แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6929|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา4 D, Y5 U/ u9 o& q0 e  \. F! o% y* n

6 C" t- T" y, x" T6 i
1 x2 g9 F* F* P1 c0 N& P% u
' j# c: P: t% j/ {( X; |: Tความหมายวันมาฆบูชา+ J. Q6 h6 [# q: Y+ t
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์" y. V5 y. G) ~8 W( E, V9 w
. F7 o& _! r4 F& j& {/ |$ ]
ความสำคัญวันมาฆบูชา
4 a9 y0 j' Z, F- \วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์6 H* }) D' d8 y: \& y- }7 K  C8 _

; q/ w* z/ B+ Eผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ7 O8 Y3 `1 G; z! ^7 L. o( T

) f* h" M# P4 s+ v( W: H- bความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
0 n. P: e% l$ I9 S1 ]  p- J5 S2 ?& y( k1 ^# E3 U  x- u6 Y8 f
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา% z2 s8 g- ^2 p$ X; A# r; G5 D
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน - W: U& ]5 i# Y8 Q0 J5 R

) F( J7 C7 k9 V. j) z! g๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต. u+ d% F' V7 b7 C' g% w

  g% R% I* o5 \คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
& N& _( I" ]* }2 X0 W  F* g/ B: [0 C9 D/ C* u6 Q
"จาตุร" แปลว่า ๔ 5 S3 F; p8 ^4 C. ?7 ~0 k/ E
"องค์" แปลว่า ส่วน
5 M# H% {& @3 B( k3 t8 u* M"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
* J7 C/ F$ a- P# uฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ% ]& l) W9 g) R/ t9 J; f9 y

$ j6 G# ~& Q( g  V% P8 n1 @. d1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
( L% K$ y/ p- _8 ]1 F& P4 |$ \3 K5 r4 N+ D# r4 u. i3 P
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
# z; u9 |4 }; b
" F2 z* S/ @1 t' K# U+ e$ [: a9 v3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์3 s5 q6 a+ C% `' R
7 \3 i5 f1 m: I
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
  T' [! i: N& v: c! F2 C
# B& ]7 X9 f& J- u( Oประวัติวันมาฆบูชา
$ E. l1 M: L) k5 m) y% I8 b. N' I5 M" r1 t0 z; t
มูลเหตุ
. h5 Y/ W; B0 dหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ 5 E9 d  B' _& T( J( @% g. V) @

( e( |4 K: V1 ]$ o3 n( Oเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา- o+ m4 s5 N3 P& e: B1 F

. S) B% p: s2 W3 O% M2 O+ }/ @พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก
" ?* h2 Y) z# W' o- B9 H8 g
* P' D& w( i. E2 C$ \1 F8 lพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย& n2 [( l! r( K0 q# a. D5 {
; b6 h. o6 I8 D  t& H
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
0 t0 c) p0 S: X+ N! y; t, Y" _9 R' t' ]* C+ k
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน  A. v: H2 c3 \/ C# p/ H
! U  A; b( w7 K, o" p
. d. F: R* [8 B2 F# k( \
  ?3 h  H* g3 s8 |$ ~% s/ X+ r+ C
โอวาทปาฏิโมกข์ * Z; b0 \4 H8 w1 ~/ m' ~% D( ?
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก5 M, |) e  W# X, e. J

' b' K" j( P4 G- V& G% j1 F8 n- J8 oกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)& T3 x0 ^, f& W1 p$ S  B7 h6 A

: p/ N/ V! H7 S7 _สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
# U, {0 S% ]  _8 o! F$ @7 E* sสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ0 [) x! r4 J9 A& X1 w; F$ N
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
0 l8 w7 M2 b7 T* ]. _9 d, }* K. zนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
$ @$ z& Y* p. M0 q. eน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
  H- f3 d8 [  y5 w9 {( o4 Uสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
, z3 H9 L$ B- `- yอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร: H6 N+ S5 t/ Q, R/ |- ]& F
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
, ~6 M# Z. i2 ?5 D. dอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ' H7 m6 E2 q1 z! ^

( d$ T3 i1 U* n( X, C& c8 l) aแปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน9 r2 b$ n, x; Q- X( D8 A# X
8 y) g: R5 b2 n/ ], v7 N' h
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง( r# q2 m  q9 r) H3 F0 P
3 N* z( B4 h' T/ n
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส# A1 H( e& }; q
8 V2 s  z( _6 g9 j
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)& m# Y7 O% n8 L
2 Q8 Y1 L7 r) v" ?$ e/ ]
พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด  z  w4 l! N1 H6 t+ ]' a

- i: Y' X8 Y6 Y" u, K. Aภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง6 k* Q- g6 ~) D
! z( X7 X; X, y9 G! o2 t
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน& `- @, f# ?- |, |  t

3 S7 m  ?3 s3 J+ {# U& J: H& a; lวัดเวฬุวันมหาวิหาร
0 c1 ~: L5 `& z9 m4 K# z! x"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
$ R+ g2 i8 l: \$ F' }4 g" D2 \# R4 [- E6 ^& |5 z( K! d! ]
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)1 {) x4 Y4 e8 y% G# q1 e
2 P4 y  n; ~/ S* K6 P+ e
4 b* R7 g) [( c8 q
& c  }: \$ A4 d
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
# Q7 }" L+ j7 X* U/ T# h5 I  G) kเดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่5 H7 j1 m# }3 D, }1 v. U
( w, P4 f7 S, G3 }! F
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
" D* P) _6 G+ P& B: z% R# p) W
: L  F) \; Q$ lพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
+ l- N" q2 H' K6 I1 T9 `3 b, r! z4 k4 e8 p+ Q( t8 t9 C7 T# T
วันมาฆบูชา, I  E2 m9 @. e, ?! `6 ?* ]

7 L& g8 M7 l8 iวัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน* }8 {( }& r) l# G2 z& S
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
+ V% X( r* ~& B; @$ g7 o: ~) a; S& j' }5 @# \* G, r
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
+ F# H3 O; v$ e# d1 I, H: m; ]6 w. [, R% E
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง
" d- Y1 L- E$ R. _/ C- a. q
9 o0 I- r$ M6 Aเวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค
6 _  K  @; P1 f1 v, b9 X# Z$ y3 i  v+ ?6 t$ t- r$ [4 A
ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
. S2 g' I$ E9 m$ l8 t: v4 v# y6 `1 p/ U
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่4 c- O# v" l+ c$ R$ v! \' W; Q
9 x! K8 ~2 j+ h% w) f( z
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด! b4 P7 W7 P) F- C+ N  L

" p/ s% I1 Q  V( e, P* j- d0 A- bแต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี3 P# g( O' l$ ?

4 j# y7 K" e9 t3 rกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก5 I8 U2 E& l$ [- v

# d; k0 \. l4 M3 w% }โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)
' g& y2 s3 ^# S  t6 p1 \% }# x6 O3 M. a9 Y% G7 J
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
  t- w: q+ T6 ^* A& Zปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
- Q  X$ B. `2 Y( j" E& {9 X# d0 f$ U2 `9 ~" z4 |
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก
1 s7 ?! |/ F. S: ^& G/ `6 f
3 d: \; b- {$ ~8 N3 iๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)& H0 p+ ]; l& N

) Q% R) T! M0 m$ L) ?- o, `2 k. f; pจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)) b' |! o; h. z, q, P3 m  D
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
5 W2 ^0 _* _& N4 l/ @8 E5 j# j0 a
1 _  R6 Z( }  ^/ C- H: Jจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
7 Z! {' g) p$ w3 O* Z/ L
2 a& U5 f- }5 U5 q. D7 _1 R' Uเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
  J" i7 m4 C# O: ]2 H
7 }2 F+ _3 h2 _5 ?! y2 I0 tในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
5 ^3 {6 s1 \7 w# P, ^) B7 ]7 W  h6 I3 I" @4 }5 h* A
เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ1 ^1 ]  i. I0 Q" |- x+ o( a8 O
# J  p/ F0 e( B- ]
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
" w# f* _9 k2 y* }% I7 f
- G% x4 U9 _7 A* qจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง; {, C, B9 V4 {& i. U

9 m; T9 o9 y# g( {8 S+ bโบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)6 l( }9 X+ ^( C
( R9 j( R, ]( B/ L6 b0 x9 t/ i
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา; K% ?" d9 t2 p0 o: X

2 @3 m8 C. Z4 C8 T การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี$ o0 L5 W+ o& L+ @2 C4 p
' l" m$ {1 }2 w. @2 [! q
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ % ?: y7 y2 S- p: X% c2 B+ M

6 y" |8 K/ G5 {! B) mแล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี; _& H8 {: ^4 c% n. F: I5 I

! q2 \! ^& Q- R: |8 c" U: `% ~ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย
6 O/ }- N* Q  z6 e0 m% Y( M1 m5 ~/ g6 E; j: K
! w0 v. R. j& e7 f1 S. f
* L; K. q) ~( n( L
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
% r! ~7 g6 i+ B7 L4 ]( f) m" h4 p# Pพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
: E& Q3 {( T" u; _1 F  R3 T5 X% H% ^4 M5 Q7 t: ^" k
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
8 f4 E& M  v8 v( B2 F9 B( I7 n8 |: J  B8 Y* c/ v1 k
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้3 R" R- P3 [) s- n* d
& j" i# K6 ?- p6 H
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน; t, R! s* U/ `$ \% g/ H

/ s; U* W- ?9 @8 r0 Yในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด5 q: K% z1 j) u8 d
9 u& o' n; Z9 b' |4 `
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
  @" G" W7 @6 M" U๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ3 ^  y3 m8 l) t2 m& |

5 Z( H! G& i0 [; ]3 s. ]จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ# L! q% W' g4 m0 v0 g( l9 V

$ E- ~- `$ L; D7 I1 Pประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
- t  U) \' w; }. U5 L: G) G- ~2 q7 w; [# ?9 O+ k9 A
ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น4 y* W& j" A, N4 N

- m1 {, u, e$ x2 i4 H& k& v* Gอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
# T2 e, U; K8 }# W: z  s. U1 R; P! Q. m) U+ o. a
4 G9 }( y$ @, ?5 f5 o  N" ~9 ~
0 R0 X2 \* l3 \( W, M( R6 G$ S
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ8 C5 s+ E) ~$ @) G& W0 o0 i
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย * k' c/ Z) `, n* J) W  s
# d# J' y' O! O% d2 I
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
* p* K5 F0 [9 i5 U% Q' R
+ X( A$ g. C/ `; e2 r* dหลักการ ๓5 F% v* a& y+ h, [& f
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น
7 f) ?9 X; a1 G; L# c2 ?4 j; {ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
0 o' Y6 z: q/ dความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ 8 W6 _6 K  |& T" e1 m4 `$ g
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
- t4 K, l! y2 U, U, |6 L4 h* f$ v  a# u
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
) {; [7 j$ c% S: \' w$ x7 k0 {9 L2 v7 O, h4 Y& J7 P1 x+ O" [7 ~# }6 d+ y) i
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
# |: P' P1 p3 }/ U+ H- J  ~, vการทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ! |/ Y; m6 }4 K7 o- {; O) @
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว( a, Q: _8 o& R# @
4 u$ c6 I! Z1 Y+ N' M
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
. q3 [% ]' Y# e2 _. ]# b
! z. A- O* k. n' P! q๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)/ o' Y* x, K6 j/ ]( Y% u7 ?* o
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท). J0 b& k8 X3 f
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ); a8 d, s: S: p2 v
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
  L0 P% [. s/ t0 Q๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล ' ?2 D! H6 h) d' r4 u
5 @2 W. W$ C2 ]7 y
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
, p7 p& X  g4 D$ N+ I* L
3 C$ O7 x8 o9 Z" f# z0 P% Q/ yอุดมการณ์ ๔" T  b/ e; A4 W( x: Y" v
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ' Y/ W1 ?# T$ y9 j5 J! v
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
: `! R1 c  c1 q๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
* V( q, Q2 r! M# P# y! c๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
6 @( q( o* O% H. ^2 m3 j* x+ @0 Z9 t0 v$ S$ _% v1 {2 q
วิธีการ ๖4 u6 @! T: L) n, W0 u4 w+ I' o
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร- o8 d3 n0 Z1 Q9 }$ p
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น9 Z$ |( @' J) y
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม/ v# H0 @0 W) R+ |
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ: s) B) d. j; B$ X* o8 g
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม5 C, J' i! l  e3 R! x( a2 S
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
% V8 w' C( B2 V. }1 g- z- N" @ภาพที่ดี8 N1 ^5 ]. e8 W7 y

* _0 y+ ], q, |( _* T$ n6 Hขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php" E) c# G" r. f+ w8 K2 B4 g% u
# c- d( o# h* }
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-5-22 20:03 , Processed in 0.065125 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.