้ในโลกมนุษย์แบ่งเป็น ๒ ค่าย มนุษย์เปรียบเสมือนหนึ่งลูกตะกร้อ ขณะนี้ลูกตะกร้อชาวไทยทุกฝ่ายที่เล่นนุ่งชุดแดงเป็นเครื่องหมายอุ้มอยู่ ถ้าภาษาชาวบ้านก็คือว่า ท่านจะลงไปแย่งลูกตระกร้อลูกนี้จากมือผู้นุ่งชุดแดง ซึ่งท่านเป็นกลุ่มผู้นุ่งชุดขาว

ทีนี้การเป็นกลุ่มผู้นุ่งชุดขาวที่จะแย่งชิงตะกร้อมาอยู่มือนั้น จำเป็นที่จะต้องมีไหวพริบ มีชั้นเชิง มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีความจดจ่อ มีความแน่วแน่ มีสติพร้อม และมีการใช้ปัญญา ก็ย่อมที่จะแย่งลูกตระกร้อลูกนั้นมาอยู่ในมือท่านได้

ทีนี้วิธีการทำงานต้องเข้าใจว่า ท่านกำลังทำงานกับใครเป็นหลักเป็นจุดสำคัญแต่ก็ในด้านอุปนิสัยของผู้นำ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นทุกคนต้องมีสติว่า ไม่ใช่วันนี้ฉันเอาแน่ พรุ่งนี้ฉันยังไม่แน่ มะรืนนี้ไม่เอาเลย เมื่อไม่ได้ถูกบีบรัด ฉะนั้นปัญหาเหล่านี้ ท่านจะให้คำตอบยังไง และท่านจะรักษาระดับอารมณ์แห่งความเอาแน่ของท่านได้ตลอดหรือไม่

ทีนี้ การทำงานเราต้องหวังว่า งานนั้นต้องสำเร็จได้มันจึงทำได้ดี ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าทุกคนในวินาทีนี้ อาตมาก็ไม่อยากจะพูดให้มันหวังมากเกินไป เมื่อในวินาทีนี้เห็นว่าทุกคนมี “ความแน่วแน่จดจ่อ” เมื่อจิตแน่วแน่จดจ่อกับงานดีแล้วย่อมก้าวต่อไปเพื่อชัยชนะ และถ้าไม่เห็นทางชนะหรือไม่สำเร็จก็อย่าทำดีกว่า มันเหนื่อยเปล่า

และการที่ท่านจะเป็นผู้นำนั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรก็คือ คำว่า “ไม่สู้” ไม่มี เพราะฉะนั้นอาตมาคิดว่า ผู้นำนั้นต้องมีชั้นเชิงหาทางทำเองของท่าน ปัญหามันมีอยู่ว่า วันหนึ่งเราต้องทำงานกันจริงๆ จังๆ และเวลาทำก็ตั้งเป้าไว้ว่า “ต้องชนะ ต้องสำเร็จ มันจึงจะเกิดผล”

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๕

ระวังภัย



ขณะนี้เหตุการณ์ของประเทศไทย ทุกอย่างมันเชี่ยวและแรง เขาจึงถามความเห็นว่าควรทำอย่างไร

อาตมาก็บอกว่า เมื่อฝ่ายธรรมะมันหลับอยู่ ก็ควรให้มันตายไปกับกระแสน้ำเสียบ้าง เพราะความสบาย ความยึดตน เราจะไปทะนงว่าเรามีตั้งสี่สิบล้าน ผู้นำเรายังกินเหล้าเมายา ยังอยู่ในห้องที่สบาย และอาตมาพูดที่นี่เป็นเวลาหลายปีแล้ว ก็รู้สึกว่าเฉยๆ เพราะว่ายังไงๆ เทวดาต้องช่วย ถ้าเกิดเทวดาไม่ช่วยท่านจะทำยังไงบ้าง

ฉะนั้นอาตมาจึงว่า เพื่อให้เขาเกิดเรื่องกันขึ้นบ้าง ใครมีไหวพริบดีก็ชิงจังหวะไป ถ้ากรรมฝ่ายธรรมะไม่หนัก ก็คงจะชิงและปรับปรุงเหตุการณ์ได้ ถ้ากรรมฝ่ายธรรมะหนักก็ชิงไม่ได้ ก็จะเกิดกลียุคขึ้นมากขนาดหนัก แล้วตอนนี้คิดว่า เราจะช่วยได้ก็ช่วยไป ถ้าเราช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อย

ถ้าท่านไม่เชื่อ เวลานี้ท่านออกจากที่นี่ เดินไปตามร้านเหล้าจากสำนักนี้ไปร้านเหล้าตลอดไปถึงฝั่งเมืองบางกอกว่าร้านไหนไม่เต็มบ้าง บุญบารมีมันก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ขอให้ท่านสร้างบารมีไว้บ้าง แล้วก็สวดมนต์ไว้ให้ดี

อาตมายังเชื่อสมองท่านโต ปัญหาอยู่ที่มนุษย์ว่า วันนี้เอาจริง พรุ่งนี้ไม่เอาจริง ชั่วโมงนี้ว่าจริง แต่ว่าอีกสามชั่วโมงเปลี่ยนใจแล้ว เพราะว่าจิตใจมนุษย์เราไม่ได้ฝึกความแน่วแน่ของนามธรรม ก็ย่อมหวั่นไหวตามอารมณ์มนุษย์บ้าง ย่อมรักตัวกลัวตายขึ้นมาบ้าง ก็มีความเสียดายตระหนี่ขึ้นมาบ้าง นั่นเป็นธรรมดาของมนุษยโลก


แล้วก็คนทำงานอยู่สิบคน ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า คนหาเงินอยู่คนเดียวแต่คนกินตั้งพันคน คนหาเงินมันจะอยู่ไหวเหรอ เรื่องของประเทศก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทางที่หนึ่ง ทางโลกก็ให้ท่านต้องคิดไป ไม่ใช่เทวดาหรืออาตมาต้องมาวางแนวให้ฝึกการปลุกคนให้ตื่น จะต้องรีบรวมกลุ่มทำงานเผยแพร่สัจธรรม

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘)


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๔

วิบากกรรมของประเทศ



การที่จะประกาศตัวรับใช้สังคมแห่งสัตวโลกนั้น จะต้องมีลูกมือทำงานอย่างจริงจัง และถ้าจะทำงานโกยสัตวโลกกันจริงแล้ว อาตมาขอถามท่านว่า พวกทำงานจะเลือกทาง “โลกียะ” หรือ “โลกุตระ”

คนที่จะเดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกียะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกียะ ย่อมจะสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกียะและโลกุตระง่ายแล้ว ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดมต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์ก็เป็นทั้งมหาจักรพรรดิทั้งธรรมราชาไม่ดีหรือ แต่มันเป็นไปไม่ได้

โลกของโลกุตระและโลกียะเดินคู่ขนานกัน เราต้องตันสิน ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ อย่างอาตมา ถ้าพูดกันตามภาษาชาวบ้าน มองอย่างผิวเผินแล้วอาตมาเป็นคนอกตัญญู แม่ของอาตมาอายุ ๔๔ จึงจะมีลูกคืออาตมา อาตมาเป็นลูกชายคนเดียว พ่อของอาตมาเป็นอิสลาม แต่อาตมาเมื่อเห็นพระสวดมนต์ก็คิดว่าดี จึงไปขออนุญาตพ่อแม่บวช อยากบวชดูว่ามันจะเป็นอย่างไร


พอบวชแล้วบารมีเก่าช่วยให้ไม่อยากสึก ทั้งพ่อและแม่มาร้องไห้ที่หน้ากุฏิ อาตมายืนยันว่าไม่สึกก็ไม่สึก จึงหนีจากจะทิ้งพระ (ตำบลหนึ่งในจังหวัดสงขลา) มาที่สงขลาทั้งที่แม่แก่แล้ว อายุตั้งห้าหกสิบ ตอนเป็นเณร แม่อายุห้าสิบกว่า เมื่ออาตมาเป็นพระ แม่อายุหกสิบกว่าแล้ว อาตมาทิ้งทั้งพ่อแม่มาอยู่สงขลา ไม่ไปมองไม่ไปแลเลย แล้วเดินทางไปเมืองอโยธยา

การทำงานเพื่อส่วนรวมบางอย่างต้องยอมเสียสละ อาตมาคิดแล้วเห็นว่า “นี่เป็นทางหลุดพ้นได้ เป็นทางที่จะให้เราไปสู่สวรรค์ได้ ถ้าเราติดพันกับพ่อแม่แล้ว ตลอดทั้งชาติก็ไม่มีทางจะสำเร็จได้” เราเกิดมาเพราะมีกรรม เราเกิดเป็นลูกเขาก็เพราะกรรม จึงได้มาเป็นลูกเขา เขาเป็นพ่อแม่เรา มีเราเป็นลูกคนเดียว เขาก็มีกรรม ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร อาตมาสบายแล้วก็ช่วยพ่อแม่ไปสู่สวรรค์ได้ นี่เป็นตัวอย่างให้ท่านคิด

มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง กล่าวถึง “กลียุค” ในประเทศพม่าเมืองหงสาวดี ขณะนั้นแผ่นดินไร้ประมุขปกครองแผ่นดินว่างกษัตริย์ บุราณกาลเขาถือว่า คนที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะต้องเป็นคนบุญหนัก จะต้องเป็นคนของสวรรค์ส่งมาและไม่เมาอำนาจง่ายๆ อำมาตย์ทั้งหลายได้ประชุมกันว่า เอาอย่างนี้ดีไหม เราปล่อยหงส์ไปตัวหนึ่ง ถ้าหงส์ตัวนี้ไปเกาะใคร เราจะเชิญคนนั้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน


เมื่อปล่อยหงส์ไป หงส์ตัวนั้นก็บินมาที่เมาะตะมะ มีพระภิกษุสงฆ์สองรูปกำลังพูดกันถึงเรื่อง “กลียุค” ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า “ถ้าฉันได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฉันจะบูรณะบ้านเมืองให้อาณาประชาราษฎรมีความสุข จะไม่ถือทิฐิ ไม่โลภ ไม่มีโทสะ จะไม่ให้อำนาจฝ่ายต่ำครอบงำ จะปกครองด้วยความเป็นธรรม

ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็บอกเพื่อนว่า “ถ้าฉันได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฉันจะมีเมียมากๆ จะกินเหล้าเมาสุราทุกเช้าเย็น จะสะสมเงินทองสร้างปราสาทให้หรูหรา”


มันเป็นกรรมของพม่า หงส์ที่เขาปล่อยมา จึงบินไปเกาะบนบ่าของพระภิกษุที่ไร้สัจธรรม อำมาตย์ก็เชิญภิกษุผู้ไร้สัจธรรมองค์นั้นไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ภิกษุนั้นบอกกับเพื่อนว่า “เห็นไหมมันเป็นยุคของฉัน ฉันก็จะทำตามที่พูดไว้ คือเมื่อฉันมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฉันจะต้องเมาสุรา มีเมียมากๆ” นี่เป็นวิบากกรรมของประเทศ

ทีนี้พูดถึงอนุสัยของมนุษย์ ท่านเคยอ่านหนังสือพระไตรปิฎกหรือเปล่า มีพระธรรมบทหนึ่งกล่าวว่า มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างอธิษฐานว่า “ถ้าเธอได้เป็นเทวดาหรือว่าเธอได้ดี เธอได้ไปสวรรค์แดนนิพพาน ก็อย่าลืมฉันที่ยังไม่สำเร็จมาช่วยโปรดฉันด้วย” ชายสองคนตั้งจิตอธิษฐานเหมือนกันอย่างนี้ เมื่อต่างคนต่างตายจากโลกมนุษย์ ชายคนหนึ่งได้เป็นเทวดา อีกคนหนึ่งไปเป็นหนอนอยู่ในกองขี้  

คนที่เป็นเทวดาก็มามองๆ ดูเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ได้ตกลงกันไว้ว่า ถ้าใครสำเร็จได้ไปสู่ทางที่ดีต้องมาบอกกัน ต้องมาช่วยกันให้ไปในทางที่ดี เมื่อมองลงมาเห็นเพื่อนที่เกิดเป็นหนอนอาศัยอยู่ในขี้ ก็ลงมาบอกเพื่อนที่เป็นหนอนอยู่ในขี้ว่า


“เธอเป็นหนอนอยู่ทำไม ไปเป็นเทวดาดีกว่า อยู่ในเทวโลก เขามีทิพยอาหาร นึกอะไรนึกจะกินอะไรในวิมานอาหารก็ลอยมาให้กิน”

เพื่อนคนนั้นมีอนุสัยไม่ดีบอกว่า “ไม่เอาน่ะ ฉันเป็นหนอนที่สบาย ไม่ต้องไปนึกอะไร ตื่นเช้าก็มีคนมาปล่อยให้ฉันกินไม่ต้องนึก” นี่เรียกว่าอนุสัย

เพราะฉะนั้นการโปรดสัตว์ ท่านต้องระลึกว่า “บางคนมีอนุสัยแบบหนอน คือไม่อยากเป็นเทวดา” เราก็อย่าไปพูดให้มันเหนื่อย ขอให้ท่านถือเป็นคติประจำใจ เมื่อพบกับผู้มีอนุสัยแบบนี้ว่า

พูดมาก     เสียมาก
พูดน้อย     เสียน้อย
ไม่พูด       ไม่เสีย
นิ่งเสีย      โพธิสัตว์


เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๓

กฎแห่งอนัตตา



ชีวิตสัตวโลกเป็นอนิจจัง แต่ละคนที่เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐนี้ ถ้าจะนับว่าเป็นกุศลก็เป็นกุศล จะนับว่าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศล เพราะว่า

กุศลนั้นหมายถึง เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าสัตว์ประเสริฐนี้ มีหนทางฝึกฝนด้านบำเพ็ญฌาน การบำเพ็ญญาณก็เพื่อไปสู่โลกแห่งความหลุดพ้นคือ โลกุตรฌานหรือสำเร็จเป็นพรหมเบื้องสูง

ที่ว่าเป็นอกุศลก็คือ มนุษย์บางจำพวกไม่ใช้สมองให้เป็นประโยชน์ แล้วก็เหลิงในการภาวะกรรมที่ตนครอบครอง หลงในเกียรติที่สมมุติ หลงในยศถาบรรดาศักดิ์ที่โกหกกัน

เมื่อมนุษย์แบกสิ่งโกหกอยู่ในตัว คิดว่านั่นคือความเจริญและเป็นสิ่งสำคัญ มนุษย์ผู้นั้นก็ตกอยู่ในกองทุกข์ เพราะเมื่อท่านได้เกียรติที่คนโกหกให้ท่านมีเกียรติ ท่านต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องโกหกตัวเองเพื่อรักษาคำว่า “มีเกียรติ” ไว้ นี่คือทุกข์ นี่คืออกุศล และเกียรติเป็นสิ่งพอกพูนให้ร่างกายของท่านเกิดความหนักอกหนักใจกับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่อง เมื่อท่านตกอยู่ในภาวะที่มีเกียรติ ท่านมีทุกข์มากในการวางตัว ในการอยู่ในสังคม ในการเข้าหมู่คณะ

ทีนี้มนุษย์บางจำพวกที่หลงในเกียรติจนลืมตน ถือว่าตนเป็นผู้มีอำนาจ คิดว่าจะไม่ตาย เมื่อคิดว่าตัวไม่ตาย ก็เกิดอัตตาทิฐิในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็เกิดกรรมวิบากขนาดหนักกับมนุษย์ผู้นั้น เมื่อถึงวาระถึงคราวดวงตกก็อยู่ในอกุศลวิบาก เกิดความทุกข์มากขึ้น


ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้เป็นอนิจจัง อนัตตา ถ้าท่านจะมีความสุขที่สุด ท่านต้องพยายามเป็นผู้ไม่มีเกียรติ ไม่ยึดเกียรติและไม่หลงเกียรติ เพราะสิ่งที่เป็นความสุขอันแท้จริงนั้นคือ “นามธรรม” แต่มนุษย์ไม่พยายามคิดค้นในด้านนามธรรม มนุษย์คิดหลงอยู่ในด้านวัตถุธรรม จึงติดความประมาท เมื่อเกิดความประมาทขึ้น สิ่งที่ท่านติดว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็จะเป็นไปได้

มนุษย์บางจำพวกมีอัตตาทิฐิ เกิดอารมณ์ ถืออารมณ์ของตัวเป็นใหญ่ จึงไม่มี “ขันติ” ขันตินำความสุขมาให้ท่านได้ ขันติคือความอดทน อดทนต่อคำพูดของมนุษย์ทั้งดีและชั่ว ก็จะนำความสงบมาให้ท่านได้ แต่ถ้าท่านไม่มีขันติ ท่านหลงในอัตตา ท่านยึดในตัวตน ท่านก็เกิดความทุกข์


ดังตัวอย่างเช่น คนที่ด่าท่าน เขาด่าด้วยโทสะครอบงำ เขาจึงด่าท่าน แต่ท่านถูกตัวโมหะครอบงำท่าน ทำให้ท่านเกิดปฏิกิริยาขึ้น เรียกว่า “ตัวหลง” ภาวะนี้ก็จะสามารถทำให้หลงในสิ่งที่เรียกว่า “จุดเล็กไปจุดใหญ่กับฝ่ายตรงข้าม”

ในขณะนี้สังคมมนุษย์ตกอยู่ในภาวะที่ทุกเหล่าล้วนแต่ถูกตัวโทสะโมหะครอบงำ เมื่อทุกเหล่าถูกตัวโทสะโมหะครอบงำ ความยุติธรรมในสังคมมนุษย์ย่อมไม่มี แต่ความยุติธรรมและสัจธรรมในอีกโลกหนึ่งคือ “โลกวิญญาณ” โลกวิญญาณไม่มีคำว่าญาติ ไม่มีคำว่ามิตร โลกวิญญาณมีศูนย์รวมกรรม ใครสร้างกรรมดีก็จะเสวยกรรมดีนั้นๆ ใครสร้างกรรมชั่วก็จะเสวยในกรรมชั่วนั้นๆ

ฉะนั้นในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่ากุศลส่งให้เกิดก็ได้ อกุศลส่งให้เกิดก็ได้ จงพยายามระลึกถึงพุทธพจน์ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท แล้วก็ตั้งตนอยู่ใน “ตนนั้นแหล่เป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี้แหล่เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากวัฏฏะได้


ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเล่า” เพราะวาระสังขารได้สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูลเพื่อใช้ขันธ์อยู่ให้จิตวิญญาณมาใช้กรรม ถ้าท่านมีเพื่อนมีหมู่คณะที่รักท่าน เอาข้าวมาให้ท่านถึงหน้า แต่ท่านไม่ยอมอ้าปาก ข้าวนั้นก็เข้าปากท่านไม่ได้ “นี่แหละคือความจริงที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เริ่มแสดงให้ท่านเห็น ถ้ามีเพื่อนใจดีงัดปากกรอกข้าวใส่ปากท่าน แต่อวัยวะของท่านไม่ยอมช่วยตนเอง คือไม่ยอมกลืน เมื่อถึงภาวะนี้ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว

ในขณะนี้ทุกอย่างในโลกมนุษย์กำลังเข้าสู่ความสลาย กำลังเข้าสู่หายนะ ท่านที่ได้อ่านธรรมะนี้ ขอให้ท่านจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และขอให้ทุกคนจงพยายามทำ “สติปัญญา” ให้ดีเข้มแข็ง ต้อนรับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ส่วนตัวของท่านให้เข้าซึ่งถึงกฎแห่งอนัตตา คือ


ทุกอย่างต้องสลาย
เมื่อมีเกิดขึ้นก็ต้องมีสลาย


เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๒

ทางสามแพร่ง



การที่อาตมามาวันนี้ก็เพียงแต่มาพูดหลักธรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบัน ภาวะมนุษย์ปัจจุบันที่เกิดมาเจริญเติบโต แล้วกำลังเดินอยู่ในทางสามแพร่ง

ทางสามแพร่งในโลกมนุษย์คืออะไร ก็คือ ทางโลกียะ ทางโลกุตระ และทางขันติ คืออยู่เฉย ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือ ทางนรก ทางสวรรค์ และทางนิพพาน


ในปัจจุบันนี้ ทางไหนเป็นทางที่เด่นที่สุดในสังคมโลกมนุษย์ อาตมาคิดว่า ทางเด่นที่สุดในสังคมโลกมนุษย์ในขณะนี้ ในยุคนี้คือ ทางนรก เพราะอะไรเล่า เมื่อท่านออกจากชายคาบ้านของท่านสู่ถนนพื้นพิภพที่มนุษย์สร้าง ก็ล้วนแต่มีสิ่งที่ยั่วยวนกิเลสตัณหา ท่านจะเห็นว่าทางแห่งนรกกำลังเจริญก้าวหน้าเข้ามาสู่ ตา หู จมูก ลิ้น และสู่กาย ใจ ตลอดทางที่ท่านเดินทางมาจะเห็นว่า มีโรงเหล้าสุราทุกหนทุกแห่ง

แล้วมนุษย์ก็อยู่ในภาวะที่กิเลสเข้าครอบงำจนต้องตามกัน ทุกคนรู้ว่าเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทุกคนก็อดไม่ได้ ทุกคนรู้ภาวะแห่งความตายคืบคลานก้าวหน้าเข้ามาหาตน แต่ทุกคนก็ไม่ละความเห็นแก่ตัว คือ ตัวโลภของตน เพราะอะไรเล่า ก็เพราะอารมณ์แห่งตัวหลงได้เข้าสู่ในภาวะจิตอันบริสุทธิ์ของคนแล้ว ทีนี้ภาวะวิบากของมนุษย์ทุกคน ก็มีอารมณ์ผุดเข้าผุดออกของนรก สวรรค์ นิพพานสับเปลี่ยนอยู่ในจิตใจของตนแทบทุกรูปทุกนาม

ในขณะนี้ สานุศิษย์ก็กำลังประสบทางสามแพร่ง ทางหนึ่ง คิดจะมาร่วมมือกับท่านโต ทางหนึ่งก็คือ เรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่ ทางหนึ่งก็คือ ที่จะมาทำงานในสำนัก ทางหนึ่งก็คือ คิดถึงกิจการของตน ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ก็เป็นปัญหาที่น่าคิดสำหรับการเป็นมนุษย์ในกลางกลียุคเช่นนี้


เราทำงานทวนกระแส ท่านคิดว่าจะไม่ถึง หรือภาวะที่จะฉุดเขาไปสู่ทางสวรรค์นิพพานมากกว่าดิ่งสู่นรก ตามทัศนะของอาตมา อาตมาเชื่อมันสมองท่านโตว่าเป็นไปได้ ถ้ามนุษย์ที่เอาจริงกับท่านมีเพียงพอ ทุกๆ คนต่อสู้อยู่ในสังคมมนุษย์เพื่ออะไร เพื่อความสุขใช่ไหม แต่ถ้าท่านหันเข้ามาสู่คำว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร สุขที่แท้จริงก็คือนามธรรม คือใจ

ทุกวันนี้มนุษย์ประสบความทุกข์ เพราะไม่เข้าซึ้งถึงจุดสุดยอดแห่งนามธรรม นามธรรมคือ “ละ” การไม่เข้าซึ้งถึงความเป็นอยู่ของตัวเองว่าต้องการอะไร จึงได้เกิดความทุกข์ทุกหย่อมหญ้า ถ้าทุกคนหันมายึดมั่นธรรมะว่า มนุษย์เกิดมาล้วนแต่มีกรรมของตนเป็นหลัก ครอบครัวที่เราเกี่ยวข้อง ผู้ที่มาเป็นลูกเป็นหลาน ที่มาเป็นผัว ที่มาเป็นเมีย ที่มาเป็นพ่อ ที่มาเป็นแม่ ก็มีกรรมของตนที่มาเสวย


ถ้าเรารู้จัก “ละ” ด้วยการเตรียมตัวก่อนตาย คือรู้แน่ว่าทุกคนจะต้องตาย มีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ตายก่อนจะดีหรือไม่ ถ้าทัศนะของอาตมาแล้ว จากกันระหว่างเป็นดีกว่าจากกันระหว่างตาย

เพราะอะไรเล่า ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในสังคม ถ้ารู้จักคิดว่า วันหนึ่งเรากินเพียงสามมื้อ มื้อหนึ่งกินไม่เกิน ๒ ชาม ก็อิ่มแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายมีใจทำงานทวนสังคม ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นี้ส่วนมากทำได้ เพราะทุกคนในด้านวัตถุแล้ว ตามญาณทัศนะของอาตมาตามการรับรู้จากศูนย์รวมกรรม ทุกคนมีวัตถุเกินมี


ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างไม่ยึดปัจจัย ๔ เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า เราใส่อย่างไม่ต้องเอาตัวไปฝากกับสังคม ชุดหนึ่งใส่มันจนขาด ก็คิดว่าชุดหนึ่งใส่ได้เป็นหลายๆ ปี ถ้าท่านไม่ยึดสี ยึดสวย ยึดงาม เมื่ออาตมาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จนกระทั่งอาตมาสิ้นจากโลกมนุษย์ อาตมาใช้อัฐบริขารจีวรตั้งแต่บวชถึงตายเพียง ๔ ชุดเท่านั้น

ฉะนั้น ท่านคิดว่าท่านจะทำงานเพื่อสังคมมนุษย์ ท่านคิดว่าท่านจะทำเพื่อศาสนา ท่านคิดว่าท่านจะกู้เอกราชของชาติไทยแล้ว ท่านสามารถนุ่งห่มเสื้อผ้าที่ปะได้หรือไม่ ถ้าท่านเอาตัวไปฝากไว้กับสังคม เมื่อไม่มีรถนั่งแล้วทำงานไม่ได้ ถ้าพูดความจริงกันแล้ว ธรรมชาติสร้าง “ตีน” ให้มนุษย์เดิน ให้ทำได้ทุกอย่าง


ถ้าเราไม่มีใจแห่งความ “ละ” ถึงปรมัตถธรรม เราก็ยืนลังเลอยู่ในทางสามแพร่งนี้จนกระทั่งตาย ก็ไม่ได้ทางใดทางหนึ่งที่จะไป

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๗)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๑

การทำบุญ



เจริญพร

สานุศิษย์ทั้งหลาย คืนนี้เป็นคืนวันพระ อาตมาจะเทศน์ “เรื่องการทำบุญ”

อะไรเรียกว่า “บุญ” อะไรเรียกว่า “การทำบุญ” และเมื่อทำบุญแล้ว จะได้อะไรจากการทำบุญ การทำบุญในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี โลกมนุษย์ปัจจุบันนี้ มนุษย์ส่วนมากทำบุญเพื่อหวังผลที่จะได้ชื่อเสียง ได้ลาภ ได้เกียรติยศ


เราเป็นพุทธสาวก เป็นพุทธบริษัท การทำบุญที่ดีที่สุด คือ เราช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาเริ่มทำ โดยเราช่วยเหลือเขา โดยพิจารณาด้วยสามัญสำนึกของการเป็นมนุษย์ปุถุชนว่า สิ่งที่เราควรจะช่วยหรือไม่

และระหว่างเราทำบุญนั้น เราไม่ต้องคิดอะไร จงอธิษฐานในการทำบุญนั้นว่า สิ่งนี้ข้าฯ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอให้ข้าพ้นทุกข์ ขอให้การกระทำข้าฯ สนองข้าฯ ในชาตินี้หรือชาติหน้าเถิด การทำบุญเราไม่จำเป็นจะต้องทำด้วยการหวังผลในปัจจุบันหรืออนาคตกาล ส่วนมากสังคมในปัจจุบันนี้

มนุษย์ใจบาป มันมีมาก
นักบุญใจบาป มันมีแยะ


และการทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย แต่ส่วนมาก สังคมปัจจุบันของมนุษย์ล้วนแต่จะดูไปก่อนว่า สิ่งนั้นเขาทำไปในรูปอย่างไร เมื่อเขาทำลงไปแล้ว มันอยู่ได้ เขาก็จะไปผสมโรงกันเป็นส่วนมาก แต่ระหว่างที่จะก่อตั้งมานั้น รู้สึกว่าผู้ที่จะร่วมมือมันน้อยเต็มที นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ปัจจุบันนี้


การทำอะไรก็แล้วแต่ เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยความอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อนนั่นแหละ มันจะพาไปสู่ทางหายนะ เมื่อเราเกิดอารมณ์ร้อน เราจะไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจงอย่าทำ นั่งให้จิตใจสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งนั้นไปได้โดยสะดวก อาตมาได้เทศน์ไว้แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่สำเร็จ

ทุกอย่างมีกาลเวลาแห่งการสำเร็จของผลงาน แต่ไม่ใช่นั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ แล้วก็รอให้ทุกอย่างสำเร็จๆ อย่างเช่น พวกบ้าหวังลาภ ยศ ขอให้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ไม่ทำงานเลย มันจะเกิดผลขึ้นได้อย่างไร เพราะทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุแล้วจึงเกิดผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ


เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงจะรู้ซึ้งถึงพระพุทธศาสนานั้นสอนให้เราอยู่ในหลักกฎแห่งกรรม คือ ใครทำดี ดีสนอง หมั่นสร้างกุศล ท่านจะดีแล เพราะอะไรเล่า ทำดีดีจึงสนอง ผลแห่งการกระทำที่ทำลงไป มนุษย์ไม่รู้แต่เทวดาย่อมรู้ เราทำด้วยจิตที่เรียกว่า จิตสงบ ทำโดยถือว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำ ผลของการกระทำนั้นคือ ถ้าทำดี เราก็ได้ผลดี ถ้าทำชั่ว เราก็ได้ชั่ว เรียกว่า หว่านพืชหวังผล เมล็ดพืชชนิดใดย่อมเกิดผลชนิดนั้น เช่น

สมมุติง่ายๆ ว่า เราได้นั่งวิปัสสนากรรมฐานหนึ่งก็ดี ผลแห่งการกระทำของเราก็ย่อมดี ถ้าไม่เชื่อก็จะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การทำบุญในใจ ด้วยการสวดมนต์แผ่เมตตา ก่อนนอนก็ดี ตื่นเช้าก็ดี เรานั่งสวดมนต์แผ่เมตตาถึงพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นรกโลก ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด เราท่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วจงดูซิว่า การติดต่อการงานของเรามันจะเป็นอย่างไร


รับรองว่าไปไหน อาตมาบอกได้ว่า วิญญาณมนุษย์นั้นละเอียดยิ่งกว่าอณูปรมาณู วิญญาณมนุษย์เสมือนหนึ่งน้ำ ซึ่งเป็นของเหลวที่เราจะจับขึ้นมาไม่ได้ แต่เราเห็นเป็นน้ำ เมื่อเราตั้งจิตดี จะเกิดดวงวิญญาณจิต ถ้าไฟในดวงวิญญาณจิตของเราบริสุทธิ์ จะสามารถต่อดวงไฟในจิตทุกๆ ดวงได้

จิตเราตั้งมั่นแผ่กุศลทุกๆ ดวง ทุกๆ รูป ทุกๆ นาม ผลแห่งการตั้งจิตแน่วแน่ที่เรียกว่า ปณิธาน หรือการตั้งจิตแผ่เมตตา เมื่อจิตเรามีเมตตาบริสุทธิ์มอบของดีให้เขา เหมือนหนึ่งสมมุติง่ายๆ เช่น


เราให้ของเขากิน คนที่กินย่อมคิดถึงเราว่า อ้อ คนนี้เป็นคนดี คนนี้เขาให้เรากิน คนนี้รู้ว่าเราไม่มีจะกิน นั่นแหละ ผลก็คือ จิตของเขาระลึกถึงบุญคุณของเราไว้ และเขาหากาลเวลาตอบแทนเรา ถ้ามนุษย์ที่ไม่รู้บุญคุณของผู้อื่น มนุษย์ผู้นั้นทำการงานย่อมไม่ขึ้น เขาเรียกว่า อกตัญญูอกตเวที

ทีนี้ทำไมเมื่อเราแผ่เมตตาให้ทุกรูปทุกนามแล้ว เราไปติดต่องานต่างๆ ย่อมสะดวก เพราะอะไรเล่า เพราะว่ากายในรับทราบ จิตเราบริสุทธิ์ต่อผู้อื่น ผลสะท้อนของดวงจิตประสานกันได้ เรียกว่า กายในรับทราบ


ทีนี้เมื่อเราได้กรรมฐานแล้ว ถ้าเราจะใช้กรรมฐานนั้นไปในทางที่ชั่ว เช่น บีบรัดเขาก็ดี เห็นผู้หญิงคนนี้สวย คิดจะเอามาเป็นเมียก็ดี ใช้หลักกรรมฐานบังคับจิตก็ดี ผลที่ฝึกมาก็ย่อมเสื่อม แต่ถ้าเสื่อมแล้ว เราก็อย่าถืออัตตาทิฐิ แม้ถืออัตตาทิฐิมันก็ต้องตายไปทั้งนั้น

เพราะอะไรเล่า พุทธองค์ได้สอนให้มนุษย์ไว้ว่า ผลแห่งการกระทำนั้น ต้องสนองต่อเรา เพราะฉะนั้น อาตมาจึงอยากให้ทุกคนที่ได้ฟังคำเทศน์ของอาตมาแล้ว อย่าลงความเห็นเชื่อ ณ บัดนี้ เพราะว่าต้องการจะให้ไปใช้สัญชาตญาณตัวเองคิดเสียบ้าง

พระพุทธองค์ได้เคยเทศน์ให้แก่พระอนุรุทธะว่า


“อนุรุทธะ สิ่งที่ตถาคตกล่าวไปนี้ เจ้าเชื่อหรือไม่”


พระอนุรุทธะตอบว่า…..


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่พระองค์สอนมานั้น ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่เชื่อ พระเจ้าข้า”

องค์สมณโคดมซึ่งเป็นผู้สำเร็จ ได้ตรัสว่า..…


“อนุรุทธะ เจ้าได้ปัญญาแล้ว”

เพราะอะไรเล่า การเทศน์ของอาตมาก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่อาตมาเห็นในรอบจักรวาลนี้มีมาก ซึ่งพวกเจ้านั้นจะไม่ได้เห็นไม่ได้พบสิ่งเหล่านั้น ตถาคตเทศน์สิ่งเหล่านั้นให้ฟัง เจ้าก็ยังไม่ได้เห็นไม่ได้พบ ขอให้เจ้าจงอย่าได้เชื่อ จนกว่าได้เห็นได้พบสิ่งนั้น จึงค่อยลงความเห็นเชื่อลงไป นั่นแหละคือ ผู้ที่ปฏิบัติทางญาณที่แท้จริง

ถ้าเป็นพวกเราพูดอย่างนั้นอย่างนี้ อีกคนหนึ่งจะว่าอย่างไร จริงหรือไม่ ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามก็จะพูดว่า “โอ๊ย ไม่เชื่อ ไม่จริง” มันก็ต้องลงไปเตะปากกัน แต่ผู้สำเร็จเขาย่อมไม่ทำอย่างนั้น

ศาสนาใดๆ ก็ดี ล้วนแต่เดินไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางแห่งความสำเร็จ คือ “ความสุข” ยอดของทุกข์ คือ “ความสุข” พุทธศาสนาไม่บังคับ เพราะองค์สมณโคดมเล็งเห็นการณ์ไกล ซึ่งไม่เหมือนศาสดาองค์อื่นๆ ซึ่งใช้กฎบังคับ นั่นเป็นเพียงแต่เทวะมาเกิด หาใช่มาปรับปรุงสังคมมนุษย์ไม่ ท่านเหล่านั้นแต่ศึกษาธรรมะ ธรรมะที่แท้จริง คือ “ธรรมชาติ”

ผู้ที่จะศึกษา “ธรรมชาติ” นั้น จะต้องศึกษาธรรมะ ไม่ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎก ธรรมะอยู่ที่ขันธ์ห้าของเรา กายเรามีอะไรเป็นใหญ่เป็นประธาน ก็คือใจ กายเรามีอะไรเป็นเครื่องมือของใจ ก็มีสมอง กายเรามีอะไรเป็นเครื่องมือของสมอง ก็มีตา หู จมูก ลิ้น ซึ่งรัฐบาลในกายเรานี้มีครบทุกอย่าง เมื่อตาเราเห็น เรียกว่า จักขุวิญญาณ กระทบรูป รูปเป็นสมมตินาม ตาได้กระทบ ได้รายงานเข้าทางประสาท ประสาทได้รายงานเข้าทางใจ ว่าได้พบเห็นสิ่งนี้ จะทำอย่างไรต่อ ใจก็สั่ง

ถ้าผู้มีสมาธิก็สั่งด้วยฌาน ถ้าผู้ไม่มีสมาธิก็สั่งด้วยโมหะ โทสะ โลภะ คือ “อารมณ์แห่งความหลง” ซึ่งจักขุวิญญาณนั้นรายงานมาทางประสาท ประสาทรายงานทางใจนั้น มันเร็วกว่ายิ่งกว่าอะไรๆ เอาปรอทวัดไม่ได้หรอก ไม่ทันการรายงานของสังขารทั้งห้านี้


ทีนี้ทุกอย่างอยู่ที่มันจะทำ ใจมันก็สั่ง สมมติว่าเราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวย ประสาทตานั้นได้เห็น ก็เข้ามารายงานทางประสาทรวม คือสมอง และก็รายงานเข้ามาทางใจว่า บัดนี้เห็นสาวคนหนึ่งสวยมาก ทีนี้ ถ้าใจเราอยู่ในอารมณ์หลง คือปรุงแต่ง หรือถ้าใจเราไม่ปรุงแต่ง เราย่อมบอกว่า ถึงสวยก็รับรู้ว่าสวยเท่านั้นเอง

ทีนี้ มนุษย์ทุกๆ คน ยิ่งๆ หนุ่มด้วย มันชอบปรุงแต่งว่า คนนี้สวยดี มันน่าจะมาเป็นภรรยาของเรา ถ้าเรายิ่งปรุงแต่งใจว่าสวย เราก็ตามไป ใจก็สั่งขาซึ่งเป็นกระทรวงคมนาคมให้เดิน ทีนี้ใจเราวินิจฉัยว่า ผู้หญิงที่นุ่งกระโปรงนี้สวย แล้วเราก็ไปดูคนแก่ว่า เมื่อแก่แล้วเป็นอย่างไร อาตมาได้เทศน์ไว้แล้วว่า คู่แท้ย่อมไม่คลาดแคล้วกัน มันก็จะมีกาลเวลาแห่งการพบกัน ไม่ใช่เห็นสวยๆ ก็ตามยิกๆ ไป พอตามไปถึง บางทีก็ถูกผู้หญิงด่า ก็ต้องหน้าแห้งเดินกลับไป

เพราะฉะนั้น การทำอะไรควรวินิจฉัย จะเป็นการทำมาหากินก็ดี การหาทรัพย์ก็ดี การกระทำทุกอย่างอยู่ที่ขันธ์ทั้งห้า เรามีกระทรวงทุกกระทรวงอยู่ในกายเราอยู่แล้ว กระทรวงคมนาคมคือเท้าสองข้างของเรา ที่จะเดินไปหาอะไรก็ได้ กระทรวงพาณิชย์หรือที่เรียกว่ากระทรวงการค้า มันก็อยู่ที่มือของเราปากของเรา กระทรวงตากระทรวงหูของเรานี้ก็คอยรายงานทุกอย่างอยู่ในขันธ์ห้านี้ และทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถือว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งของตน นั่นคือหลักแห่งสัจธรรมของพระพุทธศาสนา

เพราะอะไรเล่า อาตมาจึงว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เราจะสมมติง่ายๆ ว่า เราหิวข้าวนั้น ตัวเราหิวใช่ไหม คนอื่นจะรู้ว่าเราหิวหรือ เราหิวข้าว ตัวเราหิวก็ต้องขวนขวายหามากินเอาเอง ถ้าเราไปบอกคนอื่นว่า เราหิวข้าว บางทีอาจจะไปพบคนที่ไม่เคยหิว ไม่รู้จักคำว่าหิวข้าวเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาเหล่านั้นเคยอยู่แต่ในความสุข เคยแต่อยู่ในกามคุณ ย่อมไม่รู้ชีวิตอันแท้จริงของการเป็นมนุษย์

อาตมาได้เทศน์มาคืนนี้ ก็มีเพียงเท่านี้


เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

เจริญพร

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-19 00:39 , Processed in 0.069572 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.