ตอนที่ ๓๑ คลื่นกระทบฝั่ง
ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปี ๒๕๔๐ มานี้ ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงพ่อดู่ท่านเมตตามาโปรด โดยเฉลยปัญหาข้อขัดข้องใจในการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า
เรื่องมีอยู่ว่าในระหว่างนั้น ข้าพเจ้ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติว่าจะมีอุเบกขาวิธีอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตใจของเราให้เป็นไปในทางที่เราต้องการได้
ในคืนนั้น ขณะที่ข้าพเจ้าเดินจงกรมภาวนา เมื่อใจเกิดความสงบดีแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหลวงพ่อดู่บอกข้าพเจ้าว่า คำตอบที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นอยู่ในหนังสือ “อุปมลมณี” ซึ่งเป็นหนังสือเรื่องราวชีวิตและการปฏิบัติธรรมตลอดจนรวมธรรมคำสอนของท่านพระโพธิญาณเถระหรือ หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีใจความว่า
ธรรมอุปมา
การอุปมาเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดูเหมือนหลวงพ่อชอบมากที่สุด และเป็นวิธีที่ท่านถนัดมากที่สุดด้วย ท่านยกเอาธรรมชาติรอบด้านเข้ากับสภาวะ เข้ากับปัญหาถูกกับจริตนิสัยของคนนั้น อุปมาอุปไมยประกอบการสอนธรรมะ จึงทำให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ตามไปด้วย ทำให้ผู้ฟังสามารถมองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หมดความสงสัยในหลักธรรมที่นำมาแสดง ตัวอย่างการอุปมาของหลวงพ่อ ได้แก่
.....“การทำกรรมฐาน ทำเหมือนระฆังใบนี้ ระฆังนี้ตั้งไว้เฉยๆ เสียงไม่มีนะ สงบ สงบจากเสียง เมื่อมีเหตุกระทบขึ้นมา (หลวงพ่อตีระฆังดัง ๑ ที) เห็นไหมเสียงมันเกิดขึ้นมา แก้ไขทันท่วงทีเลยชนะด้วยปัญญาของเรา แก้ปัญหาแล้วก็สงบ ตัวของเราเหมือนระฆังนี้”
.....“เหมือนกับคลื่นในทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงแค่ฝั่งมันก็สลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาก็ต่อไปอีก มันจะบอกฝั่งไปไม่ได้ อารมณ์มันจะเลยไป ความรู้ของเราไปไม่ได้เหมือนกับเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะพบกันที่ตรงนั้น มันจะแตกร้าวอยู่ที่ตรงนั้น มันจะหายก็อยู่ตรงนั้น เห็นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ฝั่งทะเล อารมณ์ทั้งหลายผ่านเข้ามาเหมือนคลื่นทะเล”
ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดว่าสมควรแก่เวลาพักผ่อน จึงได้ขึ้นมาที่ห้องนอน ที่ตู้หัวเตียงมีหนังสืออยู่หลายเล่มแต่เหมือนมีสิ่งใดดลใจให้ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาชื่อ “พุทธทาส สวนโมกขพลารามกำลังแห่งการหลุดพ้น” ซึ่งรวมคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ มีใจความว่า
หลักการปฏิบัติเกี่ยวกับพลังทางเพศ
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติไม่ได้มีแผนการคือ เราทำงานที่เราชอบหามรุ่งหามค่ำ แล้วพลังงานที่เหลือที่รุนแรงทางนั้นมันก็ลดมันก็หมดไป แรงกระตุ้นอยากมีชื่อเสียง อยากให้มีประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เขาคอยรอผลงานของเรา อันนี้มันมีมากกว่า นี่ก็เลยทำเสียจนหมดแรง พอเพลียก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ทำอีก ไม่มีโอกาสใช้แรงไปทางเพศตรงกันข้าม เราไม่ได้เจตนาโดยตรง มันเป็นไปเอง
เหตุการณ์มันบังคับให้เป็นไปเองคือ เราหาอะไรทำให้มันง่วนอยู่กับงาน พอใจในงาน เป็นสุขในงาน มันก็ซับบลีเมท (sublimate หมายถึง กลั่นกรองทำให้บริสุทธิ์ -ผู้เขียน) ของมันเอง เอาแรงทางเพศมาใช้ทางสติปัญญา เอาแรงงานกิเลสมาใช้เป็นเรื่องของสติปัญญา ต้องมีงานอันหนึ่งซึ่งพอใจหลงใหลขนาดเป็นนางฟ้า เหมือนกับเรียนพระไตรปิฎก ต้องหลงใหลขนาดนางฟ้า ความรู้สึกทางเพศมันก็เกิด แต่ว่าความรู้สึกทางนี้ (ความคิดที่จะเป็นประโยชน์ส่วนรวม) เหมือนกับสิ่งต้านทาน เช่นว่า
คลื่นกับฝั่ง คลื่นมันก็แรงเหมือนกัน แต่ว่าฝั่งมันแข็งแรงพอจะรับ (หัวเราะ)
ถาม - วิกฤตแบบจวนเจียนจะไปไม่ได้ ตัดสินใจอย่างไร นั่นมันเรื่องคิดฝัน เวลามันช่วยได้ หรือว่าไม่รู้ไม่ชี้ (หัวเราะ) มันช่วยได้ มันเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง พอพ้น พ้นเวลามันก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่สรุปแล้ว มันต้องทำงาน พอถึงเวลาเข้า มันต้องทำงานมันนีกถึงงาน อยู่ไปทำงานเสีย ความคิดฝันนั่นก็ค่อยๆ ซาไปๆ มันไปสนุกในงาน
|