แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6726|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา
  f% B& P! V# E& }1 m( T+ ^& P# @% v' N4 o$ p
; E, r" w% ?* t7 O3 Z* [

, _! a# ?( p# G; _" K+ Rความหมายวันมาฆบูชา, @. |4 u# P  T8 }/ e
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
) K3 {  M( N  F4 K
' e' B' ~# X5 Q  C, c, K; @, xความสำคัญวันมาฆบูชา
! B1 [% o) n' q- n$ P. j, V% vวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
. V7 F2 z  j" K4 s3 K
; Z; c( m, u. ^4 S5 Dผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ2 M+ K7 H# {1 u$ L7 d
# d/ a6 Q+ n2 E3 y; ~, ~1 i5 m  p
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส' Z4 a5 z$ X1 C- i$ q! z& X
' r" ]* F9 }- ?9 A: l; h
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา; V4 d) b5 W- E# r* K2 W
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ; ^/ k* S7 U8 F9 T" Y' ^  q# y

, q9 L- T1 C; M# Z! `9 |: x๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
0 h- v, t( p0 m% n7 ?" i/ h1 b( g
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ
7 z5 a, }" m- p# |, j- [. g* ?% ?: W/ |+ [' ?7 o
"จาตุร" แปลว่า ๔
8 |6 ]0 w6 _8 i% e. I( k; W' y3 ~8 S"องค์" แปลว่า ส่วน
* @: t8 V  W7 x"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
9 n* r3 ^7 R9 d) h! P$ |2 F1 _) uฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
' V. V) o, h0 L/ U7 F+ W; U& f1 [" l; Q0 }" v7 T0 i7 ]8 E" S: b. M; o8 e
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
9 l3 X8 A' H7 j0 f' ~; h& O2 A6 F
4 R! B3 g7 D7 L2 Z, e/ M/ p3 |% h2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น; k8 W8 _+ A9 f# R/ Q* y* u

4 {5 K/ c# X. r* |; {3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
# Q5 P$ f- N. X5 N5 ^4 |
5 p+ }- [& j7 ~- |4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ* }+ p) ^* \8 Z- M  j2 B9 h

% j* F. k) V! }ประวัติวันมาฆบูชา) n4 C7 b. t, L2 f. y

4 N5 u# C0 T  H( G( mมูลเหตุ6 ~. P+ ~$ M9 e+ F/ [! I
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
5 y6 c9 u( c$ e! a* C& y) l" F3 H0 c2 y# m, L. v4 ~& ~
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา
* \7 N) ^; e$ f: c/ ^# r" F9 I* B7 O, J3 o) a; k5 T0 E: e
พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก1 M3 d+ r2 h0 K: [3 p
4 I( h4 m6 Q, K/ z1 j- I
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
: O4 r' B& g2 M6 o7 D# E
+ D$ J3 N7 I3 N4 Gมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว. ]' u/ J0 Z' p; r5 P

! s& M! E4 F. J; E2 K0 tกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน% j' y3 O* P" v9 ^* Y) ~- C% f# H1 q) l

( e  z+ g; Z. E" W, K3 \
0 m( G* l! J3 m, c0 A) b, N
# c" V  W5 |- @โอวาทปาฏิโมกข์ % g, a) X, B. c7 t  T7 n- I: j
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก  j; \$ v6 x; N6 s
4 n/ e7 B7 x: Q: F0 j8 r
กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
" w! h$ D* p2 R. p$ S1 G& {' E3 F; P% D4 j; P! F3 R+ E6 K5 d* F
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
6 e# h5 D2 f& G& i6 u; l3 d" |สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
# P6 u; T9 r/ c9 Tขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
+ B7 I3 F' ?) ]5 B, J$ lนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา( u5 F) J% B; {! `% U$ ^" K) t
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี) N; w! c% j  U  |/ A  Z! `0 Y
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ% Y) l! j+ s  }% x
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
, ]( n- L. G6 i/ o$ z2 k- w4 p+ p8 Hมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ" g9 A% @5 R' l3 L! ~1 @& w! E
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
  E2 i( E2 [0 y: _! B0 m; X# x+ M: \' ]0 c  p; {
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
8 P/ M; C1 v+ U% L& V
2 J1 _0 o" |5 b- u! p7 Dอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
0 O' P! o& U4 X0 R4 x
: w6 l0 K# L! A4 g  dหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส4 }$ l1 G& i6 C- E/ N* J
" X1 a1 _% w& W$ K  w& Y* e* _$ h& D5 M3 }
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)
( w, ?1 K# R" U8 l- v9 \5 Z
! N% d6 j2 _  f$ Rพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
0 t, R( q  P# n
8 r8 M( o/ `; J9 g) Nภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง/ U* I- F) B% O* E

, L: k" z% C% d3 z4 e% G- kโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
+ B9 d& A6 s& i- q( I4 Y9 U9 D2 p
วัดเวฬุวันมหาวิหาร8 l2 J1 _: b, E/ {
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ3 f; _9 l0 t9 Q( E& j4 m: X. v
# \2 i( A& B6 Q1 ?# l# x9 u0 h
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)1 C: l7 o7 W$ f1 O/ ?
1 v& ~+ b/ X% ]

9 ]$ `7 [% s: u' s7 D, h' g! h- {' x) [; s1 G+ l
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
6 u8 {0 z+ Q- [เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
: [* w  x& F+ r3 U1 G3 X' n2 v3 \) b' ]9 M4 D) y* N
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
: Y: v9 |1 U3 n* z9 M3 D/ @
5 |: \' J5 u) i0 xพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
; z" T1 q# E( ]2 w+ q# U3 r" @9 j3 r6 t# ~( A' |' I
วันมาฆบูชา1 z6 ^: P! F6 P6 F. N# T

% L$ H* R  X& u) h) ^) X( w9 _+ uวัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน
1 m( R9 l- ^2 }. ?  l# ]) Pหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
, U0 q1 J2 |8 `2 `4 t
% c! M! i  i7 L: F- gชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี, u% \0 J# C5 o: H4 ]
" \- J7 u. ^/ o- h6 J- X
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง
3 y8 B* X9 c3 z' ]( s& l& X; V  J0 L5 l0 T+ i- F; k
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค . l# \- x2 h* l* o- S
& D! w* o% c9 y" O& ?
ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา7 q' r9 g* L3 z% V

  v# [% K' a  C) z: E: uโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่
  y# |; t; Q; s
: L8 J/ W$ V% _% aในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
( e* x5 J/ ?% @: _4 ~3 ^
/ P8 C1 a: o2 q0 |: Wแต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี: o7 W  u0 o0 F0 i% d
/ _1 V6 c. R+ u$ ^
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
$ }8 a1 l+ N& h; H6 C; w: D" |6 a9 K% Z0 Y: w
โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)
8 \% F$ E4 u* @) y( [# s7 p' q' S; Z9 |/ l' o4 r* k
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
3 R  [; M/ m) a/ C; \ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม) k# @2 J8 X9 ?" P
% ]6 |+ M5 l$ }/ Y$ }
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก
3 W. a) b+ P, m+ L) ~& N1 {! s+ C
2 l# @4 e# G: h; ?7 W2 B3 Cๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)6 }8 ~! P0 r& N+ @$ I+ }
1 L  ^8 ^( {" b; g& I3 c- ~4 q  \4 ^
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)6 |* l9 w+ @: p, q! }
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
3 A* K7 B0 z- g7 h' }' k/ E. x9 ]+ E/ l
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ6 @7 |, E2 c+ ?% S& O4 d+ r: {5 X
" o' V& C9 y& ~8 n) v
เจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
# o4 p% F' H2 p3 O- V/ H1 ?, j
9 u1 z$ O) s0 i- \6 f& \ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
! d2 Y7 L! P; O+ S
0 s0 s  r) k* H; T( d) b, v5 Q6 ~เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ, _- z& n- E; C" g8 P

  V2 \$ W+ G2 `  N' Z7 Dกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน* X4 b3 H6 b1 F' P( O4 s; s
  R/ ], J/ g) e  I. w1 |& \/ V$ o8 T
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
( ]: B+ c4 k) m; |( P( |  c% W+ e% W3 d
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)0 q. j# S! @, i4 [/ M

/ c8 u- e2 N; _1 Iกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
* V6 Z5 N( x' R$ F4 ]: c: f; q6 Y" b; ^/ d3 h6 S4 g
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี2 l& P- ^/ a: ^1 K9 j' m7 h/ B
1 i6 ^( c  X! i% W/ n: |
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
& S+ y& _& V1 P0 g0 n) A6 I  r" ]& z9 j* t8 ~5 v' x" c) i8 S( S
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
( v# M" l& R( g# V2 E
/ K$ ~+ x( A# `  ~ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย' C' W4 n  O& ^- \
  E. O, n5 P  f, Y

, J& \  j* c2 D4 ^0 z
" N# f& }/ \6 _. wการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
  D( c6 V7 J. F9 m" F8 Z2 {3 zพิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
: O7 s2 L4 r# Z
0 T1 {! @) l) v# v1 L8 h: B/ R+ mได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
1 R* p/ ?! ~5 n3 w( E
' W% o0 _) z2 x0 qจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
" w% @# s& K% t1 p- T
4 }4 Y( M" d2 m. M& z* b3 ^8 V' hเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
# s1 a7 E) |9 C- y, H$ m2 X) Z% ], @& m& o% ]9 m
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด
1 u3 U  i& Y) c9 g  Q! y& Y: w: W2 H; J$ @4 G
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
, e+ K. D5 w( _$ n% p8 f, A, u; Z/ \; P๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ( [  ]8 i5 |9 S
3 u2 E8 O- N4 n5 |: W
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ" k/ D' d: \, Y9 s# C, T
% m5 v3 C, A% D" z4 L
ประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี; N5 Q% i' r0 D% k$ D* F/ n& z
$ @3 L, a# T2 |. I( [7 A5 y5 Q7 I8 K
ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
- u& Q% I, s: k0 i* \% X% [4 k3 F5 U) K0 S
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
+ V6 c# d+ j9 N( A0 N" ^. W) b4 A- T& E

9 ~# M* ~% V7 t* i5 a8 ^8 v1 @5 F3 J  [2 w# a
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
( B8 W3 v$ W, Q; c) U; Jหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย # ^4 [9 d$ q$ C0 E
; Z$ o/ h2 y9 z  X9 q
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
- c' y$ \  w- m* w- D- Z# m9 P& C: c. T5 p3 Q. s; e
หลักการ ๓- T& D) E9 }( V9 z1 m3 |
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น+ e" ?; l" Y# Y* _+ }! |
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
7 V' |. o, D5 p. u: Pความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
/ K! }! e. P1 p* u4 Z* ^7 jความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
# i4 c& G+ a# z9 E& L. T9 W5 h
  m' q2 O3 u" P& f2 z๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ; \  M3 e, z! T4 W1 ^/ l' e1 n# H  ^

& |1 X/ t  G* V6 e: W- nความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม
( E/ F/ W1 C3 u9 R8 p8 ~/ z3 m! fการทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ* V4 L  L: }; h( l
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
4 q! Z0 B# ?3 ]; b: s
' S1 d! m# H! w$ X2 r+ \๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่2 s# s, M5 v1 u

" @) \7 _% U8 a1 y๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ). ~9 }' p8 ~8 }3 o, K) J# D& O/ e
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)6 K0 G, s! w0 e. T1 y6 h: k
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
& f$ E- Z3 \$ p. }๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
) b! N, m* ]4 X' t! y$ ?5 @; e๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
+ U, E) X9 }. i. A! h# P1 Y0 S6 W- S: f/ ^* u9 p
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
% @  @7 L8 p2 z/ l2 m$ d, Z
( K1 c3 ?! Y1 K! O0 e% ]อุดมการณ์ ๔3 c3 S% z! g1 N. j
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
# W/ F4 |5 a0 S1 p0 @4 e๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น7 g+ s! T, L" V5 H' K1 Z1 h+ D
๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ; L1 l% N+ M' j6 b! Y5 x- P
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
% n# J2 g7 v% y: V  p* W7 @) N
0 S, s* ~+ {2 b$ nวิธีการ ๖
" U; |4 @# J/ |8 z3 h3 B0 ^- d๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
5 D8 [4 G* z' H6 X8 X๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
, k" ~  R5 r0 V- W. E- A๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
$ ?7 B- h2 h! T; k( I" @. p๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
, h  _) t' S0 U) |; j๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม. C9 c0 }" g# R2 p; R
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
# C/ ?; M- W7 yภาพที่ดี
6 Z* B, H) H; n3 i6 P3 L/ \( h# s- r; }2 [+ ?. e
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php
  N( T7 z6 U3 X) B1 _2 S# N# ?- a4 I% u. E% L  o
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-3-15 14:41 , Processed in 0.035134 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.