แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6730|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา8 E) g- u, p9 ~  Q4 _2 x
. E) ^1 v8 g5 V+ s, t2 Q
, i8 Z" e6 V5 ^$ r5 D4 b! Y
0 x& L; k, J! z3 Y1 N- g
ความหมายวันมาฆบูชา
" u% W7 j4 T) Q8 q& Xวันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
3 C/ E" c0 r; Z; O" `2 R
! y: L1 N% |# E. D8 u% `ความสำคัญวันมาฆบูชา
3 b* X% j$ L; P0 ^0 S# g6 E% uวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
- o( S6 w. ?$ j5 a
$ `$ Q) @; A/ _0 ^- \+ Yผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ. \+ M- e0 E: `# I: v- ?
5 g1 R' ]: f* i6 v: [* q2 S
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส/ b& ~$ n5 Y8 [' w9 `! ]! T
) _- P8 n. J; ^; j8 r8 I* N: B6 X
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา9 }7 g. T2 z" g7 J
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน . J# o% |! P% i' [" \" s% U
" J" m  c7 s0 X
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
1 n) D7 o. `7 B) K" t# q5 s2 ?. J; B5 t1 y& J- D
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
4 P2 r9 e; y/ U5 z6 n; X( a& q8 Q
/ {3 E3 v  s, Y8 e"จาตุร" แปลว่า ๔
- p9 ^, g4 W- n& C& q"องค์" แปลว่า ส่วน   s& ^. J8 ^$ ?3 s5 T$ O8 z
"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
6 x1 n3 b2 _9 o% c7 Eฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ3 s: ~, M$ |. F
) c2 S3 Q$ f5 b( u$ S3 q
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย" B% ~, {0 [% s

9 r! A$ ]7 c3 S6 g2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น8 ]$ t# B# t5 ^, ^

6 m- m3 f9 s, h3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
1 {" @% ^; U' [6 B1 _0 x1 I5 E/ e! x1 I* b% l, _: k, l
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ9 p: P. S$ |" h6 C- a
  e! p; Z% Y! y2 `2 A
ประวัติวันมาฆบูชา
& d& l6 \9 O2 E4 u% v3 \& S( w: e9 B0 [
มูลเหตุ
/ e; ]# g1 q" L0 ~1 Zหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ ! ^2 Z, X& O, q9 R+ `, G& d
/ I$ M' P. B6 u
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา9 T9 j7 O2 S) b" N; J* W

0 |" \* f4 T) t. X! Fพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก5 Y5 j( ?2 k( f2 G. a
0 Q# A' X$ ^* P* [6 e# I
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
7 t) F5 X- o( N' N$ h
0 I5 l& v7 |7 w& f! \. @. Lมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
& {, c* t1 [0 V+ Y6 z
  k/ a* X% _( S- m2 jกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน1 C4 O; m2 @/ D0 r- S  J

7 v' a& F( K  r1 q$ h4 ]- |( \' Y, Y
" ?* ?. |) ~+ D! d3 R- u
* ?" q. E' I) S. uโอวาทปาฏิโมกข์
3 k2 e# a6 G% @8 oหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก" T3 p; y+ u) Y2 n

( O, [' ~% u8 ^1 |  G+ @  S! \: bกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)- H9 J, Z4 g; V: G* L  b7 y/ w. P3 T

+ `: [6 {( t+ f2 h5 ?% aสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
: ]( z" z* h/ _2 u  q* Kสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ- j0 T" a3 c' A
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
$ D7 X! I  N3 w3 G* c6 @นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
  i8 v- z& {+ D7 q3 b* b4 [' zน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี  w# b6 X4 [; G( ?. Q$ T4 V1 H
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
( w6 V# |* U7 E$ j7 Rอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร) ]8 _( Z; f" l+ \, L: N- m0 ~
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
: n  G. w* i, x# r$ H6 t, Kอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ( m8 V0 w4 T0 \* l  m
; h3 F% J6 E5 U5 C7 O
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
$ b/ O! Y, y" w# D
' @( B& Z; W( L1 F0 c% Lอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
" K5 }+ \6 R# \4 F! ?
! l3 [) @( j) w% B$ n# X8 qหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส. v( C: Q9 e# _
9 V% N7 D* U) v% t, V, w! ?
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)
( q5 ^4 Q, h" L  d
+ G1 @7 O0 u, Z9 }พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด; F6 n! O/ Q5 H3 L7 J
8 N$ P! K9 M9 A+ c" Z0 g
ภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
* Z* f3 @/ g8 d8 P0 I
% ]1 ~, c9 S# s4 O7 gโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน! M9 o1 B' y8 [* m# J# X  E( O! ]

9 Y: r0 N! c. _4 W6 S9 gวัดเวฬุวันมหาวิหาร8 z. S% N$ j9 m4 b  @( g5 C, u/ A
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
5 o9 V! b9 y* X% G
+ D+ j% c( y# m1 Dพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)+ w: G, w( ^% Q
5 Z4 o5 W, S, a9 P1 S  ?/ z% @9 a4 ~9 C
+ r4 v9 N. H( [# G: d2 l  I6 N
8 `& D6 p: h3 M
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล$ ?# j8 S% C" |+ q0 Q* l
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
/ |, K( t1 G9 O- r6 l6 w0 D) a( ~( o; ^
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น, V8 u( f" }5 [/ H) L: v
3 R# E: ]4 X5 L) b
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
) u+ k) \* G. ^( M6 d
" n8 C! Y- K. q8 D# a1 `วันมาฆบูชา
! P1 C; A# K3 K. j2 K8 I8 R/ {) N# ~7 {2 o4 P" C7 _5 C& @
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน7 @0 g7 Q2 \2 @. m% N" u
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
5 b- p6 v, h% ]5 q
7 t8 [7 {6 q* @  X) Mชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี" t! u3 m4 v$ Y0 V1 s2 G+ _
8 A  o( E+ r2 d) s/ r
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง5 R0 |2 b( S) m  K6 B

9 j5 j9 f9 X5 G. M) P5 sเวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค / T% n- ~1 D+ U% T+ e

; U( s( F- c  Xได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
0 C' k. ^" T4 e' H7 P  [, E) L% r9 l0 x1 X# x- L
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่/ K" o* P1 a3 a: G

4 ?0 A; D5 k0 t' o. [$ J) H! O) a- Yในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
+ S, p: a$ k8 V1 [* t. }3 y+ g7 }  ]2 c) Q  \" o
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี/ r$ k( \6 M( n- e6 L/ |7 @
1 T$ s9 Q' [7 |- S2 W6 M
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก( H: |4 ?5 ?6 |" \  t5 u) `+ A
1 L( M, T6 ]1 Q
โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน); j  O" _$ G" L) v2 J

( U- k4 d3 r* ~8 _2 `& Rจุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
4 Q2 R, P" L6 G+ @ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม  _7 G0 `* ^) h; |4 S
4 H) y+ q! j7 \" Q0 c3 m
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก & ~" c& W; y# M& [  Q
; H  f) [2 G( ~. h6 t" B& o
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)
. N- E; r6 `* w% V) G6 j/ f3 O* c$ T/ y& d! h9 L- T9 u
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต). u6 \, x4 v. f) |# L  o- E8 O
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง' d! {! l  H" Z8 W( i
$ M, I- s. ~, |! s' h
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ. R7 q) e5 L) y& h# J. Y
# i- B6 o7 c* m  u4 g3 r
เจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
4 M8 n5 d+ P' p. @2 k6 J  `& T* h" H
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ! U. i" f$ E3 x4 o# V6 T, ^/ j- t

4 U) O( l& h$ t( A3 I" Uเกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ- T9 R( z" N$ V, l
) }0 B0 w' k: E6 p# T  @& P
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
( f( ?& B6 i- r0 |( j' H
7 ^$ ~# f  r; ~- j# X* k+ ?9 sจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง, ]" _1 s/ t% e" k; _5 Q7 \: z
% L; c% x3 e" s; r9 h
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)) R1 q# K1 O0 `3 H$ p* E% V. w3 {

; j0 e- |  A4 Q& @8 M9 Mกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา/ t0 {3 r$ v) T/ j& [( N) ?
2 b7 W9 C; {, b! \9 C
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
  K1 @8 m) Q! q+ n
: M/ T: F0 T& oเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
) }* F; N6 f5 Q* x6 r
8 `( I8 v: A' q' a, W9 z3 ^# ^แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
2 l; l8 K7 w$ r! c8 }! f, Y6 }2 X2 k3 r% E
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย; @" q; L5 S3 u% h

* P; t2 y) A" E, m; L, k5 V3 |
/ e+ J9 a1 A; S7 p' {; \- _8 z. x" M% q& a6 i* d& u7 P  I
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย1 j! X6 u" ]2 d0 V
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่/ N  @+ j* R- d* n  u' {5 g: \
9 q6 [' P" Z7 J4 U0 m+ W1 i
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า+ f/ U8 U7 ]% n/ K
8 |& d  b  H" I5 t
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
3 l, A/ o4 h, d$ S- J# n& |$ h: Y( T. E4 u, G7 u( S4 m& g
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน* o+ ?7 u& X/ x7 D" l; @: t* H

9 B. {$ b6 ^9 }ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด5 J! N* F, a  ?: o- X6 [3 ?% W
8 r0 S1 J$ P, e
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
, ^$ M8 z8 {, S6 ?/ `; \๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ* |7 k/ c* b( q0 g. j# }
% u( J0 n' Y. o5 w
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ3 ~8 f% A' {. Z& W

5 ?* }( o/ C: ]0 F5 q  y; G/ b7 Aประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
# x& }+ Z7 Z* y( M" r6 D0 @
* N: B7 @' ?( c( c- h. C7 \/ x( hในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น/ z( D0 k9 o+ q: A: Q

6 D9 p! b8 y) |" t* z, h; ^อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔# R% B3 I! \3 a

) H# @$ Z" H8 z6 _0 [6 z* d$ O$ K; w- T8 w! M6 t, k4 O- T$ d

, `3 H# l# L0 u( \9 O8 L2 Rหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
2 h, K+ d! X& E5 }% Tหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย
( L+ h( k; f+ m9 D1 q# C6 G4 D4 y( ~
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้& S2 x# A. S. x: j' [

+ V7 t3 C" v3 @4 j. w7 h. oหลักการ ๓
' `: l3 @, [9 k; ]๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น$ q$ N% z5 I9 j5 b7 g
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม: k9 V# q% F7 K5 n8 u1 L) Y0 Q4 o
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ # a$ N% ?- V5 S* |: c
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม3 g" E8 d) o/ n1 m3 t( q, {* s
2 g* q3 K: `: f+ [: k
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ( ]/ v: ]- _" I' }0 t

; C/ V) p+ {# _$ L+ Oความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
# W" {: W! F* ?7 n( M" nการทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
6 }3 d6 `$ w* Q+ ~2 ?การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
5 R( e, I) K) Q+ J) l; D. E# r' \, v. G9 f1 E& K3 V
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่" |) Q: L( M# l

% L( p" O. V0 F4 U- ?๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
( U* q( K9 f+ M7 X( h$ ]' u0 q- N๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
0 i( `3 X: M: u: s5 b5 ]" W# R) N8 ^๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)0 x5 T! x/ i3 R' p8 Z# g
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ  z& S2 R+ `; d9 _5 c% d/ U/ J! \
๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
* n4 q! [& ]9 M& _( Y3 ?5 E  G
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
5 p* W: i0 `: G, C0 d3 D: V0 K( M7 f' m( {9 q% f" z
อุดมการณ์ ๔
% r* b( L6 t3 v* r  ~3 k' W- w# k๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ' B& Z) r: N5 c: P3 g- a
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
' F+ v" O6 u$ |# j: Z& y! Q3 ]7 X๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
: J& o# E; j9 j  [# o๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
/ x( P8 C4 f: m" X8 n  l
/ C8 i9 E4 u, k: q3 S5 v5 Qวิธีการ ๖- C7 v. b# W9 E+ I0 C& E  U4 t
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร) [# r& e! E: x: V& @# r9 J8 b0 b2 s
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น- X, a$ x9 {& A0 B( w
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม7 f4 M1 c8 w+ D, f
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
5 z8 |  p2 |3 @1 O/ x% m4 U' W, T๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม& G* @) J1 @3 F. w1 P
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ3 M7 ~8 m% ^6 c- g/ `6 l
ภาพที่ดี$ B; N' F- @" x" ~" F9 R

! E" \3 k3 p9 P$ U' uขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php, y3 C3 J6 u) h0 }

. R# q% }: d9 d8 N/ oที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-3-15 19:28 , Processed in 0.042442 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.