ตอนที่ ๓๐ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
สานุศิษย์ สาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันสมมุติในโลกมนุษย์ที่ได้วนเวียนมาอีกครั้งหนึ่งตามกฎแห่งสังสารวัฏ ในการเวียนว่ายแห่งวิสาขมาส
ท่านทั้งหลายก็ได้มาจัดพิธีการบูชาครูขึ้น เพื่อระลึกและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่ออาตมาก็ดี ต่อเทพพรหมก็ดี ต่อผู้สำเร็จทั้งหลายก็ดี นับเป็นการแสดงออกที่สมการเป็นคน เพราะการเป็นคนที่ให้สมการเป็นคนนั้น จะต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณเป็นหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เต็มไปด้วยมนุษย์หรือว่าคนแห่งสมมุตินานาชาติ นานาจำพวกจากทั่วทุกสารทิศแห่งสยามประเทศ ทั้งสานุศิษย์ ทั้งสาธุชน ทั้งผู้ที่มาสังเกตการณ์ก็ดี ทั้งผู้ที่คิดอยากจะมาร่วมพิธีนี้ก็ดี ซึ่งเป็นการให้เข้าใจว่าในภาวะเช่นนี้ ซึ่งเป็นภาวะแห่งกรรมวิบากของโลกมนุษย์ที่อยู่ในกลียุคแห่งมนุษย์ที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ในการที่เข้าครอบงำที่จะคิดทำลายจองล้างจองผลาญ
อาตมาได้แลไปทั่วสารทิศแล้วว่า เมื่อสารทิศทั้งหลายเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่จองล้างจองผลาญ ในเมื่ออาตมาเป็นผู้เกิดในสยามประเทศ ได้สิ้นขันธ์ในโลกมนุษย์ไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ ก็ได้คิดจะช่วยกันบำรุงขยายให้ชาวสยามมีความที่เรียกว่า ละทิฐิมานะในตนในการยึด ในการวางตนให้อยู่อย่างรู้จักความพอประมาณแห่งชีวิตการเป็นมนุษย์
โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันวิสาขมาส เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานในวันเดียวกัน เป็นวันแห่งสังสารวัฎที่เรียกว่า เป็นวันที่ชมพูทวีปได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ในวันแห่งวิสาขมาสต่างกรรมต่างวาระ
วาระที่หนึ่ง ได้เกิดประสูติคือ เกิดบุรุษแห่งธรรมราชาขึ้นในลุมพินีวัน
วาระที่สอง ได้เกิดบุรุษอาชาไนยผู้ได้หยั่งรู้ถึงความอันบริสุทธิ์ที่พุทธคายา
วาระที่สาม ได้เกิดเศร้าสลดบุรุษอาชาไนยที่ได้หยั่งรู้ถึงความบริสุทธิ์ ได้เผยแพร่ธรรมะนั้นให้สู่มวลสัตว์โลก ได้ทิ้งขันธ์สิ้นจากโลกมนุษย์ที่เมืองกุสินารา
ซึ่งเป็นการแสดงของสังขารที่ไม่เที่ยง เป็นการแสดงออกความแห่งวัฏฏะ เป็นการแสดงออกของสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่การเกิดเป็นมนุษย์เรียกว่า การเป็นสัตว์โลก เป็นผู้ประเสริฐที่มาใช้กรรม
เมื่อในวาระเช่นนี้ เมื่อเราทั้งหลายยังจะต้องใช้กรรมกันอยู่โลกแห่งวัฏจักร เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาบำเพ็ญทางจิต บำเพ็ญตน ให้ละคลายในทิฐิมานะแห่งความยึดตน หลงตน เข้าใจว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้รู้ว่า เป็นนั้น เป็นโน่น เป็นนี่
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมมุติ การสมมุติการเป็นใหญ่ก็ดี การสมมุติการเป็นเจ้าลัทธิก็ดี การสมมุติในสิ่งต่างๆ ก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ กาลเวลาไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องไปสู่ความสลาย เหลือแต่วิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่ว
เมื่อเราทั้งหลายรู้ว่าเหลือแต่จิตวิญญาณที่จะไปสู่ภพดี ภพชั่วเท่านั้น เราทั้งหลายทำไมจึงไม่หันมาฝึกในการเตรียมตัวในการฝึกให้เห็นนามธรรม เขาเรียกว่า “ปรมัตถธรรม” ให้มีความเมตตาประจำใจ ในภาวะความเมตตา ความอภัยของการเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิ่งที่ค้ำจุนให้โลกสงบ
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายในวันนี้ที่ได้มาทำพิธีบูชาครูและกระทำพิธีขอขมาก็ดี เป็นการแสดงออกของมนุษย์ที่ไม่ตกอยู่ในทิฐิมานะที่ยึดตน ที่หลงตน ว่าตนทำถูกทุกอย่าง
การเป็นมนุษย์ การเป็นปุถุชนย่อมมีการทำผิดทำถูกคละเคล้ากันไปในชีวิตการเป็นคน เพราะชีวิตแห่งการเป็นคนล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้แห่งพญามารของโทสะ โมหะ โลภะ เจ้าแห่งโทสะออก เจ้าแห่งโมหะเข้า เจ้าแห่งโมหะออก เจ้าแห่งโลภะเข้า เป็นเรื่องที่เวียนกันไปเวียนกันมาอยู่ในร่างกายและจิตใจของมนุษย์
แต่ใจเราจะทำยังไง
จึงแลเห็นเจ้าโทสะ
จึงแลเห็นเจ้าโมหะ
จึงแลเห็นเจ้าโลภะ
เราจะแลเห็นเจ้าโทสะ เราจะแลเห็นเจ้าโมหะ เราจะแลเห็นเจ้าโลภะ เราก็ต้องมีสติ การที่จะมีสตินั้น เราก็ต้องทำสมาธิ ในสมาธิแห่งการตามทันอายตนะของสิ่งทั้งหลายที่สมมุติเข้ามาสู่กายเข้ามาสู่ในจิตเราในการกระทบเรา
ที่นี้การเป็นปุถุชน จะดำรงชีวิตเพื่อที่จะได้มนุษย์สมบัติ ได้สวรรค์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติ ในเรื่องจะทำยังไงในชีวิตแห่งการเป็นปุถุชน
ชีวิตแห่งการเป็นปุถุชนจะได้มนุษย์สมบัติก็คือ จะต้องมีเขาเรียกว่า ทำทาน เรียกว่า “จาคะ” มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ มีความเห็นใจซึ่งกันและกันในเหล่าเพื่อนมนุษย์ มีความอภัยต่อเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมงานก็ดี ไม่ได้มีตัวโลภะ ตัวโมหะ เข้าครอบงำ เราหาทางชี้ทางช่วยเหลือ เราหาทางตื่นตัว เราหาทางช่วยเหลือในสมบัติของโลก ดูแลให้โลก อย่าทำลายโลก เราก็ได้มนุษย์สมบัติ
ที่นี้ในการที่จะได้สวรรค์สมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญศีลและสมาธิบารมี จึงจะได้สู่เรียกว่า สวรรค์สมบัติ
ที่นี้ในการที่จะได้นิพพานสมบัตินั้น จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญสมาธิจิตให้แข็งแกร่ง ให้ได้ฌานญาณ อย่างน้อยเขาเรียกว่า อาสวักขยญาณ จึงจะได้นิพพานสมบัติ
ความปรารถนาสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่มีความแน่วแน่ของคำว่า เอกัคตาจิต ในความจริงใจในการดำเนินการเด็ดเดี่ยวในการทำงาน ในการตั้งสัจจะเขาเรียก สัจจบารมีในการบำเพ็ญจิต ก็ที่จะได้สิ่งเหล่านี้ตามความปรารถนา
ฉะนั้นท่านทั้งหลายในการจัดพิธีในวันนี้ ก็เรียกว่าเป็นพิธีดี เป็นพิธีมงคล และสิ่งที่ท่านขออาตมาก็จะให้ ให้ตามสิ่งที่ท่านจะได้ตามกรรม ตามวาระ ตามวิบากที่ท่านจะได้ แต่การจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตนต้องดำเนินตนจึงจะได้ของตน และตนจะต้องตั้งมั่นอยู่ในจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้ตั้งมั่นในสิ่งนั้น ท่านก็จะได้สมความปรารถนา
เจริญพร
|