แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6674|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา2 q, i; Z7 T1 l. b+ I
7 ?: ^* r  z& S% T% f

$ a& u/ v. O' j7 F! v0 @9 o) q1 }+ z
ความหมายวันมาฆบูชา
( k5 Z- Z: O1 V: \9 O8 E& Dวันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
# G6 Y4 c' G! u& Z: I: ^
; G$ m- b/ s" g# O6 j" pความสำคัญวันมาฆบูชา
- j  B7 i' h( oวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
3 [/ P9 v" z1 R: ?2 Y+ }7 S9 I+ J5 B9 A6 x$ w8 d, A4 y9 I+ E, g
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ* z2 f" p, z, ?: y; C" d5 x
5 V. `% B9 K/ V* {
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส  w& u) o, R/ l. ?
, }7 Y* _4 H8 @% _; G. U7 K
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
$ n$ h7 ~* J- m+ Y, f9 T( J๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน
# {6 p1 I4 U2 `9 s5 c. ~5 ~- p% T, q  c2 s3 {6 ]- k% ^
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต% f2 Y9 r" S/ j3 D! ~
3 K0 O8 N0 h; S4 C5 I6 q
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
. Q8 M. H+ b  N3 b- f) P3 U% b& s& Z- V) B
"จาตุร" แปลว่า ๔ , j% _4 l0 h# B+ o2 [' z
"องค์" แปลว่า ส่วน
5 }! b( i6 \. S, L"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม + [  s7 r7 E0 t% ?
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ# X) ?4 q/ T: Z4 n
5 \1 ~- m% X; H2 g1 p/ \0 [
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย  ?( P: s; \3 U2 M
* Z' f, ^: d3 P2 K: d
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
' K) U$ @0 n' Z9 _( j8 X! {5 z- L7 z5 S; H. v3 T% Q0 O4 n
3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
# R6 D- T9 ?; R! z4 n: u  M& `( {3 e; v
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ# \  o2 Z% w7 u

8 Y8 C) B/ k! Sประวัติวันมาฆบูชา: Y* _* ?; \, g2 L6 N- P) p
$ t7 V  v1 S6 ?  [( Z8 E
มูลเหตุ" z1 `2 C$ |* Q7 i
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
$ `4 F' ?/ R+ Q. d' Y/ M
) C& ?4 F# L. U. M- U6 w) {เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา" N1 b% G" z& `1 f" r
2 v  l! {3 s5 s% f. G) H$ }
พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก" @7 N* |5 o% [: _& \" I% j
2 J9 }% O* H0 ?0 z
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย& X8 J' C" k8 o5 x9 a- f  V

) b+ t' m+ d9 F; Q. pมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
1 D% B. ~9 B% K' f- r
( @4 n# Q% q/ i$ K# w. Gกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน! \4 c- p% y0 f& ]( ^5 H5 W: v

$ U. P6 n$ C5 F" d, _& k
! H$ [: F( x% p# }6 W, D8 \8 m% R2 h& e6 `" h
โอวาทปาฏิโมกข์ 2 H; x6 H& C. P5 T
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก1 {: W7 E& u7 `$ W7 e

3 n, e' `0 `1 zกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)/ t) Q/ b& Z( k

* g$ J9 W" L8 `  E& A. _# T; T' jสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
9 P4 @. G1 k, S5 q9 H4 u8 Pสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ: v' L! c  l: `9 p4 g1 e5 `% w1 v
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
1 v- B+ P5 V' |) D( Jนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา! @5 Y/ y0 h* G9 B* I" y: H
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี' W' r; H! f( a% E- c
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
# N" a! y& O0 H3 qอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
- Y, s5 v0 p9 q+ f* o4 O$ q# lมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
" j5 l$ Z* m8 t: w5 ~" y# L4 dอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ  ^: w9 l4 }% l! ~5 ~
, H: z& e0 S" X
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน+ k5 j0 b. w- {9 C+ J
- ]+ P  E* x! x$ H, G- B
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง4 D( D( L+ p. R) \- d$ ^: w2 F

8 ^& t) G& J: e  ^7 H& t- e# aหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
  h8 k0 \/ H6 I& R* o: o9 j! a  `8 J" K. [- H/ d  ?& P
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน), S7 C2 l0 N1 y  E$ p: W
' \9 W6 b/ P& p" ~% c( i6 \
พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด8 k, T0 f# C3 l9 j3 W; e
$ @: U4 [, S( o8 J" o
ภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง) i! E& C; V2 g& e& Y% y- @5 C

$ H' t4 I% S6 c( |! r9 u7 Dโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน  F7 O8 g7 @, B, H
7 O3 c# T' j7 A4 l/ l3 {* {& e
วัดเวฬุวันมหาวิหาร. I- p) q* D+ L8 X
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
3 G4 c! h4 S1 C& a! ~8 ?( d4 U4 C5 Z$ y
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)# r: B6 {$ q1 k/ B! e5 G
0 i+ d* C5 }5 V1 R# |- g$ f( S, c
3 z- z; d# n5 c3 V! R' m) G4 s4 b- c; ]. f

' X3 ^  o  L8 r/ M" s( zวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล  }, z8 m, J0 \: L& [1 s  H5 U$ ?
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่$ K" l: _" N7 ]  f* n  y- B
: L1 Y' T" d! L) L' O' t
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น- _) P2 K8 z+ O6 F9 J& i
8 _* d8 \1 D( i! ]3 _' X- F' o
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน. n2 E- E( X' J6 N

+ T/ i* E* |1 y! E7 rวันมาฆบูชา6 B2 [% N4 f/ [# f
4 N) F* @2 F" e! z: W/ R9 H5 Z
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน: u. }0 g- P* O
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม7 E, u  J$ B1 V! Z8 C' ]
( |% b. g' |; |' y% W: y! N! C+ \
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
+ s3 E3 s9 v1 ~+ l: `9 p2 R$ V
" _- K% e! C7 A3 U& e4 A! yแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง2 z; h- C' N) t' q
+ A' @9 m6 t' j+ }5 n' F+ A4 ~# r5 U
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค " Y% U# H( o. F
. D3 u! M" ?, ]: ]/ r2 m- p
ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
! z" N2 I) p* s9 U( @$ P2 I! }1 _5 N
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่; F$ G% v4 [+ F' i6 C+ ^

) y+ w) w* k0 L' q# ?0 f" g1 w$ Cในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
; H' H1 Z9 X( z) C  H! T0 Y. q5 C
5 l8 u1 _& W' s3 s* nแต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี# Q3 C& g+ r" Q4 x) {4 s

3 v: {5 y6 `# M9 n+ J6 y+ C1 Oกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
6 \/ g4 o. `) \. I( @' K3 R6 {1 T9 v
โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน). t; G7 c9 {! i, D

6 b2 G( ^0 u  r. X% l. |จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
; b/ A+ |5 X0 z! k4 Sปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม4 L3 c* E6 K( e4 c0 c5 m2 f

* K9 ?# \9 s  P5 _5 a" B- r, wไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก
7 U8 y  K# Y7 v, S, b* J8 c% N* q- |& P# Q5 B/ \, C  [% l
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)& W7 F+ J( }. k6 u4 K* S: ^

# k' P1 X) K' {. n6 P! }จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)1 y) i6 F; c- e6 z
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง0 \  I, E5 j$ J  I% c3 @) s) {
" D" \9 O& r4 s
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
5 l/ ]: L1 W* n" ~
. h% ?1 n$ n7 k; F( jเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
9 ^) z0 O. N$ S) Z& q& I# v7 x7 m5 c$ r) m7 ~) B! y+ {5 e7 d
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ# t1 r8 V( Q' Q2 Y. B6 A7 G- k
( ^! _7 S( e( d- B) T8 L5 ^
เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
2 x# r8 {. Y( L9 J7 y7 u, y9 v0 q9 `; }8 J% E
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
( N: y2 T9 T. f5 V- g1 q) J
, \1 U# `) I" E0 ^จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
" M) N) ?! S  E, M6 a) Z; B! T8 u: d( G6 H4 j4 m
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)' |+ X4 A+ n. D3 X( n7 [1 y% a2 s
. o6 t2 \- }3 _5 b6 D3 z4 q
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
+ A* I+ @3 ]" f7 q: z; c7 I& e4 ?9 K; w8 o# a7 z
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
- Z, E+ G- T0 J: Q* T& T# s% {- c- J4 j6 m! D0 I
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
6 n: M: _+ F5 j. L; G: P) e, k3 t. T6 o+ ?  F" q! x" w3 ?
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
; k' U! D2 u' c2 H* L! Z/ @" ?  B' U2 {+ j# b! J
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย1 W$ p, C4 W# \# \

" C+ W( M& Z6 w+ x8 e6 f8 n# g7 s7 p9 u, N! t7 c/ u
) d' s7 \+ X( X( N5 {
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
3 P( j3 D, G0 P8 Xพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
; e: V9 L: a- g+ T7 s3 r  r" F  J* @4 [* f: Z8 p
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
9 a- q8 n" F, {8 w9 z9 Q  c1 V3 m
$ W. u" m( d' pจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
2 f0 F8 q3 Z; ~- v. s
; m  _  u  }5 s1 P6 P% E6 Qเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน7 e  d8 f$ m. [  q; }; I

- v6 C" A- I0 V, N0 v4 Cในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด: j. S! b7 t3 P8 V; P
$ p8 a3 w, x( ^4 j2 ^; f: J
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
* E3 M: [6 C' V& e๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
: ]' J: p& y7 P* B$ D" F0 W
2 F7 _0 C" E% x+ jจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ* w$ j0 E* E) F- |

* ^7 H3 i1 h3 u6 Kประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี1 J% e# Q6 z4 g- G# P  W, [
3 _0 t/ O: z  E- w% d
ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น. Q) U& T$ h8 M0 K$ T3 Z
" h) C4 v1 U+ K+ Y& _" y
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
) k$ a  y; C9 O* Z! r2 f" q  o
0 c6 N% C7 _9 f$ K2 D5 h. H/ c) D( g; W* ^# @$ A) s& M. ~) q
4 T6 j- X' h) G3 m$ f
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ4 d) M8 _) N4 I8 w  n' v7 ^  t
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย 3 }* l/ T* N$ g6 d: A
9 @0 T  s8 E/ U7 S: x5 R
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้7 v' i$ j% b0 s; E
/ S. ?5 r$ [- y3 r6 K/ T
หลักการ ๓
5 s$ ?: A6 U* S' J, N8 _* J; M๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น
+ N* w" q$ G& F* p! aความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
5 ~. Y5 @( G5 Z/ lความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ ' Z2 Q" F7 ^7 r7 {
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม: {( ?* g/ j0 I

! d/ x  H" ^/ I๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ) s, s: p7 u& d
+ ~+ M. N6 ]7 D7 w  J, V
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม- F1 f( O# U6 K' [
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
$ e6 c: }( h9 O5 g" C* i+ Bการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
; J. |1 N2 k7 ]' Q6 ?& H  ]5 r8 q# {$ x3 v  h+ D
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
' w6 g# J8 q* s+ s7 R8 n: r) D0 _5 }) U
๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)( `+ s( |9 z  U  Z8 R' g
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
, Z8 {. p) r9 ]4 K) L2 L) s# P๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
( k) T& R9 B+ L: i๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ- Y3 B2 t9 |' }
๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
' i7 h+ e: T& g
) y) q# C6 i2 V- f$ N1 `* fอันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง! Z  t: u8 Y" @  }1 P. J
" X3 S" p& d4 z! P( c
อุดมการณ์ ๔
2 B8 s) f9 C7 q2 l# b( L1 n๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
5 {, x" G# N& j+ x# |๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
/ d/ w6 h5 r  u" ]- A' q6 V5 A๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
; b' s) s! P% P. M๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘6 N3 c2 g( L- a3 v$ @7 P! z8 g

) h. c  |- W4 S5 I6 W5 N) Dวิธีการ ๖$ f5 W- P. S: V0 C$ L
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
0 F9 g/ G& _3 m$ y  c๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น9 W+ b2 @) c$ K  K
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม4 U9 H/ b2 T. X0 ~4 h( r
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
7 C+ ~9 }: x; \; W  F" o: \๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม" [9 P" C0 v) J8 e: Y& C- S
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
0 c; q5 V8 t) B  fภาพที่ดี
1 M1 P& Q# ^; Z1 C6 Y1 o
7 J. }6 d# I' A1 M+ ^5 U" A% Gขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php. ^& F6 d2 @: K' C6 C
' L/ I" e4 O$ j% S7 z2 d9 T: V6 x! x$ l
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-2-5 19:43 , Processed in 0.032061 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.