แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6727|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา
6 x5 _+ a, u8 a/ V5 Y
( c! B  _; r  H, }8 c9 \* r; C2 s" V* m  K
5 k, Z- G/ e' `
ความหมายวันมาฆบูชา! p7 G7 c& d# R4 w) X& s  V
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
# O8 e$ k1 I, ~( r- @) u. d
( N8 n$ h; D1 m, }0 K" k$ W  tความสำคัญวันมาฆบูชา
% a5 k" ]" z# Fวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์. V1 r3 s% |, E

  j  w7 F& F# ?4 }$ X* B. k  Y1 Cผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ$ ^/ t( C: ]/ G1 }
# J% q, z0 \; k9 W/ m. @8 ]
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
6 {3 q- _9 J) t! a8 f$ X
! V4 F4 |& p0 m; |+ G) e* _ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา5 F+ ]) Y; u2 @( i* u8 @) }
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ) i8 t: H9 L) r' U
6 Y4 o) g0 i; p- c) r- H8 T
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต2 D$ m, `: \* z0 @
1 b% f$ l: {7 r: e( Q
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ# E/ s& X; ~% @' X2 ^/ e
- Y5 l# \! u% K9 K( y+ v
"จาตุร" แปลว่า ๔ 3 F0 T- p$ d3 W4 T' B+ {) e. }4 C
"องค์" แปลว่า ส่วน
% A6 T+ }) ~$ C" e0 A# Y"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ( q7 H2 c. V3 ]% `+ i
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ+ n: e9 S! i2 n5 K
+ r6 y$ o5 U3 Z
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
2 h+ }( m2 k& `; F* a, N4 m! Q9 O9 E  O
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น$ r, F/ T5 e7 C+ T. }7 R" k
+ S: j  `8 q3 F0 h
3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
9 h4 c4 z9 o3 b8 j" ^. O* C; m, J  _" A: r3 X
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ# _: l2 r5 ]; ~/ T4 B3 j

8 Q3 v  t' J4 n# d5 Lประวัติวันมาฆบูชา
' A$ B$ I" x) V8 i7 M* ~" x) K
0 F$ P" O& P0 h5 Oมูลเหตุ% i/ Z9 M- G: {3 d3 x
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ 0 r6 T- w4 p, X+ N( q
" ]9 o$ M, i; P7 h8 Z6 E% ^# r
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา$ p) o' a/ H4 z5 R3 a" R2 \

! u% ]; e+ D7 e2 p! [พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก2 m( x$ W3 ?9 X- I$ A
" S4 T: l% g: f7 [" C8 y4 ~
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
2 S1 @6 o' x( _- c3 R  ]  d4 _+ D: _  b6 B4 p* k
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว; D. Z) N! s, D2 ^; n9 |1 K1 Q
5 z( O& X$ Y+ P; T
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
3 x1 [6 n% c4 P/ z0 l  s" Z- \4 Z8 b; G# e" J9 [0 c

9 v( S3 D5 z1 l; o$ @' O- o4 W. u+ r( |7 C1 d0 I9 k
โอวาทปาฏิโมกข์
% m7 {" l% i/ j+ E3 ^; s" \หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก
% [; D) Z. P- @  t
7 k/ _; k5 A, }& c6 W3 N' Lกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
$ t& g7 K( c3 {5 q6 ~* i8 e
3 H* {/ Y5 |( b9 }2 Z- e$ z7 D) rสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
7 \1 e1 u3 P7 a5 nสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ& G9 l- Z$ W/ l4 P1 F- W  j  i
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา/ ~  w+ Y5 T1 \- b4 p/ U- [8 x. G
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา3 t' T) f9 M/ A! Y# G) ]
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
8 d. N6 c; p1 aสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
; b8 U" E, s. t' pอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
9 n1 E) _9 h; vมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ+ C% S/ @! z( n# ?0 Q+ p* ]* u* {
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ- _0 @+ T. l/ }* B8 V# A, r
' ^* _3 {6 d5 k# G. t+ h
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
( W0 X5 T4 q, v! Z) D0 v& H; |' |/ N; v
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง5 Q$ c) s2 e& g2 M

2 K' l2 t9 _0 r9 s7 Zหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส8 R) ^$ G  P8 A6 e
+ v$ P, g# l  g0 P+ W9 [
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)4 O6 F( V9 g5 \3 G9 O

5 D( n  f) I. Q( _พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
; B0 \! c% t3 g" V5 Q
+ s" k, v  L. M" Cภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
- z4 z# d9 U9 Q" D* Y3 q& X. t, U( x* u/ y$ p& {3 G. j
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
7 o5 n6 T/ J. }$ }* g+ I1 n/ F
' ^: u% b% w! w5 L& @วัดเวฬุวันมหาวิหาร
1 Q4 S/ P0 q# V1 u$ ^"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ) ?) A8 L7 ?- X" ?! C* c1 o! t5 j
+ \9 C( }" ]5 i% t6 h9 B
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)& g) l$ r1 }" \# k
' m8 {. E$ r1 l
! D  D1 i/ B) t9 N) k9 d

: E+ ?  k  v% ^5 hวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล% f% y6 B+ m; j1 X$ A
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่- x3 P; l" V. a' s& T! l1 o

3 n8 F5 b/ c7 t7 q' U# ^$ T9 ?สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น& ]9 x8 d5 e% x) s( h. R

% N! s; [  y. i8 K5 vพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน, G8 U2 r( d" Q6 f! M

! U9 b4 @& C1 q8 nวันมาฆบูชา
- n4 b3 ~2 x- b0 m9 a5 r# k. J' T' @' G) V2 N
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน. s% |* k) }+ i; l# c7 Q& J* V# D
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
$ }/ S7 ^- C8 @* y4 m
& B4 S0 u- N# u1 @  j# I2 y8 Nชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี  I2 `+ h$ j3 v- Y! E# z9 J

# E) N5 Z7 p/ s0 L+ Kแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง' P" s$ D6 ?0 }* G

( P3 K7 |6 d/ M' Dเวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ' J$ F- N! A' ~7 q3 [

4 Y: ~3 O( S5 hได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
0 ?7 i% E' ]' v5 Z; Y& U  l+ h, B: x) H3 h% ^2 z( D  K
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่, e  M8 }; Q) r: O$ s
0 Z/ J. V; h/ Z6 {# D
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด! f3 h8 r: f' w0 g+ A+ W: d1 {
" ^: f6 l' F: k3 [  f; X3 Q( ?
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
& f$ d  X5 k: F5 i  `3 X% S6 R# ]9 Q) \2 c
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
! D" j  ?/ x5 F6 I
$ {2 Q- m; z9 O, b7 Kโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)* P( D1 u' i9 k7 K& x$ Y1 D

/ I/ Z  F  [9 j& I$ g5 P0 y/ zจุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
; A2 H2 S) H$ j6 I. [ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
" V7 b+ h! [- e# k3 R/ O# |& m  O
% _5 V! N. l2 f. [# y* qไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก
. L" R! h; Y( A- `/ d4 S
7 }  I$ o* P: m$ Wๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)) B8 G/ ?( {2 ]6 x

  H+ ]; I, f8 p2 G+ O& `( dจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
( [$ Z. U0 ^  z/ H+ [, [% _# ~; Cถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง8 y' O4 d, f+ E# ?% j. ?
$ W/ p2 z% C% G8 G) b+ t
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
4 M  n) y- {' t: s
; u' B3 @% @% Cเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
0 M) o/ P  z" U* V
( P" e) t; T- l) e& @0 F+ z5 Lในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
5 _" u/ E" p2 Y" P* G* L7 e
! _4 A. F8 H9 a- N! a1 y2 tเกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ/ S/ y0 W# O$ I5 b/ {" I7 u: L

+ s! g: `8 o( z# t, o' K( P1 V, Uกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน: G* }! D4 O) u; q( ?6 D$ C, D) v

, k. C1 }, o- M& pจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง. m% J+ l0 S2 g1 \

2 H# `3 {# n% q8 U+ S. Y* |โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)' H9 }6 [$ I2 j7 y6 z  q
2 n) J% h/ L7 C1 P
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
) @& V1 v+ ?; e# p+ `% M6 h7 Q0 ?4 p. x
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
& ~$ d# B8 ]4 `& g6 }* ~- C1 I: Q+ j7 I  A
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
( S, `. r* W, {% [4 B0 {+ \& ^9 \. a- q# g* x, @: h
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
" N2 a- q' |. C: L8 f9 v/ i) @* O8 r; }* y/ A8 M4 b% r1 d# w. J
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย
% T* S* |5 m  C; ^1 X  l* K7 {% N4 s" J
" U3 L* V9 y1 ?) L: }* ]0 B5 O
+ y( U3 S, v) C1 y/ b
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
# ~3 u9 w9 g1 @' x* ]4 Wพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
7 y/ Y4 s" a; w6 N3 U/ _  r" u  w/ K( p4 F' `: ]$ B$ Q5 p2 C
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
# B3 n1 E( P% d1 z$ z4 P
1 S/ W, C1 j1 r" a2 ?5 zจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
3 i4 f; f/ a! l6 C# u9 y. r6 ^/ C6 Q: Q4 v$ A; C6 b
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน1 F1 o. `9 w* G" P
( l0 D; Q: v& u/ c5 ]
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด
2 a6 X7 E+ N4 d2 l1 A
6 i- S- Z) O2 }0 Q/ Xมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
) Z; ~8 J% _- W+ T8 b# y" O๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
/ F4 t, F6 x, ^- m& z* H6 @' @
0 r/ F7 I* _  s: |: [' G( h1 {จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ; \% b" j3 {7 f; P

" S) C& A( f( Y. R9 g1 sประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี& B2 g1 z1 @- y, j4 x' n

- ]% N" h4 G3 E- C: D, Oในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
% ~3 @- L( l% P; T
1 y$ b" N, Q) F) T6 ]/ t7 v. y% B9 Nอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔9 v$ f; m/ l5 g0 Z2 T

+ l- W1 `1 H% a' R( X% G( J6 Q* q

6 T- F; v( f: O6 m8 H; Z& S- zหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
7 M" S2 p, `. n" Q& ~; X. u( q4 dหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย 6 I1 X8 f! K+ m4 ?2 j6 a

0 a' k/ F" V2 u# j8 Y. |หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้$ }3 }( ^, J  _9 |6 y

! t% x3 j7 y& X$ M* \หลักการ ๓4 g- x' P2 p+ m+ L
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น( `7 E: z' U+ \( \; T
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
+ l9 [0 e) k- I: r3 W$ A* xความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ 2 O  `, P$ l- i: _- k# T* p
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
- k4 d4 X: N! B1 F$ ?6 _  i
) X$ y( \  k/ m1 h/ u- U* j) K๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ; y( `5 v% x' _4 b- a2 f$ q& s
/ ]$ k! n4 V! Y# t) v8 u
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
. S. K2 U, L6 Z4 T8 r4 Sการทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ: _+ Q. b" n' b
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว( _5 J' ~( V/ p5 K4 l

! R( F/ G$ h$ M. D, }( C& t๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่- Z  m' w8 C' C  ~0 F* ?
' g& Q5 X3 v" U! l& ~. [$ H
๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ); r& ~0 o5 S+ C: [+ S
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)" T6 K+ H$ p, s' g6 L6 N$ _# H& c* A
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)! k$ X, ~, D. I; T" E; `4 n
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ! r3 S6 @- R/ o& C- P: \0 y
๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
6 ^9 {: s- c8 F( U) l
* t% I+ ^7 i4 sอันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง# B/ J# C: G* z6 O% I' g

( g! ~% o& [5 Sอุดมการณ์ ๔$ D7 {. P7 i$ C- s: q5 `
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
( S- J1 a- H  s: M/ I๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น# t; p5 x0 C3 |' y
๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ0 L9 X( F7 I3 E. P2 z6 l9 l
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘, _! Q$ N& }) h* T" n# ^

. H- O" I+ ^1 uวิธีการ ๖
8 K/ c/ A. a3 \* h4 _2 ^: B๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
) T: b; D8 F7 h. }" v๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น/ W+ k3 o1 J) Q' @! Z% m9 ]- D
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม! z# J0 ~2 J8 E5 }; l. d5 ~# ]9 \- \
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
6 }4 `% C2 t5 H; S$ L๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
6 Y; D' ?) i, V2 |/ P๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ4 B; a/ U+ p) B; _5 d2 m$ |
ภาพที่ดี/ Y; H% x, L* j' q% }/ ?
% p& E5 B8 X' s
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php
3 D5 O$ R3 e8 ~7 I; p( i/ M; v" o. W% B) H
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-3-15 18:16 , Processed in 0.047051 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.