- สมัครสมาชิกเมื่อ
- 2014-2-10
- เข้าสู่ระบบล่าสุด
- 2014-2-10
- สิทธิ์ในการอ่าน
- 10
- เครดิต
- 0
- โพสต์
- 1
- สำคัญ
- 0
- UID
- 11172

|
วันมาฆบูชา* D& z( q" n ~- W% K& c- f* q
; q+ n; k0 y: F. f
% E$ q' J1 g, w% T7 x. a, |& S" Y, d7 {7 R7 S3 Q% ^
ความหมายวันมาฆบูชา' z7 I0 Q, ^; m7 K1 b4 i! l' Y M
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์) K+ e) e. u3 ]& V' g \
1 x* F+ Y2 C# v d7 ~ความสำคัญวันมาฆบูชา
3 [ Y8 Z: k- c, Kวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์/ n( _" P# O) ~$ c
q" `2 A5 y( a$ M; t- cผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ- t$ g! S4 X( Q
1 @* s% ]. k+ H5 p! B( p) W/ c2 rความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส7 |! M4 V/ i! g7 i
8 P# B% K: _2 f6 H E# @2 |' Aประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
9 \) |# C. p. Y% G๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน
, _ b" y, Y7 Y" h% I7 R/ e& r0 @- K5 X& z, \
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
4 K/ k1 j! k( V
5 w R- d, Q6 L, lคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
8 ]7 |4 ^) b! ~( j
9 ^" T; Q. x; X7 F9 a' T7 t"จาตุร" แปลว่า ๔
' E9 T# b6 `+ Z' ~ w# n"องค์" แปลว่า ส่วน
( P0 `6 F5 N6 z4 E! A"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม : d8 a2 e. n {* I. H8 h% I2 M
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ' X* G5 n: `; x& a' x: r
( y5 R; r* C9 ~1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
" [. |4 I# W: |' S; y J4 q/ ^, H+ m* t$ k
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
& j8 o- W" X% A0 T
. L5 `' B! v/ n# \; B( M5 t, `3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
5 ?! E F# ~- \+ y$ Z) t5 B9 a' _9 p U; n& R+ N
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ7 X3 g' [' c0 j0 V
% e/ A7 Y* [& j. b1 [ประวัติวันมาฆบูชา q9 b1 M3 T$ o6 m/ W5 [% u
5 D' z7 N. @6 T9 T* v5 I/ ]% ^7 F, N
มูลเหตุ) z* c4 K/ F, q; {! Z; C, M
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
! t- g2 u' F: {# ?+ B1 e: `
4 ?) I( [0 J5 G/ Q0 K sเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา
$ j# H9 K# C/ o. N, Y- w/ Z6 f
8 b6 A, f$ w* p5 K8 W) oพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก
/ a; H5 Q/ \( U6 S D+ v" Q$ ?/ J e% S& v$ C1 r7 z' y
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย2 p7 W/ v2 M* N- {5 G& ~
9 s0 ]- K2 e, X2 V' {3 U7 Gมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว0 |9 V; G5 w' k) j9 j2 {
$ E3 [+ s+ E% `7 a; X9 k7 R/ uกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
9 W, \4 u# M6 r$ p: V1 b: h1 n4 G* T5 `4 E; S/ @
& m" s) Q3 H' u ^8 b
! ]5 t/ y F. ]: A2 l3 d
โอวาทปาฏิโมกข์
$ ?5 _/ O4 P5 B* V* Iหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก. S0 D- L/ ]+ ~! u1 [- \6 T2 ~, A7 e; ]
# x+ U+ O6 ]; M; C! \) d* ]กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)2 |2 M+ \5 S* F8 x4 V% z* M
) i5 `$ ?5 O0 I: n: uสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา6 S& I2 ^) L8 u
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
3 D9 W, N# z4 kขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
. T- ]: Y! _/ B; s% Iนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา- u1 K0 f. k5 x( F- Z
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
[0 V8 E% M! i& m# Pสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
7 y3 ^: g% n$ d; i' p% Tอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร2 k+ A' ?( v: u% B3 N# H: [& D
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ7 @8 |; l1 s+ L8 _0 l( d: }. g
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ0 u* b# m) c: z4 m' _ `
" }1 n, }% J5 j; M, H* Z0 @
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน2 j* b0 m$ U1 y5 t. a# ]' l6 Z! J1 n
; \/ ]1 G. `4 ]" J: X
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง- F- d8 R" E. U
) M' f$ G) I/ b' X3 }! xหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
( J4 ^; `, a0 ~3 {- R1 I* L$ A% t6 h' \" e. _
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน): ^. `6 [3 U9 y0 |
8 p3 i0 T3 {/ h1 H& Q$ c
พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
* n( Z" Q1 v* M5 K
8 d! A5 | T/ c# Mภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง8 _- P7 j& V7 h* Y" b
- B: n7 _3 a$ Y
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
6 m* B; |1 _, g: B2 w+ {& ^
# a) m7 |% M8 h" p$ T& u) Eวัดเวฬุวันมหาวิหาร3 s* N \' W% M
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
4 V0 ?" F3 Z0 ~, v
6 B1 M4 J* J$ s2 J( J5 @พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)
' |. {- A. E) G" N u% G/ W/ S+ H1 c
: \2 |, ?5 W7 h+ W) R & f R: S: ?9 I" M2 q9 k
9 t$ d/ q+ m& r$ V+ q7 x: h7 n/ `
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล5 G/ H! |) q* G$ a3 C
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่- v0 g) N5 {5 s/ s! A2 O8 V0 w4 C% t
Z6 K" K$ R6 Bสถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น8 j& ~3 S+ B' I8 P" k
9 M; m1 j9 j0 Q" W; gพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน) o% y7 Q$ o# |, f* H; G; V8 Y8 U
; _6 H6 W. F2 T" \- K |
วันมาฆบูชา
8 I( b! a: F" y# S" G m- A3 t6 t" z; X0 r* ~
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน. J. a* M# x% o, X" I9 f& u7 M3 Q% o& V
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม7 F, P3 C6 c7 Q& X8 q! e l
5 W6 Y6 j; t$ V6 H+ [4 o' Iชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
/ e7 t) S& Z2 u" R. d6 u' F# {6 z% l7 e
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง+ p# z8 t7 ^4 q5 t; H
$ i ^7 J! q! d; ^7 {เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค
, x3 [5 }% M7 [/ a# L
- P/ f' M) |. L: V H' C6 B; Aได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา* ?" S% j1 c: L
$ s b( g1 u# k4 Zโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่
7 b# A' B; O6 h I$ b5 r1 p& X0 c/ M, t/ _! F
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
3 @( h1 ^# |; a5 o# J' g3 ]; e0 D6 p& f
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
4 g. i" D |" I5 X
9 K! D. C& S, a% tกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
V) y) C e: ?+ u3 K9 b& D
4 h% e M1 `$ ^% y, gโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)2 }" t _ I; b
! e5 A: T1 T/ _, m# A/ B
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน# Q! h* [" k) J4 @) H* o
ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม! U+ \0 k5 l# D
+ |2 F) J2 P, Y8 H9 T
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก , y. N1 c5 ^& ~) C8 }
# D* z* \5 `' ^7 q/ Z# _; O \ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)
& y" r G! W& s, W( `* ~1 G, P! D6 R8 j9 _3 ?0 o0 ]
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
) U- r- i9 q- f; p/ V* d. A+ o0 N x4 E5 jถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
. B( V; O& ~) N+ E/ K, F3 o
- y" F8 ~. i8 _4 X/ n( K( gจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ$ e) ^# F. f5 Z1 i( w$ V8 C
8 B/ z# S/ w" k# l* rเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด$ j8 f8 o9 ?0 t4 B+ A
$ G, E+ E8 E0 e
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
% G! x4 E' {7 s- n
! d) |6 n" Q: B4 k- G& r6 Z! ~เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
* N8 m4 q% v5 Y6 L& {% N5 F
& |& k- ~! v* s+ ?9 v7 cกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
. I& m! W5 O* A7 c% Q- J [! o5 l9 w0 \
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
/ \6 v1 ~7 y6 r! Z) L
4 S3 s) `2 [3 x4 q4 d# x2 J3 Uโบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
2 ?1 ? ^' F- `- _( _ g0 i6 \( E S" U! [" l, g# c$ u; j
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
" f3 g3 s! c5 V. V! x1 A' L4 `6 H8 x! K/ L; s; j
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี+ C, U+ v- y) W- o. F0 c: ^& ~
% j" i" {4 N# ~5 k9 j: _เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ 4 j @6 d, p- J7 [6 o4 g& R
0 T1 L8 C% O6 E! Q/ \( L" ~3 o
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี5 A2 R$ B% r5 I; n; B' R0 _9 ?4 E
, r' A& I/ O# J7 R! E0 J5 ~+ f
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย
2 K# g: e! s0 I, [; p$ ?: Y) Q) Z5 p0 U
' T& b9 r1 J1 N+ Z. s! W
S% j6 N, e/ Eการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
3 K! z6 s: m/ E( x* n( t$ dพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่3 _" c& I" t) d7 c( t* U5 `7 B" g
# d: v& H/ f* Z7 o9 Y* o" s
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
' S( A, A! q3 F- M( ]2 _! a5 Y# n B- M& d, U: X
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้! G* i1 O3 x) P' B2 U
% R; T4 d; s: g5 x9 m1 |
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
! r8 [4 N. F# E6 H7 X' [& ?* f1 _, u7 E( e }0 M( `
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด1 }: }4 k% y9 d) h! i7 t
) w3 ?/ N u( I% \5 D
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์# }, M! L) b8 [0 p" ?) A
๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
( ~( u! Q9 [+ B g1 r% q/ n+ U7 i* Q0 q+ H! j N q N; ]& ?
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ R% c2 ?4 Q u/ q8 ] e; W0 K/ V3 a
$ ?/ m! A$ B% {% {% T' u# s
ประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
9 `+ k \$ J/ x/ N- H. H, m2 W& S& L0 G2 `0 z$ |
ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
6 j' C6 D+ R6 t2 e4 H
# Y" |0 h- G5 d X$ I4 [อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔ }9 F& ^' A, g3 t0 d2 u7 |- b" j
# n$ @( q7 v' w+ I1 Q
0 Q- d3 P' T/ Y3 s4 B2 q( k$ i7 G4 M
& n$ Z- k. e: t5 \" ?7 Y1 z4 B9 M
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
, G$ {; h$ `" c4 F; Fหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย " n$ T1 w; j8 I$ R6 j2 G& t$ k
& R' q# B7 s7 v" K% f
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้( Z# }& X* E. c$ v1 q. I# r" O
/ Y2 h5 Q. h1 M! |0 I* S0 l
หลักการ ๓: k% y+ [+ }5 U" P2 N, d
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น* j5 x8 d4 X8 }4 c. w
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม. U- ?, d9 t4 P; F X9 z
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ 8 j/ M/ V4 G2 U% Z
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
7 K' c3 @6 M5 d& u/ M2 }9 }
. x* a, J8 q' A: Q๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ' A; B& y, A1 x! _
9 q( z5 F) F* C& `& u9 mความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม8 b! w9 P D! y* c
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ0 Z2 ]: U2 a! ]3 R0 y- _# _2 ]
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
5 k9 |" m' Z; ^* R# a# Z: {& F' Y, o( z
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
! [/ {! y3 f, S/ Y# t3 W; f
( q% ~' |; w* r0 q๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ) M7 D5 u1 s1 ?
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
& e; }% @: |6 {๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
3 M0 B3 p0 @7 z2 ~# }( F๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
. a5 f/ ?5 i. r$ i) a8 V+ o' I. f+ k๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล # Z, J p/ E/ j; O8 H: \9 M3 n b* c
8 f0 ?% @6 x, m: w* Y/ ?8 J
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง/ f* X0 |8 L# K) Q
& T& s& w. E/ Q0 g/ B! Q* I0 p8 l" X$ a
อุดมการณ์ ๔
: |/ ?' W. p" o7 K. @: Z๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
* I6 @* q' A# o ]# ^/ m J3 O2 N8 @1 }๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
" ~! N+ U! F' @/ h๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ+ H$ y! Q7 y. Z1 R' |0 E
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘7 h8 _; E; `. I- [
# ~8 |% X, e! ?
วิธีการ ๖' D k4 g+ M& k2 Q2 [% G
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
1 A1 s d! g% L3 k. k$ M, Q& i๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น( ~, s2 }0 U3 T
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
8 w) K" H& U1 }3 ~$ \( o6 I๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ9 ] E4 i4 E$ w: B" q5 |- u$ r
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม6 U; d& o% T% N% l; E" Q
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ6 R1 v; } r7 x# e- F4 }, U
ภาพที่ดี( z3 D7 r, c+ ?0 T1 A. Z# ^& p
0 k! n9 b$ j3 {, c; f' N
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php1 }0 _8 @7 a1 g+ o- ]
* a; | C, x) N0 `: y& d
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/ |
|