แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

6.png


ตอนที่ ๑

มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน



พระธรรมวราลังกา : กระผม อยากจะขอศึกษาเรื่องวิญญาณ เรื่องวิญญาณนี้มันยังลี้ลับอยู่มาก เวลาคนตายแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปอย่างไรบ้างครับ

สมเด็จ : เจริญพร ก็เรียกว่า วันนี้มีพระถาม คือเรียกว่า เจ้าคุณสามัญเขาก็เรียกสิบตรี เจ้าคุณราชก็เรียกสิบโท นี่เจ้าคุณธรรมก็สิบเอก แล้วก็ได้มาถามสมเด็จ สมเด็จนี่นายพลแล้วเว้ย

ก็ได้ถามถึงเรื่องวิญญาณว่า มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน แล้วเหตุไฉนสมเด็จโตทิ้งร่างจากโลกมนุษย์นี้ไปเป็นร้อยปี ทำไมยังมาคุยกันได้ ภาวะอันนี้เป็นคำถามง่ายๆ แต่ว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา มันตอบยาก แต่นี่เป็นสมเด็จโต มันหัวแหลมยิ่งกว่าลิง มันไปไหว

ก็คือ ในสภาวะต้องเข้าใจว่า มนุษย์เรานี้เกิดจากอะไร การเป็นคนนี้ไซร้ สืบเนื่องจากว่า เรามีภาวะแห่งการวิบากของตน ที่จะมาพัวพันกับบิดามารดา ที่จะมาเป็นพ่อแม่ในปัจจุบันชาติ เป็นจุดแห่งสมุฏฐานในการที่จะเกิดเป็นคนก่อน

ทีนี้ ในเรื่องวิญญาณนี้ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ ที่จะอธิบายให้รู้กันภายในชั่วโมงเดียวหมดในเรื่องของโลกวิญญาณ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันมีแง่และมีข้อที่จะต้องคุยกัน เรียกว่า พูดกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑๐ วัน ไม่จบเรื่องวิญญาณ

การตาย ๓ ลักษณะ

ก็มาสรุปให้ว่า คนเราตายแล้วนั้นจะไปไหน ในเรื่องแห่งการตายนี้ คือมีอยู่ ๓ ประการ


๑. ตายเพราะหมดอายุขัย
๒. ตายเพราะกรรมวิบาก (ตายไม่ถึงอายุขัย)
๓. ตายเพราะอสูรฆ่า หรือ พวกวิญญาณแกล้ง


นี่คือ การแยกแยะในเรื่องการตาย ทีนี้ เราจะมาอธิบายถึงการตายทั้งสามประการนั้นเป็นอย่างไร

pngegg.5.3.1.png




ตายหมดอายุขัย


ถ้าสืบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คนเฒ่าคนแก่ ผู้ที่เป็นบิดามารดาหรือว่าญาติโยมของเรา เกี่ยวกับคนตายนี้ คือเขาก็จะบอกว่า พ่อแม่ของเราก็ดี ก่อนที่จะตายนั้น จะต้องมีลางสังหรณ์ ก็คือว่า ถ้าท่านตายถึงอายุขัย ภายใน ๓ วัน ก่อนตายนั้น ท่านจะมีจิตใต้สำนึกอันหนึ่งว่า เรานี้จะต้องจากโลกมนุษย์

ถ้าบุคคลนั้นทำดีจะมีพรหมทูตมารับ ทำดีพอประมาณเขาจะมีเทวทูตมารับ ทำไม่ดีจะมียมทูตมารับ เขาส่งมารับเพื่อที่จะมารับวิญญาณนั้นๆ แล้วเขาจะนำท่านไปสู่ศูนย์รวมกรรม มนุษย์ที่จะสำเร็จอะไรก็แล้วแต่ ต้องไปสู่ยมโลก ที่นรกขุมที่ ๑ ก่อน เป็นหลัก เรียกว่าเป็นเมืองแห่งวิญญาณปุตุ เมืองแห่งการรวมกรรมทั้งหลาย

แล้วท่านจะเห็นว่า ถ้าคนตายใหม่ๆ ๖ วัน ๗ วัน ในบ้านจะครึ้มๆ ไม่มีอะไร แต่หลังจาก ๗ วันแล้ว ทำไมบ้านเกิดมีหมาหอนบ้าง มีคนเห็นคนตายมาในบ้าน ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อเขาตายถึงอายุขัยแล้วไซร้ เขาไปถึงยมโลก ยมบาลก็ดี นายนิติยบาลก็ดี จะบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เอ็งได้ตายจากโลกมนุษย์มาแล้ว ได้มาสู่ยมโลก


พลังแห่งการมาสู่ยมโลกนี้แหล่ ท่านจะต้องเสวยกรรมวิบาก ฉับพลันแห่งจิตวิญญาณในขณะนั้นจะรู้สึกหดหู่ แล้วมีจิตแห่งความสำนึกที่จะคิดถึงบ้าน ก็จะขอว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้ตัดสินนั้น ขอให้นายนิติยบาลพาฉันมาเยี่ยมญาติโยมบ้างได้หรือไม่ เขาก็อาจจะอนุญาตให้มา ก็พามา พลังแห่งการพามานี้ จะทำให้ทางบ้านเกิดว่า เห็นอะไรขึ้นมา

การที่วิญญาณไปสู่ยมโลก แล้วกลับมาเที่ยวบ้านนี้ มาถึงเขาก็จะแน่ใจว่า เขานี่ตายแล้วจริงๆ คือเขาคุยกับคนในบ้าน คนในบ้านก็ไม่คุยด้วย เขารู้สึกแปลกใจ จึงรู้ตัวว่าตายแล้วจริง หลังจากนั้นเขาก็ต้องกลับไปสู่การเสวยกรรมวิบาก ทั้งนี้ แล้วแต่กุศลและอกุศลทั้งหลายที่เขากระทำ


มนุษย์เรานี่ ทุกคนอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี แล้วก็ต้องตาย ฉะนั้น ท่านจงหมั่นทำความดี แล้วจะดี

pngegg.5.3.2.png




จดหมายเตือนจากยมบาล


มีเรื่องหนึ่ง ยมโลกได้ตัดสิน ได้พาวิญญาณยายแก่คนหนึ่งมา คนนั้นก็บอกว่า นี่ยมบาล ฉันยังไม่ได้ทำความดีเลย ทำไมจึงรีบจับฉันมาเล่า

แล้วยมบาลก็บอกว่า ไอ้มนุษย์เฮ้งซวย ที่มึงไปเกิดนั้น ทำไมไม่ทำความดี มึงมัวไปนั่งทำอะไร มัวแต่ไปนั่งเคี้ยวหมาก ไปนั่งคุย แล้วบอกว่า ไม่มีเวลานี่ อย่าพูด เพราะธรรมชาติเขาสร้างให้ ๒๔ ชั่วโมง นอน ๘ ชั่วโมง ทำงาน ๘ ชั่วโมง พักผ่อน ๘ ชั่วโมง

ตอนที่เอ็งมีชีวิตอยู่น่ะ ยมบาลเขามีจดหมายมา ๓ ฉบับ ลงทะเบียนมาให้ทุกคน คือ

จดหมายฉบับที่ ๑ เมื่ออายุ ๓๐ กว่าแล้ว ผมจะเริ่มร่วง หน้าจะเริ่มเหี่ยว เตือนว่า ไอ้หนูเอ๋ย มึงใกล้จะกลับบ้านเก่าแล้ว ต้องทำความดีเสีย

ต่อมาจดหมายฉบับที่ ๒ เมื่อท่านอายุ ๔๐ กว่าๆ ถึง ๕๐ กว่าๆ ตาจะเริ่มมัว นี่คือจดหมายฉบับที่ ๒ เตือนอีกว่า จงทำความดีเสีย

จดหมายฉบับที่ ๓ อันนี้อายุ ๕๐ กว่าๆ ถึง ๖๐-๗๐ กว่า ตอนนี้ก็จะลืม ป้ำๆ เป๋อๆ เป็นการเตือนว่า ใกล้กลับบ้านแล้ว

ทีนี้บางคน เขาก็รู้สำนึก ก็รีบทำสมาธิ ถ้าไม่รู้สำนึก ก็ไปห่วงบ้าน ห่วงเมีย อะไรก็ว่ากันไป อันนี้ก็เรื่องของมนุษย์ นี่หมายความว่า ตายถึงอายุขัย

pngegg.5.3.3.png




ตายเพราะกรรมวิบาก


สมเด็จ :
ประการที่ ๒ ตายด้วยกรรมวิบาก ที่เรียกว่า ไม่ถึงอายุขัย เช่น สมมติคนนั้นกำลังป่วย ไม่สบาย ด้วยอกุศลวิบากที่ตนได้สร้างมาในอดีตฉับพลันกายเนื้อไม่ทำงาน และกายใน สายใยแห่งจิตวิญญาณได้ถูกตัดออกฉับพลัน

เขาจะรู้สึกว่า ทั้งๆ ที่ป่วยอยู่ เอ๊ะ ทำไมเราจึงไม่ได้ป่วย แข็งแรง เราทำไมจึงเดินได้คล่อง แต่ว่าไปคุยกับคนโน้นคนนี้ เขาก็ไม่คุยด้วย ไปคุยกับใครก็ไม่มีใครคุยด้วย ก็เรียกว่า วิญญาณนั้น จะเพ่นพ่านอยู่ในบ้าน ๗ วัน

หลังจาก ๗ วันแล้ว เขารู้แน่ว่าเขาตายแล้ว พลังอันนี้ เขาจะพุ่งออกจากบ้านทันที โดยไม่เหลียวแล อันนี้เขาเรียกว่า วิญญาณอิสระ หรือที่ชาวบ้านว่า วิญญาณพเนจร


p5.png




ตายเพราะอสูรฆ่า


สมเด็จ : ประการที่ ๓ ตายเพราะอสูรฆ่า หรือวิญญาณพวกปีศาจอะไร

ทำไมอสูรจะต้องมาฆ่าคนตาย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ท่านเชื่อหรือไม่ว่านรกมี ท่านเชื่อหรือไม่ว่าสวรรค์มี ถ้าท่านเชื่อว่ามีก็คุยกันต่อไปได้ ถ้าเชื่อว่าไม่มีก็เลิกคุยกัน นี่หมายความว่า ให้มนุษย์คิดให้ท่านคิด

ทีนี้ ถ้าท่านเชื่อว่านรกมี สวรรค์มี นรกเป็นที่จองจำวิญญาณมนุษย์ที่ทำความชั่ว หลังจากตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว เขาเรียกว่า วิญญาณปุตุ เหล่านี้ ก็มีพวกอสูรจำศีลแล้วก็รู้สำนึก อสูรนี้ก็เกิดจากวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์นี้แหละ ไปอยู่นรก จำศีล ก็เรียกว่า สำนึกผิด ที่นี้


เมื่อจำศีลนานๆ เข้า ผู้ที่มีกรรมพัวพันกับเขาในโลกมนุษย์ก็ไม่มี เมื่อไม่มี เขาเป็นวิญญาณอิสระพัวพันจากนรกโลก คิดอยากจะเป็นมนุษย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์นี้ ถือว่าดี ประเสริฐ สามารถที่จะบำเพ็ญไปนิพพาน ไปเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันต์แห่งยุคในอนาคต

อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคได้ ไปแดนนิพพานได้ง่าย ดีกว่าอยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญ อยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญก็ไปแค่อนาคา อนาคามี โสดาปัตติมรรค และพระปัจเจกโพธิเจ้าได้ แต่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้

p6.png




อสูรสร้างกรรมพัวพัน


สมเด็จ : ฉะนั้น อสูรเหล่านี้ ก็คิกว่าโลกมนุษย์จะเป็นที่สร้างกุศล ทีนี้ เมื่อจะสร้างกุศล มันก็ต้องมีสมุฏฐานแห่งการเกิด คือต้องมีกรรมพัวพัน เมื่อวิญญาณอสูรมาโลกมนุษย์แล้ว ไม่มีกรรมพัวพันกับมนุษย์ใดเลย เขาก็ไม่สามารถเกิดได้ เขาก็หาวิธี โดยการฆ่ามนุษย์ คือมนุษย์ที่ดวงตก นั่นถือว่าสร้างกรรมปัจจุบัน

เพราะคนที่ตายนั้น แน่นอนจะต้องมีลูก หรือมีหลาน มีเหลน มีผัว มีเมีย มีอะไรเยอะแยะที่จะต้องมีกรรมพัวพัน เมื่อเขาฆ่าคนตาย ก็ทำให้เขามีกรรมพัวพันในครอบครัวนั้น อสูรนั้นก็สามารถที่จะปฏิสนธิในครรภ์ผู้ที่มีกรรมพัวพัน ที่ถูกเขาฆ่าตาย แล้วก็เกิดได้ นี้คือวิญญาณตายโดยถูกอสูรฆ่า

สานุศิษย์ : ฉะนั้น มีบางคนบอกว่า วิญญาณที่ออกจากร่างไปแล้ว ต้องมีผู้มารับ ถ้าไม่มารับก็ไปไม่ถูก

สมเด็จ : ถ้ามีผู้มารับ ก็หมายความว่า เขาตายถึงอายุขัย เข้าใจหรือยัง เมื่อตายถึงอายุขัย ก็ต้องมีพรหมทูต เทวทูต ยมทูต มารับ แต่ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย ก็ไม่ไปรับ

p7.png




วิญญาณอิสระหากินกับมนุษย์


สมเด็จ : ทีนี้ ก็มาสู่อีกเรื่องหนึ่ง เช่น บางคนได้ฝึกสมาธิมาบ้าง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ พอตายไปเป็นวิญญาณพเนจร วิญญาณอิสระ วิญญาณอาละวาด พวกนี้เขาอาจจะมายืมร่างมนุษย์ที่มีจิตอ่อน หรือว่าที่มีกรรมพัวพัน หรือว่าผู้ที่ดวงตก มาเข้า คือมาหากินกับมนุษย์

พอมาถึง บางทีก็อ้างเป็นพระพุทธเจ้ามาเลย บางทีก็อาจเป็นสมเด็จโตมา อะไรมาก็ดี แล้วทำไมโลกวิญญาณไม่จัดการกับวิญญาณพวกนี้

เพราะว่า โลกวิญญาณเขามีความยุติธรรม เขาเคารพกฎแห่งกรรม ในขณะที่เขายังไม่ถึงเวลา หรือว่าไม่ถึงอายุขัย สมมติว่า เขาส่งพรหมทูต เทวทูต ยมทูต หรือยมบาล มาว่ากล่าวตักเตือน มันจะถุยน้ำลายต่อหน้ายมบาล ถุยเข้าหน้ายมบาล ยมบาลก็ต้องทนเอา เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำลายไป ทำอะไรมันไม่ได้ คือยังไม่ถึงอายุขัย


สมมติว่า เขาอายุขัยถึง ๑๐๐ ปี แต่อายุ ๓๐ ปีกว่า ตาย หรือว่า ๔๐ ตาย มันก็เหลือเวลาอีก ๖๐-๗๐ ปี มันก็อาละวาดของมันจนครบ ทีนี้เมื่อมันครบอายุขัย เขาก็จับไป ยมบาลก็คิดบัญชี เขาเรียกว่า มีบัญชีทิพย์ ๓ โลก คือของพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็บอกว่า มนุษย์ผู้นี้ก่อนตายทำอะไร

ยมบาลก็บอกว่า มันตายไม่ถึงอายุขัย แล้วมันก็ไปอาละวาด และพอเราไปตักเตือนเอ็ง เอ็งก็ถุยน้ำลายใส่กู ฉะนั้น กูก็ต้องเตะตูดเอ็ง ๓ ที ในฐานะถุยน้ำลายใส่กูก่อน นี้เขาเรียกว่า คิดบัญชีกัน

เรื่องนี้ถ้าคนไม่เข้าใจ เล่าไปก็กลายเป็นเรื่องนิยาย เพราะมันเป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องอจินไตย เรียกว่าใช้สมองธรรมดาคิดไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องฝึกให้ถึงกายในกาย ถึงจิตในจิต ถึงธรรมในธรรม ถึงวิญญาณในวิญญาณ จึงสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ละเอียดได้

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎของพรหมโลก เทวโลก กฎของยมโลกก็ดี แต่บางอย่างเขาก็ไม่ค่อยยอมให้พูดมาก แล้วบางแห่งเขาก็ไม่ให้สมเด็จโตไปเที่ยว เพราะเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้รู้อะไรนิดหน่อยก็มาพูดให้มนุษย์รู้หมด

p4.png




ฉะนั้น สรุปการตาย ๓ ประการ คือ


ตายถึงอายุขัย ก็มีวิญญาณเทพพรหมมารับ หรือยมบาลส่งยมทูตมารับ

ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย เขาก็อาจจะอยู่ที่บ้าน เพ่นพ่านสัก ๗ วัน ๑๐ วัน แล้วเขาอาจจะไปเที่ยวตามเรื่อง หรือไปหลอกคนนั้น คนนี้ สำหรับคนขี้ตืดก็เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์

ถ้าตายอย่างอสูรฆ่า เขาก็อาจจะอยู่กับเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น แล้วแต่เจ้าที่เจ้าทางเขาจะเอาไว้เป็นลูกน้องหรือไม่ นี่สำหรับความตาย ๓ แบบ


ส่วนการเกิดก็มี เกิดมาผลาญ เกิดมาใช้หนี้ เกิดมาทำความดี นี่ก็สามเกิดเหมือนกัน แล้วเรื่องเกิด เรื่องตาย ถ้าจะอธิบายกัน คืนนี้ถึงเที่ยงคืนก็ไม่จบ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับ



สิ่งศักดิ์สิทธิ์


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือว่า เป็นเรื่องของนามธรรมที่จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ มีอยู่ทั่วไปในพิภพจักรวาล

ประเทศไทยเราครองเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ เป็นเพราะบรรพบุรุษของเรามีศาสนา และเชื่อมั่นในศาสนา


ถ้าเราไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเราไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประเทศไทยก็มิอาจดำรงความเป็นเอกราชมาได้จนทุกวันนี้

pngegg.5.3.1.png




สิ่งลี้ลับ


คนที่ฝังใจในคำบอกเล่ามาอย่างผิดๆ หรือศึกษาเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับมาไม่เพียงพอ อาจเข้าใจผิดว่า เรื่องลี้ลับ เรื่องโลกวิญญาณ เป็นเรื่องของภูตผีปีศาจ เป็นเรื่องน่าเกลียด น่ากลัว หรือเป็นเรื่องสยองขวัญ ไม่กล้าศึกษาหาความรู้ หรือแม้จะกล่าวถึงก็รู้สึกขยาด แต่ความจริงหาได้เป็นดังเช่นที่กลัวเกรงกันไม่

โลกวิญญาณ หมายถึง โลกอื่นซึ่งมีอยู่จริง ได้แก่ พรหมโลก เทวโลก และนรกโลก เป็นโลกที่มีสภาพสรรพสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าอณูปรมาณู ไม่สามารถพิสูจน์ตามวีธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติจิตจึงจะรู้และสัมผัสได้

เรื่องของสิ่งลี้ลับ เรื่องจิตวิญญาณ มีหลักฐานปรากฏในตำราหรือคัมภีร์ต่างๆ มากมายตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคต่อมา เหล่าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ เข้าไม่ซึ้งถึงสัจจะอันแท้จริง เขาเรียกว่า ตนปฏิบัติไม่ถึงก็บอกว่าสิ่งนั้นไม่มี เรื่องนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ได้ประทานโอวาทเพื่อเตือนสติมนุษย์ไว้ตอนหนึ่งว่า

“สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ สิ่งเหนือความจริง ที่จะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเนื้อในโลกมนุษย์ ยังมีอีกมากมาย แต่มนุษย์รู้ไม่ได้ เพราะไม่ถึง ก็พลอยสำคัญผิดว่าคนอื่นก็ไม่ถึงด้วย”

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรด่วนปฏิเสธเรื่องเหล่านี้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

ความลี้ลับของวิญญาณ


(วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมหัวใจหยุด และชีพจรหยุด แล้วก็ฟื้นขึ้นมาครับ

สมเด็จ : แล้วสภาวะนั้น รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

สานุศิษย์ : เมื่อตอนเข้าไปอยู่ในห้องหมอสักสองสามชั่วโมง มันค่อยรู้สึกดีขึ้นครับ มีอาการสบายใจ

สมเด็จ : แล้วก็หยุดไปเฉยๆ ใช่ไหม

สานุศิษย์ :
ตอนนั้นผมไม่ทราบ เพราะไม่รู้สึกตัวเลยครับ

สมเด็จ : ในสภาพการณ์นี้ ต้องอธิบายถึงคำว่า อายุขัย

ในสภาวะอายุขัยนั้น ยังไม่สิ้นสุด การที่เข้าไปใหม่ๆ นั้น ที่รู้สึกสบายใจขึ้นนั้น เพราะอะไรเล่า เพราะวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่เล็ก วิญญาณนั้นกระจายไปทั่วทั้งร่าง สภาวะวิญญาณรวมพลังอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง

สภาพการณ์จะเห็นได้ว่า มนุษย์ที่จะตายนั้น จะรู้สึกเกิดอาการดีแล้วค่อยตาย เสมือนหนึ่งเทียนนั้น จะดับจะต้องเกิดวูบขึ้นมา เพราะสภาวะแห่งการรวมไฟในจุดสุดท้าย มีพลังอันหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น


วิญญาณนั้นก็รวมพลัง แต่วิถีการแห่งวิญญาณรวมพลังของเรานั้น ไม่ใช่รวมแบบตายแท้ เรียกว่า รวมแบบตายเทียม คือสภาพการณ์เมื่อรวมกันเสร็จแล้วรู้สึกสบาย เสร็จแล้วก็รู้สึกวูบมืดไปใช่ไหม โดยไม่รู้สึกตัว

สานุศิษย์ : ในขณะรู้สึกป่วยไม่รู้สึกอะไรเลยครับ

สมเด็จ : คือสภาวะอันนั้นเขาก็เรียกว่า วิญญาณนั้นได้ถอดออกจากสังขารไปชั่วขณะ วิญญาณนั้นสวมอยู่ในกาย วิถีการเรื่องนี้ มันต้องอธิบายถึงเรื่องการแยกธาตุในสภาวะแห่งกาย แห่งดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ สมองกับใจนั้นร่วมประสาท ใจนั้นกับเส้นเอ็นรวมกันอยู่ที่หลังท้ายทอย ไตนั้นขึ้นอยู่กับท้อง

สภาพการณ์การเกิดเป็นมนุษย์นั้น เมื่อรวมพืชพันธุ์แห่งการเป็นมนุษย์เรียบร้อย คลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว วิญญาณนั้นได้เริ่มปฏิสนธิตั้งแต่แรก แต่ยังไม่มีพลังแห่งความแก่กล้า ต่อมาคลอดออกมาดูโลกแห่งการเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณนั้นสิงสถิตอยู่ในกายในกาย ต่อมาวิญญาณนั้นก็ได้รับการเลี้ยงดู ด้วยพืชพันธุ์ของการเป็นมนุษย์จนเติบโต วิญญาณนั้นรวมพลังแข็งแกร่งขึ้น ตามพลังของร่างกายที่โตวันโตคืน

ในการเติบโตของร่างกายนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่ง มนุษย์ฝ่ายชายจะโตสูงใหญ่ขึ้นสองเมล็ดข้าว มนุษย์ฝ่ายหญิงจะโตสูงขึ้นมากว่าสามเมล็ดข้าว หญิงนั้นจะโตเร็วกว่าชายในสภาวะแห่งธรรมชาติของมัน ในสภาพการณ์แห่งเนื้อหนังมังสารวมกับวิญญาณผสมอยู่ในนั้น เมื่อรวมพลังแห่งการเติบโตขึ้นมา สังขารจะต้องมีการป่วย ร่วงโรยตามสภาวะแห่งสังขารขัย

สภาพการณ์แห่งสังขารขันธ์นั้น เมื่อเราใช้พลังออกไป ในการพูดก็ดี ในการมองก็ดี ในการคุยก็ดี ในการทำอะไรก็ดี เมื่อเราทำ เราไม่รู้จักพักผ่อน คือนั่งสมาธิรวมพลังจิตแล้ว ผู้นั้นสังขารจะร่วงโรยเร็ว

เพราะอะไรเล่า เพราะจิตวิญญาณไม่ได้รับการพักผ่อนในเวลาตื่น บางคราวถึงกับเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าวิญญาณถูกใช้พลังมากเกินไป เมื่อวิญญาณเสียพลัง สมองก็จะช้าลงไป เรียกว่า น้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ เมื่อน้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอถึงสมอง จะทำให้ผู้ป่วยนั้นตัวชาไม่รู้สึกตัว เพราะสภาพชีวิตสังขารจะยืนอยู่ได้ จะต้องมีเลือดแห่งการหล่อเลี้ยงในตัวก่อน


สภาวะแห่งวิญญาณรวมพลังจิตที่จะหลุดออกไปนั้น สภาพการณ์วิญญาณเราออกไปที่เราไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น เมื่อวิญญาณออกไป ยังไม่ได้เจออะไร เกิดผวาขึ้นมา ตกใจว่า เรานี้อยู่ที่ไหนหนอ เมื่อยังไม่ถึงวาระแห่งการตายแท้ จึงไม่มียมทูต เทวทูต พรหมทูต มารับ และสังขารนั้นก็ยังไม่เน่าเปื่อย สภาพการณ์เมื่อวิญญาณตกใจว่าอยู่ที่ไหน จะรีบวิ่งกลับเข้าในสังขารของตัวทันที เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : พอจะเข้าใจครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

ความพิสดารของโลกสวรรค์


(วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สมเด็จ : เป็นอันว่า หนังสือนั้นก็จะคลอดแล้วตามสภาวะของมัน คือ โดยสภาพการณ์นี้ก็เป็นการว่า มารทางโลกวิญญาณนั้นได้สงบศึก คือยุติในการขัดขวาง สภาวะอันนี้ จะต้องเล่าถึงว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร

สวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น เลยห่างจากดวงอาทิตย์แปดหมื่นสี่พันโยชน์ สภาวะในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น ก็ไม่มีดวงอาทิตย์แล้ว เรียกว่าอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์ไม่ใช่ด้วยจรวด ไม่ใช่ไปด้วยการสร้างโน่นสร้างนี่ของมนุษย์ แต่ต้องไปด้วยจิตและวิญญาณที่ฝึกแล้วเท่านั้น

ฉะนั้นต่อไป รออาตมามีเวลาว่าง อาตมาจะมาอธิบายถึงความพิสดารของการเป็นอยู่ของโลกสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สิบห้าเป็นอย่างไร

วันนี้จะมากล่าวถึง เรื่องของกองทัพมารที่ผจญในการสร้างหนังสือนั้น ว่าเป็นกองทัพมาจากที่ไหน สภาวะกองพันมารทัพนี้ อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หก สวรรค์ชั้นที่หกนี้ มีทั้งกองทัพมาร กองทัพเทวะ และกองทัพพรหม เรียกว่า ปรมัตถสวรรค์ ซึ่งมีเทวาราชเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีมารราช มารผู้เป็นใหญ่แห่งกองทัพมาร รวมกันอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ และมารเหล่านี้ เป็นมารกลุ่มแห่งการมีฤทธิ์เดช

ในการเป็นอยู่ของสวรรค์แต่ละชั้นนั้น มีเหตุแห่งการที่จะต้องจุตินั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ


๑. หมดอายุขัยแห่งการเสวยทิพย์ หรือหมดบุญ
๒. เพราะความโกรธ
๓. หมดอาหาร


สภาวะอันนี้ ต้องขยายความในแต่ละเรื่อง

ประการที่หนึ่ง คือ หมดอายุขัย อยู่ในกฎแห่งคำว่า เสวยบุญในโลกทิพย์ สภาพการณ์ในวิญญาณใด เมื่อมีบุญกุศลที่สร้างมาแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นใดๆ ก็แล้วแต่ เมื่อหมดบุญก็ต้องจุติจากสวรรค์ ลงมาเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วแต่กุศลที่สร้างจากอดีตชาติ และปัจจุบันชาติที่มีอยู่บนสวรรค์

ประการที่สอง คือ พิโรธ หรือว่าโกรธ เทวะบางกลุ่มยังมีความโกรธ ถ้าเกิดความโกรธสุดขีด ไฟจะไหม้ตัวเอง

ประการที่สาม คือ ลืมกินอาหาร จนต้องตาย สภาพการณ์คือว่า เหล่าเทพบุตรที่หลงอยู่ในกามคุณ เพลินอยู่กับนางฟ้าจนลืมกินอาหาร แม้เพียงแต่มื้อหนึ่ง ก็ต้องจุติลงมาเกิด

สภาวะอันนี้ เพราะเหตุใดเล่า เพราะวิญญาณนั้นอ่อนนิ่มเสมือนหนึ่งหนึ่งดอกไม้ นี่คือสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง สภาวะเมื่อหมดอาหาร หมดน้ำหล่อเลี้ยงดอกไม้นั้นเน่าตามสภาวะ เพราะไม่มีรากลงดินก็ต้องตาย เสมือนวิญญาณเหล่านี้ เมื่อลืมกินอาหารเพียงมื้อเดียว ก็ต้องจุติจากสวรรค์

ฉะนั้น การเป็นอยู่ของโลกวิญญาณเป็นเรื่องพิสดารที่สุด ซึ่งอาตมาก็บอกแล้วว่า รออาตมาว่างๆ จะมาเทศน์เรื่องของคำว่า สังคมของวิญญาณ เรื่องสวรรค์สิบห้าชั้น แต่ต้องรออาตมามีเวลาก่อน เพราะเรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาว


และการเปิดเผยในเรื่องของโลกสวรรค์ทั้งสิบห้าชั้นนั้น ต้องอยู่ที่การอนุมัติของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก แค่เพียงเล่าเท่านี้ ฟังกันแล้วก็งง ฟังแล้วก็ยุ่ง ก็ให้ถือว่าเป็นการฟังนิยายก็แล้วกัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

พระพรหมทำไมมีหลายหน้า


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อสมเด็จว่า พระพรหมนี่มีกี่หน้ากี่กรกันแน่ครับ เห็นที่สร้างไว้ต่างคนต่างทำ ไม่ทราบว่าของใครถูก

สมเด็จ : คือว่าในเรื่องของพระพรหมนี่ ในรูปพรหม ๑๖ ชั้นนั้น เขามีพรหมต่างๆ หลายแบบ พรหมสี่หน้านั้นมีอยู่หลายองค์ ทั้งหมดเขาเรียกว่า ที่เป็นผู้นำพรหมโลกมีอยู่ ๔ องค์ ทีนี้ พรหมสี่หน้านั้นมีอยู่ ๖ องค์ พรหมสองหน้านั้นมีอยู่ ๑๕ องค์ พรหมหน้าเดียวนั้นมีอยู่มาก

ทีนี้ ทำไมพรหมเหล่านี้จึงมีสี่หน้า สามหน้า สองหน้า แปดกร หกกร สี่กร สองกร อันนี้เป็นการเรียกว่า พรหมเหล่านี้ เป็นพรหมที่มีหน้าที่รับผิดชอบ และเขามีอำนาจแห่งฌานญาณสูงมาก สามารถที่จะแบ่งรัศมีในกายนี้

เพราะเมื่อมีหน้าที่ในการรับผิดชอบงานมาก การที่จะดูแลสอดส่องทั่วไป ก็บอกว่าหน้าเดียว ตาคู่เดียวนี่ มันมองไม่ไหว ก็เลยเนรมิตตาอีกคู่หนึ่งมาช่วย และอีกหน้าตาคู่หนึ่งก็ยังช่วยไม่ไหว ก็เนรมิตขึ้นมาอีกหน้าหนึ่ง อันนี้อยู่ในภาวะของกายทิพย์

ทีนี้ ส่วนมากที่เขาทำถึงแปดกร สิบกร ยี่สิบกรนั่น มนุษย์ยุคต่อมาต่อเติมกันให้มันมาก ตามความจริงแล้ว สี่หน้าก็สี่กรเท่านั้นเอง เพราะว่าในสภาวการณ์แห่งการเนรมิตนี้ เป็นการอยู่ในโลกกายทิพย์ การที่มีหลายๆ หน้า ที่จะมีการรังควานในการนั่งสมาธิของพรหมก็มี อันนี้มีอยู่ที่อำนาจทิพย์ด้วย และสามารถกลับสู่หน้าเดียวก็ได้ แล้วแต่ปรารถนา

อันนี้อาจจะถามว่า เหตุไฉน พระพรหมชินนะจึงไม่ต้องมีหลายหน้า เพราะว่า พระพรหมชินนะนั้น มีรังสีแห่งวรกายของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ จึงไม่ต้องใช้หน้ามาก เพียงแต่รัศมีแผ่ไป พรหมเขาก็รู้ พวกมารหรือพวกอะไรเขาก็รู้ นี่พรหมองค์นี้มา ก็คือสัญลักษณ์ท้าวมหาพรหมชินนะมา จึงไม่ได้เนรมิตในร่างกายให้ผิดแปลกกว่าเขา


สานุศิษย์ : ตามหลักเกณฑ์แล้ว หน้าหนึ่งจะต้องมีสองกร ที่นี้ บางคนเอาหน้าหนึ่งสี่กร

สมเด็จ : อันนี้ ก็เพราะมาต่อเติมกันต่อมา นักปั้นต่อมา ก็จากจินตนาการให้มันว่า ต้องเพิ่มกรเพิ่มอะไร อันนี้เขาเรียกว่า ถ้าท่านติดในเรื่องสมมติแล้วไซร้ ท่านย่อมไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมเมื่อประกาศศาสนาอยู่ จึงว่าแม้แต่ตถาคตท่านก็อย่าติด ถ้าท่านติดตถาคต ท่านก็ไม่รู้จักการเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เพราะนี่คือ สัจธรรมอันแท้จริง

ก่อนที่องค์สมณโคดมจะปรินิพพานสามเดือน ก็ได้พยายามเตือนพระอานนท์ว่า

“อานนท์เอ๋ย เจ้าทราบแล้วมิใช่หรือ การอาราธนาของมารร้าย ในการสิ้นอายุขัยของสังขารของตถาคตนี้ อานนท์เอ๋ย จนบัดนี้ เวลาล่วงเลยมาแล้วใกล้สามเดือน ตถาคตจะถึงจุดแห่งความปรินิพพาน ทิ้งสังขาร อานนท์เจ้าทำไมหนอจึงติดตถาคตอยู่แจเล่า อานนท์เอ๋ย เจ้าจะรู้หรือว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เมื่อเจ้าไม่ละทิ้งการติดตถาคต”

เพราะฉะนั้น นี่เป็นพุทธพจน์ในการยืนยันว่า องค์สมณโคดมไม่ได้ส่งเสริมในการประกาศศาสนาให้ติดรูป เมื่อไม่ส่งเสริมในการประกาศศาสนาให้ติดรูป จึงอยู่ยืนยงคงมาถึงปัจจุบันนี้ แห่งการที่เรียกว่า ศาสนาพุทธคงทนต่อการพิสูจน์ ในการเพื่อที่จะค้นหาเหตุผลไปสู่หลักแห่งปัจจัตตัง ในภาวะคู่กับวัตถุ


สานุศิษย์ : เมื่อไม่ให้ยึดในตัวตนแล้ว ทำไมบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน

สมเด็จ : การที่ให้ในกฎ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ นี้แหละ เป็นการที่ไม่ให้ยึดตน ทำไมอาตมาจึงอรรถาธิบายเช่นนี้ เพราะว่า ถ้าท่านไม่พึ่งตัวท่านเองแล้ว ใครเขาจะช่วยท่านได้เล่า

ถ้าในการบันดาลของเทพเจ้าแล้ว ท่านไม่ทำ เทพเจ้าก็ช่วยท่านไม่ได้ อย่างเช่นง่ายๆ ทำไมจึงให้ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ เวลาท้องเอ็งหิวข้าวนี่ ถ้าเอ็งไม่กินแล้ว ใครที่ไหนเอาให้กินได้ ถ้าตัวไม่ช่วยตัวเอง


เพราะฉะนั้น พุทธพจน์ข้อนี้เป็นปัจจัตตัง ในการว่าตัวท่านต้องช่วยตัวท่านก่อน แล้วพระเจ้าจึงช่วยท่านได้ ตัวท่านไม่ปฏิบัติสมาธิแล้ว จะไปถึงสมาธิแห่งฌานญาณได้อย่างไร ตัวท่านไม่ทำในกรรมฐาน ในการวิปัสสนาแล้ว นั่งคุยแต่พระนิพพาน เมื่อไหร่มึงจะถึงพระนิพพาน เวลานี้คุยกันแยะ แต่ไม่มีใครทำ ศาสนามันจึงฟุ้งจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร เรียนกันใหญ่เปรียญเก้าก็เยอะแยะ

เพราะฉะนั้น การศึกษาในความเป็นจริงของศาสนาพุทธก็คือ ศึกษาให้หยุด ไม่ใช่ศึกษาให้ฟุ้ง คือเรียนในการทำเป็นพื้นฐาน ให้ปฏิบัติจิตของตนให้สิ้นอาสวกิเลส


เมื่อจิตนิ่งเป็นเอกะประภัสสรยิ้มผ่องใสแล้ว เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นสัจจะ อะไรเป็นธรรมะ อะไรเป็นอธรรม และจะรู้การเป็นอยู่ของเทพพรหม ทุกวันนี้ไม่มีใครทำ มีแต่พูด พูดแล้วก็ไม่รู้จะเอายังไง อาตมากลับดีกว่า เพราะคุยไปก็เท่านั้นเอง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

วิญญาณไม่ยอมเกิด


(วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



คุณสมพร : การไม่ยอมเกิด หมายความว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ

สมเด็จ : สภาวะที่วิญญาณไม่ยอมเกิดนั้น ส่วนมากจะเกิดจากวิญญาณจากเทวโลก

ในเรื่องของเทวะนั้น อาตมาก็ได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า เทวะนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในท้องสมุทร ทีนี้ ก็มีเทวะบางองค์ที่ทำผิดแล้วไม่ยอมไปเกิด ตามมติของโลกวิญญาณที่สั่งให้ไปเกิดนั้น แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ในสภาพการณ์นี้แหล่ คนป่วยที่เขาเรียกว่าบ้า ที่โรงพยาบาลมันรับแล้วรักษาไม่หาย ก็เลยฉีดยาให้มันตายๆ ไปเลย เพราะกลัวเสียชื่อ สภาพนี้เขาเรียกว่า ป่วยด้วยวิญญาณ ซึ่งหมอแผนปัจจุบันไม่รู้เรื่อง

ก็คือ เหล่าเทพก็ดี ที่มันต้องโทษให้มาเกิด แต่มันไม่เกิด สภาวะถ้าผู้ใดมีกรรมพัวพันกับมันในอดีตชาติ หรือว่าคนนั้นจิตอ่อนหรือว่าผู้นั้นดวงตก เหล่าอสูรเหล่าเทพพรหมนี้ก็จะเข้าสิงสถิตในวิญญาณของผู้นั้น เขาเรียกว่า วิญญาณเข้าวิญญาณ ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดมาก

และอีกกรณีหนึ่ง บางครั้งเทพชั้นสูงที่ไม่ยอมเกิด แต่ก็ไม่ยอมเข้าอาศัยร่างมนุษย์ เมื่อถูกการไล่ของเทวทูต เทวทูตก็ไล่ไปๆ จนถึงการจนมุมแล้ว ขณะนั้นเจอหญิงชายคู่ใดกำลังสมสู่กันอยู่ ก็เข้าปฏิสนธิในครรภ์ทันที หรือไปเจอหมาหรือแมวกำลังผสมพันธุ์กันอยู่ ก็เข้าปฏิสนธิในท้องหมาท้องแมว ในเป็ดในไก่ อะไรก็ว่ากันไป

สภาพการณ์นี้แหละ เรียกว่า วิญญาณนั้นไม่ยอมเกิดโดยเจตนา จะเกิดการรังควานแก่โลก คือ ถ้าปฏิสนธิในมนุษย์ ก็จะทำให้มนุษย์นั้นต้องไม่สบาย ถ้าเป็นสัตว์ สัตว์นั้นก็จะตาย

ฉะนั้น พวกสัตวแพทย์ฟังเอาไว้นะ พอวิญญาณไม่ยอมเกิด พวกนี้เข้าท้องแม่หมู แม่หมูก็ตายพอดี สภาพการณ์นี้ยากแก่การรักษา นอกจากขอบารมีพระโพธิสัตว์ช่วย

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

สภาวะจิตก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ ผมสงสัย ตอนที่ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ตอนนั้นพระองค์ยังเป็นเสมือนปุถุชนธรรมดา แล้วพระองค์จะเอาอะไรไปชนะพญามารได้ครับ

สมเด็จ : ในสภาวะก่อนที่องค์สมณโคดมจะตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เรารู้หรือว่า องค์สมณโคดมเป็นแค่ปุถุชน

ก่อนที่องค์สมณโคดมจะจากอาจารย์ทั้งสอง คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบสนั้น องค์สมณโคดมได้ฝึกถึงตติยฌานชั้นสูง ในการฝึกจิตของพราหมณ์ก็ดี ของโยคีก็ดี เพียงแต่จิตเข้าสู่ฌานชั้นสูง ถือว่าเป็นสุดยอดของอัตตา แต่ยังไม่เข้าซึ้งถึงคำว่า อนัตตา และอัตตา อย่างแก่นแท้

อีกประการหนึ่ง องค์สมณโคดมได้ถูกกำหนดลงมา เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนี้ ย่อมมีเทวะคุ้มครอง ย่อมมีพรหมที่ดีคุ้มครอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาพแห่งอำนาจจิตแล้ว จิตองค์สมณโคดมอยู่ในขั้นตติยฌานชั้นสูง

ทีนี้ ในการที่จะชนะมารนั้น สภาวะแห่งมารนั้น มารทางโลกก็คือ การหลอกหลอนของเทพก็ดี ของอสูรก็ดี ของคนธรรพ์ก็ดี ของยักษ์ก็ดี ของนาคก็ดี

ส่วนมารของตนนั้น วิธีจะชนะ ต้องชนะนิวรณ์ ๕ ในกายในกาย นั่นคือ ชนะมารตัวสำคัญก่อน ซึ่งเรื่องนี้อาตมาก็ได้เคยเทศน์ไว้มากมายแล้ว เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : เข้าใจครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า



คุณจิรวัฒน์ : หลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า อย่างพระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ที่ไม่มีกรรม ที่จะต้องเกิดในชาติหน้าอีกแล้ว ผมสงสัยว่า ในสมัยที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น จะต้องรับผลกรรมในอดีตชาติหรือเปล่าครับ

สมเด็จ :
คือ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องบำเพ็ญในกุศลกรรมและอกุศลกรรม อย่างต่ำ ๕๐๐ ชาติ อย่างสูง ๕๐๐๐ ชาติ

ภาวะก่อนจุติในโลกมนุษย์ อย่างน้อยที่สุดจะต้องสำเร็จอยู่ในชั้นพรหมสุทธาวาส คือพรหมที่บำเพ็ญสู่โลกนิพพาน หรือสำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าในพระพรหมชั้นนี้ก็ได้ อย่างต่ำที่สุดจะต้องเป็นอรูปพรหมที่อยู่ในโลกวิญญาณนานที่สุด


ฉะนั้น ที่มีบางคนสงสัยว่า พวกที่จะมาเกิดในยุคศรีอริยเมตไตรย พวกพรหมก็ดี เทวะก็ดี อยู่กันเป็นกัปๆ กัลป์ๆ แล้วจะมาปฏิสนธิยังไง เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพราะโลกวิญญาณเขามีกฎ มีระเบียบวินัยที่ถี่ยิบและละเอียดที่สุด ใครจะมาเกิด ง่ายนิดเดียว หาเรื่องทำผิดนิดเดียวลงมาเกิดได้เลย แต่หาเรื่องอยู่นี่ซิมันยาก

ฉะนั้น อาตมามาในที่นี้ ในครั้งนั้น ยุคนี้ เวลานี้ จึงไม่อยากจะมาแสดงเรื่องอะไรเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออะไร นี่พวกพรหมเขาถามอาตมาว่า

“ท่านโต” คนนับถือท่านเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เป็นภาระของท่านหรือไม่” นี่คือคำถามที่เขาถาม อาตมาก็มาคิดว่า เอ เรานี่ อย่าเลย คือ นิสัยแบบอยู่วัดระฆังฯ ต้องทิ้งเสียที เพราะการติดต่อกับมนุษย์นี้แหล่ เป็นการเสี่ยงต่อการเกิดที่สุด เข้าใจไหม?

คุณจิรวัฒน์ : เข้าใจครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

ยุคนี้ไม่มีอรหันต์


(วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



ธรรมทูตฝ่ายธุรการ : ขณะนี้เป็นเวลาใกล้จะสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่ ก็อยากจะให้หลวงพ่อเทศน์ ถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ว่า ควรจะปรับตัวกันอย่างไร ในชีวิตต่อไปข้างหน้า

สมเด็จ : คือในสภาพแห่งการดำรงชีวิต เพื่ออยู่ยงแห่งการทรมานอยู่ในโลกมนุษย์นั้น วิถีการอันนี้ทำให้มนุษย์หลงอยู่ในกามคุณ หลงอยู่ในวิถีการแห่งอบายภูมิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ยุคนี้เห็นแค่เปลือกนอกเป็นสิ่งที่ดีที่ชอบ เราจะเห็นได้จากทุกวันนี้ การสร้างอะไรๆ ทางวัตถุนั้นเจริญมาก

สภาวะมีกฎแห่งธรรมชาติอยู่ว่า วัตถุเจริญ จิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อม ทุกวันนี้มนุษย์ต้องการความหลอกหลวง มนุษย์ต้องการป้อยอ มนุษย์ไม่ต้องการความจริง เพราะอะไรเล่า เพราะมนุษย์ทุกวันนี้ไม่เข้าใจถึงอายตนะทั้ง ๕ ของตัวเอง จึงทำให้สังคมทุกวันนี้สับสนอลหม่าน เพราะมนุษย์ไม่พิจารณาตนของตน

มนุษย์ทุกวันนี้ชอบพิจารณาความผิดและความสุขของคนอื่นที่เห็นว่าเขามีสุข เรารู้หรือว่าเขามีสุข
สภาวะความสุขทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือ สุขเทียม ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาหลอกกัน

ในการทำบุญของมนุษย์ในยุคนี้ ส่วนมากเพื่อเอาหน้าเอาชื่อในการสร้างวัตถุ ท่านแน่ใจหรือว่า ในการสร้างโรงพยาบาลนั้น ได้บุญกุศล ท่านแน่ใจหรือว่า การสร้างโรงเรียนนั้นได้บุญกุศล ท่านแน่ใจหรือว่า การสร้างโบสถ์หลังงามนั้นได้บุญกุศล อาตมายกตัวอย่างในสามสภาวะนั้น ถ้ารู้แค่เปลือกแห่งภายนอก ไม่ใช่ชาวพุทธแล้วก็ถือว่าได้กุศล

เพราะอะไรเล่า เพราะโรงพยาบาลเป็นวิถีการบำบัดทุกข์ในกาย ซึ่งในสภาวะแห่งการ เพื่อให้ผู้นั้นไม่ถึงวาระแห่งการตาย หรือไม่ถึงวาระแห่งการไปให้สภาพกายนั้นกลับสมบูรณ์ขึ้น เพื่อทรมานอยู่ในวัฏสงสารต่อไป

สภาวการณ์การสร้างโรงเรียนนั้น ทุกวันนี้โรงเรียนสอนอะไร โรงเรียนสอนในด้านวัตถุนิยม ศีลธรรมเสื่อม เมื่อศีลธรรมเสื่อม ดีกรีทั้งหลายที่ห้อยก็เป็นดาบสองคมสำหรับอนุชน เพราะเมื่อจิตใจไม่ดีแล้ว ผู้มีความรู้นั้นก็คือปีศาจ เพราะเขาจะใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด ก็คือปีศาจร้ายในสังคมมนุษย์ เพราะเขาไม่มีศีลธรรมในใจ นี่คือ การสอนการอบรมในยุคนี้


ในการสร้างโบสถ์นั้นหรือเป็นสิ่งที่ดี การสร้างสิ่งนี้ องค์สมณโคดมโจมตีเป็นที่สุด องค์สมณโคดมประกาศสัจธรรมอยู่ในป่า องค์สมณโคดมประกาศสัจธรรมอยู่กับโคนต้นไม้ ทำไมจึงมีเหล่าอรหันต์ มีเหล่าอนาคา สกิทาคา โสดาบันเกิดขึ้นได้ แต่ยุคนี้มีโบสถ์หลังงามๆ มากมาย

ซึ่งอาตมา เมื่อย้อนเข้าอนุสติฌาน มองดูโลกมนุษย์แล้ว ต้องปลงสังเวช คือยุคนี้วัดแต่ละวัดสร้างแต่วัตถุ ไม่สร้างจิตใจ โบสถ์แต่ละหลังงาม หาอรหันต์มีไหม ยุคนี้ล้วนแต่อาศัยผ้าเหลืองหาเลี้ยงชีพเพื่อในการสู่โลกียะ

การที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของคำว่า ความสุข นั่นแหล่ ก็คือให้รู้จักขันธ์ ๕ ของตัวเอง นั้นแหละคือความสุข ซึ่งอาตมาก็ได้แต่งบทคติว่า “สุขหรือทุกข์นั่นอยู่ที่ใจพร้อมกับกาย” ซึ่งจะแจกเป็นของกำนัลในปีนี้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร


(วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สมเด็จ :
สภาพการณ์แห่งการที่จะหลุดพ้นจากหลักแห่งวัฏสงสารนั่นแหล่ จะต้องฝึกในด้านจิต

มนุษย์ที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งวัฏสังสาร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น จะต้องฝึกให้จิตนั้นอยู่ในสมาธิแน่วแน่

สมมติว่าฝึกได้ฌานอะไรก็แล้วแต่ จะต้องพยายามฝึกต่อไปให้อยู่ในสภาวะบ่มไปเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ระหว่างมีชีวิตมันยังจะต้องกินข้าว แล้วมันยังต้องขี้ออกมา เมื่อมันยังต้องกิน ต้องขี้ แล้วไซร้ สภาวะจิตย่อมมีเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ คือเวลานี้ต้องเข้าใจว่า โลกมนุษย์มันกำลังหลง คือ ทิฐิมานะ

ในสภาวะแห่งฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี กรรมฐานก็ดี จะต้องอยู่ในสภาพแห่งความแน่วแน่ จิตนั้นแน่นอนที่สุดอยู่ในขั้นไหนนั้น จะต้องดูเมื่อตอนวาระสุดท้ายแห่งลมหายใจจะสิ้นออกจากสังขารและดวงวิญญาณจะไปด้วยกันนั้นแหละ จึงจะรู้จริงว่า คนนั้นอยู่ในขั้นไหน


คือ สภาวะแห่งจิตตอนนั้นจะประมาทขนาดไหน สภาพการณ์จะหวาดกลัวต่อกรรมวิบากของตัว ที่จะเสวยในโลกวิญญาณหรือไม่ แต่เวลานี้เกจิอาจารย์มันแยะ มันอะไรกันก็ไม่รู้ ฝึกกันสามวันก็ได้ฌานโน้น ฌานนี้ อะไรก็ว่ากันไป

เพราะฉะนั้น การที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ก็จะต้อง

๑. จะต้องมีอภัยจิต อภัยจิตนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญของการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร


๒. จะต้องมีจิตสมาธิแห่งความแน่วแน่ในการนิ่ง แห่งการเรียนรู้สภาวะแห่งกระแสจิตให้สู่แนวนิพพาน คือนิพพานนี่ เป็นสู่จุดว่างของการตั้งสัจจะที่จะไปถึง แต่สภาพการณ์ให้รู้อยู่ในฌานใดฌานหนึ่งก็ยังดี


๓. จะต้องเลิกติดในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ของคำว่าสมมติในโลกมนุษย์

เมื่อปฏิบัติอยู่ในหลักสามประการนี้ได้แล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมสามารถหลุดออกจากคลื่นแห่งวัฏสงสาร

สำหรับบรรพชิตนั้น จะต้องรู้ว่า เรานั้นบวชเพื่ออะไร เป็นจุดสำคัญแห่งการคิด ว่าเรานี้คิดดีแล้วหนอ ที่เราสละตนตามรอยองค์สมณโคดม เรานี้เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งคำว่า เหตุใดองค์สมณโคดมจึงค้นพบตัวรู้อันบริสุทธิ์


สภาพการณ์ถ้าจะเป็นผู้ที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้วไซร้ จะต้องฝึกในหลักแห่งสามประการ คือ

๑. จะต้องมีความคิดแน่วแน่เรานี้บวชเพื่ออะไร เราบวชเพื่อค้นตัวพุทธะ เมื่อเราค้นตัวพุทธะแล้วไซร้ เราจะต้องไม่ทรยศต่อสัจจะของตัวเราเอง


๒. จะต้องตั้งจิตแห่งความแน่วแน่ในการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน


๓. ในการโปรดสัตว์ จะต้องดูสภาวะจิตของมนุษย์ที่เราจะเข้าไปพัวพัน ควรโปรดผู้ที่ควรจะโปรด ควรพูดกับผู้ที่ควรจะพูด

ผู้ใดปฏิบัติได้ดังนี้ ผู้นั้นแหล่ คือผู้ที่จะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 22:49 , Processed in 0.086831 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.