แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6864|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา. v5 F3 R' m  ]7 u; V% {

/ g1 r! q  g$ M( p! b, q' v* S+ ?

* \# @6 P5 y4 o1 E- C: Q4 Oความหมายวันมาฆบูชา* |2 E2 ?; A- t& O' P, N
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
( u+ S; s* {  `! U+ M) V# U  U, r/ y! g  N6 L1 ]
ความสำคัญวันมาฆบูชา
" G# C( w1 M2 `! M  l* K8 |วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
3 a3 p+ M  |  @  z" [/ J8 x. N& E0 ?6 F: d
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ; z( [; c' T5 O2 b- X9 B5 d

; B; c8 o" [- R: C- _# f+ Bความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส* B4 D- a7 R' M

! e2 S3 ?+ H. r* i( j5 o! u% f9 ^7 eประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
. I4 V( {" y, }- x๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน
8 B# A' E1 {7 \( U: b3 I
1 C6 B4 d6 b5 @# \3 |8 h๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
5 P% @% A$ P5 K  [) ^
6 Q! `% W6 V  z9 F& ?3 Kคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ7 B/ t  @8 F  q' Z7 z( h7 I" S$ _/ N
- h3 y/ B+ ^" u. A9 H  A5 t
"จาตุร" แปลว่า ๔ ' _1 k; c2 S, f/ ^& v5 O0 h1 U1 U
"องค์" แปลว่า ส่วน & s4 Z" A" t: F2 U- d( o
"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม 6 {0 H* ~6 c5 \, S6 s% Y& x
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
1 J1 N: L- s6 Z* [7 t8 y# ~  S9 q. p4 J, _; _
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
: |5 e& k6 T/ j' I7 q
8 e: a7 l8 A% c# [/ ^/ p9 v6 M1 `, ~$ k2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
1 i8 _6 l2 ?6 R7 C
# V& k* z6 `% r, K6 z3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์' e. @  o: X$ s6 b4 R2 D

7 D& p* Z; j- a9 I4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
, E* i! @4 L/ {# x, ?; V3 j  A/ i* i1 o* K2 [9 _1 l: J, d' H
ประวัติวันมาฆบูชา* Z/ k  z" x" t3 x  |( d0 V4 h
" j7 c5 S/ O( C' r$ ]! m
มูลเหตุ
! n; ~& ?  r  c: m6 i# c/ }; }; iหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
5 q. _+ I9 K7 k
9 c! `# f; {$ n$ O+ Mเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา0 C8 ]# G8 ]* N) w/ d

3 h* O* A$ b/ u& Z  I# B) ~; O) Kพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก/ m1 r& H# Y) u* M" ]* i" O% ^$ d
8 x  [% p( |) n  D2 u! u+ R
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
6 l- t$ x; ?$ X7 ?/ Y8 @7 o" ?( }7 h6 u( k
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว( p3 L& L( c! j; R, q

2 i0 }2 J' ^/ Pกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน& u! H! I: e( `0 {" B

' u% K% w3 g2 i' w, G0 I. R- f$ [! F: t  s( n% h% x# K- {

* j$ L. R$ y$ N9 t/ s+ D5 Gโอวาทปาฏิโมกข์ ) C5 X& e, k2 }; g7 i
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก
" b) f5 y1 |* U" ~' y& N7 M/ a9 D4 ?: L. s, U7 R
กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
& F" r) y7 m  @% W. L% M
+ N# H8 ~; a, t6 _' uสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
2 [% u( k/ H1 c. D! t$ pสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
! ]5 y  h  }+ [7 u( e/ f* Q% I, xขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา' X( G5 C* u9 V/ }
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา+ A) d5 N  V8 m# z1 {* B  {% _' {( a
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
7 F! Y& `4 P% q) v+ z% h; j  t* tสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
. G: m* g) w7 @อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
2 b$ g. j- I3 O+ y8 }6 G4 X# Yมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ2 b) k1 v' L2 W( g+ e* r5 B
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ" w/ u# n7 C! T& `% T
1 F) v+ A7 K) s  x# W2 t$ O' t
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
: j$ k  y* f* n5 M9 m6 q; P0 V8 Z
: z( Z0 h7 i! T1 U3 gอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง8 J  {( x: m3 o9 m  c* E- h4 z
/ O# B# ~  A2 b1 W2 ^* a* f. Q0 _
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
! H% y1 I" ?; Y0 k/ A% |; O4 y* F
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)
7 I/ _' X* w" [: A3 O8 Q1 q% x6 J
+ `' q# a2 v" O0 {) M. m1 fพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
. h/ J9 _% B# l0 j: q9 g- y" }: B7 s7 O
ภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
" d5 u5 y/ h' ~2 Y% Y3 ^5 y! g1 J  `" ~; w4 h: N
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
# v2 L6 h2 `; y2 g+ [7 {8 _/ h* ?8 K$ R1 g
วัดเวฬุวันมหาวิหาร' I2 I9 p: j0 Y) k
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
+ a* A+ X! n* g" ~3 ]# _
/ e( b* ^: j* z, t  q4 h. {* d5 ?2 Pพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)
: S/ y6 A' l  N& {1 T
) G% i$ U6 W1 f2 |  W1 F4 \, z: h) V( A+ ?/ K, r% P

; q6 y: z$ C! [4 P8 u! O# q! w/ Kวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
/ ^3 p+ s5 X9 I  Y! A% xเดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
# n  G) V& s+ o% s$ T: A" Y( a$ A, a/ m! M! S- b2 a
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
! Q) X+ y- D# v% J  @2 k3 ^$ ^. Z. K8 v9 M- v$ ?1 y
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
+ c) W* d; A! i' V, G. D% l
$ |' c# w0 R! k6 @$ Jวันมาฆบูชา3 q: `4 O% V6 E1 g
4 b; z* o6 l4 x5 i0 G
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน
! f+ k3 E* N! w# T! Yหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม; ~( \0 Q3 D, w) ~" y  s3 d3 O# b
0 Z% }0 @9 Y+ y5 H, i# g
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี1 {5 @$ @, p( K: }6 ~

# l! `( P7 ?7 E( Y2 U! bแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง: f; g; V. T/ H( a; C
7 O# r0 \9 p2 `
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค $ q6 B, u3 ~4 {* A' i* `0 t6 T

  q! I+ N7 w" h; i+ ~% V9 O2 e; Lได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา. ~0 L2 Q" Q8 q

0 d2 d. D% z) I7 ~0 Hโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่: l2 x$ e& Y" a% N$ `* Y2 k
- `/ e0 L& D8 H0 \/ L, G4 T/ y
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด* J: p% g. S# z5 }1 j4 X6 Y# y
* \' O" B1 s) N' a9 V
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
% A7 ~; Y- }# P! h
, I6 M: E( ^, ], y7 K7 Qกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก- A* b* m1 q: ^5 N/ _

6 {) ]/ p* x5 K% Hโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)4 f" k! ?) ?9 n6 n; d* ?+ V: ?

3 s, J5 z0 V! U5 x+ h2 c, zจุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน& c  K" x' m6 c  ?2 Y& @( z, M
ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม+ @2 t( a2 l! G% n. ?

! O) L# Q/ |3 u( r8 }5 Q% u3 T" Wไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก ) [; U  f0 U3 S# D, n( d

) e9 I/ M# J8 Aๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)2 n" X* Y( f2 L) X' f5 F& b
& T, D6 n: W+ m! H. `
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
* J1 [8 f7 X( C1 W# T+ aถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
' w7 R2 V' ]5 e& h4 Q( Y7 D0 G5 t2 J- Y7 j% c5 j
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
7 O' S! i3 b3 K4 E  u! C1 H) i
4 w5 c2 K) w0 x* \: q! Kเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด  J7 N0 c- c& h( Y0 G; }
) i1 r7 d0 z' n& v  T+ b+ z
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
3 {2 P( w; F' ]! M2 ~
9 ], F) V) N1 w& L# G3 |0 z: dเกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ) H/ N, l1 m/ E1 _

0 }: A& H3 V. }1 gกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
% S5 [- s; o; d- M7 T" F7 Z
% P5 C8 n! N3 ~7 t$ U6 k+ ?) Dจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
7 B+ M! o) f7 f+ ?  ]8 r& X$ M
' ~2 v5 b. G  d/ L# Vโบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
* D8 ], S3 k3 z8 H7 v' @, X( T; Z% G9 E5 q" B, C" l' B! }7 b
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา$ P& M, ?: I3 d1 L) b  _

2 G' l. n* W, A1 f( w9 w: b5 m การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
$ r7 R# z3 Z7 k: N% U
2 _9 N2 P! H  ^เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
6 {, T& Y7 H6 K- @+ @
$ D7 m7 b4 M* ]# N9 |" ^4 R7 eแล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี) j- Q) p. c# z4 E! _! a

, r8 i+ d: k) p, a6 fขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย9 H  Y& E, W) Q0 m+ J+ e

, w. o! B1 y0 i' {) W* T. e7 i( i
* [" F8 p9 S: u- g" K0 j  i& J$ |
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย0 ^, g) x( D0 l6 e8 N4 E" U
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่/ W; a  {" L8 O  _% f! W
' z4 E: n0 H7 R2 k. l5 r1 A
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
& _- P/ K) @0 y( |  s2 C, N. y" U
; Z- w7 r5 f0 @4 R. @2 Hจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
  N2 v5 r% Z$ G' @
# [' A' E  W$ W. G' U' Kเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน3 ^( x, l5 S. p8 M8 x

; X3 i+ h% f. c! F+ bในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด
+ o. k  |. Y+ P" P- O  {
- F% d+ V. \2 c6 s$ r" o1 j; Tมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์+ |) i5 [6 `' i
๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
9 ]: q$ m7 f! c# T. x* Q* p9 ~! m
7 s6 I, }. x1 p4 g/ \/ mจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ+ f: n8 e1 g. S) T4 {

7 u# o9 N. U. Q& @& s; v% ?& p4 gประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
9 B2 Q' H, H! k7 I
6 Y* b# \2 a; x. x1 ?( Jในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
( s( A$ j! |0 `6 r7 v& ]) U) z, X& g# P, j4 N: p
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
( P5 F1 Q3 o6 S- X' P- p7 e
7 ]) k' c6 Q" U* Y) R& U
' K' ]9 H* i) @. V, `! D' T; K& S
5 i7 r' y) [7 j: S) n& ?8 }( wหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ4 j$ ?; J  K; ?
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย + r8 S' G/ W$ i! x) ]! {/ V  _

. @* S3 @8 ^% tหลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
$ P0 ]6 v' O1 t6 k% d2 g3 T9 G3 G; W4 b9 D$ ^* J+ k
หลักการ ๓
, a! P9 s) K3 u2 J3 ~3 e2 z* |๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น& J) n& b+ m  S6 r" R0 S6 ]# N/ T1 ]
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม7 |9 Y8 ~. a3 p  |+ A% A
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ 4 t# P- o$ [" S& ^+ V' @
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม! y- b/ h' F: r
. O. h* W, R9 q) I* P  M3 C( p
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
3 Z# S& ~4 l2 i' |/ j6 R* \6 O4 M, I9 O& u4 K/ n1 |, X
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม. F6 j# Z3 R& t5 c; n+ x
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
! Q0 U' f" k' J- V3 vการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว6 B1 b7 W; l. e/ v% M
$ B* P7 @- r  D
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
/ h3 N2 G6 c9 b9 z, g0 y6 B2 r4 k- y5 g
: Q! ~- t% d+ e4 a/ l, p+ b๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
& j6 G, K2 K+ B๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)  K; T9 d5 @3 i. R
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)* S8 V; ^; u, Q) K' t6 n& p9 Y
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
; N4 q* h0 O9 u% o9 U๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
0 P: y  |( C) u0 p1 z) P$ c  T4 l! m4 J% A" ?2 n3 O- g
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง/ e0 o5 X; h& J) [$ }

0 H# \7 x1 C5 o( a2 l! C, mอุดมการณ์ ๔
2 K' x. j* p0 e! ?๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ& P5 @" z" }, G% G* K1 q
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
( [. ]( p8 R. F  `๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ3 f* H7 D; o2 i
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
( e7 g6 C6 ~+ F! f! Q& y8 R# W9 k+ B1 L5 Y) X
วิธีการ ๖
; }- X7 ^/ l# {- I. O" B๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร7 B  s* Q& o, i  }! N
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
% X( r5 j6 g! M  v/ ]# S๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม
: X2 u8 n5 C9 V9 q: J1 d; t๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
0 K8 v0 o% E5 C7 U+ X; }8 V  {๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม8 W) ?* e0 K' F5 D
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ0 u) ^: W# K1 T; F$ E5 l
ภาพที่ดี  Q# I; o/ e/ j  f
6 U. y/ ]1 l( \. c
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php8 p) v& m, \7 ?$ Z: V8 x2 ~' Q
+ g' ?/ T+ U- g# m8 |- k; V
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-5-2 00:14 , Processed in 0.498959 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.