แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6725|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา  N% Y1 {( J. `# {, |
% x% M. o2 |3 ]0 T6 j

+ y+ h4 @! n2 [  f" v% A
- K9 k) X3 x. S( v2 B& x. t% h. l; _ความหมายวันมาฆบูชา) {. h7 f; e: D& F
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
2 N  a1 _' I' l+ w
$ S; a% @3 d/ S% c9 xความสำคัญวันมาฆบูชา# f- j8 n! `5 V5 @( [' O# U9 K- p
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
/ C8 p9 L7 P- B7 L0 o
4 o1 `7 ]! C8 T, S: T0 M4 ^( M* I/ Hผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ0 q# X$ O  q0 P% |( \
7 x3 W& X& `( }6 v8 O
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส9 J  j' ?) a6 R' A

# Y- u5 s" l) T0 H$ L! T. o8 i$ Iประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา$ {* h6 Y/ t2 d- O+ i5 M; Z
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน 1 W$ U" j0 t9 I8 S. H
& F, n" Q9 m+ `' u8 x9 s
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต' K% C; W* g- r+ G

5 f! S6 d  T; {คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
, {  h' b  v2 Z9 |  l5 m( Y9 m5 e
; V# P+ N) Q. g) |4 A"จาตุร" แปลว่า ๔
% f5 h/ m% l: _+ l) V% T"องค์" แปลว่า ส่วน
0 P$ v- d; ]* z7 h: J  U"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม # N2 ?$ d% h- M& c4 G) P  l8 z
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ7 m, N2 n4 y/ C$ h5 o( P: u8 ]2 M3 p
8 ~' j4 f, M3 j# h2 J1 M7 }
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
9 U$ E$ O+ H) r6 b; Z2 _
- }! P! R4 N! H/ P5 T- m, n. D2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
) \( r7 n+ O! {2 x+ N+ X9 t8 W  @7 c. k* X4 d' f* e6 u$ }0 l: m
3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์! \* S3 C/ G( w& D
3 D6 G! G/ G& ~. C( G2 V  _
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ2 ^% t6 G* j. b

4 C; N+ [$ T: X, `# Lประวัติวันมาฆบูชา
' x2 x1 E" ~5 k
, l3 P7 T' I4 L0 Cมูลเหตุ) L2 h( [- P: d' ]' d
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ - T) D, K! d4 H: t

& K+ F5 g! q1 c+ Oเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา% E: X* j, q$ |( A+ M/ K8 e
4 \2 o! F, _2 Y( Q" u* @
พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก) o; Y* e4 b: w% e, C# V6 H  |
8 U- z$ ^1 r; A0 l6 K
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
0 s* |  o, k7 D  F( P+ \. e- G$ u& O0 a4 J- N# {' I/ x
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว) a6 ]7 _( Y( O' L: Z/ P- E( b
; h: G7 s5 L" E5 O9 r9 ~! _9 e
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
9 ]! r1 x4 U& b1 O! m
/ L; {/ }0 p  `1 R1 d, \  `5 W3 Y% Y% ?2 z2 D: C/ M2 W8 n

$ A" c; C; h5 P( N8 \; ~โอวาทปาฏิโมกข์
  F2 E7 N; b- t! xหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก! M& }5 \; y1 G8 t8 s

) F: _3 h9 o2 A3 S. qกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
4 o) R4 s: h: u# D$ H, a- H# _3 k
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
! I4 k, A2 ^- U% `+ t  D8 _9 j  Kสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ+ W1 r* u# N& v2 Z/ P# v7 S
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา: k% Z; P3 {. |( t" J4 L
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา0 I) \$ Q5 P! G
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
& x) t; J8 i8 w* m& @3 n! b  Qสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ. F* R9 ~6 b  w5 n1 B! J7 t
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
$ ]/ P' {; r  V' J( \4 Pมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
3 Y& i0 o: B8 m) l! T0 d2 Cอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
* H" |# c5 @3 O! \' M+ G, U) b( o6 k6 K* ]  D; {
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน7 q) D3 p) Y/ K# u4 q( ?
7 f0 o; J: j5 w* u1 w
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
+ S6 Z9 a$ _3 n3 z( R  |3 w# T5 T6 c. E3 ]; b9 {2 n, e# S4 G: J
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
) c  l0 @. Z. F# h6 g; f# M/ ^; h, ~8 g$ X: _: ], ~
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)7 p" l9 x/ a% f9 _, g; _

1 k4 W* c/ y& U; w/ rพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
% n4 \) g4 R( }. V+ _9 u2 t
# e8 ]; k/ Y7 wภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
% c- J5 {& e  x7 Z# ?2 i/ E; N$ d9 j" O1 P) c5 }9 `
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
0 N. R; C; v/ @- L' `, g( i; w0 u% z- e+ g
วัดเวฬุวันมหาวิหาร
( o$ d5 b( }1 G) S2 W"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ0 A" ~' _: D* b. z+ |

" i& E+ D4 Q+ D5 t1 ?+ |" X2 Kพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)
* \! ~; W7 q6 ?9 ]# j' Z1 E9 u, X( j$ J8 H& ?9 F5 A& x

& o  T+ o6 J! p2 ~) i* ]5 Z. ^1 X$ ~* _7 W" w4 N4 E1 m- F/ g+ x
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
) A( Z4 h2 K2 _+ Q" [เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่1 u; J" e  |2 Y6 Y: c
* I; S5 u0 L4 p) j0 V
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น* ]7 N: Q- t8 n5 J. a
& O) j. ?* r( W
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
0 H6 M! m# J9 j  y2 t- z: O+ z* v" w  V& E3 Z
วันมาฆบูชา6 z1 D7 v8 v* w) q. e) z7 {; l
: ]+ Q  h: J& w% t8 x1 q& @
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน9 I4 k6 j; c% Q: y4 M3 w
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม1 |) L' ^! x5 o8 u' {+ E
* m9 N1 D- l. f, g. Q$ x: c  o
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
" G: b: L! O/ G. E$ V
" \; a+ q4 S8 }0 mแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง( C1 I: [( b0 u4 E' _# a
! q: R4 T+ g$ n' W, f9 y+ f
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค
6 z( u0 O" k) |" ~& A% D
1 C' H9 V$ [) v3 {5 F. wได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
; N1 |# Y0 }0 o' ]6 P/ Y
' P6 A+ f1 z' |5 G( K. Gโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่
) w' ?$ s, Q) A6 y  C! o/ _% i3 p& Q
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด4 M( U3 e% `" Q' @# s/ q

5 x9 k( N$ u- L; ~$ N+ ~. |แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
; F7 ?3 i* A( y5 I. p, U. _! k) F0 }* j" S, l3 k! g! U
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
, s3 t' r  o  T0 _' b) y
* s5 f+ f  b) z5 |+ j# qโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน), g' u% G7 w7 y9 {( T8 ?  W6 G
3 ~, F- Q! a  |) @
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน' E% ^7 N; n+ m* x3 |5 E8 k9 ]
ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
3 T9 M0 e$ L9 e+ |- f/ _' R2 j1 A# [8 x: e! s9 b( J5 u
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก 9 ]$ T! w2 Q" Y' _* z: L
; n& P+ f+ Q+ \0 \
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)! P- N7 I! ^1 D7 Q0 [

/ c7 G* X# v  k7 I! k+ a  Fจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)1 c: ^8 T; u# x, Z: a1 C1 B7 u
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
# b% q; a: Z( c" v  i' u5 v  |% ?& o9 h- D% ?8 R, ^/ }- P6 M
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ5 u) M# @2 Y' M" s' m
2 S! a$ y8 u1 ?5 h2 N  D
เจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
% r& N4 P& M( Z0 H+ o4 r4 C2 s/ S' p3 |# w# K9 u4 Q
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ6 `0 l1 p% K/ w* c* M1 h- s

8 b( \* \5 J1 G  U  d9 j  ~เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ( j( `% t  Y( }3 {3 O/ l  v
4 b' E" Q' }6 w4 R6 k- L
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน/ D' k% h9 C3 ?; D
" _9 g; m; ]- b$ m0 J
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
! `) c/ O8 w" Z$ s
' f5 Y" ^. Z8 E8 i- q; jโบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
, u/ ]2 b: e5 ^9 _7 _- m  K- U2 e$ c8 A5 z) P$ ^& y# q
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
5 ]# Q5 L/ H" z1 S" y; t2 O6 {
; |' `8 f' m2 g การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี$ h6 Z/ O4 [, j' v' Q, u( J1 Z7 g$ }
8 z- a+ c0 _% \5 N. f3 Q/ a
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
5 u' W# C& M. I# A0 F. [. _
5 V/ n7 V3 E; r  g" q) s# hแล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
7 p+ C2 @2 g8 D) P/ U4 J  Z- @( i; x: E) V$ ?7 M
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย
! A% ^2 g! \3 a8 g7 e$ y( z* X5 c* U* ]1 Q; U
1 F& x  @8 c# R
0 E/ o/ S( l7 ?$ y! V
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
7 p6 V1 m1 K9 A+ l, Lพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่# h3 r; D# b' I# u5 y! \, u$ W
6 N  u6 H2 r+ e# {4 A* Z
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า* k2 ~! m' n5 v% L* z# i( m# F
& F( n4 {+ \# T/ q! I2 _) I
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
  E+ M$ x$ z& Y
$ \: E: X" ^& M5 Cเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
; A0 n) f# u. J+ V6 J. t% _
  i0 ]3 J, q$ ^2 c" }, fในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด7 s5 Y4 j! O: n; y  l. A9 N, b3 P

% Z- ^) @% `% Z, uมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์" B! S6 g: Z: d/ p) F( a/ t
๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
. t5 ]8 ^# e, W! [
, _3 N5 |6 J. O: X5 s: B# @จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ8 n/ `( b. w( u$ N7 [: C

: [, u3 @! v' u% E! fประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
" ^+ ?' U" I* \9 c
( k: B4 D! d. ^/ h3 M* M3 _/ @ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
  {; {4 p- D9 [) z1 C* V/ Y
0 S% ^* T+ ]- gอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
; O! ~9 d# p& `7 `" D/ ~( W
0 o) y5 F, a6 }& ~
& [; [' B. g+ [/ c! E7 w0 ]& W6 u  D0 o8 M$ F
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
, \; v/ E8 }; l& Xหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย
3 D% V. y. m( k" _& r9 t8 |% f: c! a$ N4 k& n( L! Q( Q4 N6 h4 s  Z0 u- _
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
3 ?6 C2 G- g0 ~3 m' V; p. O6 A( A- c! B- ~$ H1 V4 }
หลักการ ๓3 v  m# i* D4 a
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น
, i( a0 ~6 l& E  y& R# N6 Gความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
2 C  P/ b1 Z. pความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ # m) Z( v& k6 z! b- |1 A
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม9 @+ a2 y6 S, ?
  g/ f+ \3 `  b# @. F2 G
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
" O/ a2 ?" q. X: r; M  X6 _1 Y# v1 h6 E+ X6 w4 B5 l
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
& L2 U7 ^- ]4 l! @การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
1 n8 L& f4 R  G+ oการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
; |" i9 E  p8 w+ `- |' ?6 l( {  Y" {, R( J
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
8 k% y1 m) D- t: }1 x+ |: V8 W4 Y- s2 q; Y/ U9 z  c" @
๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)8 S# w/ ?5 J" f& f1 Z
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท); i; }5 b. @5 P/ z, y
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
: r8 s( i" s3 n" K๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
, Z; r7 g* Z. B& a3 ^๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล   _5 [3 N% w! ?, F) o
8 H0 t- [3 ]$ {) ?; v
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง9 V$ |- A0 B0 A2 z* m
: B! u* S- ^, y. N0 x2 Y
อุดมการณ์ ๔; M) X8 ?2 W2 Y* b! @: h
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ$ K. L% X- c# t
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
9 j' y/ ^1 s3 P% M' p8 y๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
) x+ l, |- N# C: p๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘9 |! [+ i  N! L5 F

( c; ^1 V; ?. \2 jวิธีการ ๖! X* c/ w4 I* _4 s
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร; M- u3 E  x6 W
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
  S2 K) F& U* N  }! `  q. R๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
% }$ V' H7 T, o; |* g๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ. S" n! c: e3 e" z2 Y7 S0 n8 I: b% m
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
1 I% z1 `2 s3 P* E๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
7 A0 O& P3 i1 n) y) e" Rภาพที่ดี+ F% Z, S& p3 [8 ]5 `  i$ }; p9 @

# E% \2 B2 A, e! ~8 O0 K: |ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php9 a' z4 }  a. h! I& Z& Q
- i) v4 a; _% z& R# K# v2 ~2 W
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-3-15 14:36 , Processed in 0.291324 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.