แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6553|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา' X6 ~- G& \4 e: J; Z

7 V4 v2 M9 l2 k$ F  N+ m9 O5 ~/ _" C

; A* A& C* J# y+ E: h" kความหมายวันมาฆบูชา
& {' `, s( I. f  U3 Z% Aวันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
% Z( Y. L* O1 L( H- J' _2 `# k' a6 m2 L
2 A1 U. P$ I+ T) {4 {3 vความสำคัญวันมาฆบูชา/ y7 E* b! W( \% h* k
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
7 ?% |( t% W4 V4 P( U* Y4 [, t. w9 X
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ
8 r3 Q; j. n7 ]% n' H
. T/ @" G, Y% e- l# xความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
2 Z2 z  B; X3 m5 \: {  B( N6 S. F" y* t. Y9 @0 G0 x% r3 n1 a
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
5 u: H, c& C# x, M; c0 p" n8 K/ x๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน 8 `  W* H% \4 B- p& F6 ]! l; [

! ^: A+ @3 \2 g" H0 H๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
% {2 p6 y* X% K: [9 P4 A; t+ W
0 \2 T) |( c$ F: ?' Eคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ1 C6 {( X" h( U3 _+ u! @/ X
5 b1 u$ D5 @3 h4 Y
"จาตุร" แปลว่า ๔
6 t) G0 g- W8 T$ T/ e, j0 M"องค์" แปลว่า ส่วน
* H( f1 I0 e% Z) Y( }" b4 @; @"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
* u" j* I8 K; `. @9 {  Zฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ" p8 b% C3 z1 ~1 M5 {
. M  T2 z( G( c( i
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย# \+ ^) F& v0 K5 J) }0 Z; Y% C  ]
- g5 p' a2 m8 Q
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
- _1 {; z0 q# z" O; e" @7 }2 E
$ N# L$ W5 f: s8 b8 G5 m5 j3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์: ^3 M, Z% V# ?1 y8 z* A
0 x7 K8 H; e" F
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ; S0 t, H) s* {; H$ j2 [9 _# A
2 a( F% j8 p  W+ A$ `
ประวัติวันมาฆบูชา
3 G4 \; J( Z! a; I/ ^7 M8 T- l/ d! _. P8 l: w1 V( u7 n8 X
มูลเหตุ0 j' y  `3 X5 _! J% r$ b, Y) o
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
3 \3 e+ \0 N! S5 N* ]
0 v- j( H: m7 ?) y: w0 S/ f; Fเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา0 t8 a  C* D  b& l- U* a' r. ]1 K

) l' Y+ E3 N* L& a- gพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก; x7 S# T5 Y4 u1 h3 G# ?
# T, x7 i5 b1 Z
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
8 L' C# T- o, L2 r9 c6 I' V! B/ o) b# O. g, X
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว1 G( j& @: G, i

  t9 F  |, d8 Uกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน$ j! h0 O( k) S$ c5 i7 F, ?$ |
" t2 b1 M$ E$ Q. q' C
  h" h8 Z- e: b) w( U+ \8 s" x( {

) {( Y+ I0 |# S+ m3 z3 Uโอวาทปาฏิโมกข์ 1 ]" W6 b! }, Y* o
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก
; D% B$ y; c& x( k' i+ Y
1 W/ G3 l- S4 ~; C2 Pกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน). P/ F& M' t4 ~% d( T# h' S

* J/ Y5 n$ L0 c) Gสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
# K, Z4 `' Y& [3 vสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ: [# S5 V/ n  f  a
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
! O2 g- Y2 K- q* l5 e/ Wนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
8 W8 {" @, i- C7 K$ m; ]+ qน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี$ l( |7 i( M$ \; r) H/ G; t/ j1 R
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
4 ]" M' `: I/ Cอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
" E2 Q$ T4 |& e6 N8 Q0 w' ]8 ?มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
9 B1 d9 U* H4 t8 E1 Cอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
: e9 M2 C' X, C) l4 v- W1 s! m2 U4 N0 E5 _  T5 U% x
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
8 P# a. f* {) `/ d' [0 x1 D6 O& ^% F( ~7 z1 O
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง: r8 X4 g3 ]  R8 @) |+ h
$ q6 K" a& ^2 i# X' T
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
! h9 W2 y! N, S9 `. ?+ Z- q; l, r; A1 K$ b( M
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)
+ t6 i) b* ?5 }8 H7 j% q% h# W
. P7 \: k  I0 h' }  e( Mพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
# `" I) t. P0 e, K+ ~4 {. h6 J
( d! K5 k0 a# Y- K4 s& qภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
% N  Y3 H; D: S, d" r9 v1 U' c
! \! C# O0 }5 Q; N4 j7 P) W0 Aโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
8 u$ @5 e) t9 g4 s
# B" D6 F6 e% E! K% `7 uวัดเวฬุวันมหาวิหาร+ V: n) O& m1 g8 M( S) c: R
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
3 w; [1 M+ `% `( a4 i7 @* c8 ]# D  {6 A2 ^
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)2 N: u; P( \% w1 t' ]( Q
8 y! C3 A% P. G6 h6 K9 Y5 q

* y4 i+ Z- I6 ^3 \
6 s2 k: O! ~2 C$ r) \4 H; T) Wวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล- P4 s1 I* U! Q3 c
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
9 c( u$ p; s2 \- h* N8 n: _5 L, [6 F2 B) G* _9 q9 \- B3 r
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
8 w( [/ ]8 {5 a- D1 B. r
. O- Q2 w5 @8 ^  y4 g- H  |พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน& l: H2 T& c0 C! ^; s  v' Z  F0 z& d0 ~

* ]4 R! R- ?2 l, s+ ?6 V3 r& `วันมาฆบูชา% T' a  d2 |# {' z: m% b
0 O" `# m" j* O; D$ h7 j
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน( @5 ]6 B% u+ g% x$ z! z7 t5 C
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
$ T" Y( N1 o2 Z' L* G+ d& d+ {2 G. N
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี6 r& F) j/ d( a* {+ E0 t0 Q
; w* N0 t& `/ f( j
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง6 O9 K% r: J2 u. v; t3 L
* \; R* j' z& d" O* U* X
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค
& D. G# s8 A& f5 A! c4 [
, j6 m" F4 }$ B$ U1 t; oได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา2 s8 T, ]& i5 b

4 L% x4 |8 p2 O( Y- O6 Pโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่
7 {1 G* H2 T! K. I/ Z; K$ f% i# v0 P* o& n7 c- _
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด  D0 n! p  U  `5 s) I
6 |9 z) m+ }9 f, i4 d5 J2 k
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
: K% a* x5 c$ \7 d! `8 w& A  R3 J; {* ~9 g
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก! @1 _5 [( h5 f7 Q5 g$ ~

" k0 n7 t) U& m  q& ~$ Pโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)
- C9 Z& y) t) y0 {3 ~5 ?: W2 U! }3 e; ~! ^8 E
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
1 i& H8 G+ P- N4 G+ d" q, e' x; o6 iปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
, y' @4 R+ Z; c- V0 u" M
& h' ^( N4 a+ E; _* f; F) Dไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก ! M1 H5 i' N  u  ^; U
% w/ x5 g* }( P' h4 m  \% b( C( U
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)3 T: x& M4 r1 r

" d* \# y4 B4 {- y3 yจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
5 {7 @/ o) D; s: t+ pถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
& T+ v- x% b7 T2 T7 o' K
8 q0 b5 T6 b! V# pจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ0 S* s0 E( i& L" l% ~8 R! D

  R: S0 |4 l' s! k, c6 _' kเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
8 L& e6 H' m9 F( ]+ z& X) Z! y( A5 R
& @; l, A4 r1 E5 W9 T" o" w  lในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ- ^2 r0 [$ k% [- L% a# y
$ {! r- C, q' {/ i9 @
เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ0 H  L: e  Y6 A# Q+ z" i
0 Q) i9 |6 V) ^/ V- j2 ~; L: d
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
4 Q$ E. _6 ?( F
1 g8 |. f6 g8 t! wจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง. C2 r3 }  [! O0 d5 S' m6 V
1 q: Y" n! P& x( R3 T# x
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
+ s  s+ B6 b0 L/ l% p' n5 f& f, ~- U+ b1 R' {9 B/ \5 a/ I3 g
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา* t1 w6 \2 X- d+ ^5 a, Q5 k
" r. T! @/ k+ J2 \5 }' ^* m* Q
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี* u( U2 Y7 B: {# r. ]

' O) K) v  J& |' Rเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
4 Y  ~+ X2 j$ @+ L0 {- l$ k! _
6 p' d; `2 s: uแล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี3 E' ^, G2 Z7 Q7 z6 A
' H; F2 m4 d$ L4 ~4 h1 u' @6 h; Q7 {6 T
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย: T2 }$ ~  M, ]1 `

& ~5 P6 q9 V: o$ g7 `+ K/ z* \1 I  Q- i; w: a) i
3 M; G8 p8 i. j) W7 \* k
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
5 S/ r; J2 ~& o# J' Iพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
1 @+ d- h  M9 C2 M% z
1 U# P+ j2 T8 E. J% j6 r. b7 zได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
( Y! A4 g4 \! M) f% i( X! d$ ]/ B; F( S' U
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
. S. O& [8 ^  T3 V1 b
. H# O& A3 C, ~* w0 J' Pเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
6 P  b  M& F# ^7 z' p* ^# @8 ?& b
6 i" h) h8 [6 a. Z% Dในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด
# h- _8 c+ o, i
' x: S  u1 a2 i3 Fมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
& Z6 k& A. R5 w2 Y% |" V# f; v# W9 s๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ/ z7 [! C4 A' c1 C+ l' k

$ \$ r) f  k, o3 Z+ sจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ
4 f' p( B1 _" B2 _& f5 r; x% t  D' V6 g" b
ประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี4 }2 k" K' E8 j0 h

$ R$ ]$ f! t5 B+ jในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น$ f5 d, s% _/ |5 O( a3 m* \" X& y
( p  d4 \1 v! ?& X
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
  Y$ K1 ?) I/ |. x9 C2 F& a
  C9 n3 x5 P% p7 I; k  K  V' _! K- t* O3 Q8 f" n1 c

% d( ~/ S  `, Z- w# {หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ" U5 ~/ n: w2 l2 C/ [
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย * Q, }, @8 d# E4 o. d

% R$ C6 a5 Z0 z% M; Dหลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
8 t: ^2 b( l: g2 p9 s- H1 Y: l- t# N
หลักการ ๓
2 ^. E/ `0 E9 R" _- K; m๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น4 h/ H& O, }$ f
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
# d6 f4 l0 \! J/ i2 V+ Dความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ & O! e% F! \4 C2 U- q
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
4 z6 W# @, @# u# {; M5 p: @+ y1 D3 M& ]4 G
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
4 L! [; K+ u( u8 O1 H7 |5 k" ~& V1 j
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม! O5 }8 P, Z( t3 {% a
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ2 m2 _6 a3 f1 h
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
* Y& `0 p0 _4 d; N0 v: ?
: l& z  k* L1 Z. V5 ^0 r: g6 O๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่) ~* a& S/ V5 k2 T9 w2 ~

8 @: d2 @; ?" C; W6 H  k% Y๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)/ v; I$ M7 f* t% s5 S
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท). `/ L6 z4 k( s9 ]: [3 U4 M. R
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
+ {! @8 ?0 _* ?' z. `# d๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
3 ^  N6 n" o) N๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล 3 H, Q( v  H- G  N

( D8 ?( D5 d% k; J, G4 \9 d8 m$ \1 M4 kอันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
( O& }* |/ K( x
% K) S5 B; O6 L7 N) y- I& Aอุดมการณ์ ๔
7 l9 G) c3 B! n1 W" Y( z& Z* d" v๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
% D' e( f* K# h, e9 y. J๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
0 U. Z# m7 |1 G$ d๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ  h( v( v4 ~6 ~( ?: o4 o( ^
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
; V( y/ e; I8 \4 O4 S( d$ v* E
& c( f+ B) \7 R* C/ Vวิธีการ ๖
# l# R3 ~8 s: X, f6 D) A" g" X& W๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร: G; H" h- N7 z/ R
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
7 T# F' q/ W9 A- r2 l' D& P5 [! L๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม/ F0 h' ^3 R6 X- S6 D: |7 X6 j; w
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ2 X$ |$ h+ v% Q; b6 s0 E2 f2 v
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
. |+ j7 @4 V+ g- `๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
. q5 M7 g7 S" \! Iภาพที่ดี
  `/ l3 Y  Z, W2 O0 F3 F" }
2 n% V4 S7 e- X4 Sขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php9 w7 z' ^' R8 ]& h' }1 L% e0 E" f1 s
, K2 q) ?5 I$ E
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-9-19 23:51 , Processed in 0.247243 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.