แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

แผนการกู้เยาวชนและเศรษฐกิจของชาติ


(วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช : เด็กนักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยจะสนใจการศึกษาขึ้นทุกที ถ้าแก้ไม่ได้แล้ว อีกไม่ช้าประเทศไทยจะอยู่ในความลำบาก เพราะว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า หลวงพ่อเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ

สมเด็จ : คือถ้าแก้เวลานี้ ต้องให้อาตมาเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาเสียก่อน แล้วค่อยแก้ได้ ไม่งั้นแก้ไม่ได้ เพราะว่าถ้าผู้เป็นเสนาบดีไม่ยึดมั่นในศีลธรรม ไม่รู้คุณค่าของวัฒนธรรมแล้ว ย่อมที่จะแก้ไม่ได้ ปัญหาสังคมมันเป็นปัญหาใหญ่ ผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องรวมตัวกันสัมมนา

ถ้าจะแก้ไขสังคมสยามไม่ให้สังคมสยามเสื่อมทรามเร็ว ก็คือต้องปรับปรุงในด้านการศึกษาให้ดี แล้วท่านจะยึดหลักอะไรเล่า ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ เรียกว่าแผนการกู้เยาวชนให้เป็นคนดี แผนการกู้เศรษฐกิจของสยามไม่ให้ล้าหลังเขา อยู่ในพุงสมเด็จโตหมดแล้ว แต่ว่าผู้บริหารมาขอซิจะเปิดให้ แล้วจะร้อง อ๋อ... ตอนนี้เทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเทศน์แล้ว ฟังแล้ว เราก็แก้ไม่ได้ สมเด็จโตก็เหนื่อยเปล่า

เพราะว่า
ปัญหานี้เป็นปัญหาหนัก ถ้าไม่ปรับปรุงในขณะนี้ อีก ๒๐ ปี สยามจะแย่มาก

๑. วงการศึกษาจะต้องปรับปรุงวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาหลักที่ทุกคนจะต้องศึกษา


๒. จะต้องปรับปรุงในแหล่งแห่งความมั่วสุมของสังคม


๓. จะต้องพยายามจับให้ทุกคนทำสมาธิจิต ให้พิจารณาตน


ผู้บริหารควรทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาท่านเกิด ท่านย่อมสามารถที่จะบริหารประเทศในสิ่งแวดล้อมให้พ้นภัยได้ ด้วยสติปัญญาแห่งธรรมะ ทุกวันนี้เราไม่ยึดหลักของธรรมานุภาพเป็นสรณะ ไม่ยึดหลักปรัชญาของพุทธพจน์ขององค์สมณโคดมที่ให้ยึดหลักแห่งการครองตนชอบ

อย่างเด็กทุกวันนี้ ก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อย ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ก็ไม่พิจารณาตน แก่แล้วยังไม่ยอมรับรู้สังขารตัวเอง ว่าตัวเรานี้แก่แล้วควรจะเข้าวัดเข้าวา ปรับปรุงศีลธรรม ให้เด็กที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ได้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดี

เพราะฉะนั้น สังคมจะต้องปรับปรุงกันเป็นลูกโซ่ จะต้องปรับปรุงที่ต้นเหตุ สมุฏฐาน จึงจะบรรลุผล แต่ทุกวันนี้แก้กันที่ปลายเหตุ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุแล้ว มันจะถึงภาวะแห่งความดีได้อย่างไรเล่า และในสังคมสยามขณะนี้ อยู่ในภาวะแห่งความวิบาก เพราะฉะนั้น มันต้องช่วยกันหลายๆ ฝ่ายที่ต้องทำงานอย่างไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตน จึงจะปรับปรุงอาณาจักรสยามนี้อยู่รอดได้


pngegg.5.3.1.png




พระสยามเทวาธิราช


สมเด็จ : ผืนแผ่นดินสยามนี้ ในการต่อสู้เพื่อเอกราช อธิปไตย วีรกษัตริย์ไทยต้องต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อทุกๆ พระองค์

ท่านศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ว่า บุรุษที่เป็นมหาราชที่ควรยกย่องก็คือ พระเจ้าตากสิน พระเจ้าตากสินสู้ด้วยพละกำลังแห่งการเป็นคนสามัญธรรมดา สู้ด้วยดาบ ยืนหยัดไม่ถอยต่อศัตรู เพื่อกู้เอกราชแห่งความเป็นไทจากเหล่าอริราชศัตรู เมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาถูกเผาในกรุงยุคนั้น

จนมาถึงยุคพระยาจักรี ต้นจักรีวงศ์ มาถึงรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ อยู่ในยุคที่ฝรั่งเศส อังกฤษ กำลังแผ่อาณาจักรที่จะยึดอาณานิคมทางพื้นภาคแหลมสุวรรณภูมิ แล้วประเทศสยามทำไมจึงอยู่รอด รอดเพราะความดีและเชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และเทพารักษ์

สิ่งเหล่านี้ ท่านรู้รึเปล่าว่า พระสยามเทวาธิราชสร้างขึ้นมาได้ เพราะใครเป็นคนออกหัวคิด ก็คือขรัวโต เป็นผู้บอกรัชกาลที่ ๔ ว่า ในขณะนี้ แผ่นดินสยามเรารอดพ้นจากการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งเศสของอังกฤษได้นั้น ก็เพราะมีเทวดาองค์หนึ่งเฝ้าพิทักษ์อาณาจักรของเรา คือ
พระสยามเทวาธิราช”

เพราะฉะนั้น เราควรรู้ถึงเทวกตัญญู สร้างรูปเคารพขึ้นมา จึงได้มีบัญชาเจ้าพระยาคนหนึ่งทำการปั้นพระสยามเทวาธิราชขึ้น ให้สักการะถึงปัจจุบันนี้

pngegg.5.3.2.png




สังคมปัจจุบันต้องผ่าตัดขนาดหนัก


อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : หลวงพ่อพูดถึงพระสยามเทวาธิราช อันที่จริงลูกมีความประทับใจต่อพระนามนี้นานแล้วเจ้าค่ะ อยากกราบทูลถามหลวงพ่อสมเด็จว่า วิธีที่อาณาประชาชนที่อยากจะถวายความเคารพสักการะท่านด้วยความกตัญญูนี่ เราควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ เพราะท่านสถิตอยู่ในวัง

สมเด็จ : ก็บูชากลางแจ้งซิ ทีนี้ พระสยามเทวาธิราชบอกไม่ไหวแล้ว สังคมเวลานี้ มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า สังคมสยามขณะนี้ มันต้องผ่าตัดขนาดหนัก ต้องรื้อไส้รื้อพุงออกมา ล้างแล้วค่อยยัดเข้าไปใหม่

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะใช้อิทธิฤทธิ์ของท่านช่วยปราบพาลชนบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : ก็อาถรรพณ์มันยังแก้ไม่ได้นี่ มันอยู่ในภาวะที่ลำบาก แต่อาตมาจะดูอีกสักระยะหนึ่ง กรรมวิบากของใครจะช่วยกันได้ มันเรื่องกรรม ขรัวโตนี่ทำอะไร เรื่องคำว่าไม่สำเร็จไม่มี แต่ในขณะนี้กำลังประชุมเรื่องที่จะดุลกรรมของสยาม ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องดุลกรรมนี้เป็นเรื่องที่ลำบาก มันต้องฝ่ายที่ต้องอาถรรพณ์ต้องร่วมด้วย มันจึงจะไปรอด

pngegg.5.3.3.png




งานของสำนักปู่สวรรค์


สมเด็จ : เพราะอาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ ตามมติที่ประชุมของโลกวิญญาณ จะปลอดภัย และจะสลายจากโลกต่อเมื่อถึง ๕,๐๐๐ ปี ถึงเวลานั้นโลกจะสลายกลายเป็นน้ำ อาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ผืนแผ่นดินนี้ มีโองการของสำนักปู่สวรรค์ประกาศจะสลายเป็นแหล่งสุดท้าย เปรียบเสมือนหนึ่งเขาเรียกว่า เป็นหัวกะโหลกของโลก

งานของสำนักปู่สวรรค์ไม่ใช่เป็นงานในปัจจุบัน งานของเราเป็นงานอนาคต เมื่อพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี เมื่อนั้นเขาจะเริ่มศึกษาเรื่องของสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ท่านทำหลักฐานร่องรอยทิ้งเอาไว้กระจายไปทั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังเขาศึกษางาน นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ ให้มนุษย์ที่ร่วมมือกันทำงานให้ร่วมกันคิด แล้วในขณะนี้ ท่านถือว่าเป็นกลียุค ก็ยังไม่หนักเท่า เมื่อพุทธศาสนาล่วงไป ๓๐๐๐ ปี ขณะนั้นสงครามศาสนาจะเกิดขึ้น แต่ถึงตอนนั้นจะมีคนดีมาเกิด

ทีนี้ ถ้าท่านศึกษาพุทธทำนายจะมีว่า เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๑๔-๒๕๑๖ ปี จะมีพระเถระโพธิสัตว์มาปรับปรุงช่วยศาสนา ซึ่งในพุทธทำนายนั้นจะมีพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์ แต่ภาวะพระโพธิสัตว์นั้นมาในรูปกายเนื้อไม่ทัน จึงมาในรูปวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำงานยากอยู่ในขณะนี้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

เหตุที่เทพพรหมมาทำงาน


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : กระผมได้ฟังเทปในนั้น ได้มีปรารภอยู่หลายตอนว่า หากมนุษย์ไม่มาช่วยกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่สามัคคีกันแล้ว เทพพรหมที่มาทำงานที่นี่อาจจะกลับไป กระผมสังสัยว่า จะกลับไปทำไม ทำไมไม่ช่วยให้บรรลุผลเสียเลย

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็ได้พูดไว้ในที่นี้เยอะแล้ว คือ อาตมามีแต่วิญญาณ ต้องอาศัยสังขาร เมื่อพวกมีสังขารไม่ช่วยกันจริงจัง ไม่ปรองดอง ไม่มีการคิด ไม่มีการวางแผน แล้ววิญญาณจะไปทำได้อย่างไร เพราะว่าการทำงานในสำนักปู่สวรรค์นี้ เรียกว่า มนุษย์กับเทวดาช่วยกันผดุงศีลธรรม


งานนี้เป็นงานระดับโลก ไม่ใช่ระดับชาติ เมื่อเป็นงานระดับโลกแล้วไซร้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้เสียสละอย่างจริงจัง และจะต้องมีคนทำงานอย่างเข้มแข็ง ถึงจะสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จในผลงานนั้นได้

พระเชาวน์ : คือเท่าที่กระผมได้คุยกับร่างแล้ว รู้สึกว่าร่างไม่ยินดีที่จะให้หลวงปู่มายืมร่างทำงาน

สมเด็จ : คือ ร่างทรงนี้เป็นวิญญาณที่เขาเจาะจงให้ลงมาเกิดเพื่อทำงาน เช่น ให้อาตมายืมพูด เมื่อเราเป็นชาวพุทธ เป็นสาวกขององค์สมณโคดม เราย่อมที่จะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

ทีนี้ ในสภาวการณ์โลกทุกวันนี้ ในภาวะที่จะต้องถึงกรรมวิบากแห่งความสลายของคำว่า ลุกเป็นไฟ เราจะช่วยได้คือ ให้เขามีศีลธรรมประจำใจเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้น เรายังขยายออกไม่ได้ เราขยายไปไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยไปตามกฎแห่งกรรม


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในทีนี้แล้วว่า นรกโลกทุกวันนี้ ไม่มีที่จะเก็บวิญญาณของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว จึงทำให้ต้องลงมาช่วย เพื่อให้มันไปนรกกันช้าหน่อย ที่นั่นก็เตรียมไล่ให้มาเกิดบ้าง จะได้ถ่ายเทวิญญาณให้มันสมดุลกัน

งานของสำนักปู่สวรรค์ ไม่ใช่งานที่ทำเพราะหลวงปู่จะมาหรืออาตมาจะมา หรือองค์ท้าวมหาชินนะที่อาตมาเชิญมาจะมาทำงาน แต่เป็นการทำด้วยความเห็นชอบของมติสามโลก จากความเห็นชอบของเหล่าเทพพรหม ยม ทั้งหลาย ในมติที่ประชุมว่า ควรจะลงมาทำงานให้ลุล่วง

พระเชาวน์ : ที่ว่านรกเต็มจะไม่มีที่เก็บวิญญาณนั้น ถ้านรกเต็มแล้ว สัตว์ที่ทำบาปไว้ก็ไม่ต้องไปนรกหรืออย่างไร

สมเด็จ : มันต้องไป แต่ทีนี้ มันต้องมีการถ่ายเทพวกที่อยู่เก่าออกไปซิ

พระเชาวน์ : ถ่ายเทไปไว้ไหนครับ

สมเด็จ : ถ่ายเทไปเกิดโลกมนุษย์ซิ

พระเชาวน์ : ก็ไปอยู่นรกยังไม่หมดกรรม แล้วจะให้มาได้ยังไงครับ

สมเด็จ : มันต้องมีจำนวนหนึ่งหมดกรรมซิ

พระเชาวน์ : หมายความว่า ไม่มีโอกาสเต็ม มีที่ให้อยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องกลัวเต็ม

สมเด็จ : ก็ต้องไล่ให้มาเกิดเร็วๆ ซึ่งวันนั้น ดอกเตอร์อะไรบอก ให้โลกมนุษย์คุมกำเนิด เรื่องมันยิ่งยุ่ง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

การเป็นสื่อมวลชนที่ดี


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : กระผมอยากทราบว่า ที่หลวงพ่อมาในครั้งนี้ มาเพื่อเหตุไรครับ

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในที่นี้เยอะแยะแล้ว คือ ลูก หลาน เหลน ที่มาเกิดแล้วกลับไม่ได้ อาตมาก็ยังมีกิเลส กิเลสที่ยังเป็นห่วง จึงอยากจะเทศน์ มาขัดเกลาให้มันสะอาดเพียงพอ เพื่อที่จะกลับสู่พรหมโลกได้

คุณสุรศักดิ์ : จะให้กระผมได้รับใช้อะไรท่านได้บ้างครับ

สมเด็จ : เป็นอะไร ทำงานอะไร

คุณสุรศักดิ์ : กระผมอาชีพนักหนังสือพิมพ์ อยู่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ

สมเด็จ : ถ้าอย่างนั้นต้องฟังเทศน์ การเป็นสื่อมวลชน

คือว่า อาชีพในโลกนี้ ที่เป็นยากที่สุดคือ การเป็นคนกลาง อย่างเช่น อาชีพนักหนังสือพิมพ์นี้ อยู่ในหลักที่เขาสมมติกันขึ้นว่า “ฐานันดรสี่” แต่ฐานันดรสี่ในยุคนี้ แย่เต็มทน บางคนก็เป็นสื่อกระเป๋า บางคนก็เป็นสื่อขวดเหล้า เมื่อเช่นนี้ คำว่าฐานันดรสี่จะอยู่อย่างไรให้เขานับถือเล่า อันนี้ฝากให้เหล่าสื่อมวลชนนำไปคิด

การเป็นสื่อมวลชน เราจะทำข่าวอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องไปถึงจุด เรียกว่า ไปสังเกต สังเกตไม่ใช่สังเกตครั้งเดียวจะได้รู้มาก เราไม่ใช่เทวดาจึงรู้หมดทั่วพิภพ เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาเหตุผล แล้วก็ทำข่าวนั้นๆ คนนั้นแหล่จะเป็นสื่อมวลชนที่ดี และสมกับเป็นสื่อมวลชน

ทีนี้ ในการที่จะทำข่าวของสำนักปู่สวรรค์ ก็คือว่า ที่นี่มีวิญญาณอดีตพระเถระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มาทำงานร่วมกับองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)


จุดแรก ในขณะนี้ที่โลกวิญญาณสั่ง คือ ให้แก้อาถรรพณ์แห่งความร้อนในแหลมสุวรรณภูมิ ด้วยการสร้างองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย ประดิษฐานหน้ามุขตำหนักใหญ่สำนักปู่สวรรค์ อันนี้ต้องย้อนเข้าเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ท่านเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ คือได้ใช้ร่างทรงนี้ไปประเทศต่างๆ นำดินมาจาก ๗ ประเทศ เพื่อจะนำมาบรรจุลงในองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อให้ดินแดนแถบแหลมสุวรรณภูมินี้คลายร้อน

ขั้นที่สอง ก็คือว่า ให้สร้างเครื่องรางของขลัง คือ ใบโพธิ์ ใบโพธิ์นี้มีทัพเทวดาลงมาสถิต อันนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านอย่าเพิ่งวิจารณ์ ท่านยังไม่ได้เอาเทวะประจำใบโพธิ์ไปบูชา เอาใบโพธิ์ไปสักการะ แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเทวดาหรือไม่

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้ว เราต้องมีจิตหนักแน่น อย่าด่วนคาดคะเนใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปศึกษา อย่าวิจารณ์ใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปค้น อันนี้ ถ้าเราทำเช่นนั้น คนนั้นไม่ใช่เป็นชาวพุทธ และไม่ใช่เป็นสาวกขององค์สมณโคดมที่แท้จริง

จุดที่สาม โดยจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้าย ก็คือว่า ดวงวิญญาณทั้งสามนี้ อยากจะสอนการฝึกสมาธิเหล่ามนุษย์ที่คิดจะบำเพ็ญตนให้พ้นในการเวียนว่ายตายเกิด นั่นคือ แผนงานขั้นที่สาม

ในการทดลองที่จะทำให้มนุษย์ศรัทธา โดยการรักษาโรค คือ โรคทั้งหลายที่มนุษย์เป็นกัน ถ้าหมดตามโรงพยาบาลรักษาไม่ได้ บอกให้ส่งมาที่นี่ (ปัจจุบันงดการรักษาแล้ว) ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงธรรม ก็จะให้ในเรื่องของเทวดา เรื่องของใบโพธิ์ไปสักการะเพื่อน้อมจิตใจ สำหรับชั้นโลกุตระ คือ ฝึกธรรมะ นั่นคือ งานในอนาคต

แต่งานที่อาตมาห่วงใยที่จะต้องช่วยก็คือ แดนสยามกำลังจะลุกเป็นไฟ แล้วท่านเชื่อเรื่องแก้อาถรรพณ์หรือไม่ อาตมาจะสร้างวีรกษัตริย์ไทย ไปวางที่ต่างๆ ที่กำหนด เพื่อคลายความร้อนในแดนสยาม

ในสภาพการปกครองบ้านเมือง ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ เรียกว่า มนุษย์ต่างคนต่างมีจิต มนุษย์ต่างคนต่างมีกรรม มนุษย์ต่างคนต่างมีมโนภาพ เรียกว่านานาจิตตัง เราอย่าไปวิจารณ์ว่าในเรื่องใครปกครองดีหรือไม่ เรามาวิจารณ์ว่า เราจะช่วยกันแก้อย่างไร จึงให้สยามนี้รอดจากไฟ แล้วใครมีอะไรอีกไหม อาตมาจะต้องไปสอนพวกพรหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

พระอรหันต์ในสยาม


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ขณะนี้ประเทศไทย มีพระอรหันต์ไหมคะ

สมเด็จ : พระอรหันต์ ในการที่เรียกว่า สำเร็จแห่งความเป็นอรหันต์ คือในกรุงสยามที่อาตมาตรวจแล้ว มีอยู่ ๕ องค์ (ปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๔๐ เหลือเพียง ๓ องค์) แต่ไม่ได้อยู่ในกรุงหรอก เขาอยู่ในป่า เขาไม่อยากมายุ่งกับมนุษย์

คำว่า อรหันต์ ต้องวัดตอนวาระสุดท้ายแห่งการที่จะสิ้นจากโลกมนุษย์ จิตวิญญาณจะไปสู่พรหมโลก ตอนนั้นถึงจะรู้แน่ว่า จิตเขาถึงแดนอรหันต์หรือไม่ ระหว่างเป็นมนุษย์นี้ จิตมันยังเต้นขึ้นเต้นลง เพียงแต่เรียกว่า บำเพ็ญฌานสมาบัติรักษาจิตให้อยู่ในเอกะได้ตลอดกาล ก่อนที่จะประกาศตนว่า เป็นใครมาจากไหน สำเร็จอะไร เมื่อท่านยังเกี่ยวข้องกับโลก เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับมนุษย์

ฉะนั้น เกจิอาจารย์ที่ดี เขาจะไม่บอกว่า นี่เจ้าหนูนี่ได้ฌานโน้น ฌานนี้ นั้นสำเร็จอรหันต์ หันซ้าย หันขวา หันกันใหญ่ ไอ้นั่นก็เลยหลงกันใหญ่ ก็เลยบ้ากันไปเลย อย่าลืม พระมหากัสสปะ เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมรู้ปริศนาธรรม ธุดงค์ไปที่ไหน คนเขาบอกว่า ท่านนี้หรือมหากัสสปะที่เขาว่าเลิศในปัญญา เป็นผู้สำเร็จอรหันต์

ท่านพระมหากัสสปะบอกว่า อาตมภาพนี้ยังไม่ได้อะไรเลย ยังเป็นนักศึกษา นักค้นคว้าอยู่ ไฉนหนอ ท่านจึงยกอาตมาเล่า ไม่เหมือนมนุษย์สมัยนี้ พอไม่ได้เป็นมหาก็ต้องให้เขาเรียกเป็นมหา ไม่เรียกมหา โกรธ ทีนี้ มันไม่รู้ว่ามหาแปลว่า “หมา” เพราะฉะนั้น พวกนี้เขาเรียกว่า ยังมีกิเลส ยุคนี้มันสอนวิปัสสนากันกลายเป็นวิปัสสนึก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

พระศรีอริยเมตไตรย


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระศรีอริยเมตไตรย คือใครเจ้าคะ

สมเด็จ : องค์ศรีอริยเมตไตรยนี้ เดิมทีเป็นอรหันต์ ชื่อ “ชลาตา” เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ที่มีรูปร่างงามสง่า ไม่แพ้องค์สมณโคดม ในการกินเลี้ยงใดๆ ก็แล้วแต่ คนเขาเห็นแล้วก็ว่า องค์ไหนหนอเป็นองค์สมณโคดมที่แท้จริง

ทีนี้ ในสภาวะ อรหันต์ชลาตานี้ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่เรียกว่าเป็นอาจารย์ จึงได้เปล่งวาจาอธิษฐานตนว่า “เรานี้มิสมควรที่จะเทียบตนเท่ากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า” จึงอธิษฐานให้พุงยุ้ยหน้าเปลี่ยนเป็นเทอะทะขึ้นในขณะนั้น

ทีนี้ วันหนึ่งในที่ประชุมสงฆ์ เหล่าพระอรหันต์ทั้งหมด ๒๕๐๐ องค์ ร่วมกันในที่ประชุม องค์สมณโคดมก็ได้ชูดอกบัวขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ แล้วนิ่งไม่พูดใดๆ เขาเรียกว่า เป็นปริศนาธรรม


ขณะนั้น อรหันต์ชลาตา หรือองค์สังกัจจายน์นี่แหละ รู้ด้วยญาณและบุญบารมีที่จะเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อศาสนาโคตมะ ก็ได้ย่อกาย ย่อเข่าลงกึ่งหนึ่ง แล้ววางมือออกไป องค์สมณโคดมก็โยนดอกบัวให้

เสร็จแล้วองค์สมณโคดม จึงได้ประกาศว่า การชูดอกบัวเพื่อเสี่ยงทาย ผู้ใดจะเป็นผู้มีบุญสืบต่อศาสนาตถาคต บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ชลาตาจะเป็นผู้สืบต่อศาสนาเป็นพระศรีอาริย์ ระหว่างนั้นแหละ องค์สมณโคดมก็ได้ขอให้ศาสนาของพระองค์ถึง ๕๐๐๐ ปี นี่คือ การเทศน์นอกตำรา นอกประวัติศาสตร์

อันนี้แหละ อรหันต์ชลาตาก็ได้เปล่งวาจาว่า “ข้านี้แหละจะสืบต่อความดี” เพราะฉะนั้น เวลานี้องค์สังกัจจายน์ หรือศรีอริยเมตไตรย จึงอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นชั้นที่ใกล้มนุษย์ เพื่อรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกมนุษย์ เตรียมตัวเพื่อในการสืบต่อการทำงาน


เพราะฉะนั้น ท่านที่จะเป็นนักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ต้องมีขันติในการทำงาน ซึ่งมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่อิจฉาริษยา

ดั่งเช่น อาตมาสมัยมีสังขารครองวัดระฆังฯ หลายครั้งหลายคราวมีคนไปยุรัชกาลที่ ๔ ว่า ควรจะเอาสมเด็จบ้าๆ นี่ ออกจากวัดเสียที ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอาตมามีคติหนึ่งว่า “สิ่งใดเราต้องทำ สิ่งนั้นเราทำลงไป ไม่มีความร้ายต่อคนอื่น ไม่มีความร้ายต่อตัวเราเอง มีแต่ความดีต่อคนอื่นและต่อตัวเราแล้วไซร้ เราควรทำอย่างยิ่ง”


และในการบูรณะวัดในการสร้างหอระฆัง ในการสร้างเจดีย์ต่างๆ อาตมาก็ใช้วิธีการว่า ต้องใช้ปัญญาหาปัจจัย ปัจจัยมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน อยู่ที่ผู้นั้นรู้จักไปขุดขึ้นมาหรือไม่ พอจะซ่อมอะไร อาตมาก็ใช้กะละมังใบหนึ่ง เดินตีไปทั่ว จากวัดระฆังฯ ไปยังบางกอกน้อย จนกระทั่งครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เข้าถึงรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๔ ก็ได้แต่งบทกลอนบทหนึ่งมาว่าอาตมา

ได้ยินกล่าว       พระสงฆ์      นั้นหุ้มเหลือง
เมื่ออยู่ใน         ผ้าเหลือง     ต้องสงบ
การสงบ           ควรจะมี       ความเจียมตัว
การเจียมตัว      ควรจะเดิน    ด้วยความช้า
เหตุไฉน          ในสยาม       แผ่นดินข้า
มีสมเด็จ          ขรัวโต         ไม่สงบ
ถือกะละมัง       ต่างระฆัง      เที่ยวเดินเคาะ
เสียงเปาะเปาะ  น่ารำคาญ     ชาวบ้านเอย

ท่านรู้ไหม อาตมาแก้บทกลอนอย่างไร

เจ้าจอมเกล้า    คือเจ้า          เหนือหัวข้า
แผ่นดินสยาม   ท่านครอง      ด้วยศรัทธา
การเป็นคน       การเป็นพระ   ไม่ใช่ อยู่ที่ผ้า
การทำการ       การทำงาน     ควรประหยัด
ระฆังนั้น          ใบหนึ่ง         ได้สามชั่ง
กะละมัง          ใบหนึ่ง         ไม่ถึงสองเฟื้อง

พราะฉะนั้น เพื่อความประหยัด ใช้กะละมังเคาะมันก็ดัง ในสภาพการณ์เขาเรียกว่า ปราชญ์ต่อปราชญ์เจอกันไม่ต้องพูดมาก ต่างฝ่ายต่างนิ่งก็ย่อมรู้ เพราะฉะนั้น ทำอะไร เราต้องถือหลักว่า เราทำจริง และเราต้องมีคติว่า ข้าสู้เพื่อความสุขของคนอื่น ไม่ใช่สู้เพื่อความสุขของตน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสำเร็จสมความมุ่งหมายของเรา

อาตมาก็ได้ย้ำไว้หลายครั้งแล้วว่า ถ้าท่านเกิดความกลัว ขอให้ท่านระลึกถึงองค์เยซู ไม่ใช่ว่าให้ท่านขอบารมีเยซูมาช่วยท่าน เยซูเป็นนักพรต เป็นนักเสียสละ รางวัลอันยอดเยี่ยม อันล้ำค่า ที่เยซูได้รับก็คือ การตายอย่างไม่มีแผ่นดินจะอยู่ คือถูกตรึงไม้กางเขน นั่นแหละคือรางวัลของผู้เสียสละ เกียรติอันยิ่งใหญ่


เพราะโลกทุกวันนี้ อยู่ในสถานการณ์กลียุคที่ไม่มีใครที่จะอยากให้ใครดีกว่าใคร ฉะนั้นการทำอะไร ขอให้ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะพร้อมกำกับอยู่เสมอ แล้วมันจะดีเอง

สานุศิษย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี่ เดี๋ยวก็ได้ข่าวว่า เกิดที่นั่น เกิดที่นี่ เลยทำให้สงสัย ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระศรีอาริย์กันแน่ อย่างนี้จะมีทางสังเกตอย่างไรครับ

สมเด็จ : พระศรีอาริย์ไม่ได้จุติในโลกมนุษย์ ขณะนี้พระศรีอาริย์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ในการเตรียมตนในการที่จะสืบต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น วิญญาณพระศรีอาริย์ไม่ได้ลงมาในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน พลังนั้นเตรียมพร้อมที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า เข้าใจคำนี้หรือยัง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

กลียุค


(วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : คำว่า “กลียุค” หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : หมายความว่า มนุษย์เกิดมาเบียดเบียนกัน ศีลธรรมประจำใจเสื่อม วัตถุเจริญ ล้วนแต่เป็นวัตถุที่สร้างมาฆ่าซึ่งกันและกัน จึงถือว่ามนุษย์ฆ่ามนุษย์ เพราะความกลัว ทุกคนกลัวเขาจะมาโกง ทุกคนกลัวว่าเขาจะมาโกย ตัวเองก็เลยโกงเอง โกยเอง

pngegg.5.3.1.png




แผ่นดินสูบ


พระเชาวน์ : ในสมัยพุทธกาล มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า แผ่นดินสูบ สภาพแผ่นดินสูบ มีอาการอย่างไรครับ

สมเด็จ : สภาพในระหว่างนั้น คือว่า แผ่นดินมีความสะเทือนไหว แยกตัวออก

พระเชาวน์ : แยกตัวแล้ว ผู้ที่ถูกสูบตกลงไปใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ตกลงไปซิ

พระเชาวน์ : แต่ในคัมภีร์ที่เคยอ่านบอกว่า พระเทวทัตนั่นน่ะ ตอนที่ถูกสูบ ค่อยๆ จมลงไป

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาอยู่โลกวิญญาณก็ไม่อยากพูดมาก คืออรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์บางคน นับถือยกย่ององค์สมณโคดมเกินกว่าเหตุ จึงได้แต่งอรรถาธิบายบางอย่างให้มันพิสดารหยดย้อย จนคนอ่านแล้วเคลิ้มตาม

พระเชาวน์ : ถ้าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ไปแต่งเกินกว่าเหตุอย่างนี้ จะไม่ผิดศีลข้อมุสาหรือครับ

สมเด็จ : เวลานี้ อรรถกถาจารย์ที่ชำระพระไตรปิฎก ตกอยู่ในนรกโลกมีมากะ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วในที่นี้ ไปฟังเทป เพราะอาตมาทำอะไรแล้วไม่ย้อน แบบสมัยรัชกาลที่ ๔ เขาจะสังคายนาพระไตรปิฎกอะไร อาตมาไม่ร่วมด้วยหรอก เพราะกลัวตกนรก

pngegg.5.3.2.png




โลกพระจันทร์


พระเชาวน์ : ทีนี้ ในพระจันทร์น่ะ เขาว่า มีเทวดาจริงไหม

สมเด็จ : เทวดามีอยู่ทั่วพิภพ ไม่ว่าดาวดวงไหน ไม่เฉพาะแต่พระจันทร์ แม้แต่ดวงอาทิตย์ ในนั้นก็มีเทวดา แต่อยู่ด้วยความทิพย์ เขาเรียก อำนาจทิพย์ ผู้นั้นจะต้องสัมผัสด้วยทิพย์

พระเชาวน์ : ในพระจันทร์มีเทวดาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ

สมเด็จ : เทวดาในโลกนี้ มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

พระเชาวน์ : มีมนุษย์อวกาศขึ้นไปบนพระจันทร์ เทวดาบนนั้นมีความรู้สึกอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ การที่มนุษย์อวกาศขึ้นไปถึงนั้น เขาไปเพียงส่วนหนึ่ง ยังไม่ถึงจุดลี้ลับที่ยังมีมากกว่านั้น ทีนี้ ท่านคงรู้ว่า ป่านั้นถูกมนุษย์ถางเมื่อไหร่ เสือ สิงห์ ก็ย่อมหนีเข้าป่าลึก ฉันใด เทวดาบนโลกพระจันทร์ก็ฉันนั้น

พระเชาวน์ : หมายความว่า เทวดากลัวมนุษย์อย่างนั้นหรือ

สมเด็จ : เพราะว่า มนุษย์มีกลิ่นเหม็นที่สุด อาตมายังกลัวเลย

พระเชาวน์ : เมื่อมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ เทวดาไม่โกรธหรือ

สมเด็จ : การเป็นเทวดาต้องมีศีล นอกจากเทวดาเกเร จึงเล่นงาน

พระเชาวน์ : คือ พวกที่ไปนั่นก็คล้ายไปบุกรุกเขา มีเทวดาโกรธบ้างไหม

สมเด็จ : ก็มี แต่พวกนี้เป็นเทวดานอกมติ

pngegg.5.3.3.png




มนุษย์กำลังฆ่ามนุษย์


สมเด็จ : ในสภาวการณ์นี้ ท่านอย่าลืม ถ้าท่านสร้างสิ่งเหล่านี้ไปดวงจันทร์ยิ่งมาก โลกมนุษย์จะยิ่งสลายเร็ว คือ

หนึ่ง ในการเป็นอยู่ของธรรมชาติของอากาศ ของเมฆหมอกที่รวมตัวกันเป็นก้อน เมื่อเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป ต้องใช้ความร้อน ความร้อนนี้ก็จะทะลุเข้าไปก้อนเมฆ ไอน้ำที่รวมตัวกันก็จะละลาย ทำให้โลกมนุษย์ฝนจะตกไม่ตรงตามฤดูกาล

จุดที่สอง เชื้อเพลิงในสิ่งที่เขาติดขึ้นไปนั้นเป็นพิษ เพราะฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า น้ำฝนอาจจะกินไม่ได้

จุดที่สาม เมื่อความสะเทือนของวัตถุมาก เข้าออก เข้าออก เมื่อวันไหนมันเข้าไม่ถูกจุดแล้ว มันก็น่าคิด


คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : ขอประทานโทษ อาจารย์เชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์จะขึ้นไปอยู่โลกพระจันทร์ได้สำเร็จ

สมเด็จ : อันนี้ อนาคตอีกไกลมาก แล้วก็ถ้าขึ้นไปอยู่ อาตมาก็ขอบอกว่า อยู่ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง ตายหมด จะปรับยังไง มันก็ไม่เหมือนธรรมชาติ นอกจากสร้างอากาศใหม่ขึ้นได้ ก็อยู่ได้


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

ลองของมาก เทวดาอาจลงโทษ


(วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



คุณวิษณุ รัตนโมรานนท์ : เมื่อเช้านี้ มีคนมาบอกว่า เอาปืนไปยิงตะกรุดของสำนักนี้ ๗ นัด ไม่เข้า แต่พอยิงนัดที่ ๘ เข้านั้น ทำไมถึงยิงเข้าครับหลวงพ่อ

สมเด็จ :
เรื่องนี้ ขอเตือนเหล่านักลองทั้งหลายว่า การที่วิญญาณสร้างของสิ่งเหล่านี้ขึ้นมานั้น ไม่มีเจตนาสร้างเพื่อความเหนียว แต่สร้างในหลักของความแคล้วคลาดด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ

ในการลองนั้น ต้องเข้าใจว่า มีเจตนาที่จะยิงให้ถูกจนได้ ความแคล้วคลาดกับการยืนอยู่นิ่งไม่เหมือนกัน การเป็นคน ย่อมมีการหนีและไล่ เพราะฉะนั้น ขอเตือนพวกนักลองทั้งหลายให้พึงสังวรไว้ว่า ถ้าลองมากเกินไป เทวดาอาจจะลงโทษเอาได้

เรื่องเครื่องรางของขลังนี้ ถ้าว่าตามกฎแห่งความจริงแล้ว พลังแห่งสัจจะของผู้สำเร็จองค์ใดก็ตาม ที่ได้ตั้งกระแสจิตในสิ่งนั้น ก็เพียงให้ความคุ้มครอง ส่วนการที่จะหลีกเลี่ยงหรือแคล้วคลาดนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมของตัวเองเป็นใหญ่

และข้อนี้จงจำเอาไว้ว่า สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักเผยแผ่สัจธรรม ไม่ใช่สำนักที่มาสอนให้มนุษย์ยึดในด้านวัตถุ แต่ในการสร้างวัตถุครั้งนี้ เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์นั้นมีน้อย จึงจำเป็นต้องสร้างวัตถุ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ายุคนี้นักบุญส่วนมาก เป็นนักบุญที่เอาการทำบุญบังหน้า เพื่อชื่อเสียงของตนก็ดี เพื่อกอบโกยผลประโยชน์อีกด้านหนึ่งก็ดี จะหานักบุญอย่างสมัยที่อาตมาอยู่วัดระฆังฯ นั้นยาก

อย่างในยุคนั้น อาตมาจะสร้างกุฏิแดงก็ดี ชาวบ้านเขามาสร้างให้ เอาปัจจัยให้เขา เขาไม่ยอมรับปัจจัยนั้นแหล่ อาตมาก็ได้เรียนวิธีการสร้างพระสมเด็จมาจากสังฆราชไก่เถื่อนที่วัดพลับ แล้วได้สร้างพระผงรุ่นแรกขึ้น อาตมาสร้างขึ้นเพียง ๓๕ องค์ เท่านั้น ได้แจกจ่ายให้เหล่านายช่างทั้งหลายที่มาช่วยสร้างกุฏิในครั้งนั้น ด้วยเห็นว่า มนุษย์เหล่านั้นมีใจบริสุทธิ์ที่ช่วยสร้างวัตถุ เพื่อจรรโลงพุทธศาสนา

สำหรับบทสวดต่างๆ ในพิธีการที่อาตมาสวดนั้น ล้วนแต่ใช้ธรรมานุภาพ เพื่อความแคล้วคลาด และมหาเมตตาจิต

pngegg.5.3.1.png




อยู่ยงคงกระพันแล้วมักเหลิง


สมเด็จ : ทีนี้ ในยุคต่อมา เขาเอาไปใช้ในเรื่องของความเหนียว ความขลัง อาตมาจะบอกให้ว่า ที่เหนียวนั้น เพราะกรรมดีของเขายังช่วยอยู่ จงจำเอาไว้ว่า พระเถระที่เดินตามรอยองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เขาจะไม่สร้างสิ่งที่ทำให้คนผยอง

และจงจำเอาไว้อีกว่า ถ้าลองกันมาก จะไม่ได้ดีตามที่คิด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าวิญญาณย่อมรู้ดีกว่ามนุษย์ มนุษย์เรานี้ เมื่อรู้ว่ามีของเหนียวแล้ว ใจมันเหลิง เมื่อใจเหลิงมาก อารมณ์แห่งความชั่วโดยไม่รู้ตัว เพราะนึกว่าตัวนั้นอยู่ยงคงกระพัน

ตามหลักแห่งความจริงแล้ว มนุษย์เราทุกคน ขันธ์นี้เป็นของโลก ต้องสลายตามสภาวะของโลก การอยู่ยงคงกระพันนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกิเลส ทำให้ตนหลงอยู่ในวัตถุ เมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งการเป็นคนแล้ว คือหมดอายุขัย ยมทูตจะลากไปสู่ยมโลก เสวยกรรมวิบากที่ตนสร้างขึ้น

เมื่อถึงวาระนั้น แม้แต่องค์สมณโคดมก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามหลักแห่งความจริงของธรรมชาติ หรือตามกฎอนัตตา คือ ผู้ใดสร้างกรรมขึ้น ผู้นั้นต้องได้รับ และทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมเคลื่อนไปสู่ความสลายของอนิจจัง และทุกอย่างที่ก่อเหตุมีผลในบั้นปลาย

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย พึงสังวรในข้อนี้ การมาของอาตมาในครั้งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้คนเหลิงในความขลัง แต่มาสอนให้คนละทิฐิมานะในความโลภ โกรธ หลง พยายามทุกวิถีทางที่จะสอนให้ทุกๆ คน ละในการยึดตน ยึดสิ่งของ เพราะว่า ถ้าจิตของเรามีความยึด ย่อมมีความทุกข์ คำว่า “อยากได้” ทำให้โลกปั่นป่วน


pngegg.5.3.2.png




ทิ้งสุข ทิ้งทุกข์ ย่อมสงบ


สมเด็จ : ทุกวันนี้โลกปั่นป่วน เพราะมนุษย์ที่ครองเมืองอยากได้โน่นอยากได้นี่ จึงทำให้มนุษย์ที่ร่วมเกิดพลอยลำบากไปด้วย องค์สมณโคดมได้ทิ้งการเป็นจักรพรรดิที่เกรียงไกรแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มาเป็นธรรมราชาแห่งวิหารเชตวัน

ฉะนั้น จึงขอเตือนมนุษย์ทั้งหลายว่า ระหว่างการเป็นคน ระหว่างเสวยสุข อย่าหลงสุข ระหว่างเสวยทุกข์ อย่าหนีทุกข์ เพราะว่า การมีสุขหรือมีทุกข์นั้น ขึ้นอยู่กับตน ถ้าทำดีย่อมมีสุข แต่ถ้าทำชั่วย่อมมีทุกข์ สุขหรือทุกย์อยู่ที่กายพร้อมด้วยใจ เมื่อเรายึดย่อมมีทุกข์ เมื่อเราทิ้งสุขและทิ้งทุกข์ จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คือ ความสงบ

pngegg.5.3.3.png




หันมามองตน


สมเด็จ : ธรรมะในโลกนี้ ล้วนสอนให้คนยึดในหลักของความสงบ ถ้าอยู่ในสังคม ให้ยึดในหลักของความเมตตา ถ้าทุกคนมีความเมตตาต่อกันและกัน ทุกคนมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ทุกคนเข้าใจคำว่า การเป็นคนแตกต่างกัน เพราะเกิดมาต่างกรรมต่างวาระ เมื่อทุกคนเข้าซึ้งถึงหลักของอนัตตา เมื่อนั้นสังคมนั้นย่อมมีสุข

ทุกวันนี้ สังคมแต่ละชั้นแต่ละมนุษย์แต่ละคนปั่นป่วน เพราะมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่พยายามพิจารณาตัวเอง แต่พยายามพิจารณาคนอื่น พูดง่ายๆ ก็คือ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่พยายามมองตัวเองก่อน ชอบมองคนอื่น ไม่อยู่อย่างสันโดษ เมื่อไม่อยู่อย่างสันโดษ ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้น


สภาวะทั้งหลายอยู่ในกฎของความจริง คือ เราต้องตาย เราจะทำอย่างไร จึงจะอยู่เหนือความตาย ก็โดยการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา ให้ตนหลุดพ้นจากภพชาติในกฎของวัฏฏะ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

จิตนิ่งเหนือจิต


(วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์อุษา พลารชุน : กราบเรียนถามหลวงพ่อโต ได้โปรดกรุณาอธิบายว่า การที่จะปฏิบัติตน ที่เรียกว่า ทำให้จิตว่างนั้น จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ในหลักแห่งความจริงของการปฏิบัติตนให้อยู่ในจุดของสุญตานั้น ในภาวการณ์ ต้องพิจารณาความฉันทะของตนเป็นใหญ่ ตราบใดที่เรายังข้องอยู่กับโลก ญาณแห่งอาสวะนั้น จะเกิดสู่จิตของเรายาก

ซึ่งองค์สมณโคดมก็ได้วางหลักในการปฏิบัติในจุดแห่งการเพ่งกสิณ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ติดอยู่ในรูป ก็ให้เอาอสุภกสิณเป็นการพิจารณา ให้รู้แจ้งความเป็นอยู่ของการเป็นคนว่า สังขารนี้เป็นสิ่งปรุงแต่งของธรรมชาติของวัตถุในโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้น ที่จะต้องไปเสวยกรรมวิบากของการเป็นคน

ทีนี้ ในหลักแห่งการที่จะปฏิบัติจิตให้อยู่ในจุดของสุญตานั้นแหล่ ในหลักของขั้นแรกของการเป็นคน ก็คือ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในสัมมาอาชีวะที่ชอบ เมื่อภาวะสัมมาอาชีวะชอบแล้วไซร้ ก็อย่าข้องกับโลกมาก เพราะอะไรเล่า

ถ้าท่านยังตกอยู่ในการที่เรียกว่า กลัวเขานินทา หรือว่ามีจิตเบิกบานตามคำสรรเสริญของเหล่ามนุษย์แล้วไซร้ ตราบนั้น อาตมากล้าพูดว่า ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะปฏิบัติจิตสู่หลักแห่งความว่างได้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าจิตที่อยู่ในเอกัคตา จิตนั้นจะต้องเหนือคำนินทา และเหนือคำสรรเสริญ คือจิตนิ่งเป็นหนึ่งในเอกะประภัสสร วิมุตติสู่นิพพาน

อาจารย์อุษา : ความหมายของคำว่า ไม่ยินดียินร้ายในคำสรรเสริญนินทา คืออย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ เราตั้งตน เรียกว่า พยายามปฏิบัติตนอย่าข้องอยู่ในกาม และปฏิบัติอยู่ในการนิ่งในสรรเสริญของตัวตน จิตไม่ข้องเกี่ยวในความพยาบาท พูดง่ายๆ เขาว่าเรา เราก็เฉย เขาสรรเสริญเรา เราก็นิ่ง คือ

พยายามทำตนอยู่ในหลักของคำว่า สี่งที่ฉันทำ สิ่งที่ฉันปฏิบัติ ไม่ผิดมนุษยธรรม ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจรรยาของชาวโลกมนุษย์ที่สมมติแล้วไซร้ เมื่อเราพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เราจงทำตามนั้น

แล้วจิตเราอย่าวอกแวกตามอารมณ์ คือในโลกนี้สิ่งที่ร้ายที่สุด คือ ลม ไฟ ท่านสามารถเห็น น้ำ ท่านสามารถเห็น ดิน ท่านสามารถเห็น แต่ลม ท่านไม่สามารถเห็นเป็นตัวตน สงครามล้างมนุษย์เกิดขึ้น เพราะลมปากมนุษย์ มนุษย์ผู้หนึ่งอยู่ดีๆ จะอับจน ก็เพราะลมปากมนุษย์ทำลายกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะปฏิบัติตนให้สงบ คือ “วางตนเหนือตน” รู้จักคำนี้ไหม

การวางตนเหนือตน คือ จิตวิญญาณของเราจะต้องเหนืออารมณ์ อารมณ์คือตน อารมณ์สัมผัสกับอายตนะทั้งภายในและภายนอก จิตเราจะต้องมีสมาธิ ตามรู้อารมณ์ แล้วก็เหนือคน

สานุศิษย์ : ความหมายก็คือ อยู่ในลักษณะสงบเสมอใช่ไหมครับ

สมเด็จ : คือ มันไม่ใช่ฝืน หลักแห่งความจริงในโลกนี้ ไม่มีอะไรฝืนหลักธรรมะ คือว่าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมกับมีสมาธิหรือไม่ อย่างบางคนฝึกสมาธิ แต่พอถึงเวลา มันมีอะไรไม่รู้ยาวๆ ควักขึ้นมาสูบปูดๆ นี่หรือฝึกสมาธิ

คือ ยังไม่สามารถเอาชนะสิ่งต้องการภายนอกแล้วไซร้ หลักของความเหนือตน ย่อมไม่เกิด เราจะต้องถามตัวเองว่า เมื่อจะสูบสิ่งที่เป็นของติด ถ้าฉันไม่สูบแล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล

สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล ก็คือ เมื่อท้องหิวตามธรรมชาติ ท้องนี้ต้องอาศัยวัตถุของโลก เพื่อบำรุงให้ขันธ์นี้อยู่ อันนี้เราจำเป็นต้องบำรุง คือในเรื่องการปฏิบัติของขันธ์ก็ดี เรื่องสิ่งแวดล้อมของธรรมะทั้งหลายก็ดี อาตมาเทศน์ไว้ที่นี่แยะแล้ว แต่มนุษย์ผู้ทำงานไม่ได้รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ จึงต้องมาย้อนกันอยู่อย่างนี้


pngegg.5.3.1.png




การเผยแผ่สัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์


สมเด็จ :  จงจำเอาไว้ว่า เทพเจ้าก็ดี วิญญาณชั้นสูงก็ดี ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในโลกวิญญาณ ต่างคนต่างมีงานทำ การมาโลกมนุษย์ครั้งนี้ ในการมาตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ เป็นการลงมติของโลกวิญญาณว่า

พระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคสืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรยนั้น สำเร็จจากกรุงสยาม คือพระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) กำลังปฏิบัติตนในการช่วยโลกมนุษย์ให้พ้นจากไฟนรกอเวจีแห่งการเผาผลาญโลก จึงสั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ขึ้น

เมื่อสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นแล้ว หลักของหลวงปู่ก็คือ “นิ่งเสียโพธิสัตว์” ภาวะแห่งความนิ่งแล้วไซร้ จะเผยแผ่หลักสัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ได้อย่างไรเล่า สามโลกจึงขอให้อาตมามาช่วยงานในครั้งนี้

เพราะฉะนั้น จงจำเอาไว้ว่า ในการมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์นี้ อาตมาเป็นผู้รับเชิญให้มาช่วยดำเนินการ ฉะนั้นในภาวะบางอย่างที่ต้องมาทำซ้ำๆ ซากๆ ซึ่งมันไม่ตรงกับอุปนิสัยของอาตมาเลย ตั้งแต่ก่อนทิ้งสังขารแล้ว
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

เทพพรหมทำผิดกฎ


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

ข้าหลวงสุทิน วิวัฒนะ : เมื่อตะกี้นี้ เทพที่คุยกับหลวงปู่นั้น อยากทราบว่าแปลความหมายว่าอย่างไรครับ ขอให้หลวงพ่อช่วยแปลด้วย

สมเด็จ : เป็นเทพองค์หนึ่ง คือเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ขณะนี้สำนึกตัว จะขอเข้าอยู่พรหมโลกอย่างเก่า

ในสภาวะเมื่อรู้ว่า โลกวิญญาณได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ โดยการดำเนินงานแห่งองค์พระโพธิสัตว์แห่งสยาม ผู้ที่จะสืบต่อพระพุทธศาสนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย ก็คือ มนุษย์ในยุคปัจจุบันให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้มาทำการโปรดสัตว์ อยู่ ณ สำนักปู่สวรรค์นี้

สภาวะบารมีของพระโพธิสัตว์ย่อมสามารถที่จะแผ่พลังช่วยได้ทุกรูปทุกนาม ตั้งแต่พรหม เทพ ยม จนถึงมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็ได้มาปรึกษาว่า ให้หลวงปู่นำเข้าสู่ที่ประชุมของโลกวิญญาณ โดยที่เขาจะใช้ร่างนี้เป็นร่างเป็นสื่อในการทำงาน เพื่อใช้กรรมวิบากนั้น

ในจุดสำคัญ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ว่า อาตมามานี้ หลวงปู่มานี้ มาด้วยอาสวักขยญาณ การมาด้วยอาสวักขยญาณนั้นคือ การไม่รับรู้ในสิ่งใดๆ ของมนุษย์ นอกจากมนุษย์นั้นจะส่งกระแสจิตเข้ามา เพราะอะไร เพราะการมาโลกมนุษย์นี้ เสี่ยงต่อการเกิด


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์ที่หนาไปด้วยกิเลสทั้งนั้น เรียกว่า มีแต่อยากจะเอาอย่างเดียว ไม่ยอมให้คนอื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางอย่าง บางคนไปหาเทพพรหมนั้น เทพพรหมบอกว่า สิ่งนี้ช่วยไม่ได้ ต้องเป็นไปตามภาวะกรรม มันก็อ้อนวอนอยู่นั้น

ทีนี้ พวกเทวดานี่มันเผลอ แต่ขรัวโตไม่เผลอง่ายๆ มันก็ยอมช่วย เมื่อยอมลงไป โลกวิญญาณเขามีมติ เขารู้ด้วยทิพยอำนาจ ทุกคนอยู่ด้วยความจริง ไม่มีการโกหกได้ ในที่ประชุมก็รู้ว่า อ้อ...เทพองค์นี้ได้บังอาจทำเกินขอบเขต ก็คือ เป็นพระไม่รักษาตนอยู่ในศีลห้าบริสุทธิ์ เที่ยวบอกชาวบ้านว่ารักษาศีล ๒๒๗ โลกวิญญาณเขามีกฎ กรรมอันนี้ย่อมวิบากเข้าสู่บุคคลที่ช่วย

เพราะฉะนั้น เขารู้ว่าบารมีพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อ สะสมมาเป็นเวลานานกัปๆ กัลป์ๆ ในการอธิษฐานจิตนี้ ในสภาวการณ์ซึ่งได้มาพบเวลานี้ ก็สามารถที่จะช่วยในการเจรจาสันติ เพื่อในการผ่อนโทษของเขา ก็คือยินยอมให้เขามาใช้ร่างนี้ เพื่อถ่ายกรรมวิบากนั้น นี่คือแปลย่อๆ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

S__31309826.1.jpg


ตอนที่ ๑๗

ใบโพธิสัตว์



เทวะประจำใบโพธิสัตว์


สำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างสันติสุข พ้นจากโรคาพยาธิ และการทำงานเหล่านี้ เมื่อองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ท่านเสด็จมาโปรดสัตว์ มีมนุษย์ได้ขอให้หลวงปู่ช่วยแก้ทุกข์ทางฆราวาสวิสัย อันเป็นการไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องควบคุมอารมณ์ของท่าน จะเกี่ยวข้องทางโลกมากนักไม่ได้

องค์อมรินทร์จึงถวายเทวดาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยสร้างใบโพธิสัตว์ขึ้น ผู้อัญเชิญใบโพธิสัตว์ไปบูชา ย่อมมีเทวดา ๑ องค์ ติดตามคุ้มครอง เมื่อมนุษย์อธิษฐานขอเทวดา ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ ท่านก็รายงานหลวงปู่ หลวงปู่ก็พิจารณาและสั่งการช่วยเหลือต่อไป ซึ่งไม่เหนือกฎแห่งกรรม

pngegg.5.3.1.png




บูชาเทวะใบโพธิ์มีแต่คุณไม่มีโทษ


(วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สานุศิษย์ : คือหลังจากไฟไหม้แล้วนี่ ผมไม่ได้บูชาใบโพธิสัตว์เป็นเวลาหลายเดือนเลยครับ แล้วเวลานี้ ผมกลับมาบูชาใหม่ ใบโพธิสัตว์ยังมีเทวดาอยู่ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ย่อมมีอยู่เสมอ เทวะที่กำหนดมานั้น เป็นการกำหนดมาทำงานกับโลกมนุษย์โดยเฉพาะ และในการบูชานั้น โลกวิญญาณเขาทรงไว้ด้วยความยุติธรรม เขาไม่มีการลงโทษหรอก ไอ้พวกที่ลงโทษ มันพวกบ้าๆ บอๆ

คือ ในสภาวะผู้สำเร็จนั้น ทรงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม ว่าการปฏิบัติ มนุษย์มีภารกิจอันใดที่ปฏิบัติไม่ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เชิญใบโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องมีอุปาทานแห่งความกลัว ว่าไม่ได้บูชาแล้วจะได้โทษ และการบูชานั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง ใช้หลักแห่งกระแสจิต


ธรรมะอันแท้จริง คือ จิตถึงก็ถึง ให้บูชาด้วยจิตและวิญญาณ ไม่ใช่บูชาด้วยวัตถุ เกิดจากพวกเกจิอาจารย์ทั้งหลายรุ่นหลังๆ ได้ทำกัน ซึ่งเป็นการทำลายวิถีการอันบริสุทธิ์ขององค์สมณโคดม

ฉะนั้น การตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ ก็เพื่อขัดเกลาในหลักแห่งการที่มนุษย์ยึดมั่นในวัตถุ ให้พยายามวิวัฒนาการตนไปสู่หลักแห่งความบริสุทธิ์ของจิต เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : เข้าใจครับ


สมเด็จ :  “ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นถึงธรรม ผู้นั้นก็รู้ว่าธรรมคืออะไร” เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลก เราควรจะ ควรมีสติปฏิบัติตน คือ

๑. การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ควรมีสติสัมปชัญญะพร้อมคุ้มตน


๒. อย่าตื่นตูมในการกล่าวของการฟังมาใดๆ ทั้งสิ้น


๓. เมื่อรับฟังแล้ว เราพิจารณาไตร่ตรอง แล้วค่อยเชื่อ ว่าสิ่งนี้จริง สิ่งนั้นไม่จริง


ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด เราจะต้องเอาตนไปพัวพันกับสิ่งนั้น และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น ค่อยลงความเห็น

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สอนอยู่ เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้แต่อาตมานี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าหลักความพิจารณาของธรรมชาติมันมีกฎของมันอยู่ และอาตมาก็เดินตามรอยองค์สมณโคดม


คือว่า องค์สมณโคดมไม่มีการผูกขาดในธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งยอดเยี่ยมของธรรมชาติ ที่ผู้ที่เป็นคนแห่งการมาใช้กรรมในการมีสังขารอยู่นี้ จิตและวิญญาณมาใช้กรรมมาสะสมกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมในปัจจุบันชาติ คือหลักอันนี่แหล่ จึงยืนอยู่แห่งการศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ และทุกวันนี้เป็นจุดแห่งการที่มนุษย์ยุคนี้ สนใจหลักแห่งความจริงของศาสนาพุทธ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-29 21:35 , Processed in 0.071080 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.