แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมะสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์และสานุศิษย์พระโพธิสัตว์ ; หลวงปู่ทวด [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๘

พุทธภาวะ พุทธภาระ



เจริญพร

คืนนี้ซึ่งเป็นคืนแห่งวิสาขบูชา เป็นการสมมติของการนับในโลกมนุษย์ สภาวะแห่งการสมมตินี้ ถ้าว่าตามหลักแห่งความจริงแล้ว คำว่า “วิสาขบูชา” ก็อยู่ในภาวะของมันคือ สภาพแห่งการวนเวียนมาและเวียนไป นี้เป็นสิ่งสมมติของมนุษย์

เพราะฉะนั้นคืนนี้ที่มีพรหม เทพ มนุษย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในพิธีในวันนี้ คำเทศน์ของอาตมานี้ อาตมาจะให้หัวข้อว่า “พุทธภาวะ พุทธภาระ”

อะไรเรียกว่า พุทธภาวะ นั้น ในสภาวะแห่งการเป็นพุทธะนั้น มันก็เป็นภาวะของพุทธะ การถึงก็ไม่ใช่พุทธะ การไม่ถึงก็ไม่ใช่พุทธะ ภาวะอันนั้น คืออยู่ในกึ่งกลางพุทธะและในวิถีการแห่งการเป็นพุทธภาวะนั้น มันมีอยู่ในหลักแห่งการปณิธานพุทธภาวะและปัญญาพุทธภาวะ


และในวิถีการปัญญาพุทธภาวะนั้น เป็นวิถีการแห่งการเรียนสมมติของโลกมนุษย์ และการที่ผู้ที่รู้ว่าตัวว่า “เป็นพุทธในปัญญา” นั่นแหล่ จะเป็นบุคคลที่รู้ และเป็นบุคคลที่จะต้องไปสู่ในอบายภูมิมากกว่าที่จะไปถึงพุทธภูมิ

เพราะอะไรเล่า เพราะในสภาพการณ์แห่งการนั้น ได้ถือว่าตีข้อธรรมะข้อใดแหลกแตกแล้ว ก็ถือว่านั้นมันไม่ถึงหรอก ผู้ใดเข้าใจว่าตัวนั้นถึงพุทธภูมิ ผู้นั้นเข้าไม่ถึงพุทธภูมิ เพราะอะไรเล่า เพราะในวิถีการที่จะบำเพ็ญตนเป็นพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นการตั้งปณิธานมาจากแต่ละอสงไขย และในสภาพการณ์แห่งการที่จะเป็นพุทธภาวะนั้นจะต้องมี

หนึ่ง อธิษฐานบารมี
สอง บุญในอดีตชาติ
สาม พลังแห่งจิตในการปฏิบัติทางฌาน


ทีนี้ ในสภาวการณ์แห่งวิถีการที่จะถึงพุทธะนั้นแหล่ เจ้าตัวก็ไม่ทิ้งว่า ตัวนั้นคือพุทธะ คือวิถีการแห่งการเป็นพุทธะ จะต้องแสดงแก่ในหมู่ชนผู้นับถือ ผู้ที่เห็นเข้าใจ คือ ในวิถีการ อาตมาทำไมจึงไม่พูดว่าพุทธภาวะ พุทธภาระ คือ


ในภาวการณ์นั้นแหล่ องค์สมณโคดมเมื่อได้บำเพ็ญตนว่า สำเร็จเป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไซร้ องค์สมณโคดมนั้นก็ได้มีวิถีการหาหมู่คณะแห่งการตั้งศาสนาพุทธขึ้น ณ ในครั้งกระนั้น องค์สมณโคดมต้องมีภารกิจแห่งการปฏิบัติ เมื่อวิถีการที่จะแสดงว่า ข้านี้แหละคือผู้ที่อยู่เหนือธรรมะ ในสภาวะแห่งการแสดงตนว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลก เหนือธรรมนั้นแหละ จะแสดงอย่างไร

ในอดีตกาลครั้งหนึ่ง องค์สมณโคดมจะไปโปรดเหล่าชฏิลทั้งหลาย ในสภาวะนั้นแหล่ องค์สมณโคดมไปถึง ได้แสดงว่า เรานี่คือผู้ถึงแห่งสภาวะพุทธะ เรานี้พุทธะ เรานี้คือผู้อยู่เหนือโลก อยู่เหนือธรรม เหล่าชฏิลทั้งหลายที่จะทดสอบว่า “อันที่องค์สมณโคดมถือว่าตนเป็นถึงพุทธะนั้นจริงหรือไม่”

เหล่าชฏิลได้นิมนต์องค์สมณโคดมไว้เพื่อฉันข้าว ในวิถีการแห่งการทดสอบอารมณ์ขององค์สมณโคดม เหล่าชฏิลเอาอะไรให้องค์สมณโคดมฉัน เขาเหล่านั้นได้นำข้าวสาลีและกับที่ให้องค์สมณโคดมฉันนั้น มีสองอย่างคือ ขี้วัวและเยี่ยววัว


ในสภาวะอันนี้แหล่ องค์สมณโคดมต้องพิสูจน์ว่า ตนนั้นสามารถฉันขี้วัวและเยี่ยววัวนั้นเข้าไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ถึงแห่งพุทธะ ในสภาวะอันนี้แหล่ องค์สมณโคดมก็ได้แสดงอัจฉริยะแห่งการเป็นพุทธะให้เห็น โดยองค์สมณโคดมได้เข้าอาโปปฏิฌาน เข้าฌานขั้นละลายอาหารนั้นเป็นอากาศ ตัวองค์สมณโคดมก็เป็นอากาศ ได้ฉันข้าวสาลีพร้อมด้วยขี้วัวและเยี่ยววัวนั้นเข้าไปหมด

หลังจากในวิถีการฉันเสร็จแล้ว องค์สมณโคดมยังได้แสดงธรรมะข้อ “เครื่องไม่จีรังนี้ปฏิกูลเปื่อยเน่าไปทั้งสิ้น” จนเหล่าชฏิลนั้น ได้รับรู้ว่าอ้อนั้นหนอองค์สมณโคดมยังสามารถฉันลงไป ฉันเสร็จแล้วก็ยังสามารถมีการเทศน์ให้ฟังด้วย ซึ่งเป็นการว่า จิตนั้นถึงวิมุตติจิตอันแท้จริงแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้นี้เป็นเอหิปัสสิโกเป็นยอดแห่งอัจฉริยะตามหลักของปัจจุบัน และในวิถีการแห่งการที่องค์สมณโคดมในการพิสูจน์ตนเป็นพุทธภาวะนั้น ก็มีอีกครั้งหนึ่ง

องค์สมณโคดมได้เดินทางไปสู่หมู่บ้านในสาวัตถี ในหมู่บ้านสาวัตถีนั้นล้วนแต่นับถือพราหมณ์ และในสภาวะองค์สมณโคดมไปถึง
เหล่าชาวสาวัตถีในหมู่บ้านทั้งหลายก็ได้พิสูจน์ว่า องค์สมณโคดมถึงพุทธภาวะจริงหรือไม่ ก็นิมนต์องค์สมณโคดมนอนอยู่กลางแจ้ง ในภาวะคืนแห่งองค์สมณโคดมนอนอยู่ ณ ที่นั้น คืนนั้นได้เกิดฝนห่าใหญ่อย่างท่วมแผ่นดิน องค์สมณโคดมก็ไม่เปียก แม้จะนอนอยู่ที่นั่น

ซึ่งในภาวะอันนี้แหล่ การที่จะถึง “พุทธภาวะ” นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคิดว่าจะพูดว่า เราถึงพุทธะก็ถึง มันจะต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้ชาวโลกเขาเห็นว่า เราถึงพุทธภาวะได้จริงดังที่เราแอบอ้าง ดังที่เราอวดตน และองค์สมณโคดมก็ไม่เคยไปอวดว่า ตนนี่ถึงแห่งพุทธะ


หลักแห่งการเป็นนั้น สภาวะพุทธะ เรียกว่า พุทธะนั้น อยู่ในหลักแห่งวิถีการของมัน ของธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีสภาพการณ์นี้ ไม่มีผู้ใดรับตัวว่าถึงพุทธะ แล้วก็ถึงพุทธะ เพราะอะไรเล่า ผู้ถึงพุทธะก็ไม่ใช่ ผู้ไม่ถึงพุทธะก็ไม่ใช่ อยู่ในสมมุติแห่งส่วนสายกลางนั่นแหล่

และพูดอีกอย่างหนึ่ง ในวีถีการเรียกว่า ภาวะและภารกิจขององค์สมณโคดมที่ปฏิบัติอยู่ในวิหารเชตวันก็ดี การโปรดสัตว์โดยการบิณฑบาตนั้น องค์สมณโคดมก็ได้เดินทางที่เรียกว่ากิโลๆ เป็นโยชน์ๆ ไปโปรดผู้ที่จะถ่ายกรรมให้เขา จะได้ยกระดับจิตแผ่กุศลให้เขา


ไม่เหมือนพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้เรียกว่า เดินนิดหน่อย ก็ขี้เกียจเดิน แล้วก็เดินเข้าวัด และในวิธีการอันนี้แหล่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้พิสูจน์ว่า ผู้ที่ว่าเวลานี้บวชเป็นพระสงฆ์นั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามภารกิจที่องค์สมณโคดมถือมา พระบางองค์เรียกว่า สักแต่ห่มผ้าเหลือง กินแล้วก็นอน

ในสภาพการณ์นี้แหล่ หลักและความจริงแห่งพุทธะขององค์สมณโคดมตอนนั้น พุทธภาวะอยู่ แต่มนุษย์ยุคนี้ติดอยู่ในวัตถุ ติดอยู่ในหลักแห่งวิถีการหลง จึงไม่ได้เข้าถึงรู้ซึ้งถึงภาวะแห่งพุทธะอันนั้นแหล่ ในภารกิจแห่งการในวิถีการณ์แห่งการปกครองขององค์สมณโคดมในวิหารเชตวันในสมัยก่อนนั้น องค์สมณโคดมก็ปกครองในวิถีการเป็นนักปกครองที่ดี คือ

ในหมู่เหล่าพระสงฆ์ทั้งหลาย เรียกว่าพระสาวกขององค์สมณโคดมในวิหารเชตวัน องค์สมณโคดมได้แบ่งวิถีการปกครองออกเป็นหมวด หมวดละสิบคน และในสภาพการณ์แห่งการปกครองนั้น องค์สมณโคดมได้จัดวิถีการณ์แห่งวิธีการเรียกว่า “ปุจฉาวิปัสสนา” เป็นวิถีการณ์แห่งการที่ตื่นเช้าขึ้นมาทำภารกิจเสร็จแล้ว ตกเย็นเข้ามาในหมู่คณะใดหมู่คณะนั้น จะต้องมาพิจารณาตน จะต้องพิจารณาหมู่คณะฝ่าย ก. จะต้องพิจารณาอุปนิสัยหมู่คณะฝ่าย ข. พิจารณาหมู่คณะฝ่าย ค. ว่าผู้นี้กระทำผิดอะไรให้ปรับปรุง

ในสภาวะนั้นแลจึงได้ทำให้อาณาจักรขององค์สมณโคดมแตกกว้างใหญ่ไพศาลถึงปัจจุบันนี้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเหล่าผู้มีจิตแห่งการเป็นอรหันต์ประชุมนั้นแล เขาไม่มีอารมณ์ และวิถีการปกครองว่าผู้ที่ปกครองนั้นแลตัวย่อมไม่ค่อยรู้ภาวะของตัว ผู้อื่นชี้ภาวะของตัวและผู้นั้นจะต้องรีบปฏิบัติเปลี่ยนแปลงตามภาวะผู้อื่นชี้แล ผู้นั้นจะได้ปกครองไปสู่ในหลักแห่งความสำเร็จแน่

เพราะฉะนั้นในยุคแห่งวิถีการที่ว่าจะพูดอะไร อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเทียบอะไรให้มนุษย์ฟังแห่งการพุทธภาวะนั้น ก็เทศน์แล้วว่า มันไม่มีการอวดรู้ ต้องผู้ที่ปฏิบัติถึงและแสดงออกถึงเหล่ามนุษย์รับรอง ผู้นั้นถึงจะถึง “พุทธภาวะ พุทธภาระ” ซึ่งในสถานการณ์ยุคนี้ เหล่าเกจิอาจารย์ทั้งหลายล้วนแต่เต็มไปด้วยคัมภีร์เปล่า อ่านหนังสือตำราหนึ่งเล่มก็ถือว่าตัวเก่ง ถือว่าตัวถึงพุทธภาวะ จึงหลงอยู่ในอบายภูมิ หลงอยู่ในหลักแห่งโลกีย์

ในวิถีการแห่งจิตนั้น ถ้าถึงภาวะแห่งการเป็นพุทธะนั้น คำว่า “หิว” ย่อมไม่มี คือขันธ์นี้เป็นของโลก โลกนี้เป็นของขันธ์ ขันธ์เพื่อให้โลกอยู่ อยู่เพื่อขันธ์นี้ตาย ซึ่งในวิถีการณ์ ถ้าว่าในหลักแห่งความจริงแล้ว องค์สมณโคดมจะได้ฉันแต่มื้อเดียว และในสภาพการณ์อีกข้อหนึ่งซึ่งเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้สนใจว่า องค์สมณโคดมฉันแล้ว มีวิถีการณ์มังสวิรัติหรือไม่

อาตมาขอแถลงแทนองค์สมณโคดมให้ทราบว่า คำว่า มังสวิรัติขององค์สมณโคดมนั้น ฉันลงไปนั้น ไม่มีคำว่าอร่อยและไม่อร่อย ดูนิ่งเฉย และพระองค์จะฉันสิ่งที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันเพื่อให้ขันธ์อยู่ ขันธ์อยู่เพื่อนามธรรม ปฏิบัติเผยแผ่สอนหลักแห่งคำว่า “สัจจะ”

เพราะฉะนั้นในวิถีการณ์นี้แล เหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่จะบำเพ็ญตนสู่โลกุตระนั้น จงโปรดอย่างทะนงตนเป็นอะไร ตนได้อะไร ผู้ที่หลงตนทะนงตนว่า ตนได้อะไร เป็นอะไร ผู้นั้นคือไม่ถึงอะไร

(พระธรรมเทศนา คืนวันวิสาขบูชา

วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ เวลา ๒๒.๐๐ น.)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๙

านพิทักษ์เอกราชและศาสนา



เรื่องการทำงานจะต้องทำอย่างไรนั้น ท่านต้องพิจารณาว่า ชีวิตที่ยอมมีชีวิตอยู่นั้น เพราะล้วนแต่มีความหวังของชีวิต เพราะฉะนั้นการทำงาน ถ้าเราทำแบบถึงก็ช่าง มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องทุกข์ร้อน แล้วคำว่า “งาน” คือ “ทุกข์” ปกติมนุษย์ไม่มีงานอะไรมาก ถ้ามนุษย์ผู้นั้นไม่คิดช่วยผู้อื่น คือ


มีสังขารกับวิญญาณ รูปธรรมกับนามธรรม รูปธรรมก็ต้องการสิ่งปฏิกูลบำรุงเพื่อให้ขันธ์อยู่ อยู่เพื่อใช้กรรม สิ่งปฏิกูลก็ต้องการพืชผักอาหาร คนเรากินแค่พืชผักอาหารมันก็อยู่ได้ นามธรรมก็หมายถึงว่า กินอิ่ม จิตฟุ้งซ่าน ก็ต้องเอาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ในการระงับการฟุ้งซ่านของกิเลสตัณหา ตามเรื่องของคนก็มีเท่านี้

แต่ทีนี้เรื่องไม่เท่านี้ เพราะว่ามนุษย์ทุกชีวิตถูกตัวโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำกันมากจนถอนกันไม่ขึ้น เข้าถึงกระดูกเข้าเส้นเอ็นกันหมด มันก็เกิดความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นในโลกมนุษย์ เพราะอาตมานี่เป็นห่วง ก็อยากจะถามท่านว่า ท่านทำงานนี่ ท่านจะทำแบบสำเร็จหรือจะทำแบบสำเร็จก็ช่างไม่สำเร็จก็ช่าง


ทีนี้ท่านจะทำแบบนี้ สำเร็จมันต้องมีปัจจัยพร้อมบ้าง มีบางสิ่งบางอย่างพร้อมที่จะดำเนินงาน คือการทำงานก็เท่ากับเราเข้าไปหากองทุกข์ เพราะมันจะต้องมีปัญหา มันจะต้องมีอุปสรรค มันจะต้องมีอะไรต่ออะไรที่ตามมาในเรื่องของคำว่า “วงงาน”

ทีนี้ผู้ร่วมงานในวงงาน จะต้องมีความขันติเป็นหลัก จะต้องมี “อภัยทาน” เป็นหลัก จะต้องมีเมตตาธรรมเป็นหลัก จะต้องคิดว่าทุกคนประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาและอารมณ์ จิตวิญญาณบางครั้งก็ย่อมที่จะมีอารมณ์เกิดขึ้น มีอะไรบ้าง ก็ควรจะอภัยทานด้วยความเมตตา


ผู้ที่ทำอะไรผิด ก็ควรสงสารและควรจะหาทางช่วยเหลือแก้ไขชี้แจง ไม่ใช่ซ้ำเติม ซึ่งท่านจะเห็นว่า ท่านโตนี่ ใครทำอะไรพลาดไปแล้ว ท่านเคยพูดไหม ท่านมีแต่จะพูดเรื่องต่อไป

ฉะนั้นเราทั้งหลายก็มาอยู่ในเรือพระโพธิสัตว์ อาตมาก็คิดว่า เมื่อท่านทั้งหลายคิดจะสู้ เพื่อความอยู่รอดของสยามประเทศ ท่านควรจะมีเข็มทิศแห่งความต้องการความสำเร็จ แล้วก็ต้องมีความวิริยะกระตือรือร้น อุตสาหะในการทำ มีความจริงจังต่องาน มีการอภัยทานต่อผู้ร่วมงาน มีความเมตตาต่อผู้ที่ทำผิด ทุกคนเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมที่จะต้องมีความผิดพลาดเป็นสิ่งธรรมดา และอาตมาหวังว่าทุกคนคงจะใช้หลักสัจจะเป็นหลัก แล้วทุกคนก็ไม่มีอะไร


คือการทำงานใหญ่นี่ เขาไม่ต้องการมีคนมากหรอก ถ้ามันเอากันจริง แต่ละครั้งในสู้ชีวิตก็ดี ในการทำอะไรก็ดี อย่างพระเจ้าตากสินเริ่มก่อการมีเพียง ๕ คน เท่านั้นเอง ไม่ใช่มากมายเยอะแยะ แล้วค่อยมาเพิ่มเติมกันตอนหลัง ทีนี้การทำงานนี่ เราจะต้องมั่นใจ จะต้องสร้างพลังบวก ไม่ใช่สร้างพลังลบ หรือไม่ใช่ทำแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง สำเร็จก็ช่าง

งานระดับที่จะยุติสงครามโลก งานระดับที่จะปรับปรุงสังคมอยู่ในศีลในธรรม งานระดับที่จะอุดช่องโหว่ในการที่จะครองประเทศของปีศาจอสูร เป็นงานใหญ่
ขอทิ้งไว้ให้ท่านคิดว่า คนที่จะอยู่อย่างสบาย คือคนที่ไม่มีภาระมาก คนที่มีภาระมาก คนนั้นมีทุกข์มาก คนที่มีเกียรติมาก คนนั้นก็แบกทุกข์มาก นี่เป็นกฎธรรมดา เพราะเป็นสิ่งสมมติ

และโลกมนุษย์ขณะนี้ “อำนาจ” ไม่มีตัวตน แต่ทุกคนก็หลงอำนาจ ทุกคนก็อยากได้อำนาจ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงสิ่งสมมติบัญญัติขึ้นในโลกมนุษย์ และทุกคนควรจะต้องจำเอาไว้ว่า ท่านกำลังทำอะไร เมื่อคนเราคิดว่า

ชีวิตหนึ่งเกิดมาทำไม
ชีวิตหนึ่งอยู่เพื่ออะไร
ชีวิตหนึ่งมีอะไรเป็นแก่นสาร
ชีวิตหนึ่งสร้างอะไรเป็นที่ตรึงใจคนในอนาคต


เมื่อดวงจิตมาเกิดเป็นสัตว์มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐนี่ต้องใช้สมอง พิจารณาการทำอะไรมันต้องไม่มีการท้อถอย มีความแน่วแน่ มีความจริงใจ ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ ถ้าเชื่อตามคำพูดคนอื่นก็ไปตกหลุมพรางคน และการทำงานที่ยากที่สุดในโลกมนุษย์คือ “งานศาสนา” ซึ่งไม่ใช่งานง่าย การเป็นนักบุญ การเป็นนักพรต การเป็นนักบวชเผยแพร่ศาสนา เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทีนี้การจะทำงานเพื่อมนุษยชาติ จะทำงานเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น ตนจะต้องสามารถทำจิตว่า

เราพร้อมที่จะทุกข์เพื่อคนอื่น
เราพร้อมที่จะฟังคำนินทาจากคนอื่น
เราพร้อมที่จะวางจิตนิ่งต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเข้ามาพัวพัน


แล้วจะทำงานได้สำเร็จ ถ้าท่านหวั่นไหวเรื่อยๆ ท่านจะทำงานเพื่อมนุษยชาติเพื่อส่วนรวมสำเร็จยาก ซึ่งความสำเร็จแห่งการทำงานอยู่ที่ตัวท่านมีความวิริยะ อุตสาหะ กระตือรือร้น และมีความจริงจังต่องาน ในสภาพงานที่เราจะทำ เขาเรียกว่า เป็นงานทวนกระแสคลื่น อยู่ในภาวะอำนาจฝ่ายต่ำมีมาก ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีความอดทน แล้วก็มีความหนักแน่นในการทำงาน และงานที่เกิดความวุ่นวายกัน มันเกิดจาก “คน”

คือ คนไม่รู้จักหน้าที่การเป็น “คน”
ไม่รู้จักหน้าที่ของตน
ไม่รู้จักขอบเขตของตน
ไม่รู้จักสำนึกว่าตนมีความสามารถขนาดไหน
ไม่พิจารณาว่าตนมีหน้าที่อะไร


สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ถ้าทุกๆ คนรู้หน้าที่ รู้ฐานะ รู้การกระทำของตนแล้ว ก็คงไม่วุ่นวาย เปรียบเหมือนร่างกายมนุษย์


จมูกก็ทำหน้าที่ของจมูกหายใจ
ปากก็ทำหน้าที่ของปากเป็นการพูด
หูก็ทำหน้าที่ของหูเป็นการฟัง


มันก็ไม่มีอะไรที่จะขัดแย้งเกิดขึ้น ทีนี้การทำงานนั้น คนบางจำพวกเรียกว่า ตัวมีหน้าที่แค่นี้ ก็ชอบที่จะไปมีหน้าที่เกินกว่านั้น และการเข้าร่วมในการทำงาน


อาตมาก็ขอบอกว่า ทุกคนมีอนุสัยต่างกัน แบบบางคนไม่เข้าใจว่า ทำไมบางคนเข้าร่วมงานแล้ว ก็ทำตัวเป็นอุปสรรคกับงาน เพราะว่าสภาวะจิตถูกกิเลสตัณหาครอบงำ อนุสัยเดิมต่ำช้าย่อมที่จะอยู่ในสถานที่และหมู่คณะที่บริสุทธิ์ได้ไม่นาน เพราะคนที่จะเข้าร่วมงานนั้น ธาตุแท้ของทุกคนจะต้องแสดงออกของมันเอง

แต่ว่าแนวทางโพธิสัตว์นั้น เขาดำเนินแนวทางแห่งความเมตตา และไม่ใช่ไม่รู้ว่าใครทำอะไร ใครอิจฉาใคร ใครเป็นอะไร เช่น บางคนหน้าที่ที่ไม่ควรจะรู้อะไรมาก ก็ต้องเสือกรู้เสือกเห็น รู้อะไรก็ต้องพูดมาก คือ ไม่รู้ในหน้าที่ในภาวะของตน ถึงแม้ว่าที่ใดเป็นดินแดนสงบ แต่คนอยู่จิตไม่สงบ ไม่ถึงธรรม มันก็ฟุ้ง

ทีนี้สิ่งเหล่านี้อาตมาก็ไม่โทษคนอยู่ เพราะว่าสามัญปุถุชนย่อมมีกิเลสตัณหาครอบงำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นที่สงบ แต่ว่าคนอยู่ไม่สงบ และเหตุที่ไม่สงบเพราะอะไร เพราะว่าไม่ดำเนินแผนตามขั้นตอนแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา
คือ


คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ “หยุด” พิจารณา แล้วค้นหาสัจจะของศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาในธรรมะได้

ทีนี้ระหว่างผู้ร่วมงาน ควรจะมีอภัยทานเป็นหลัก มีความเมตตาผู้ร่วมงานกันให้มากและพยายามพิจารณาว่า ขอบเขตความสามารถที่มอบให้ทำ เช่น เรียกกลับหรือว่าสับเปลี่ยนตำแหน่ง คนก็มิสมควรเสียใจ ตนก็ต้องนึกว่า เหตุที่มีการให้โยกย้ายนั้น เพราะตนมีขอบเขตความสามารถแค่นี้ และมีความเหมาะสมกับงานนั้น


แต่ถ้าการสั่งการนั้นไม่ถูกต้อง ก็สมควรที่จะอุทธรณ์เพื่อพิจารณาได้ ไม่ใช่ว่าการสั่งการนั้นไม่รับฟังเสียงผู้ที่ถูกสั่ง ถ้าเหตุผลเพียงพอ ก็ควรอย่างยิ่งที่มีการไต่สวนพิจารณาใหม่อีกครั้ง เพราะว่า “เราปกครองด้วยสัจธรรม” อันไม่ใช่เผด็จการ

และการทำงานใหญ่นั้น ถ้าเตรียมการยังไม่พร้อมแล้วด่วนลงมือทำงาน ก็เหมือนไม่ถึงเวลาคลอด แต่เมื่อมันคลอดออกมาก่อนกำหนดแล้ว มันก็ต้องดำเนินตามภาวะของการที่คลอดมาไม่แข็งแรง ต้องเปราะแปะ ต้องเยียวยา ต้องประคองกันไป เพราะว่ามันคลอดก่อนกำหนด เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดความวุ่นวายได้ง่ายและเกิดอยู่เนืองนิจด้วย

ในปัญหาเรื่องคนนั้น ถ้าคนทำงานไม่พอ แล้วบางคนยังอยากจะไปทำหน้าที่โน้นบ้าง หน้าที่นี้บ้าง คือทำแบบตามใจฉัน และถ้ามีคนพอกับการงานแล้ว งานก็ยังไม่ดีขึ้นอีก อันนี้ก็ต้องโทษฝ่ายระดับบริหารทั้งหลาย ที่ไม่พยายามติดตามและวิเคราะห์การทำงานของลูกงานอย่างใกล้ชิด


ซึ่งท่านทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้นำ หรือว่าผู้ปฏิบัติตาม ควรที่จะถามตัวท่านเองในทุกขณะจิตว่า “เรากำลังทำงานอะไรเป็นหลักที่เราได้รับมอบหมายมา” ซึ่งก่อนที่จะรับมอบมา คิดว่าทุกคนคงจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงรับมาปฏิบัติ ดังนั้นถ้าทุกคนคอยเตือนสติตัวเองอยู่เสมอ คิดว่างานทุกอย่างจะเจริญก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ

ทีนี้ บางคนถามว่า ทำไมสำนักจึงไม่ประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่า ขณะนี้ เทวดามาทำงานช่วยโกยสัตวโลกให้พ้นทุกข์แล้ว จะได้เป็นเหตุให้ช่วยคนได้อีกจำนวนมาก อันนี้ อาตมามีธรรมนิยายให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือ

เมื่อสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จพักบ้านช่างทองบ้านหนึ่ง ก็ได้พบมานพคนหนึ่งที่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในกรุงสาวัตถี ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าพยายามเทศน์สั่งสอนให้เขาฟัง และพยายามบอกเป็นนัยๆ ว่า เราคือ สัมมาสัมพุทธเจ้า มานพน้อยนั้นก็ยังเป็นคนโง่ ก็บอกว่า “ธรรมที่แสดงมานี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ฉันคิดว่าคงไม่เท่ากับพระพุทธเจ้าแสดง เพราะฉะนั้น ฉันจึงต้องเดินทางไปพบพระพุทธเจ้าให้ได้”

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เวลานี้มนุษย์อยู่ในกลียุคเปรียบเหมือนหนึ่งมานพน้อยคนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะไปไหนไม่ได้ คือ สำนักเราเกิดผุดขึ้นมาในท่ามกลางอำนาจวัตถุความสะดวกสบาย และกระแสจิตของมนุษย์นี่ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาทีตามกฎแห่งความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


คือ คนเรานี่ถ้าอยู่อย่างยึดธรรมะเป็นสรณะ เท่ากับสมัยใหม่เขาเรียกว่า ยึดอุดมการณ์ ยึดจุดยืนอะไรกันของพวกท่าน คนๆ นั้นก็จะปฏิบัติตนอย่างเสมอปลายไปได้นาน แต่ถ้าอยู่อย่างยึดตัวบุคคลเป็นสรณะ หรือว่ายึดเส้นยึดสายพึ่งหน้าคนในการทำงาน คนๆ นั้น ก็ย่อมที่จะเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้นาน

แล้วเรื่องความ “พอ” และการใช้สมองของมนุษย์ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรามันไม่มี
เพราะฉะนั้น ในการที่สำนักดำเนินการในขณะนี้ เราดำเนินไปตามโครงการแบบ “แนวทางแห่งพระโพธิสัตว์” คือ “ตนยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อความสุขของคนอื่น”

แต่ถ้าท่านจะดำเนินการแบบ “แนวทางอรหันต์” ก็คือ “ตัดช่องน้อยไปนิพพาน” ซึ่งโลกมันจะแตกจะเกิดอะไรฉันไม่รู้ทั้งนั้น และการทำงานนี่ตั้งแต่เปิดโลกมาแล้ว เขาเรียกว่า เทวดากับอสูรก็รบกันมาเรื่อย ซึ่งการทำงานที่จะราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรค งานนั้นไม่ใช่งาน และคนทำงานไม่ผิดพลาด คนนั้นก็ไม่เคยทำงาน นี่เป็นกฎธรรมดาคำว่า “งาน

การทำงานมันเป็นเรื่องเข้าไปหาความทุกข์ ทีนี้ บางคนมันทำงานแบบตัวทำผิดพลาดไปแล้ว ชอบลากคนอื่นลงไปผิดพลาดเพื่อร่วมรับความผิดด้วย นี่เราเรียกว่า “พาลให้คนอื่นล่มจมไปด้วย” และการทำงานนั้น บางครั้งเงินที่ไม่ควรเสียดาย ก็ไปเสียดายกัน การสั่งงานนั้น บางคนรับคำสั่งแล้วก็ไม่ทำและก็ไม่ได้รับการทำโทษ เพราะอะไร เพราะความเมตตา และคนยุคนี้ “เมตตา” คุยกันไม่รู้เรื่อง

ยุคกลียุคนี้ เมตตาเขานึกว่ากลัวเขา
สงสารเขานี่นึกว่ารักเขา


และฝ่ายที่กำลังรุกทั่วโลก ทำไมเขาทำสำเร็จได้ เพราะเขาไม่ใช้ “เมตตา” เขาใช้กลอุบายหลอกลวงและขู่เข็ญให้ทำงาน ทำผิดก็สั่งยิงทิ้ง คนสมัยนี้ชอบอย่างนี้ นี่คือ เรื่องของ “ยุค”

เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจว่า เรากำลังก้าวสู่ยุคอะไร แต่อาตมาก็ยังบอกแล้วบอกอีกว่า อาตมาเชื่อมันสมองท่านโตที่จะนำความอยู่รอดให้สยามประเทศได้ แต่ถ้ามันไม่รอด มันเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ เพราะมนุษย์นี่จิตใจสามวันดีสี่วันไข้ เพราะอะไร เพราะความเปลี่ยนแปลงของกระแสจิตทุกวินาที


ผู้ที่เขาทำงานสำเร็จ เพราะเขามีความแน่วแน่ จิตจะต้องไม่หวั่นไหว เมื่อปักหลักลงไปแล้ว จะต้องแข็งแกร่งเหมือนภูเขาที่ไม่มีสะทกสะเทือนต่อลม ที่ไม่สะทกสะเทือนต่อฝนที่ไม่เกรงกลัวต่อเสียงคำรามของฟ้า เขาจึงสำเร็จจิตทางฌานญาณกันได้

แล้วท่านสังเกตดูซิว่า อำนาจฝ่ายต่ำขณะนี้มันมีมากขนาดไหน ตลอดแนวทางที่ไปถึงบ้านท่าน ท่านลองนับดูซิว่าระหว่างร้านขายเหล้ากับร้านขายธูปเทียน มีอย่างละกี่โรง ลองไปนับดูซิ ซึ่งมันจะแสดงว่าอำนาจฝ่ายต่ำมันมีมาก แต่ยุคปัจจุบันเมื่ออำนาจฝ่ายต่ำมาก กระแสจิตที่ขาดสมาธิขาดสติ ย่อมที่จะคล้อยตามอำนาจฝ่ายต่ำที่ผ่านมาทางอายตนะตา หู จมูก ลิ้น และถ้าคนทำงานใหญ่ ถึงจะทำสำเร็จ เขาจะไม่คุย

ทีนี้ ถ้าผู้นำมีความแน่วแน่อันหนึ่งของการทำงาน จะต้องหนักแน่นและเป็นตัวของตัวเอง หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เมื่อปักหลักลงไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ถอนหลัก”


การร่วมกันทำงานใหญ่นั้น ท่านอาจจะพบกับปัญหาบ้าๆ บอๆ พวกหนึ่ง ซึ่งบางคนรับงานไปแล้ว ทำไม่ได้กลับพาล แต่ไม่มอบงานให้ก็สะเออะเสือกขึ้นมาจะรับงาน และบางคนชอบวางโครงการ แต่พอปฏิบัติกลับไม่มีความจริงจังและการเสียสละอย่างแท้จริงในการทำงาน ปล่อยให้เกิดผลเสียหายนานาประการ โดยไม่ยอมแก้ไขหรือว่าปรับปรุง

ขอให้ท่านพยายามพิจารณาฐานะตนบ้างในการทำงาน โดยอย่ามีจิตวิจิกิจฉา มีความอิจฉาริษยา ซึ่งการเคลื่อนไหวของการทำงานทุกตารางนิ้ว มันอยู่ในข่ายของผู้นำทั้งหมด ซึ่งในการเป็นผู้นำนั้น ย่อมที่จะพยายามถือหลักเมตตา เพื่อปรับปรุงจิตใจคนให้ดีขึ้นและจะทนจนกว่าถึงวินาทีสุดท้าย จึงจะสั่งการลงโทษ นี่ละ “น้ำใจผู้นำที่แท้จริง”

คนเราตื่นเช้าขึ้นมา ถ้าทุกคนรู้หน้าที่ว่าตนต้องทำอะไร งานนั้นเป็นหน้าที่ของใคร ถ้ามีเวลาว่างนั่งสมาธิแผ่เมตตาอันเป็นการทำงาน เพราะว่ามิฉะนั้น การที่นั่งคุยกัน คุยกันเกินสิบห้านาที มันไม่พ้นเรื่องนินทาทั้งนั้น มันควรที่จะใช้เวลาว่างเป็นเวลาปรึกษางานมากกว่า


และบางคนนั้น ทำงานยิ่งกว่าแนวห้าเสียอีก หรือเป็นหนอนบ่อนไส้ มันต้องเสือกรู้เสือกเห็นและก็พูดผิดพูดถูกกับชาวบ้านอยู่เสมอ อันเป็นการสร้างความเสียหายกับวงงานและหมู่คณะอย่างใหญ่หลวง ซึ่งคนเราจะพิจารณาตนบ้าง มิฉะนั้นระดับบริหารนั้นต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราทำงานเพื่อส่วนรวมเพื่อสังคมแล้ว

จะเห็นว่า ขณะนี้เมืองไทยตกอยู่ในภาวะสงครามประสาท ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าพวกท่านประสาทไม่แข็งก็บ้ากัน ซึ่งการทำงานใหญ่นั้น รบศึกภายนอกมันไม่น่ากลัว รบศึกภายในนี่มันปวดหัว อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าศึกภายนอกนั้น ยังพอจะระวังกันได้ ศึกภายในแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใครบ้างที่เป็นหนอนบ่อนไส้ที่คอยสร้างปัญหาให้


ท่านจะต้องพยายามทำสมาธิให้มั่นคงและจะเป็นผลให้เกิดปัญญา และการทำงานนั้นบางครั้งเสียรูปงาน เพราะคนเสือกรู้เสือกเห็น และบางคนก็ทำอะไรแล้วทำไม่ได้ ต้องสำนึกว่า เราไม่มีความสามารถ ก็ควรถอนตัวเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าดำเนินการบ้าง

แต่ถ้าถูกบีบให้ถอนตัวก็กลายเป็นทรยศ ตั้งป้อมเป็นศัตรู อันเป็นอนุสัยฝ่ายอธรรมของคนเรา ตอนอยู่วงงานเขารวมตัวเสียสละทำงานอย่างจริงจังไม่ได้ แต่ออกไปจากวงงานแล้วก็รวมตัวกับฝ่ายต่ำได้ เพราะไม่มีกฎระเบียบมาก มีเงินทองให้ใช้ และถ้าหลงเงินก็จะเปิดโอกาสถูกฝ่ายอธรรมหลอกนานหน่อย และถ้าท่านทรยศต่อฝ่ายอธรรม
อย่าหวังเลยว่า เขาจะปล่อยให้ท่านลอยนวล เขาต้องสั่งฆ่า

การทำงานนั้น ถ้าทำแล้วมันไม่สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าละอายเลย ขอให้ท่านพยายามปรับปรุงแก้ไข งานนั้นๆ จะดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าท่านมีผู้นำที่ดีและจริงจังต่องานด้วยแล้ว ท่านในฐานะที่เป็นผู้ตามเรียกว่า ลูกน้องนั้นไม่ปฏิบัติตาม ชอบรู้ดีกว่า นั้นแหละจะเป็นสิ่งที่ให้งานพังพินาศลง เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง เรียกว่า “งานเสียเพราะลูกน้อง”

ทีนี้ขอเตือนว่า ในการทำงานนั้น เรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมต้องแยกออก มีในขอบเขตการประชุม ผู้รับผิดชอบระดับไหนก็ต้องมีการประชุมระดับนั้น ไม่ใช่นั่งเกรงใจกัน ให้คนที่ไม่มีหน้าที่ก็นั่งประชุมได้ มันต้องมีขอบเขตในการทำงาน


และในการวางงาน ท่านจะต้องวางแบ่งสายงานให้ดี เมื่อแบ่งดีแล้ว ก็จะสะดวกแก่การควบคุมในการทำงานอยู่ในขอบเขต แต่บางคนที่ช่างพูดจนเลอะเทอะกันเลยเถิดไปเยอะแยะ แต่ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติที่ดี เรียกว่าเอาพูด คือรู้เกินครู รู้มากไม่ยอมปฏิบัติ

เพราะฉะนั้น คนที่จะรับหน้าที่ต่างๆ นั้น ขอให้ศึกษาเข้าถึงแก่นแท้ของนโยบายแล้วปฏิบัติในขอบเขตที่ตนรับผิดชอบเหล่านั้น ก็จะไม่ทำให้ผิดพลาด ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนตัวและหมู่คณะ ถ้างานมันขยายกว้าง เรื่องอุปสรรคทั้งหลายย่อมมีมาก ท่านจะต้องรีบวางนโยบายและผู้รับผิดชอบงานภายในให้เรียบร้อย อันจะเป็นการวางป้อมปราการที่ดี แล้วจึงรีบเร่งวางนโยบายในการที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคในการขยายงานสู่ภายนอก

ดังนั้น ผู้ที่จะร่วมทำงานเพื่อความอยู่รอดของชาติ เพื่อพิทักษ์เอกราชของสยามนี่ ให้พยายามพิจารณาตน ดีกว่าที่จะไปพิจารณาคนอื่น แล้วก็คิดถึงขอบเขตความสามารถของตนว่ามีขนาดไหน และก็รับผิดชอบได้ขนาดไหน อย่าไปทำงานแบบเรียกว่า เอาหน้าได้หน้า


ซึ่งตามความจริงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้หน้าเลย ไม่มีอะไรเสียหน้าเลย เพราะหน้าทุกคนก็ติดอยู่ที่หัวทุกคน อยู่บนบ่าทุกคน “คนไหนที่มีอารมณ์ร้อนๆ ตัวเองก็ต้องพยายามระงับอารมณ์” ก็ต้องเข้าใจว่าทุกคนเข้าร่วมการทำงาน ต่างคนต่างมาด้วยความศรัทธาและเสียสละ และทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและคิดว่าทุกอย่างต้องสำเร็จแน่นอน

เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๐

มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ



สานุศิษย์ สาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันสมมุติในโลกมนุษย์ที่ได้วนเวียนมาอีกครั้งหนึ่งตามกฎแห่งสังสารวัฏ ในการเวียนว่ายแห่งวิสาขมาส

ท่านทั้งหลายก็ได้มาจัดพิธีการบูชาครูขึ้น เพื่อระลึกและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่ออาตมาก็ดี ต่อเทพพรหมก็ดี ต่อผู้สำเร็จทั้งหลายก็ดี นับเป็นการแสดงออกที่สมการเป็นคน เพราะการเป็นคนที่ให้สมการเป็นคนนั้น จะต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณเป็นหลัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เต็มไปด้วยมนุษย์หรือว่าคนแห่งสมมุตินานาชาติ นานาจำพวกจากทั่วทุกสารทิศแห่งสยามประเทศ ทั้งสานุศิษย์ ทั้งสาธุชน ทั้งผู้ที่มาสังเกตการณ์ก็ดี ทั้งผู้ที่คิดอยากจะมาร่วมพิธีนี้ก็ดี ซึ่งเป็นการให้เข้าใจว่าในภาวะเช่นนี้ ซึ่งเป็นภาวะแห่งกรรมวิบากของโลกมนุษย์ที่อยู่ในกลียุคแห่งมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ในการที่เข้าครอบงำที่จะคิดทำลายจองล้างจองผลาญ

อาตมาได้แลไปทั่วสารทิศแล้วว่า เมื่อสารทิศทั้งหลายเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่จองล้างจองผลาญ ในเมื่ออาตมาเป็นผู้เกิดในสยามประเทศ ได้สิ้นขันธ์ในโลกมนุษย์ไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ ก็ได้คิดจะช่วยกันบำรุงขยายให้ชาวสยามมีความที่เรียกว่า ละทิฐิมานะในตนในการยึด ในการวางตนให้อยู่อย่างรู้จักความพอประมาณแห่งชีวิตการเป็นมนุษย์


โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันวิสาขมาส เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานในวันเดียวกัน เป็นวันแห่งสังสารวัฎที่เรียกว่า เป็นวันที่ชมพูทวีปได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ในวันแห่งวิสาขมาสต่างกรรมต่างวาระ

วาระที่หนึ่ง ได้เกิดประสูติคือ เกิดบุรุษแห่งธรรมราชาขึ้นในลุมพินีวัน


วาระที่สอง ได้เกิดบุรุษอาชาไนยผู้ได้หยั่งรู้ถึงความอันบริสุทธิ์ที่พุทธคายา


วาระที่สาม ได้เกิดเศร้าสลดบุรุษอาชาไนยที่ได้หยั่งรู้ถึงความบริสุทธิ์ ได้เผยแพร่ธรรมะนั้นให้สู่มวลสัตว์โลก ได้ทิ้งขันธ์สิ้นจากโลกมนุษย์ที่เมืองกุสินารา


ซึ่งเป็นการแสดงของสังขารที่ไม่เที่ยง เป็นการแสดงออกความแห่งวัฏฏะ เป็นการแสดงออกของสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่การเกิดเป็นมนุษย์เรียกว่า การเป็นสัตว์โลก เป็นผู้ประเสริฐที่มาใช้กรรม


เมื่อในวาระเช่นนี้ เมื่อเราทั้งหลายยังจะต้องใช้กรรมกันอยู่โลกแห่งวัฏจักร เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาบำเพ็ญทางจิต บำเพ็ญตน ให้ละคลายในทิฐิมานะแห่งความยึดตน หลงตน เข้าใจว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รู้ว่า เป็นนั้น เป็นโน่น เป็นนี่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมมุติ การสมมุติการเป็นใหญ่ก็ดี การสมมุติการเป็นเจ้าลัทธิก็ดี การสมมุติในสิ่งต่างๆ ก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ กาลเวลาไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องไปสู่ความสลาย เหลือแต่วิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่ว


เมื่อเราทั้งหลายรู้ว่าเหลือแต่จิตวิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่วเท่านั้น เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาฝึกในการเตรียมตัวในการฝึกให้เห็นนามธรรม เขาเรียกว่า “ปรมัตถธรรม” ให้มีความเมตตาประจำใจ ในภาวะความเมตตา ความอภัยของการเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิ่งที่ค้ำจุนให้โลกสงบ

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายในวันนี้ที่ได้มาทำพิธีบูชาครูและกระทำพิธีขอขมาก็ดี เป็นการแสดงออกของมนุษย์ที่ไม่ตกอยู่ในทิฐิมานะที่ยึดตน ที่หลงตน ว่าตนทำถูกทุกอย่าง


การเป็นมนุษย์ การเป็นปุถุชนย่อมมีการทำผิดทำถูกคละเคล้ากันไปในชีวิตการเป็นคน เพราะชีวิตแห่งการเป็นคนล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้แห่งพญามารของโทสะ โมหะ โลภะ เจ้าแห่งโทสะออก เจ้าแห่งโมหะเข้า เจ้าแห่งโมหะออก เจ้าแห่งโลภะเข้า เป็นเรื่องที่เวียนกันไปเวียนกันมาอยู่ในร่างกายและจิตใจของมนุษย์

แต่ใจเราจะทำยังไง
จึงแลเห็นเจ้าโทสะ
จึงแลเห็นเจ้าโมหะ
จึงแลเห็นเจ้าโลภะ


เราจะแลเห็นเจ้าโทสะ เราจะแลเห็นเจ้าโมหะ เราจะแลเห็นเจ้าโลภะ เราก็ต้องมีสติ  การที่จะมีสตินั้น เราก็ต้องทำสมาธิ ในสมาธิแห่งการตามทันอายตนะของสิ่งทั้งหลายที่สมมุติเข้ามาสู่กายเข้ามาสู่ในจิตเราในการกระทบเรา

ที่นี้การเป็นปุถุชน จะดำรงชีวิตเพื่อที่จะได้มนุษย์สมบัติ ได้สวรรค์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติ ในเรื่องจะทำยังไงในชีวิตแห่งการเป็นปุถุชน


ชีวิตแห่งการเป็นปุถุชนจะได้มนุษย์สมบัติก็คือ จะต้องมีเขาเรียกว่า ทำทาน เรียกว่า “จาคะ” มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ มีความเห็นใจซึ่งกันและกันในเหล่าเพื่อนมนุษย์ มีความอภัยต่อเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมงานก็ดี ไม่ได้มีตัวโลภะ ตัวโมหะ เข้าครอบงำ เราหาทางชี้ทางช่วยเหลือ เราหาทางตื่นตัว เราหาทางช่วยเหลือในสมบัติของโลก ดูแลให้โลก อย่าทำลายโลก เราก็ได้มนุษย์สมบัติ

ที่นี้ในการที่จะได้สวรรค์สมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญศีลและสมาธิบารมี จึงจะได้สู่เรียกว่า สวรรค์สมบัติ

ที่นี้ในการที่จะได้นิพพานสมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญสมาธิจิตให้แข็งแกร่ง ให้ได้ฌานญาณ อย่างน้อยเขาเรียกว่า อาสวักขยญาณ จึงจะได้นิพพานสมบัติ


ความปรารถนาสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่มีความแน่วแน่ของคำว่า เอกัคตาจิต ในความจริงใจในการดำเนินการเด็ดเดี่ยวในการทำงาน ในการตั้งสัจจะเขาเรียก สัจจบารมีในการบำเพ็ญจิต ก็ที่จะได้สิ่งเหล่านี้ตามความปรารถนา

ฉะนั้นท่านทั้งหลายในการจัดพิธีในวันนี้ ก็เรียกว่าเป็นพิธีดี เป็นพิธีมงคล และสิ่งที่ท่านขออาตมาก็จะให้ ให้ตามสิ่งที่ท่านจะได้ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่ท่านจะได้ แต่การจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตนต้องดำเนินตนจึงจะได้ของตน และตนจะต้องตั้งมั่นอยู่ในจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้ตั้งมั่นในสิ่งนั้น ท่านก็จะได้สมความปรารถนา


เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๑

การเสียสละเพื่อส่วนรวม



บางคนมันเรียกเป็นคนที่ดี แต่ดีจนเกินไป ดีมันเลยแตก มันเลยกลายเป็นขม คือ เรียกว่าทำแล้วก็ยังยึด สละแล้วก็ยังยึดบ้าง มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นคนที่เรียกว่า มันจริงจังแล้วก็ถืออารมณ์ตนเป็นหลัก มันเป็นเรื่องที่น่าคิด

ถ้าจะพูดถึงการทำงานน่ะ ทำงานได้แต่ว่ายอมลดทิฐิหน่อย คือว่ามันเป็นคนที่เรียกว่า จะถืออารมณ์ตนเป็นใหญ่ แล้วก็เห็นว่ามนุษย์ทุกคนดีหมด ไม่รู้ว่าเวลานี้เขามากันยังไงไปยังไง คือเป็นอย่างนี้มันก็ลำบาก

คือเรื่องความเสียสละแล้ว ก็เรียกว่าสำนักนี้มาอยู่ได้ถึงเวลานี้ ก็เพราะเด็กหญิงคนนี้ เพราะว่าสำนักเก่าถูกไล่ ถูกการเรียกว่าเป็นกรรมอันหนึ่งที่เรียกว่า เราลงมาอย่างที่เรียกว่าจะให้มนุษย์มันเชื่อ ว่าจากเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย จะได้รับความร่วมมือกลับไม่ได้รับความร่วมมือ เขามองในแง่ที่เรียกว่า ไม่เข้าซึ้งถึงเรื่องการทำงานเพื่อส่วนร่วม

ก็เกิดเรื่อง เด็กหญิงเขาก็ให้ที่นี่ เสร็จแล้วคนที่มาขณะนี้ก็รวยกว่าเขาแยะ ไม่มีใครกล้าออกเงิน เขาก็ยอมขายบ้านตัวเองมาเริ่มก่อสร้าง ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นนักเสียสละ แต่มันเสียสละแล้วยังยึด มันเป็นเรื่องที่น่าคิด ฉะนั้นถ้าคนนี้จะใช้งานจะต้องทำอย่างไร ให้เขารู้จักละบ้าง แล้วรู้จักวางบ้าง ก็จะเป็นม้าที่ปราดเปรียวที่จะใช้งานได้ในด้านบุกสังคม คือไม่มีความอาย


คือว่าทุกคนนี่น่ะ มันถือว่าไม่ยึดตัวตนแล้วมันก็จะทำงานได้ ถ้าทุกคนยังมีอารมณ์มีเล่นแง่เล่นงอน และการทำงานส่วนรวมมันเป็นจุดสำคัญที่สุด คือว่าเมื่อจะร่วมทำงานแล้ว จะต้องมีการเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ แล้วก็มีการไว้วางใจกัน ไม่ใช่กูคอยจ้องมึง พลาดเมื่อไรเซมากูซ้ำ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด

รู้ไหมรู้จักคำว่า เซมากูซ้ำ เพราะว่าปุถุชนการเป็นมนุษย์ การเป็นปุถุชนเป็นสิ่งที่ว่าไม่ทำอะไรไม่ผิดหรอก จะทำอะไรมันมีเขาเรียกว่า มีผิดหรือถูก แต่ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้มันผิดน้อย นี่เป็นเรื่องสำคัญของการเป็นคน ทีนี้คนน่ะไม่แลตัวเอง มันไปแลแต่คนอื่น มันก็แย่  


การทำงานมันต้องแลตัวเอง ตัวเองมีความสามารถแค่ไหน คนนี้ทำอยู่ให้เขาทำไป และจะต้องพยายามคิดหาทางช่วยงานที่ทำเขาทำให้สำเร็จ มันก็ไม่คิดกัน มันคิดแต่มึงทำนี่มึงจะเด่นกว่ากู กูต้องไปหาเรื่องมึง ไม่ได้อะไรเลย คืออาตมาบอกแล้ว จิตใจผู้หญิงมันอ่อนไหวแล้วมันวุ่นวายมากที่สุด และเวลานี้ทุกคนที่มาช่วยกำลังเป็นลูกจ้างของโลกวิญญาณ

ถึงแม้ว่าเวลานี้บางคนได้เบี้ยหวัดบ้าง ไม่ได้เบี้ยหวัดบ้าง แต่เงินเดือนไปคิดกันที่โลกวิญญาณ ก็ควรจะทำกันให้มันดีสมกับเบี้ยหวัดที่เขาให้เราบ้าง หรือว่าเราทำ เพราะว่าเรารักงานส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพราะจำใจ ทำเพราะฝืนใจ ทำเพราะเพื่อคนอื่น นี่น่ะมันไม่ได้ประโยชน์


มันต้องทำด้วยความศรัทธา ว่าเราเกิดมาสร้างความดี ไม่กี่ปีไม่ถึงร้อยปีก็ต้องจากการเป็นมนุษย์ การมีชีวิตเกิดเป็นคนนี่มันเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐนี้น่ะอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี ไม่ถึงร้อยปีก็เอาอะไรไปไม่ได้ บ้านช่องอะไรก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ตายไปแล้วเหลือแต่วิญญาณไปเสวยกรรมในปรภพ เหลือแต่ชื่อดีกับชั่วให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทา

เมื่อเราปลงเช่นนี้ เราสละตนออกมาทำงานที่นี่ เราต้องคิดว่าเราปลงตกแล้ว เราสละแล้ว เราประกาศตนออกมารับใช้สังคม ซึ่งเป็นสังคมศาสนาที่จะมาปรับปรุงโดยไม่คล้อยตามเขา เป็นสังคมใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ไม่กี่ปีแล้วจะต้องเข้มแข็งกว่านี้กัน สิ่งใดที่ควรละได้ก็ควรละ สิ่งใดที่คิดว่าไม่ควรจะนั่งคุยกัน นั่งเล่นอะไรกันก็ควรจะเลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนที่จะมาเป็นกรรมการหรือเป็นวงในก็อยากจะเรียกว่า ทุกคนมีภาระ อาตมาก็อยากจะให้ว่า กองจัดการควรจะจัดการให้เรียบร้อย

และคำว่าไม่มีเวลา อย่าพูด ถ้าคนเราไม่จัดเวลาแล้วมันไม่มีเวลา ตลอดทั้งชาติก็ไม่มีเวลา บอกแล้วว่าธรรมชาติเขาสร้างเวลาให้มนุษย์นอนแปดชั่วโมง ทำงานแปดชั่วโมง พักผ่อนแปดชั่วโมง ในเวลาหนึ่งวัน เรารู้จักทำให้มันถูกต้อง มันก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงพอดี

ในการที่ท่านจะไปบำเพ็ญที่ป่านั้น การกินมันควรจะทำอย่างไร ควรจะใช้ให้ดินเป็นพืชพันธุ์ขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่คอยอาศัยเมืองหลวง ถ้าเกิดตูมตามขึ้นมามันตัดขาดแล้วมันจะไปคอยเมืองหลวงได้อย่างไร ดินนี้จะต้องทำให้เป็นอาหาร อาตมาเมื่อครั้งไปอยู่เกาะแก้วพิสดารตั้งห้าพรรษา ล้อมรอบด้วยน้ำทะเล อาตมาปลูกมันกับถั่วเลี้ยงตัวอยู่ที่นั่นได้ห้าพรรษา


แล้วก็นานๆ ก็จะได้พวกอาหารจากพวกโจรสลัด เพราะว่าที่นั่นเขาเรียกว่าเกาะประหาร แถวนั้นพวกโจรสลัดเวลามันปล้นเสร็จแล้ว มันมาฆ่ากันบนเกาะ ฆ่าตายแล้วมันนิมนต์อาตมาสวดแล้วก็ให้อาหารก็มี คือหน้าที่ไปสวดผีที่พวกโจรสลัดมันฆ่ากัน ได้ให้อาหารสักมื้อหนึ่งพวกมันไปปล้นมา แล้วอาตมาส่วนมากก็กินแต่ถั่วกินแต่ผัก แล้วทำไมอยู่ได้

เพราะว่าถ้าท่านใช้กำลังภายในให้ถูกหลัก มันจะดีกว่ากินยาบำรุงจำเอาไว้ คือพยายามนั่งสมาธิให้เป็นเวลา เดินจงกลม เพราะว่าการเดินจงกลมนี่เขาเรียกว่า มนุษย์เกิดจากธาตุดิน ลม ไฟ ผสมกัน โรคไต โรคความดันสูงต้องตื่นตีสี่ตีห้ามาเดินจงกรมที่สนามหญ้า มีน้ำมีน้ำค้างให้มันดูดพวกน้ำบริสุทธิ์เข้าไปปรับไตความดัน แล้วมันก็จะสงบเข้าใจไหม


พวกโรคเบาหวานมันเกิดจากพวกน้ำตาลเข้าไปอยู่ในหัวใจอยู่ในเส้นเลือด เราต้องเดินให้เหงื่อออก เดินให้เลือดมันประสานกันมันจะเกิดการละลายออกมาเอง แล้วก็ทำสมาธิถ่ายเทออกมาทางผิวหนัง สมัยยุคนั้นเขาไม่ต้องกินยากันมากก็อยู่ได้ แล้วยาชนิดหนึ่งก็คือหญ้าทั่วไป หญ้าขมทุกชนิดเป็นยา หญ้าหวานกินแล้วตาย จำเอาไว้ อาตมากินหญ้าเป็นครั้งคราวมันก็อยู่ได้ เอาละถ้าไม่มีอะไรอาตมากลับ

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๒

คำอนุโมทนาของหลวงปู่ทวด


วันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙



วันนี้นับว่าเป็นนิมิตอันดีอีกวาระหนึ่งที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกัน จะปรึกษาในการเปิด งานสันติเจดีย์ ที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สึกว่าเท่าที่อาตมารับทราบ วันนี้เป็นงานที่ท่านโตจัดว่าเป็นงานที่ใหญ่มาก ในการจะทำงานใหญ่นั้น ก็ไม่ใช่ว่าคนใดคนหนึ่งคนเดียวจะทำสำเร็จได้

การทำงานใหญ่จำเป็นที่จะต้องรวมกันเป็นหมู่คณะ ทีนี้การรวมกันเป็นหมู่การรวมกันเป็นคณะ ก็ควรจะต้องให้มีระเบียบวินัย ในการที่เรียกว่า ว่ากันตามหน้าที่การงาน ขั้นตอน ผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ว่างานทุกอย่างจะต้องให้แม่ทัพสั่งการเท่านั้น แม่ทัพก็ต้องมีนายกอง ต้องมีนายหมู่ นายหมวด ในการทำงานนั้นจึงจะเรียบร้อยได้


ทีนี้การทำงานนั้น ท่านต้องเข้าใจว่า การทำงานคือเรื่องของการหาความทุกข์เข้าตัว เพราะคำว่า “งาน” โดยเฉพาะงานเพื่อส่วนรวม เพื่อมนุษยชาติก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีอุปสรรคมาก ผู้รับไปทำจะต้องมีความจดจ่อ จะต้องมีการใช้สมองในความสุขุมคัมภีรภาพ งานนั้นเขาเรียกว่า ก็มีทางสำเร็จ

ทีนี้ในการทำงานนั้นท่านจะต้องมีการวางแผนงานให้ดี และก็ต้องดูแลแผนงานให้ดี ดูแลเสร็จ ท่านจะต้องวินิจฉัย วินิจฉัยแล้ว ก็จะต้องทบทวน ทบทวนแล้วจะต้องคิดว่า ถ้าทำอย่างนี้ลงไปไม่สำเร็จ เราจะทำอย่างนั้นลงไปได้ไหม เพื่อที่จะให้สำเร็จในงานนั้นๆ เพราะฉะนั้น เขาว่าการทำงาน ถ้าไม่มีแผนงานก็เหลว งานก็เละ

ทีนี้อีกประการหนึ่ง ในการทำงานนั้น หมู่คณะมาก ปัญหาก็มาก คำพูดก็มาก คำพูดมาก อารมณ์ก็มาก อารมณ์มาก โทสะก็มากตามมา นี่คือเรื่องของมนุษย์ปุถุชน ฉะนั้น ในเรื่องของนานาจิตตัง ในเรื่องของทิฐิมานะแต่ละคนนั้น ท่านจะต้องฟังในการงาน และมีการเรียกว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัยในงาน เรียกว่านักพูดที่ดี เขาก็ต้องหัดเป็นนักฟังที่ดี นักฟังที่ดีบางคน ก็ต้องหัดเป็นนักพูดที่ดี


ทีนี้การทำงาน ท่านต้องเข้าใจว่า ทำงานหมู่คณะมาก ระเบียบวินัยจะต้องแข็ง ถือว่าคำว่าเพื่อนฝูง คำว่ามิตรสหาย คำว่ากันเองต้องนอกงาน แต่ระหว่างงานเขาเรียกว่า สมมุติการสวมหัวโขนเต้น ก็ต้องเต้นตามจังหวะโขน แต่ต้องเต้นด้วยมีสติพร้อม ท่านก็จะไม่มีทุกข์ยึดหัวโขน

ฉะนั้น อาตมาก็ขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์วิริยะเดินทางกันมาจากไกลๆ บ้าง มาจากภาคเหนือมากหน่อย ภาคใต้ไม่ค่อยมาก ก็เห็นว่าการที่เรียกว่า ภาคเหนือภาคอีสานมากันมาก ก็คิดว่าท่านทั้งหลายคงเข้าใจในสถานการณ์ที่ท่านจะทำว่าเป็นงานอะไร


และเป็นงานที่เรียกว่า ภาษาชาวบ้านก็คือว่า งานท่านเป็นงานเอกชนทำ ไม่ใช่ท่านเป็นรัฐบาลทำ เมื่อเอกชนจัดงานใหญ่ ก็ย่อมที่จะมีทุกข์มาก มีอุปสรรคมาก มีปัญหามาก แต่ว่าท่านจะต้องค่อยๆ แก้ ค่อยๆ คิด และท่านมีความมั่นใจดำเนินไป อาตมาก็คิดว่า ก็จะเรียบร้อยได้ดีและก็จะสำเร็จเข้าเป้าของงานได้

แต่ถ้าท่านทำแบบสักแต่ว่าทำ ก็จะเรียบร้อยยากและก็จะไม่สำเร็จตามเป้า คือการเป็นคนต้องรู้จักแบ่งเวลาของงานออก ต้องรู้จักแบ่งเวลาของงานส่วนรวมส่วนตัวออก แล้วท่านก็จะทำงานใหญ่ได้ และก็จะทำงานได้ดี แต่ถ้าท่านไม่รู้จักในการที่เรียกว่า แยกแยะในการงาน ในการดูแล ในการพิจารณาในการวาง ท่านก็มีชีวิตแต่ความล้มเหลว


เพราะฉะนั้น อาตมาคิดว่าในงานครั้งนี้ เท่าที่ท่านมาประชุมกันมากมายและก็ทำกันทุกคน ก็คือว่างานนี้เรียบร้อยได้ แต่ท่านมาประชุมกันแค่ประชุม ประชุมเสร็จก็ต่างคนต่างกลับแล้วก็ลืมกันแค่นี้ งานก็จะมีแต่ความขลุกขลัก ความเรียบร้อย อันนี้อาตมาขอให้ท่านพิจารณา

คิดว่าไม่มีอะไรที่จะพูดมากกว่านี้ ก็ขอให้ทุกท่านทั้งหลาย มีความอุตสาหะในการที่จะต่อสู้เพื่อมนุษยชาติ

เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๓

ชีวิตของนักพรต



พระมหาสังวร – กราบนมัสการหลวงปู่ ลูกขอแนะนำในการเป็นนักพรตนักบวชครับ

หลวงปู่ทวด - การเป็นนักบวชที่จะให้สันโดษ สงบ จะได้มีโอกาสปฏิบัติฌานญาณ จะต้องไม่มีตำแหน่งเป็นอะไร และจะต้องไม่มีอะไรห่วง มันก็จะได้ผลในด้านของนามธรรมแห่งการปฏิบัติจิต ถ้าท่านเป็นนักบวชแล้ว ยังคิดว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็จงอย่าวางแผนเอื้อมมือไปขย้ำฟ้า เพราะมันเท่ากับบวชแล้วหาทุกข์เข้าตัว


ทีนี้มนุษย์สมัยนี้ อาตมาไม่รู้ว่าบวชกันแบบไหน เมื่อสมัยอาตมาได้มีโอกาสหนีจากการเป็นสังฆราชมาอยู่ที่น้ำตกทรายขาว แล้วอาตมาคิดว่า “นั่นแหละสุขที่สุด” คือการเป็นนักพรตที่ดี จะต้องไม่มีห่วง และไม่มีตำแหน่งเป็นอะไรเลย เพราะถ้าท่านมีบ้าน ท่านห่วงบ้านก็ทุกข์ ท่านมีเมือง ท่านห่วงเมืองก็ทุกข์ ท่านคิดช่วยคนอื่น ห่วงการทุกข์ของคนอื่น ท่านก็สร้างทุกข์เข้ามาสู่ตัวท่านเอง

ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักว่า ตราบใดที่ตัวเรายังเป็นนักพรตที่ดีไม่ได้ จะต้องหัดไม่ห่วงบ้าน อยู่เฉยๆ บ้าง มันก็จะได้ไม่ทุกข์ ซึ่งกรรมวิบากของมนุษย์แต่ละคนมันเป็นเรื่องที่ยากที่เราจะช่วยเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้มันเป็นกลียุค ในความคิดเห็นของอาตมาก็ว่าอยู่เฉยๆ ละดีที่สุด


คนศรัทธาเรา เราก็ช่วยเท่าที่เขาศรัทธา คนเขาไม่ศรัทธาเรา เราก็ช่วยเท่าที่เขาไม่ศรัทธา ให้เขายิ่งไม่ศรัทธาเรา เราจะได้ไม่ทุกข์กันมาก ถ้าเราจะไปห่วงเขาก็จะไปยุ่งกับเขามาก พลังจิตที่ยังอ่อนหัดนั้นก็ทำให้เราเกิดทุกข์มาก ที่เราบวชน่ะ บวชเพื่อให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่บวชเพื่อก่อทุกข์

พระมหาสังวร – แต่กระผมมาคิดพิจารณาดู เท่าที่ฟังธรรมว่า โลกียะนี้จะต้องไปคู่กันกับโลกุตระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลวงปู่ หลวงพ่อได้เมตตากรุณามาโปรดสัตว์ในยุคนี้ ก็เป็นประโยชน์กับผู้อื่นไปได้บ้าง ก็จะพยายามทำ เราต้องการที่จะหาสถานที่ที่ตั้งใจไว้นั้น เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมหรือว่าเพื่อที่จะให้ผู้ที่ประพฤติธรรมได้อาศัย ฉะนั้นมีความกังวลอยู่บ้าง ก็ขอพระเดชพระคุณหลวงปู่ให้สติ


หลวงปู่ทวด - สถานที่นั้นยังใกล้ความเจริญ ชีวิตของการเป็นนักพรตดีที่สุด คือ อยู่ถ้ำกับอยู่ป่า แล้วก็ดีที่สุดคือว่า เรามีแค่กะลาใบหนึ่งพอ ก็ขอเขากินไปวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ขอ เราก็ปลูกถั่วเลี้ยงตัวเอง แล้วอยู่ในถ้ำที่คนไม่มาเจอ เหมาะสำหรับในยุคนี้ดีที่สุด คือในยุคนี้จะหาคนที่มีความกตัญญูมันก็ยาก จะหาคนที่จะมีการอาลัยอาวรณ์นึกถึงคุณของผู้ที่สร้างความดีก็ยาก

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่าทุกวันนี้นักพรตน่ะ จะมีนักพรตที่มีมหาเมตตามากเกินไป มหาเมตตาในตัวนี้หมายถึงว่า บวชแล้วตัวเรายังไม่รู้ว่าตัวเราเป็นอะไร ตัวเราเป็นพระหรือเป็นแพะ หรือเป็นหมูหรือเป็นสัตว์ จิตยังไม่สามารถเข้าถึงโลกุตรธรรมถ่องแท้ ก็เตรียมแผนกันสร้างทางโลกียะอย่างใหญ่โต


ผลก็คือ โลภะเข้าครอบ โทสะเข้าครอบ โมหะเข้าครอบ ก็เลยกลายเป็นว่า พระสงฆ์ส่วนที่ว่านี้ ในขณะนี้ยังทำแข่งในทางโลกียะ ว่าใครจะสร้างโบสถ์ใหญ่กว่าใครได้หรือไม่ เรานี่ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสหลายวัด สิ่งเหล่านี้คือ นำความฟุ้งซ่านให้มาก นำความห่วง นำความทุกข์เข้าสู่ตัวให้มาก

ต้องเข้าใจว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีจากกรุงกบิลพัสตุ์เข้าสู่แคว้นมคธ ในขณะนั้น พระเจ้าพิมพิสารก็ได้ตามหนุ่มน้อยที่มีความงามไปสู่ที่วิเวก จะแบ่งแคว้นมคธให้กับเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะยังบอกว่า


ขอให้ท่านอยู่อย่างราชตระกูล เราขออยู่อย่างขอทานต่อไป เราถือว่าความเป็นอยู่ในชีวิตอย่างขอทานนี้มีสุขที่สุด คือเราไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง เราไม่มีวังที่จะห่วง เราไม่มีอาณาประชาราษฎรที่จะห่วง เราไม่มีบิดามารดา ลูกเมียที่จะห่วง เราเพียงแต่ห่วงว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้ จะค้นอย่างไรให้พบ “พุทธะ” เราจะได้นำพุทธะมาช่วยคน นี่คือวิถีที่พระพุทธองค์ออกบวช

แต่นักบวชยุคนี้ ตัวเองยังไม่ทันช่วยตัวเองได้ คิดจะไปตั้งสำนักโน้น ตั้งสำนักนี้ มันก็น่าคิด คือพวกเจ้ามันไม่เหนื่อยใจ แต่อาตมาเหนื่อยใจแทนนะ

พระมหาสังวร –
กระผมเห็นว่าสถานที่นั้นพอเหมาะที่จะตั้งสำนักบำเพ็ญธรรม


หลวงปู่ทวด - การบำเพ็ญธรรมที่ไหนมันก็บำเพ็ญได้ ถ้าตัวเรารู้จักบำเพ็ญปรับปรุงยกจิตใจให้เหนือสิ่งแวดล้อม และสามารถแยกอารมณ์โลกุตรธรรมให้เหนือโลกีย์ เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญๆ ไปคิดถึงเมีย เขาจะไปมีผัวน้อยหรือไม่ หรือจะไปคิดๆ ว่า ลูกเรานี่น่าสงสาร หรือไม่ที่กำลังคิดถึงพ่อและแม่ แล้วเดินผ่านหน้าบ้านตัวเองจะต้องมองดูว่า บ้านนี้มีคนมาอยู่แทนเราหรือไม่ เจ้าจะไปบำเพ็ญเมืองไหน มันก็ไม่มีสุข นี่พูดถูกใจไหมล่ะ

พระมหาสังวร – ถูกใจครับ ลูกรู้สึกว่าปัจจุบันนี้เป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าทั้งนั้นแหละ เหตุนั้นจึงว่าจะต้องพยายามในการที่จะหลีกเร้นออกจากสถานที่ให้พอเหมาะพอสม


หลวงปู่ทวด - คือ พวกเอ็งมันทัศนะแบบเอื้อมมือจับฟ้าขย้ำ เหยียดเท้าแผ่นดินให้เป็นทะเล แต่ทัศนะอาตมาแล้ว เราจะต้องบำเพ็ญตัวเองให้รู้จักคำว่า ตัวเราเองเป็นอะไร แล้วค่อยออกสู่วงการสังคมที่จะเอื้อมฟ้าแล้วเหยียดดิน คือ ทำงานอย่างโครงการใหญ่โตนี่มันเรียกว่า “มหากรุณา” จนเกินไป เวลานี้จึงสร้างทุกข์มหันต์เข้า ก็เลยแก้กันยาก


ปัจจุบันนี้การต่อสู้กับพวกอธรรมนี่เรียกว่า กองทัพธรรมยังไม่แข็งแกร่ง และที่เรียกว่าฝ่ายธรรมนั้น จะต้องสามัคคีมากกว่านี้ ฝ่ายอธรรมมันจึงจะเหนือไม่ได้ โลกียะในยุคปัจจุบันนี้มันเดินก้าวหน้ากว่าโลกุตระ ๙๙ เปอร์เซนต์ ถ้าโลกุตรธรรมมีถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ต่อสู้กับอธรรม ๘๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็พอจะสู้กันไหว เข้าใจหรือยัง เพราะขณะนี้อธรรมเหนือธรรม ๙๙

พระมหาสังวร – ในพรรษานี้กระผมว่า ไปอยู่ไกล บางทีก็จะพยายามไม่กลับมาเห็นบ้าน

หลวงปู่ทวด –
ในพรรษานี้ถ้าจัดบวชเณร ๓๐ รูปเสร็จแล้ว จะต้องให้จัดคนไปควบคุม และท่านโตจะไปอบรม ก็อาตมาบอกแล้วว่า พวกเจ้ามันทำอะไรชอบเหมือนหนุ่มสาวรักกัน เพื่ออะไร เพื่อที่จะครองสุดยอดของรัก คือการแต่งงาน อย่านึกว่าอาตมานี่เป็นคนที่ไม่ชอบพูดแล้วไม่รู้เรื่องอะไร แต่งงานเสร็จน่ะหวังอะไร หวังลูก การสัมพันธ์ทำให้ลูกเกิดมานี่ง่าย มันร้องแต่จะทำให้ลูกเกิด แต่จะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกที่ดีน่ะมันยาก


เหมือนการบวชให้ใครต่อใครนี่น่ะมันง่าย แต่จะอบรมสั่งสอนทำให้เขาเป็นนักบวชที่ดีเป็นพระที่สมบูรณ์ มันเป็นเรื่องน่าคิด การมีปัจจัยแล้วก็ประกาศไปก็มีคนมาบวช บวชแล้วจะสอนให้เขารู้ธาตุแท้ของการเป็นพระนั้นยาก เหมือนให้กำเนิดลูกนี่น่ะมันง่าย แต่จะเลี้ยงลูกจนโต จนลูกทำมาหากิน สอนจนลูกให้เป็นลูกที่ดี มันใช้เวลาเท่าไหร่ เจ้าช่วยคิดให้อาตมาดูซิ

เพราะฉะนั้นผลงานของท่านโต นี่ดีแต่ปฏิบัติยาก อาตมารู้ดีอยู่แล้วว่า จิตใจมนุษย์นี่มันเปลี่ยนทุกวินาที อย่าไปเชื่อเขามากนัก มนุษย์คนไหนรับปากว่าปฏิบัติได้ๆ นี่ อาตมาเฉยๆ อาตมาเฉยคำพูดนั้น มันไม่มีความหมายสำหรับอาตมา ต้องรอจนกว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นผลขึ้นมา จึงถือว่าใช้กันได้


ไม่ใช่มนุษย์มาบอกให้อาตมาว่า ได้ๆ ๑๐ คำ อาตมาจะเชื่อสักคำบอกตรงๆ เพราะความไม่เชื่อ จึงทำให้อาตมาเป็นคนนิ่งๆ เข้าใจไหม คือ จิตใจมนุษย์ในขณะนี้ ตอนพบเราอารมณ์หนึ่ง ออกไปข้างนอกอารมณ์อื่นกระทบเข้า ก็เปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง เพราะว่าเขาไม่ใช่เป็นผู้มีฌานญาณ ยังเป็นปุถุชน ปุถุชนก็ย่อมมีความหวั่นไหวตามอายตนะ เมื่ออยู่ที่เราก็อารมณ์หนึ่ง ห่างออกจากเราก็มีอารมณ์หนึ่ง ไปถึงบ้านพบลูก เมีย ผัว ก็อีกอารมณ์หนึ่ง ไปยึดเชื่อมันได้หรือ

ถ้าทัศนะอาตมาก็คือว่า ถ้ามนุษย์ที่ร่วมงานไม่เห็นแก่ตัวกันจนเกินไป จะทำงานใหญ่นั้นจะต้องมีความจริงจังกว่านี้อีกมากๆ มันจึงจะสู้อายตนะไหว ทีนี้ถ้าอยู่ ก็ให้มันอยู่กันเฉยๆ ไม่เดิน ไม่ถอย แล้วถ้าจะบุกต้องเตรียมกายใจ พร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม


เมื่อนั้นมันต้องบุกกันจริงๆ เมื่อบุกนี่มันยิ่งขยายๆ โอกาสแห่งความพังฉิบหายมันก็จะเข้ามาใกล้ทุกขณะ เพราะจะปลูกบ้านนี่ มันมัวแต่ขึ้นหลังคา ข้างล่างไม่ยอมให้มันแน่นหนาก่อน ฐานล่างไม่แน่นขึ้นหลังคา ขึ้นชั้นหนึ่งไม่พอ ขึ้นชั้นสอง ขึ้นชั้นสามชั้นสี่ มันก็จะตูมตามพังลงมา ซึ่งอาตมามาทำงานมันคนละแนวกับท่านโต

ท่านโตชอบแบบเหวี่ยงแหตีอวน ซึ่งมันกว้างเกินไป ของอาตมาต้องการใช้แบบอธิษฐานบารมีว่า ใครมีกรรมพัวพันก็มา ไม่มีกรรมพัวพันก็อย่ามา การทำงานนี้ต้องเข้าใจว่า มนุษย์ทำทุกอย่างมันขึ้นอยู่คำที่องค์สมณโคดมตรัสว่า “นานาจิตตัง” ทุกคนเขาจะต้องการความคิดของตนเป็นใหญ่


และสิ่งที่มนุษย์ทุกยุคที่มีประจำใจของมนุษย์แต่ละคนที่ยังเป็นปุถุชน คือ อยากเด่น อยากงาม อยากให้คนอื่นเขายกย่อง นี่คือเหตุการณ์ธรรมดาของมนุษย์ เพราะมนุษย์มันไม่เข้าซึ้งถึง “ความตาย” อย่างถ่องแท้ มันจึงทำงานของศาสนาไม่ได้

ถ้าท่านจะทำงานใหญ่ของศาสนา จะต้องรู้จัก “ตายระหว่างเป็น” ไม่ใช่ “ตายตอนถึงอายุขัย” ตายระหว่างเป็น จะต้องตัดอารมณ์อย่างแน่วแน่ ตัดออกจากสังคมในครอบครัว ตัดห่วงในผัว ในลูก ในเมีย ในสมบัติทั้งปวง รวมทั้งสังขารที่เราหลงยึดอยู่ จะต้องปลงให้เห็นสังขารแตกดับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และผุพังเน่าเปื่อยไป ทุกวันนี้มีเพียงวิญญาณอาศัยสังขารนี้ เพื่อใช้กรรมตามวาระ


เมื่อนั้นคือ เราค้นกายในกาย จนเห็นการตายระหว่างเป็นแล้ว เราก็จะสามารถยกชีวิตถวายเป็นพุทธบูชา อุทิศกำลังจิตทั้งหมดอยู่กับส่วนรวม จึงทำงานศาสนาใหญ่ได้ แล้วงานนั้นมันจะก้าวไปได้

ตราบใดที่ยังมีห่วงแม่ ห่วงเมีย ห่วงลูก ห่วงคนโน้น ห่วงคนนี้ ทำงานใหญ่ไม่ได้ อารมณ์มันไม่รวม สมาธิไม่เกิด มันฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านแล้วพลังธาตุไฟมันแตก การแตกตัวของธาตุไฟเกิดความหวั่นไหวของจิต กลียุคในขณะนี้มันต้องรู้จักนิ่งดูสถานการณ์

คือ บุกอย่างท่านโตได้ แต่มันต้องรวมกำลังกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นๆ มันจึงจะตามทันเหตุการณ์ของประเทศ เพราะฉะนั้นเขาเรียกว่า อย่าโลภให้มาก ที่นี่อยู่ในปัจจุบันรักษาให้รอดก่อน ค่อยขยายอาณาจักร

(วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๔

มองกันคนละมุม



สานุศิษย์ – หลวงปู่ครับ มีชนกลุ่มหนึ่งได้เขียนข่าวอย่างไม่เข้าใจเราครับ ขอหลวงปู่พิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป

หลวงปู่ทวด – คือเรื่องทั้งหลายนี่ งานของเรา มันเป็นงานทวนกระแสคลื่น งานไม่คล้อยตามโลก และงานที่จะโกยมนุษย์ให้ขึ้นจากทะเลแห่งความบ้าคลั่งนั้น ก็เป็นเรื่องที่ลำบากที่จะต้องแลกันให้ดี เพราะฉะนั้นในฐานะที่เรียกว่า ท่านกำลังจะทำงานที่ก้าวขึ้นไกลไปกว่าปัจจุบัน


อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า ก็ย่อมที่จะมีมารสูงตามไปเป็นภาระเป็นเรื่องของรูปธรรม ปัญหาก็อยู่ที่ความหนักแน่นขนาดไหนในการที่จะก้าวงานต่อไป แล้วงานมันไม่ใช่งานแค่นี้ งานที่นี้เป็นงานที่แข่งกับเวลาอีก เป็นเรื่องที่หนักสำหรับมนุษย์ที่คิดจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ทีนี้ปัญหาเวลานี้ เรื่องต่างๆ ที่บุคคลหลายฝ่ายเข้าใจผิด อันที่จะเกิดอะไร ตามภาษาชาวบ้านว่า เรื่องความเป็นคนที่ไม่เข้าใจไปในเรื่องงานที่เราทำผ่านมา ก็กลายเป็นที่เรียกว่า คงจะเกิดกรณีวิวาทกันขึ้น ถ้าพูดในทัศนะของธรรมะแล้ว มันไม่มีใครทำถูก ไม่มีใครทำผิด

คำว่า "ถูก" ก็อยู่ที่ชนกลุ่มที่เห็นด้วยกัน หรือว่าของชนกลุ่มที่อยู่ในวิธีการรับรู้ในกิจการนั้นๆ และก็พอใจในกิจการนั้นๆ ก็ถือว่าถูก ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่งที่เขาเห็นว่า “ผิด” นั้นก็เกี่ยวกับว่า เขาก็มีทัศนะของเขา เขาก็มีความเห็นของเขา และเขาก็มองแค่ผิวเผิน ไม่ได้มองเข้าไปลึกซึ้งถึงคณะบุคคลที่ทำงาน ถึงเป้าหมายของงานที่เขาทำเพื่ออะไร เขาก็มีความคิดเห็นของเขานั้นก็ถูก

เพราะฉะนั้นภาษาของพระ “นานาจิตตัง” เมื่อคำว่า “มติ” คืออะไร ที่จริงมันเป็นเพียงแต่อารมณ์ บางครั้งที่นานาจิตตังมันมีอารมณ์มาตรงกันเข้ามากๆ ก็กลายเป็น “มติ” ขึ้นมาเท่านั้น ถ้าว่าในลักษณะของปรมัตถธรรมแล้ว ทุกอย่างมันไปตามธรรมชาติของมัน ทุกอย่างมันไปตามเรื่องของมัน


ฝ่ายเราที่ทำงานชิ้นนี้ เราก็ถือว่างานของเราดำเนินไปตามวิถีของเรา เราก็เรียกว่าของเราถูก ฝ่ายที่เขามุ่งทำลาย เขาเรียกว่า มีความในใจคิดร้ายต่อชนเผ่าไทย เขาก็ถือว่าเป็นการทำผิดไป

อันนี้มันก็เป็นเรื่องของการเรียกว่า ของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง แต่คนที่มองของสิ่งนั้นอยู่กันคนละข้าง แต่คนที่มองของสิ่งนั้นอยู่กันคนละมุม ทัศนียภาพต่างกันก็มองเห็นสิ่งของสิ่งนั้นไปคนละทัศนะ ไปคนละแบบ เท่าที่สายตาจะส่งถึง


ในความจริงของสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกันที่ตั้งอยู่ในใจกลางแห่งโต๊ะ แต่คนละรอบโต๊ะ มันอยู่กันคนละจุด มันก็มองกันไปคนละแง่ เพราะฉะนั้นถ้าทัศนะของอาตมา อาตมาก็มีคติของอาตมาว่า “นิ่งเสียโพธิสัตว์” นั้นคือคติของอาตมา

ท่านทั้งหลายก็รู้สึกว่าวันนี้มากันมาก ถ้าวันไหนท่านเกิดความเบื่อหน่าย ขอท่านพยายามนึกถึงการสละความสุขส่วนตัวช่วยส่วนรวม คือพยายามสร้างความศรัทธา จริงจังจดจ่อให้จิตใจอย่าไปคล้อยตามอารมณ์ทางอายตนะแห่งโลกีย์ และก็คิดว่าแผนงานต่างๆ ที่ท่านจะทำ คงจะสำเร็จได้ไม่มากก็น้อย


แต่ว่ามันมีทัศนะอุดมการณ์อย่างหนึ่ง คือว่าท่านจะต้องทำงานแข่งกับเวลา ท่านจะไปทำงานแบบงานส่วนตัว ทำงานบริษัทหรือว่าทำงานการค้า ทำงานแบบกิจการเอกชนทั่วไป โดยใช้เวลาทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะขณะนี้ท่านกำลังวิ่งแข่งกับวิบากกรรมของโลก และกำลังชิงเวลากับวิบากกรรมของประเทศไทย

(วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๕

หลักการทำงานใหญ่



เจริญพร

การทำงานทั้งหลาย ท่านต้องเข้าใจว่างานใหญ่ คนๆ เดียวย่อมทำไม่ได้ งานใหญ่ย่อมต้องเป็นหมู่คณะ การทำงานเป็นหมู่คณะก็จำเป็นจะต้องเดินไปด้วยกัน งานนั้นจึงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้


การทำงานใหญ่ เราก็อย่าไปถือหลักว่า ถ้าไม่มีเราแล้วงานนั้นจะไม่สำเร็จ กฎของธรรมชาติมันจะมีตัวตายตัวแทนของมันอยู่เสมอ เขาเรียกว่า เกิดดับของมันเอง เพราะฉะนั้นการทำงานใหญ่ต้องมีหลัก คือ

๑. ต้องเชื่อมั่นว่างานนั้นจะต้องสำเร็จ นั่นคือการสร้างพลังใจ


๒. หมู่คณะต้องมีความสามัคคี งานนั้นก็จะสำเร็จเป็นขั้นที่สอง


๓. ต้องอย่าสำคัญตนผิดว่า ในหมู่คณะนั้นไม่มีมีเราแล้วงานนั้นจะไม่สำเร็จ


ถ้าท่านมีคติ ๓ ข้อนี้ อยู่ในใจและเป็นรูปของกลุ่มทำงาน อาตมาคิดว่า งานทั้งหลายไม่เกินความสามารถของมนุษย์ ถ้างานเหล่านั้นไม่ใช่งานดุลกรรม งานฝืนกฎแห่งกรรมมากนัก

ทีนี้ ปรกติที่โลกมันเกิดความวุ่นวายทั้งหลาย เพราะมนุษย์ไปสำคัญตนผิด ไปสำคัญว่า ถ้าไม่มีเราแล้ว งานนั้นก็คงจะไม่สำเร็จบ้าง ไปสำคัญว่าตนนั้น มีความรู้เก่งกว่าคนอื่นบ้าง ตนนั้นมีความดีเกินกว่าคนอื่นบ้าง คนอื่นเป็นคนไม่ดีทั้งหมด เป็นต้น มันจึงเกิดความวุ่นวายของโลกขึ้น


คือ ถ้ามนุษย์ยึดหลักแห่งการเป็นปุถุชนที่ดีแล้ว ต้องเข้าใจว่า ชีวิตแห่งการเป็นปุถุชนนั้น ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครเลวกว่าใคร เพราะทุกคนเกิดมาใช้กรรมของตน ทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างความดีหรือความชั่ว ไม่มีใครที่จะเลือกเกิดได้ และไม่มีใครที่จะเลือกตายได้ ทุกคนมาตามกรรมวิบาก ถ้าทุกคนมีคติอันนี้และพยายามวางในการทำงานให้ดี คิดว่างานทั้งหลายก็จะดีได้

การทำงานเป็นเรื่องของการหาทุกข์ แต่การหาทุกข์มันมีหลายลักษณะ หาทุกข์เพื่อความสุขของตัวเอง หาทุกข์เพื่อความสุขชั่วขณะหนึ่ง หาทุกข์เพื่อความสุขมวลมนุษย์ อันนี้มันก็อยู่ในหลักของการที่เราหาทุกข์ด้วยการบำเพ็ญเมตตาบารมี เพื่อสันติสุขของโลกมนุษย์ ก็ย่อมที่จะได้กุศลในการทำงาน อันนี้ก็ฝากเป็นข้อคิด


แต่ว่างานทั้งหลายจะสำเร็จหรือไม่ มันอยู่ที่มนุษย์มีความจริงจัง จดจ่อ แน่วแน่ และไม่ทรยศต่อสัจจะของตนเอง เมื่อมนุษย์เอาจริงแล้วก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์มาก จะต้องได้รับผลตอบแทนมากในการทำงาน แต่ว่าการทำงานของสำนักปู่สวรรค์นั้น อาตมาขอใช้คำว่า “การทำงานอยู่ที่มนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่พระเจ้า” พระเจ้าพร้อมที่จะให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้น แต่อยู่ที่มนุษย์เอาจริง

ทีนี้ เราต้องพูดถึงเรื่องบุญบารมีสะสมมาแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำงานนั้น ท่านจะต้องยอมอยู่ในภาวะของความปลงตกว่า ตนเองมีบารมีขนาดไหน มีบุคลิกฯ ขนาดไหน แล้วก็พูดถึงว่า ในโลกนี้นับมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้ การสร้างวัตถุมันสร้างง่าย แต่การสร้างคนมันสร้างยาก


สำนักปู่สวรรค์อาตมามาทำงาน ๑๒ ปี ท่านโตทำทุกวิถีทางที่เรียกว่า เหวี่ยงแหตกปลา เพื่อให้คนเข้ามาช่วยทำงานส่วนรวม และคนที่ไม่คิดเข้ามาร่วมงานนั้น เพราะกรรมที่ไม่ได้สร้างกันมาบ้าง บุญที่เขาไม่ถึงบ้าง มันก็ไม่ติด เป็นต้น

อาตมาถึงได้บอกว่า คนเรามันอยู่ที่วาสนา วาสนาตนมีแค่ไหน มันก็ได้แค่นั้น เจ้าอาวาสบางคนสร้างวัด สร้างแล้วตัวก็อยู่ไม่ได้ แต่คนอื่นได้อยู่ เพราะคนๆ นั้นสิ้นสุดวาสนาเพียงเท่านั้น และบางคนขันติธรรมยังไม่ถึงที่จะทำงานใหญ่ได้ เช่น


วิธีการลองใจ เขาไปบอกว่านี่ฉันลองใจเธอนะว่าเธอจะอยู่กับฉันได้หรือไม่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ลองใจ มันก็บอก มึงเตรียมตัวนะกูจะลองใจนะ มันก็ไม่ต้องเรียกว่า การเตรียมงานที่จะก้าวอีกชั้นหนึ่ง

มันจะต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งของประสาทคน พิสูจน์ความเข้มแข็งของม้าที่จะขี่ แต่ผู้นำที่เขาจะทำงาน เขาย่อมมีวิธีการพิสูจน์ของเขาและย่อมที่จะไม่ต้องบอกให้ท่านรู้ว่าจะพิสูจน์ในแบบไหน นี่เป็นปริศนาธรรมให้คิด

(วันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๖

การปรับปรุงงาน



เรื่องที่เรียกว่า “เกิดความศรัทธา” ทุกคนศรัทธา ทุกคนไม่ใช่ไม่ศรัทธาอาตมา แต่ว่ามันศรัทธาแล้วใช้จังหวะไม่ถูก คือใช้เวลาไม่ถูก คือตามจริงท่านโตวางไว้ทีแรก ถ้ามันทำกันมันก็ดี ท่านเป็นนักปกครองเก่า ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมายมณเฑียรบาล ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมายในยุคนั้นตั้งแต่ ร.๔ ท่านวางตั้งแต่มีสภาเลขาฯ สามคน คณะกรรมการทุกอย่างเข้าสู่สภาเลขาฯ สภาเลขาฯ เข้าสู่กองจัดการ แล้วก็ยื่นให้กับประชาชน

ทีนี้ในการบริหารงานต้องเข้าใจว่า งานที่ยากที่สุดคือ งานศาสนา เราจะต้องมีความสุขุม แล้วมนุษย์ทุกคนนี่ ไม่มีคนไหนเขาจะเอาความชั่วของตัวออกมาพูด มนุษย์น่ะเขาจะต้องพูดว่า ตัวเองมีความดี นี่คือการเป็นมนุษย์ปุถุชน แล้วก็มนุษย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อยากเด่นบ้าง อยากจะมีชื่อบ้าง แต่ไม่มองตัวเอง ตัวเรามีขนาดไหน ตัวเราจะแบกข้าวสารได้กี่กิโลฯ เขาเรียกว่าไม่คิด นี่ก็เป็นเรื่องของมนุษย์

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกการจะเป็นนักปกครองที่ดีจะต้องสุขุม จะต้องเยือกเย็นและจะต้องพิจารณาคำพูดของคนที่มาพูดกับเรา เพราะว่ามนุษย์ทุกคนพูดมันรู้แต่ในตัวเขา เรียกว่าจุดสำคัญต้องจำเอาไว้ อย่าเชื่อคน เรื่องของคนกลร้อยแปด เราจะต้องพิจารณาสุขุม


บุคคลนี้พูดอย่างนี้ บุคคลนี้เข้าสังคมหรือไม่ ได้กรองออกมาแล้ว ก็สมองคนนี้จะใช้ทำอะไร สมองคนนี้จะทำอะไรได้  แล้วเราใช้ให้ถูกจังหวะถูกหลักการ ทุกคนก็มีดีของเขา โจรเขาก็มีดีของเขา แห่งความแน่วแน่ในการเป็นโจร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาก็มีดีของมัน คือการทำงานเกี่ยวกับมนุษย์

เรื่องการปรับปรุงงาน จะต้องมีความสุขุมและเข้มแข็ง คือ อุดมการณ์สิบประการมันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นงานระดับโลก ต้องค่อยๆ กรอง ช่วยกันทำอย่างแข็งแกร่ง ถ้าทุกอย่าง ถ้ามีคนแข็งจริง อาตมาก็เคยบอกว่า สิบคนก็ทำงานใหญ่ได้

สมัยยุคกลียุคตะวันตก เขาส่งองค์เยซูมาทำงาน สาวกยังไม่ถึงสิบคนทำงานใหญ่ได้ ขอให้เอาจริง กรรมการมาถึงไม่ใช่มานั่งนินทามานั่งคุยกัน มาถึงมือเท้ารู้จักทำบ้าง กรรมการก็เหมือนกับกรรมกร ไม่ใช่กรรมการมาถึงนั่งคุยกัน แล้วการทำงานเขาเรียกว่า ยิ่งไม่มีการปรึกษามันก็ยิ่งไม่รู้ พายเรือคนละที มึงตีฆ้อง ตีฉาบตีฉิ่งกันคนละที ตามหลักแล้วการทำงานเสร็จ ตกเย็นต้องคุยกัน

วันนี้มีอะไรบกพร่อง ใครบกพร่องอะไร มันก็จะถึงเป็นผู้ที่เขาเรียกว่า ผู้ที่อยู่ในธรรมะ ไม่ใช่คนนี้มาชี้คนนั้นบอก พวกนั้นเกิดโวยวายไม่พอใจ คนนี้ชี้ว่าถูกเสมอ ประจบตัวเอง มนุษย์เรา ถ้าไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่มีฌานญาณ ย่อมไม่รู้ความผิดของตัวเอง แล้วปุถุชนมีเหตุผลช่วยตัวเอง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ นี่คือสันดานปุถุชน นี่คือเรื่องของสัตวโลก

อาตมารู้ดีว่า เมื่อสมัยอาตมาปกครองกรุงศรีอโยธยา ทำไมอาตมาไม่ทำ เพราะอาตมารู้ว่าขืนไปเป็นสังฆราชอยู่น่ะ กิเลสหนา เข้าวังเขาบอกว่าสังฆราชเดินไม่ได้ ต้องให้เขาหามเข้าวัง ทีนี้สังฆราชก็ไม่มีตีนเดิน อาตมาก็เลยหนี เพราะกิเลสมนุษย์หนามาก แล้วก็การปกครองในยุคนั้นมันง่ายกว่ายุคนี้


ทีนี้ ผู้ที่ทำงานก็ยังไม่เข้มแข็ง แล้วก็ไม่สามารถชิงทันเหตุการณ์เวลา เพราะว่าไปกลัวโน่นกลัวนี่ คือมีความอาย กลัวเสียเกียรติ มีความกลัวอะไร อาตมาบอก ถ้าท่านมาทำงานกับงานที่ทวนกระแสคลื่นและทำงานไม่คล้อยตามมนุษย์ ท่านยังกลัวอาย ท่านยังกลัวเสียชื่อ ท่านยังไปที่ไหนไม่กล้าพูด ไปแอบพูด แล้วก็อย่าทำเลย

และเรื่องธรรมะที่ลึกซึ้งๆ ที่ท่านโตเทศน์ไว้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับนี้ล่ะ ทำเป็นเล่มให้มาก และจะต้องมีคณะหนุ่มสาวที่ออกไปเผยแผ่มันก็จะขยายงานได้

คือสยามต้องอย่าลืมว่า

สันดานคนไทย
เชื่อบรรพบุรุษ
นับถือประเพณี


เรียกว่า ในการคล้อยตามโฆษณาสินค้าอย่างใดก็แล้วแต่ ถึงดีขนาดไหน ถ้าไม่มีการโฆษณา เขาไม่ค่อยเชื่อ นี่คือสันดานคนสยาม แล้วก็ ลืมง่าย เขาเรียกว่าคนไทยนี้น่ะ คำพังเพยเขามีอยู่สามคำ เขาเรียกว่า “ฝรั่งกลัวตาย คนจีนกลัวอด คนไทยขี้ขอ หนุ่มไทยชอบรัก หญิงไทยชอบผัว” คือเอาแต่เรื่องกามคุณตั้งโบราณกาล แล้วก็รักง่ายหน่ายเร็ว นี่มันเป็นตั้งแต่อโยธยามาแล้ว


มันเป็นสันดานของสยาม เขาเรียกว่า เผ่าพันธุ์มันเป็นอย่างนี้ เวลานี้มันกลายเป็นว่าอารยธรรมทางตะวันตก ซึ่งเป็นอารยธรรมที่ป่าเถื่อนครอบงำสยามเข้าไปอีก มันก็ยิ่งเข้าไปกันใหญ่มันหลายๆ อย่าง ที่อาตมาบอกว่า รู้แต่ว่าต้องการนิ่ง เพราะไม่อยากพูด พูดแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องที่ภาวะ...

อาตมามันเดินแนวโพธิสัตว์ โพธิสัตว์เขาเรียกว่า ทุกวิถีทางที่จะช่วยให้มนุษย์มีความสุข ทุกวิถีทางที่จะช่วยให้มนุษย์ไม่มีความตระหนกตกใจ อาตมามีแต่แก้
อาตมาก็ถืออย่างนี้

ทีนี้ มติโลกวิญญาณตั้งสำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่แก้ เรียกว่ามีหน้าที่ปิดทองก้นพระ บางอย่างเราพูดได้ พูดแล้วมันก็จะกระจายออกไปไม่ได้ รู้แต่ในหมู่ลูกศิษย์ ที่ก่อนนี้เคยพูดมามาก เพราะว่าถ้าเรากระจายออกไปเวลานี้ เขาเรียกว่าบ้านเมืองเขามีอะไร เขาเรียกว่า ข้อหาบ่อนทำลาย

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๗

สิ่งอัศจรรย์ของโลก



ลักษณะสภาพทั่วไปของประเทศสยามขณะนี้ มันอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ถึง “จุดวิปริต” ทีนี้ในภาวะถ้าเราพูดในลักษณะคนทั้งหลายที่มีใจเป็นกลาง และเชื่อดวงของประเทศเชื่อในเรื่องของอำนาจวาสนา ซึ่งท่านจะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมา ปีศาจลิงขึ้นครองเมืองและสามารถรักษาสถานการณ์ได้

ต่อมาพวกนี้รักษาไม่ได้ เพราะวาสนาไม่ถึงของการเป็นผู้นำ ทีนี้เรื่องของประเทศไทยนี่ อาตมาก็ได้พูดมามากมายแล้วว่า ดวงของประเทศไทย ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีบุญวาสนาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วคำว่า ความสงบในแผ่นดินไทยย่อมไม่มี

ตามที่เจ้าหน้าที่รายงานอาตมาแล้ว เขาแทรกซึมเข้าไปในโรงเรียนชั้นประถมทั่ว ๗๑ จังหวัดแล้ว ฝ่ายธรรมะแทรกซึมอะไรเล่า เพราะฝ่ายธรรมะกำลังเงิน กำลังทรัพย์ กำลังคนไม่พอ


ฝ่ายเขาก็มีเป้าหมายการรบ เขารบแบบมีความหวังในเรื่องการปลดแอกอะไรที่เขาจะสรรหาขึ้นมาพูด แต่ฝ่ายเราเรียกว่า บางคนรบเอาเบี้ยเลี้ยงแบบหวังขึ้นสองขั้น รบแบบต้องการเหรียญตรา การรบเช่นนี้ ท่านจะต้องคิดเรื่องนามธรรมว่า มันเป็นไปได้ไหม คือ

การทำอะไรก็แล้วแต่ จะต้องทำด้วยความศรัทธาแน่วแน่และจริงจัง มันจึงจะได้ผลของงาน แบบท่านทั้งหลายมาที่นี่ มาด้วยความศรัทธา มันย่อมจะดีกว่า คือไม่มีใครบังคับท่าน ท่านก็มาเอง เป็นต้น


เพราะฉะนั้น จิตเป็นหนึ่งในการทำงานฉันใดก็ฉันนั้น และในภาวะขณะนี้ ฝ่ายธรรมะก็ต้องรีบรุกหนักแล้ว เพื่อชิงเหตุการณ์ ทีนี้ผลการกระทำมันไปได้ ถ้าฝ่ายธรรมะร่วมกันส่งเสริม และขณะนี้ฝ่ายธรรมะต้องไม่ถือเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นงานอดิเรก

แต่ข้าราชการบางคนถือหลักราชการ ในการทำหวังเงินเดือนสองขั้น หวังยศถาบรรดาศักดิ์เป็นงานหลัก ทีนี้งานทั้งหลาย คนมาร่วมมันจะต้องมีสมองและมีอะไรบ้าง และก็เวลานี้มีใครที่เรียกว่า รักชาติกันจริงจัง ทำงานเพื่อมนุษยชาติอย่างไม่คิดถึงตัวเอง


วันหนึ่งผ่านไปเวลาก็ผ่านไป เราต้องรีบเร่งทำ งานมันก็จะได้เข้าสู่เป้าหมาย ถ้าทุกคนและฝ่ายบริหารไม่ทิฐิกัน ไม่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ทุกคนไม่เอาราชการบังหน้า และทุกคนประกาศว่า ยินดีต่อสู้เพื่อไปปรับปรุงประเทศ ทุกคนจะต้องทำอย่างจริงจัง

แต่ทุกวันนี้ส่วนมากทุกคนยังมีห่วง ยังมีเรื่องห่วงเมีย ยังมีเรื่องห่วงลูก ยังมีเรื่องผัว วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง อารมณ์แห่งความห่วงของท่านหมดไปกี่ชั่วโมง งานของประเทศและงานการอยู่รอดของประเทศ งานของสยามประเทศไม่ใช่คนสองคนทำได้ มันจะต้องเป็นกลุ่มงานของสังคมที่ทำกันอย่างจริงจัง และคิดว่าท่านคงไม่อยากจะให้เมืองไทยลุกเป็นไฟใช่ไหม


ซึ่งอาตมาก็ได้พูดไว้ตั้งนานแล้วว่า เรื่องของประเทศสยาม คน ๔๐ ล้านคน คัดออกมามี ๔ ล้าน ๔ ล้านคัดออกมา ๔ แสน ๔ แสนนี่ คนจริงเที่ยงธรรมกล้าสู้เพียง ๔ หมื่น คัดออกจากอยู่ตามป่าตามดง เหลือแค่ ๔ พันคน นี่คือสภาพของเมืองไทย

และเรื่องจะปรับปรุงประเทศในเรื่องอะไรต่างๆ นั้น การปรับปรุงต้องมีอำนาจ แล้วจึงปรับปรุงสังคมสยามได้ แล้วต้องใช้เวลา ๒๐ ปี แล้วเราจะต้องมีอำนาจตั้งแต่บัดนี้ถึงจะกู้ประเทศไทยไม่ให้ล้มจ่มได้ และถ้าท่านจะเปรียบกับฝ่ายที่เขาทำลายนั่น เขาเดินมากี่ปี ถ้าหน่วยราชการร่วมมือกับเราอย่างจริงจังแล้ว ฝ่ายอธรรมย่อมพ่ายแพ้

เรื่องการต่อสู้ในประเทศสยามเวลานี้ มนุษย์ที่ไม่มีตัวโลภมีกี่คนในสังคมนี่ แล้วสันดานแห่งอนุสัยของคนในสยามในขณะนี้ ถูกอบรมมาด้วยเงินและอำนาจที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์เป็นเรื่องยาก ในการเลือกตั้งอะไรก็ดี ท่านดูซิว่าเขาต้องทุ่มเงินกัน การเมืองไม่ใช่เรื่องบริสุทธิ์ของเมืองไทย


และเรื่องอะไรต่างๆ อีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งมันแก้ไม่ได้ทุกจุด เพราะกรรมมันหนัก จะช่วยได้ก็เพียงให้เบาบางลงและวิบากช้าลงเท่านั้น และจะสำเร็จได้มากก็ต้องอาศัยมนุษย์ที่เอาจริงที่อยากให้ “งานอันเป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลกบรรลุเป้าหมาย”

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๘)

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 20:42 , Processed in 0.051840 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.