แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

3.png



ตอนที่ ๑

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ทรงกล่าวถึง

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์



IMG_6520.2.jpg




กำเนิดสำนักปู่สวรรค์


(วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘)



อังคารที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘ วันนี้เป็นวันทำพิธีตั้งสำนัก โดยใช้ชื่อสำนักว่า “สำนักปู่สวรรค์” ซึ่งเป็นชื่อที่องค์หลวงปู่ทวด ตั้งขึ้นตามมติของสามโลก

สำนักนี้ตั้งขึ้น เพื่อรับสถานการณ์ของโลกซึ่งกำลังย่างเข้าสู่กลียุค เพื่อช่วยมนุษยโลก โปรดสัตว์ รักษาผู้เจ็บป่วยด้วยโรคาพยาธิทุกชนิด เป็นการเจริญรอยตามพุทธพจน์ดำรัสว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” และเพื่อเป็นที่เผยแผ่สัจธรรมอันประเสริฐและแท้จริง เจริญรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

pngegg.5.3.1.png



พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยาม


(วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒)



มื่อภาวการณ์นั้นแหล่ เกิดความยุ่งเหยิงในการทั้งหลาย องค์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม ที่มนุษย์สมมติตั้งเป็นฉายา ถ้าว่าตามหลักแห่งการนามจริง ก็คือ พระภิกษุปูคูรูปาจารย์แห่งสมัยนั้น ในการเป็นสังฆราชในราชวงศ์ของเจ้าอู่ทอง ณ กรุงศรีอโยธยา

ได้ตั้งสัจอธิษฐานให้ทั้ง ๓ โลก เข้าใจว่า หลังจากยุคแห่งศรีอริยเมตไตรยจุติมาในโลกมนุษย์ เพื่อสืบต่อศาสนาขององค์สมณโคดมแล้วไซร้

ผู้ที่ปรารถนาแห่งการเป็นพุทธะแห่งยุค สืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรย ก็คือ พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามได้อธิษฐานก่อนคนอื่น

ในภาวการณ์เช่นนี้ ในการที่จะสร้างอาณาจักรแห่งการเป็นพุทธะสืบต่อแล้ว การจะเป็นเจ้ากรุงครองเมือง จำเป็นที่จะต้องมีประชาชนให้ปกครอง ถึงจะได้เป็นเจ้า ถ้าอยู่คนเดียวแล้วจะไปเป็นเจ้าอะไร เมื่อภาวการณ์นี่แหล่ จึงว่า สภาวการณ์เช่นนี้ ควรจะทำ ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการ

หนึ่ง เพื่อบำบัดทุกข์ในด้านของกายและใจในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้


สอง เพื่อหาสาวกแห่งการสืบต่อแห่งการที่จะเป็นผู้นำศาสนาของยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย

เพราะฉะนั้น ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการบรรจุเทพพรหมทั้งหลายที่จะมาร่วมมาปฏิบัติในที่นี้ ก็คือมาในรูปของการที่ว่า ผู้ถวายตัวเป็นศิษย์จะได้เทวดาในปัจจุบันชาติไปคุ้มครองหนึ่งองค์ อนาคตชาติยุคศรีอริยเมตไตรย อาจจะมาเกิดในยุคนั้นด้วยกัน ยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามผู้นั้นก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ต้องจำเอาไว้ว่า ในยุคแห่งศาสดายุคนั้น ไม่ใช่เกิดในกรุงสยาม

ทีนี้ภาวการณ์ทั้งหลาย ในหลักแห่งความจริง อาตมานี้เป็นผู้ที่เรียกว่า แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่มีสังขารถึงเวลานี้เหลือแต่จิตวิญญาณที่อยู่ในรูปพรหมชั้นที่ ๑๖ ตาม
หลักอาตมาจะเข้าอรูปพรหมแล้ว แต่อาตมายังไม่เข้า เพราะยังมีกิเลสที่ห่วงในเหล่ามนุษยชาติทั้งหลายที่มีกรรมหนาอยู่และห่วงใยสายใยแห่งการครองเมืองของอาตมาด้วย

ภาวการณ์อันนี้แหล่ อาตมาจึงได้อาสาเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ โดยรับอาสาเป็นผู้เทศน์ธรรมะในการเพื่อขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ แต่ในการมาสำนักนี้แล้ว เทศน์ไปมากแล้ว หาคนปฏิบัติจริงในยุคนี้ยากเต็มทน พอจะเข้าใจไหม มีอะไรอีกไหม

pngegg.5.3.2.png



ประธานดูแลโลกมนุษย์


(วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



เวลานี้เขาเรียกว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการติดต่อถึงจดหมายแห่งห้องรวมกรรมของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก ก็มีหลวงปู่ทวดแห่งกรุงสยาม ในขณะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อาวุธโสที่กำลังเตรียมตนเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ได้ตั้งความปรารถนาแห่งความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคมาเป็นกัปๆ กัลป์ๆ


ในขณะนี้ ได้รับคัดเลือกจากแดนโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระโพธิสัตว์สิบหมื่นแปดพันสี่ร้อยสามสิบองค์ในขณะนี้ ให้เป็นประธานดูแลความทุกข์สุขในโลกมนุษย์ในยุคกลียุคแห่งยุคกลางนี้ ยุคปลายจะเปลี่ยน แล้วก็เป็นการเตรียมตนแห่งการเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

เพราะฉะนั้น โลกวิญญาณมีกฎ มีระเบียบของการอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งที่มนุษย์ไม่ศึกษา ไม่ค้น ไม่ปฏิบัติ แล้วมักจะปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเสมือนหนึ่งคนที่ไม่ยอมเข้าไปดูว่า ในโรงงานที่เขาทำน้ำตาลนั้น มีน้ำตาลอยู่อย่างไร อยู่ข้างนอกแล้วก็วิจารณ์แต่เรื่องน้ำตาล ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนสันดานมนุษย์ในยุคนี้

pngegg.5.3.3.png



พระโพธิสัตว์แห่งยุค


(วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



ทำไมอาตมาจึงใช้คำว่า พระโพธิสัตว์แห่งยุค เพราะว่าในขณะนี้ พระโพธิสัตว์ที่มาเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์มากที่สุด ก็คือ หลวงปู่ทวด ซึ่งขณะนี้ได้รับเป็นผู้ดูแลความทุกข์สุขของมนุษย์ในยุคแห่งกลียุคกลางนี้


พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยนั้น มีแต่กำลังเตรียมฌานญาณในการที่จะจุติมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลที่จะถึง หลังจากพุทธศาสนาของศากยราชโคตมะสิ้นสุด

p4.png



งานปรับปรุงศาสนา


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของอาตมานี้ อย่าลืม หลวงปู่ก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่มาแค่รักษาโรค มาแค่เทศน์เท่านั้น การรักษาโรคนั้น พรหมธรรมดา เทพธรรมดา เขาก็รักษาโรคได้ ซึ่งท่านก็รู้เห็นมีกันอยู่มากมาย แต่การมานี้ มีหลักในการทำงาน คือ มาเพื่อปรับปรุงพระศาสนาให้ดีขึ้น เพื่อให้มนุษย์เข้าถึงซึ้งในแก่นของศาสนา ไม่ใช่เพียงกระพี้ของศาสนาในทุกวันนี้

....สมองอย่างอาตมาก็ดี สมองอย่างหลวงปู่ก็ดี ล้วนแต่เคยกู้ความอยู่รอดของประเทศมาแล้วทั้งนั้น ยุคอโยธยาหลวงปู่ได้ช่วยแก่ปริศนาธรรมที่ประเทศลังกาเอามา เพื่อจะมายึดครอง

p5.png



งานเพื่ออนาคต


(วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของสำนักปู่สวรรค์นั้น ไม่ใช่งานเพื่อปัจจุบัน งานของสำนักปู่สวรรค์เป็นงานเพื่ออนาคต คือเมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๓,๐๐๐ ปี มนุษย์ในยุคนั้นจะมาศึกษาเรื่องสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ทำเป็นหลักฐานทิ้งร่องรอยเอาไว้กระจายให้ทั่ว เพื่ออนุชนรุ่นหลังที่จะค้นคว้าศึกษาจะได้ง่าย นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ

ข้อความเหล่านี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

ทิ้งสังขารสู่พรหมโลก


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : เสด็จพ่อ เวลาอยู่บนสวรรค์ เป็นสมณะหรือเป็นเทวดา หรือเป็นเทพ

สมเด็จ : คือในการบำเพ็ญตนอยู่ในพรหมโลกขณะนี้ กระแสถ้าว่าตามหลักแล้ว เขาเรียกว่า รูปพรหม ทีนี้อนุสัยแห่งความมีอยู่ในฉันทะแห่งการครองตนเป็นเพศสมณะ ยังติดแฝงอยู่ในอนุสัยแห่งสันดานของจิตวิญญาณนั้น

ในการบำเพ็ญในโลกวิญญาณนั้น เขามีวิถีการว่า ผู้ทิ้งร่างจากโลกมนุษย์ในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่พรหมโลก หรือในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่เทวโลก ระหว่างนั้นกำลังเสวยกุศลอะไรในภาวะที่มาเป็นเทพ กำลังขึ้นจากโลกมนุษย์มาสู่โลกวิญญาณนั้นมาในกระแสฌานอะไร เป็นพรหมอะไร และระหว่างเป็นพรหมนั้น อย่าลืม เป็นพรหมก็บำเพ็ญในโลกวิญญาณได้ โลกวิญญาณเขามีที่จะให้บำเพ็ญซอยเข้าไป

อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า ในการที่จะซอยเข้าไปในการเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ในการที่จะบำเพ็ญจากพรหมไปสู่แดนอรหันต์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิ หรือสู่แนวพระโพธิสัตว์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล นั่นคือภาวการณ์และความฉันทะของผู้สำเร็จองค์นั้นๆ หรือว่าวิญญาณนั้นๆ ที่ขึ้นมา และอยู่ในวิบากอะไรขนาดไหน มีกุศลในอดีตส่งเพียงพอหรือไม่ ที่จะบำเพ็ญไปสู่ในจุดในแนวนั้นได้ ตามความปรารถนาในฉันทะของจิต

คุณหญิงระเบียบ : ห่มผ้ากาสาวพัสตร์หรือเปล่าคะ ในพรหมโลก

สมเด็จ : ในพรหมโลกนั้น จะครองก็ได้ ไม่ครองก็ได้ เพราะว่าเขาครองด้วยอำนาจทิพย์ เวลานี้จะครองชุดกาสาวพัสตร์ ใช้กระแสจิตเนรมิตก็ขึ้นสู่ผ้ากาสาวพัสตร์ ในขณะที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์นั้นรู้สึกร้อน ขรัวโตนี้อยากจะครองชุดวันเกิดขึ้นมา ก็ละเลยมันไป

คุณหญิงระเบียบ : มีเพศหรือเปล่าคะ

สมเด็จ : ในเพศนั้น ถ้าอยู่ในเทวโลกชั้นที่ ๑-๕ ยังมีการแบ่งเพศของกิเลสจากของเทพ ถ้าอยู่ในพรหมโลก เลยพรหมชั้นที่ ๖ ไปแล้ว จะไม่มีการแบ่งเพศในขณะนั้น เพราะว่าพรหมเพิ่งขึ้นสู่การเป็นรูปพรหม ที่เลยจากรูปพรหมชั้นที่ ๖ ไปนั้น อยู่ในภาวะที่เป็นพรหมละลายกิเลสชั้นหยาบลงไปได้มากเพียงพอ แต่ไม่หมด เจออาจารย์อภิธรรมต้องอมภูมิหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : อยากจะเรียนถามว่า สมเด็จพ่อได้ฌานมีองค์เท่าไหร่ องค์ฌานน่ะ

สมเด็จ : ในภาวะฌานนั้น ท่านจะเอาฌานไหน ตติยฌาน ๓ จตุตถฌาน ๔ แล้วไปในด้านอภิญญา ในหลักแห่งความจริง ก็คือว่า ได้ฌาน แต่ไม่ยึดฌาน ไม่ติดฌาน และไม่อวดฌาน เพราะว่าซักแบบนี้ เขาเรียกว่า ซักแบบทนายความเอาจนมุม จะเข้าในกฎผิดพระวินัย บอกว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้วิเศษเว้ย

คุณหญิงระเบียบ : ไม่ได้ซักแบบนั้นเจ้าค่ะ ถามเพื่อจะให้ทราบว่า เสด็จพ่อได้ฌานอะไร มีองค์เท่าไหร่

สมเด็จ : ได้องค์ฌาน ในตติยฌาน ขึ้นสู่อภิญญา ๔ ภาวการณ์บำเพ็ญในจุดเพื่อสิ้นอาสวกิเลส ที่แฝงอยู่ในกายในกาย

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ ความสุขมีไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ภาวะแห่งความสุขนั้น ท่านถึงตติยฌาน จิตของท่านย่อมนิ่งสุข ยิ้มผ่องใสอยู่ในองค์ฌานนั้น สภาพการณ์ถ้าวันไหนองค์ฌานท่านไม่รักษาให้แข็งแกร่ง เกิดตกลงมา ภาวะแห่งความอยากมันก็จะเกิด แล้วไปๆ มาๆ มันก็อยากจะกินหมากขึ้นมาอีก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

ปราชญ์เหนือปราชญ์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



อยากจะเป็นอาจารย์ต้องเลิกติดหมาก



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : การกินหมากนี่ เสด็จพ่อว่า ผิดศีลหรือผิดธรรมในวินัยบทไหนเจ้าคะ (คุณหญิงระเบียบ เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ท่านติดการกินหมาก)

สมเด็จ : ในวินัยเขาเรียกว่า การเป็นพระสงฆ์ต้องอย่าติด การเป็นนักพรตต้องอย่าหลง การเป็นอาจารย์ต้องทำให้เขาดู เพราะอะไรเล่า เพราะว่าถ้าในด้านของคำว่า สัมมาอาชีวะ ในเรื่องของคำว่า เอกสิทธิ์หรือเสรีภาพแล้ว มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความคิด มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเดิน มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเคี้ยวนะ กูจะเคี้ยวแบบไหนก็ได้ นี่ว่าตามหลักของคำว่า เสรีภาพแห่งการเป็นมนุษย์

ทีนี้ในหลักของคำว่า ศีล นั้น ศีลเป็นบันไดขั้นต้นที่จะให้คนเราทำในกรรมดี คือละเว้นในสิ่งที่คิด เพราะฉะนั้นในการติดหมากนี้ก็ไม่พ้นในศีล ๕ ก็คือว่า ยังมีการติดในสิ่งที่สมมติว่าเป็นสิ่งขมหวาน เป็นสิ่งที่เคี้ยวแล้วมันจะอร่อย นี่คือพลังแห่งความอยู่ในศีล ไม่ได้อยู่ในธรรม คือ สภาพของธรรมแล้ว ถ้ากรรมวิบากของกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความดี อกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความชั่ว

เพราะว่า ถ้าจะให้อธิบายในหลักของคำว่า เสรีภาพของการเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ผิด แต่ถ้าใช้หลักคำว่า ศีลแล้ว ก็คือว่ายังมีการติดในสิ่งสมมติในความเคี้ยว เคี้ยวเพื่ออะไร

คุณหญิงระเบียบ : ในมโนทุจริต วจีทุจริต หรือกายทุจริตเจ้าคะ

สมเด็จ : อันนี้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ๓ กรรมพร้อมเป็นองค์กรรม

คุณหญิงระเบียบ : กินหมากนี่อยู่ในกรรมไหน

สมเด็จ : อันนี้อยู่ในภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าในหลักของทุจริตแล้ว ไม่มีทุจริต แต่มีความอยากทุจริตของกรรมน้อยๆ อันนี้เขาเรียกว่า กรรมบาง ทีนี้กรรมบางจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องประกอบด้วยองค์กรรม ๓ คือ

เกิดจากมโนกรรม มโนกรรมแห่งจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่น เกิดความอยาก เมื่อความอยากเกิดขึ้นมา ก็เกิดความอยากจะได้ จึงหลุดออกมาทางวจีกรรม ถ้าเอ็ง ก็จะบอกว่า “แม่อีหนูเอ๊ย เอ็งเอาหมากมาให้กูกินคำซิวะ” นี่ออกมาทางวจีกรรม คือมันต้องคิดก่อน ถึงจะมาวจีกรรม เมื่อวจีกรรม มาถึงก็ตำใหญ่ๆ ก็กลายเป็นกายกรรม ตำเสร็จก็ยัดเข้าปาก เคี้ยวอุบๆ นี่เข้าสู่กายกรรม เพราะฉะนั้น องค์กรรมที่จะครบ ต้องเกิดจากมโนกรรม

คุณหญิงระเบียบ : ที่ลูกถามนี่ หมายถึงกรรมที่เป็นทุจริตนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : กรรมอันนี้ ถ้าเข้าสู่ในหลักการปฏิบัติในทางละ ก็เรียกว่าเป็นทุจริตกรรม ทุจริตกรรมในหลักของคำว่า ยังอยากสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นสิ่งสมมติ ไม่สมควรที่จะติด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าของของโลก เราต้องรักษาให้โลกเขา ปัจจัยเขาหามาด้วยหยาดเหงื่อ แต่หามาเสร็จ ลงมาอยู่ในพลูหมาก นี่เขาเรียกว่า ทุจริตต่อโลก สิ่งของโลกที่เราควรจะละได้

คุณหญิงระเบียบ : มโนกรรมมีอะไรเจ้าคะ เสด็จพ่อว่า ลูกมีมโนกรรม แล้วออกมาเป็นวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมนี่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : มโนกรรมนี่ คือว่า ทุกอย่างจะต้องเกิดจากการสำนึกของอายตนะภายใน คือต้องมีความคิด มีความอยากขึ้นในมโนยิทธิของตน แบบในการบำเพ็ญฌานก็ต้องตั้งมโนของจิต ให้อยู่ในหลักแห่งการที่จะเอาอะไรเป็นสรณะ จะเอาพุทโธเป็นสรณะ จะเอาธัมโมเป็นสรณะ ต้องตั้งสติของมโนแห่งความยึดขึ้น เพราะฉะนั้น มโนอันนี้หมายความว่า มโนจากอนุสัย เขาเรียกว่า ธรรมชาติของจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่นในความเคยชินให้แล่นขึ้นสู่ทางสมอง ให้คิดอยากจะเคี้ยวหมาก

คุณหญิงระเบียบ : ไม่มีในกายกรรม ๓ นี่ เสด็จพ่อ วจีกรรม ๔ ก็ไม่มี มโนกรรม ๓ ก็ไม่เข้า แล้วจะมาว่าอะไรลูก

สมเด็จ : ทำไมจะไม่เข้า คือ ถ้าไม่คิดแล้วมันย่อมไม่มีอยาก เมื่อมีอยากก็ย่อมมีการพูด เมื่อพูดก็ย่อมมีการตำ เมื่อตำแล้วก็ย่อมมีการเคี้ยว อย่างนี้ไม่เข้าสู่หลักแห่งองค์กรรม ก็เจริญพร พระเจ้าค่ะ ช่วยอธิบายหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : ผู้ที่หมดอยาก ได้แก่บุคคลชนิดใดเจ้าคะ

สมเด็จ : ผู้ที่มีหลักแห่งความหมดอยากในกิเลสแห่งความสิ้นแล้ว ต้องสำเร็จอนาคามิมรรคอย่างต่ำ ขึ้นถึงอรหัตผล แต่ถ้ายังเป็นโสดาปัตติมรรคแล้ว ยังมีความอยาก ยังมีความอยากเสพกามเป็นบางครั้งบางคราว

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ เสด็จพ่อจะให้ลูกหมดความอยาก จะไม่ให้ลูกมีความอยากหมาก ลูกก็ถามแล้วว่า คนที่ไม่มีความอยากน่ะ ได้แก่ใคร แล้วเสด็จพ่อจะตั้งให้ลูกเป็นอะไรเพคะ

สมเด็จ : ก็พยายามฝึกซิ มนุษย์เราทุกคนนี่ เกิดมาเพราะกรรมในอดีต

บัดนี้ เป็นเวลามหาอุดมมงคล ที่ทายกทายิกา เหล่าสีกามนุษย์ได้มารวมพร้อมกันในทีนี้ เพื่อฟังในหลักธรรมของคำว่า “ละ” มนุษย์เรานั้น เกิดจากกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาวะกรรมของตนนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำ อดีตกรรมส่งผลมาให้ปัจจุบันกรรม ปัจจุบันกรรมนำผลสู่อนาคตกาล จะทำอย่างไรเล่า จะให้เราสิ้นจากอาสวะ เพื่อหลุดพ้นในกฎแห่งวัฏฏะในกรรม

ทีนี้ มาถามว่าจะตั้งให้เป็นอะไรนั้น มนุษย์เรานั้นต้องมีความหวังเป็นสรณะ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะตั้งในความปรารถนา หวังพระนิพพานเป็นจุดแรกของมนุษย์ในการเป็นคน

คุณหญิงระเบียบ : ลูกทูลถามเสด็จพ่อเมื่อกี้ เสด็จพ่อว่า ลูกมาถามเพื่ออวดให้ใครๆ เห็นว่าเก่ง ก็แสดงว่า เสด็จพ่อรังเกียจ แล้วทีหลังลูกจะไม่ถาม เพราะพอถามแล้ว จะกลายเป็นอวดเก่งไป ลูกจะไม่ถามเสด็จพ่ออีก

สมเด็จ : คือไม่ใช่บอกว่าอวดดี เราถามว่า จะตั้งให้เป็นอะไร เราก็ตั้งความหวังว่า เรานี้จะสำเร็จเป็นอริยมรรค อริยผลแห่งพระนิพพาน นั้นคือความหวัง ทีนี้ ในเรื่องที่จะให้ละเรื่องกินหมากนี้ มันต้องอยู่ที่ตัวเองว่า ตัวเรานี้จะต้องปรับปรุงตัวเราเอง

แบบเสมือนหนึ่ง องค์สมณโคดมว่า “ถ้าท่านไม่บำเพ็ญตน ตถาคตก็ช่วยให้ท่านสำเร็จอรหันต์ไม่ได้ การที่จะสำเร็จถึงพุทธะแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของกระแสจิตนั้น ต้องอยู่ที่ท่านช่วยตัวท่านเองด้วย ตถาคตมีแต่แผนผังให้ท่าน ตถาคตทิ้งเรือให้ท่าน”

ทุกวันนี้ โลกมนุษย์มีแต่คนพูดแต่เรือองค์สมณโคดม แต่ไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปในเรือองค์สมณโคดม ก็ย่อมไม่ถึงฝั่ง ฉันใดก็ฉันนั้น ฉะนั้นในฐานะที่เรียกว่า เมื่ออดีตเคยมีกรรมพัวพันกันมา ปัจจุบันมาเจอกัน พ่ออยู่พรหมโลก ลูกยังเป็นมนุษย์เดินเคี้ยวหมาก มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ว่า

“ลูกเอ๋ย ควรจะยุติเรื่องปริยัติ หันมาปฏิบัติกันดีกว่า เพราะว่าในการปริยัตินี้ พ่อทำมาก่อนแล้ว”

ตัวต้องปรับปรุงตน ให้ตนเหนือตน แล้วจะรู้จักการเป็นคน หลักแห่งความจริง ทำไมหลวงปู่จึงเข้าป่า หนีการเป็นสังฆราชในอโยธยา ถ้าว่าตามหลักแล้ว หลวงปู่ทวดนี้ หรือว่าพระภิกษุปูนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ในทางไสยศาสตร์หาตัวจับยากในอโยธยา ต่อมาได้ศึกษา ได้ค้นเข้าไปว่า


เมื่อภาวนาการณ์ ครั้งหนึ่งมีการพบกันของเหล่ามุนีในการบำเพ็ญ ได้มีมุนีองค์หนึ่ง ได้ถามมุนีอีกองค์หนึ่งว่า ท่านนี้หรือที่เขาเรียกว่าสำเร็จ เป็นผู้มีฌานญาณแห่งความรู้ในทางธรรม มุนีองค์นั้นได้ตอบคำถามของมุนีฝ่ายตรงข้ามด้วยความนั่งนิ่ง บอกว่า นี่คือคำตอบ

ภาวการณ์อันนี้ องค์หลวงปู่ก็ได้ศึกษา ได้ค้นว่า ในความนิ่งจะต้องมีธรรมชาติอันหนึ่งเหนือความนิ่ง ที่เป็นปัจจัตตัง หรือเรียกว่า อาตมัน ก็ได้ทำการหันเข้าสู่ในจุดแห่งการบำเพ็ญธรรมฌาน จึงได้ในด้านของฌานญาณมาก ได้บำเพ็ญในการที่จะปรารถนาในการเป็นพุทธะแห่งยุค

เวลานี้เอ็งก็สอน กูก็สอน เอ็งก็ไปไม่ถึง กูก็เลยไปไม่ถึงด้วย มันก็ว่ากันไปอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในหลักแห่งความจริงที่มาเทศน์ในครั้งนี้ มาในฐานะมีหน้าที่ที่เขามอบหมายมา ให้มาช่วยในการทำงาน เพื่อให้ลุล่วงตามเป้าหมายของโลกวิญญาณที่วางไว้

เพราะฉะนั้น เราเป็นอาจารย์สอนธรรมะ ถ้ามีความน้อยใจ มันจะไปถึงธรรมได้อย่างไร

คุณหญิงระเบียบ : ก็น้อยใจไม่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะ แต่ว่าถ้าที่ไหนรังเกียจ ไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นการไม่ให้เขาเกิดกิเลส เราก็หลีกเลี่ยงไปเสีย

สมเด็จ : ความรังเกียจย่อมไม่มีอยู่ในจิตของอาตมา ภาวนาการณ์มีแต่สอนให้รู้จักการเป็นตัวตน สภาพการณ์ถ้าท่านติดความรังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความไม่รังเกียจ ถ้าท่านติดความไม่รังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความรังเกียจ เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมจึงพยายามสอนว่า “อานนท์ เจ้าจงอย่าติดตถาคตเถิด แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะถึงตถาคต”

pngegg.5.3.1.png



วิญญาณของโลกวิญญาณ



คุณหญิงระเบียบ : ลูกจะถามเรื่องว่า เสด็จพ่อพูดถึงโลกวิญญาณบ่อยๆ โลกวิญญาณน่ะ มีวิญญาณอย่างเดียวหรือเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในภาวะคำว่า วิญญาณ นี้ เป็นการครอบงำของจักรวาลพิภพ วิญญาณนั้นเขาแบ่งเป็นกระแสของวิญญาณ แห่งเทพ แห่งพรหมนั้น ละลายในกายหยาบหรือยัง มีกายทิพย์หรือเปล่า ละลายกายทิพย์เหลือแต่จิตวิญญาณหรือเปล่า เพราะมันมีกฎความจริงของธรรมชาติอันหนึ่งเขาเรียกว่า สุญญากาศ

สูญ ในตัวนี้ไม่ใช่สูญเปล่า สูญเขาเรียกว่า สูญของอาตมันแห่งความรวมของกระแสจิตและวิญญาณ สู่ในแนวแห่งความว่างแห่งสรรพ เขาเรียกว่า วิญญาณนั้นห่างกิเลสจากกิเลส สิ้นจากอาสวฌาน รวมตนเป็นสูญอันนั้น เป็นสูญที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องย้อนเขาพุทธพจน์แห่งองค์สมณโคดมว่า

“ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต
ผู้ใดถึงธรรม      ผู้นั้นถึงตถาคต”


ถ้าถึงจุดแห่งความรู้บริสุทธิ์นี้ อธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ง่าย และคำว่าวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลออแห่งความถี่ยิบของเขา เรียกว่ายิ่งกว่าน้ำนั้น เป็นภาษาที่พูดไปแล้ว องค์สมณโคดมเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค คงไม่ทิ้งท้ายในพุทธพจน์อันนี้

เพราะฉะนั้น จึงว่าวิญญาณนี้ วิญญาณของโลกวิญญาณ เขามีพรหมโลก เทวโลก ยมโลก นรกโลก ต่างก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง วิญญาณเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ มนุษย์จะเกิดก็ต้องอาศัยวิญญาณของตน เขาเรียกว่า วิญญาณอดีตผสมวิญญาณปัจจุบันของการก่อกรรม เพื่อให้ปฏิสนธิกลายเป็นคน

อันนี้ต้องไปฟังที่อาตมาเทศน์ไว้ เรื่องคำว่า ทำไมจึงเกิดมาลืมอดีตชาติ ที่เทศน์ไว้มีแยะ และจะให้ท่านในเรื่องรายละเอียดของเรื่องวิญญาณนี้ ก็ต้องมาศึกษาที่เทศน์ไว้ก่อน แล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอาตมานี้มีเวลาจำกัด แล้วก็ไม่มีเวลาที่จะมาเทศน์ย้อนกลับไป ย้อนกลับมา เขาเรียกว่า เทศน์ในปัญหาที่คนไม่ถาม เพื่อทิ้งอนุสรณ์เพื่อคนรุ่นหลัง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

อาณาจักรพระโพธิสัตว์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : อย่างเสด็จพ่อนี้ จะต้องจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีกไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ความปรารถนาตั้งใจจะเกิดร่วมในการประกาศสัจธรรมยุคเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรย

คุณหญิงระเบียบ : เวลานี้ เสด็จพ่อก็อยู่บน คอยลงมาพร้อมกับพระศรีอริยเมตไตรยใช่ไหมคะ

สมเด็จ : เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด เวลานี้ที่มานี้ ก็เพราะว่า ในขณะนี้โลกมนุษย์อยู่ในยุคแห่งกลียุค ในยุคแห่งกลียุคนี้ จิตใจของสัตวโลกยุคนี้เสื่อม ในภาวะแห่งการเสื่อมนั้นแหล่ โลกวิญญาณเขามีมติให้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์

ทีนี้ ในการที่จะตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์นี้ เขาต้องตรวจว่า มีพระโพธิสัตว์อาวุโสองค์ไหนที่ปรารถนาพุทธภูมิ แห่งการที่จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค สืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ก็ได้ตรวจไปตรวจมาค้นในแดนโพธิสัตว์ ได้พบว่า พระโพธิสัตว์อาวุโสแห่งสยามที่สำเร็จในยุคนั้น ยุคอโยธยา ได้ตั้งความปรารถนาไว้แน่วแน่มาหลายกัปหลายกัลป์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิแห่งการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

ทีนี้ เมื่อมีตัวตนในการทำงานแล้ว ก็หาร่างที่เป็นมนุษย์ที่มีกรรมพัวพันในอดีตอย่างลึกซึ้งมาใช้งาน ก็ได้ค้นพบเด็กสับปะรังเคคนหนึ่งที่อยู่ในแดนสยาม ภาวการณ์ก็คือว่า เมื่อม้าในแดนมนุษย์ก็มี วิญญาณที่จะทำงานก็มี ก็ควรจะทำงานได้ ณ บัดนั้น

ภาวะแห่งการที่ไม่เคยมาโลกมนุษย์นานๆ ก็เห็นไม่ไหว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่นั้น ตั้งแต่หนีจากการเป็นสังฆราชไปอยู่ป่า อนุสัยแห่งการบำเพ็ญฌานญาณจนนิ่งในปัจจุบันฌาน เพราะฉะนั้นมาก็นิ่งๆ ไม่สนใคร ใครจะว่าอะไรก็ไม่รู้ พูดคำก็ตอบคำ

เทวดาทั้งหลายเขาก็ประชุมกันว่า ถ้าเป็นแบบนั้น สำนักปู่สวรรค์ก็คงจะตั้งในโลกมนุษย์ไม่คงทนถาวร ลองตรวจซิว่า ในโลกวิญญาณมีนักฝอยจอมโม้ขนาดไหน มีไหม ตรวจไปตรวจมาก็เจอว่า อ๋อ ขรัวโตบ้าๆ บอๆ แห่งวัดระฆังฯ นี้ สำเร็จมาอยู่พรหมโลกกับเขาด้วย เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะขอท่านโต ลงมาร่วมงานในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยดึงดูดคนให้ติดเอาไว้บ้าง

เพราะว่า ถ้านิ่งเฉยๆ มนุษย์ในยุคนี้ มันเต็มไปด้วยกิเลส ยังมีความติด ยังมีความอยากสวย ยังมีความอยากกินหมาก ยังมีความอยากจะไปโน่นไปนี่ เพราะฉะนั้น ต้องให้ท่านโตลงมา เขาจะมาไม้ไหน ท่านไปได้ไม้นั้น จึงได้มาทำงานร่วมกันในโลกมนุษย์ เพื่อในการเรียกว่า

หนึ่ง เป็นการช่วยสัตวโลกให้พ้นทุกข์เท่าที่จะช่วยได้

สอง เป็นการเพื่อจูงลูกหลานเหลนที่มีกิเลสน้อยเพียงพอ ที่จะเข้าถึงสัจจะแห่งความจริงว่า “ตายแล้วไม่สูญ”

สาม เพื่อในการสร้างอาณาจักรโพธิสัตว์นี้ให้แผ่ไพศาล เพื่ออนาคตกาลยุคพระศรีอริยเมตไตรย จึงจำเป็นต้องมาในรูปวิญญาณ เพราะว่าจะจุติมาเกิดในรูปของการเป็นมนุษย์นั้น กลัวจะโตในด้านของกายเนื้อนี้ไม่ทันเหตุการณ์แห่งกลียุค


และในยุคนี้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้ว รู้สึกจะบำเพ็ญตนกลับไปสู่โลกวิญญาณนั้นยากเต็มที่ เพราะแสงสีศิวิไลซ์ในโลกมนุษย์ในยุคนี้ ก้าวหน้ายิ่งกว่าในยุคใดๆ สมัยอาตมาอยู่วัดระฆังฯ ในสมัยนั้น พระสงฆ์องค์เจ้าอยู่ในความสงบ แล้วผู้ที่จะมานั้น จะต้องมาด้วยความสงบ ไม่ใช่แบบยุคนี้ อย่างคนที่จะมาบางคน อย่างยายชุบชีพ ยังต้องใส่อะไรก็ไม่รู้เว้ย ไม่รู้จัก เพราะไม่เคยใช้ แต่งให้มันเฉิบนะ

คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์ว่าแต่ดิฉันคนเดียว เขาแต่งกันสวยกว่าดิฉันอีก

สมเด็จ : เพราะฉะนั้น ก็เลยดึงอาตมามา อาตมาก็บอกว่า ยังมีพระพรหมองค์หนึ่ง เป็นพรหมที่มีฤทธิ์เดชมาก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระโมคคัลลาน์ในยุคนั้น บำเพ็ญตนเป็นพรหมเอกเทศในด้านฤทธิ์ บางคนมาในทีนี้อาจสงสัยว่า เหตุไฉนจึงไม่นุ่งห่มในชุดพระสงฆ์ เพราะว่าในการนุ่งห่มในชุดพระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งสมมติ การเป็นพระไม่ใช่อยู่ที่ผ้า

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านของการปราบวิญญาณร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์นั้น ถ้าพรหมมา มาในรูปพระสงฆ์แล้ว เต้นไปเต้นมา เดี๋ยวจีวรหลุดหมดนะ เพราะฉะนั้น เพื่อในความสะดวกของทุกฝ่ายในการมาทำงาน จึงให้บัญญัตินุ่งชุดอะไรก็ได้ เมื่อวิญญาณมาทำงาน เพราะว่าเมื่อเราเป็นพรหมที่บำเพ็ญเพื่อจะให้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ย่อมไม่ติดในเรื่องเนื้อหนังมังสา ในสิ่งสมมติในโลกมนุษย์

นี่ถือแถลงไขในความข้องใจของมนุษย์บางคนที่อยู่ในนี้ ไม่ต้องถามก็เทศน์ลงมาก่อน

คุณชุบชีพ นกแก้ว : ถามอีกนิดเถอะเจ้าค่ะ ลูกศิษย์นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมสมเด็จอาจารย์มานั่งค่อนขอดดิฉัน กับอาจารย์คุณหญิงระเบียบนี่ก็ค่อนขอดเพราะกินหมาก คุณชุบชีพก็เรื่องแต่งตัว สมเด็จอาจารย์จะให้ทำอย่างไร ไม่ให้แต่งตัว จะไปไหนๆ ไม่แต่งตัว จะไปได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : เราก็แต่งพอที่เรียกว่า สมมติให้เป็นการไม่ให้กายเนื้อนี้เป็นที่อุจาดตา เพราะว่าตรวจด้วยกระแสจิตว่า สองหน่อนี้พอมีทางไปมรรคผล จึงต้องกระทุ้งให้ดังๆ หน่อย

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

เทพพรหมลงมาทำงานจริงหรือ


(วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระดอกไม้ : กราบนมัสการหลวงปู่สมเด็จครับ เกล้าฯ เป็นศิษย์มาภายหลัง ขอพระเดชพระคุณโปรดให้ความสว่าง คือว่าเวลานี้เกล้าฯ มีข้อสงสัย คือ พระเปรียญเวลานี้มีหลายรูปที่มีความข้องใจอยู่ ในเรื่องวิญญาณก็ตาม เรื่องพรหมก็ตาม พระบางรูปกล่าวว่า ไม่ควรจะเชื่อ

เหตุอะไร ท้าวมหาพรหมหรือผู้ที่ไปเป็นพรหมแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องลงมาในมนุษยโลก แล้วทำไมจะลงมาเข้าทรงคนนั้นเข้าทรงคนนี้ ตัวอย่างเช่น เจ้าไปทรงที่นั่นก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม เจ้ามาทรงกันที่นี้ก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมทรงที่นั่น ทรงที่นี้ แล้วเวลานี้ พระเปรียญก็ใส่ไฟว่าหลอกหลวงเขาบ้าง ลงมาเพื่อหาเครื่องเซ่นกินกันบ้างต่างๆ นานา

เวลานี้เกล้าฯ ก็มีความสงสัย ในตำราธรรมะก็ไม่เคยได้ประสบพบเหมือนกัน ว่าพรหมองค์นั้นจะต้องมาเทศน์โปรดที่นั่น พรหมองค์นี้จะต้องมาโปรดที่นี่ ในตามหลักธรรมะ เกล้าฯ ก็ไม่เคยประสบพบปะ ขอพระเดชพระคุณช่วยโปรดแก้ปัญหาข้อนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : เพราะเหล่ามหาเปรียญนั่น เปรียญแต่กระดาษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดรู้แจ้งในหลักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดในด้านเรื่องของคำว่า ฌานญาณ จึงเที่ยวโจมตีว่าเขา

ทีนี้ ในเรื่องที่ว่าเทพพรหมนี่ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ สภาพการณ์ในการบำเพ็ญนั้น พวกรุกขเทวดาพวกนี้ชอบอ้างชื่อผู้สำเร็จ หรือวีรกษัตริย์ วีรบุรุษ มาหากินกับมนุษย์ พวกที่จะมา เรียกกันง่ายๆ ว่า มาขอส่วนบุญ

พวกผีเปรตอสุรกายที่บำเพ็ญที่ใกล้มนุษย์ พวกเหล่านี้ก็ชอบที่จะมาเสวยของของมนุษย์ เขาเรียกว่า ยังมีกามตัณหาติดอย่างแน่นหนา พวกเหล่านี้ส่วนมากแล้ว เขาจะอ้างชื่อผู้ที่โลกมนุษย์รู้จัก เพราะว่าเขารู้ว่ามาหากินกับมนุษย์แล้วไซร้ ก็คือว่าจะต้องให้คนนั้นรู้จัก

ทีนี้ มนุษย์เราจะต้องเป็นมนุษย์ให้สมกับมนุษย์ ก็คือว่า เราจะต้องใช้สมองพิจารณาว่า บุคคลที่อ้างว่า ชื่อองค์นี้มานั้นจริงหรือไม่ ก็คือต้องศึกษาประวัติดูให้ถ่องแท้ ถึงการอยู่ ถึงการทรงของคนนั้นๆ ถ้าอาตมาไป อาตมาเป็นนักเทศน์ อาตมาจะต้องเทศน์เป็นสรณะ ยึดหลักธรรมะมากกว่าวัตถุ

ทีนี้ ท่านก็อาจจะย้อนว่า เพราะเหตุใดท่านจึงยอมให้เขาใช้ชื่อเล่า ท่านต้องอย่าลืม พรหมต้องมีพรหมวิหาร ๔ ฉันใด การเป็นผู้สำเร็จในโลกวิญญาณย่อมต้องมีเมตตาจิตฉันนั้น เพราะแม้แต่มนุษย์ เรายังจะช่วย

การที่จะมาช่วยครั้งนี้ ในการที่มาตั้งสำนักปู่สวรรค์ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากกลียุคแห่งการที่จะเกิดขึ้นในแหลมสุวรรณภูมิ แห่งการที่จะเกิดขึ้นในแดนสยาม ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้สร้างราชบัลลังก์จักรี อาตมาจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอาสาลงมาทำงาน


นี่คือ มาอย่างอาตมาบังคับร่าง ไม่ใช่ร่างเชิญอาตมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านต้องจำเอาไว้ว่า ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาแล้วไซร้ แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ต้องการ

เพราะฉะนั้นจะทราบรายละเอียด ก็ต้องไปฟังเรื่องวิญญาณที่อาตมาเทศน์ไว้แยะ และท่านจงจำเอาไว้ว่า ที่มามีการทรงพิเศษหรือว่าห้าบาทสิบบาทก็มานี่ สมเด็จโตไร้ค่าหมดหรือ ห้าบาทสิบบาทจ้างอาตมา อาตมาก็ต้องรีบมา แล้วอาตมาอยู่ในโลกวิญญาณ ยังต้องการใช้เงินอีกหรือ เพราะฉะนั้น เราต้องใช้สมอง การทรงนั้นมีจริง มีจริงในรูปว่า วิญญาณนั้นมาทำงาน

ฉะนั้นอันนี้ จึงให้ท่านใช้สมองแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักต่างๆ ในโลกมนุษย์นั้น สำนักปู่สวรรค์ เป็นสำนักโลกวิญญาณ จึงไม่ขอวิจารณ์ และอาตมาก็สั่งลูกศิษย์ลูกหาที่นี่ว่า เรามีหน้าที่ให้เขาวิจารณ์ เราไม่มีหน้าที่วิจารณ์เขา


แล้วคนที่มาที่นี่ อาตมาก็บอกแล้วว่า อย่าพึ่งเชื่อ เพราะว่าเชื่ออย่างงมงาย ท่านก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ตถาคต ท่านต้องใช้เหตุและผล และการที่ท่านติดอาจารย์ ท่านย่อมไม่ถึงธรรม

เพราะฉะนั้นจึงว่ามาในที่นี้ ให้ท่านใช้สมองพิจารณา และถ้าอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเทพพรหมทั้งหลาย อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แยะ ไปขอเจ้าหน้าที่เขาเปิดฟัง

พระดอกไม้ : นี่ก็เป็นเหตุของการสงสัยของพวกเปรียญ ที่ได้บอกกับเกล้าฯ มาเช่นนั้น จิตวิญญาณหรือผู้สำเร็จก็ตาม ไปสู่พรหมโลกแล้ว จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนมนุษยโลกได้ยังไง ก็เรียกว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้น เกล้าฯ คิดว่า เขาก็ยังปฏิบัติไปไม่ถึง แต่เขาก็อ้างตำรา

ตำราเล่มนั้นเล่มนี้กล่าว พวกนั้นไม่สมควรที่ควรจะลงมา คือว่ายังเสวยกรรมอยู่บนชั้นพรหมโลก ก็ยังไม่ควรที่จะลงมาอย่างนี้ ความเห็นเขาเป็นอย่างนั้น เขาก็กล่าวให้เกล้าฯ ฟัง เช่นนี้ละครับ พระเดชพระคุณ

สมเด็จ : เพราะว่า เขาไม่ถึงธรรม เขาถึงแต่ตำราที่เขาอ่าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยจะเป็นพระที่เข้าถึงสัจจะอันแท้จริง และทุกวันนี้จะหานักเรียนนักสอนที่เข้าถึงธรรมอันแท้จริง ทั้งรู้ถ่องแท้ในตำราและทั้งในด้านปฏิบัตินั้นหายาก

เพราะฉะนั้น เราก็รับฟังแล้วก็พิจารณา ในฐานะที่เราจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เราจะเป็นสาวกตถาคต เราก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกแนว เรียกว่า ในการพิจารณาและในการปฏิบัติธรรม ให้สมกับเป็นพระสงฆ์ เขาเรียกว่า อย่าให้ผ้าเหลืองเสียชื่อ

ทุกวันนี้ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเรียนวางโครงการออกสู่ทางโลก มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวช พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ท่านต้องอาศัยผ้าเหลืองเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่เคยสอนให้ท่านยึดผ้าเหลืองเพื่อศึกษาวิชา แล้วสึกออกไปประกอบการทางโลก

ทุกคนที่เข้ามาบวชในยุคแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธโคดม แห่งการที่จะเป็นสาวกตถาคต ต้องพิจารณาแล้วว่า เรานี้จะตัดแล้วซึ่งกิเลส เพื่อพยายามสู่ในจุดหมาย

เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่าในสังฆมณฑลนี้ อาตมาจึงบอกว่า เป็นการปลงสังเวชที่จะไม่พูดถึง ไม่อยากจะกล่าวถึง หาพระที่จะเป็นพระ มันน้อยเต็มที
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

สมเด็จโตมีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์


(พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณทองหล่อ บุญประเสริฐ : หลวงพ่อครับ กระผมขอถามหลวงพ่อสักหน่อยว่า กระผมได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองคำ หลวงพ่อทราบไหมครับ ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : อันนี้ไม่ขอวิจารณ์ เพราะสำนักปู่สวรรค์ดำเนินงานโดยโลกวิญญาณ สมเด็จโตมาทำงาน มีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์ สำนักปู่สวรรค์ทุกคนไม่มีหน้าที่วิจารณ์และว่ากล่าวใคร อันนี้อยู่ในการที่เราจะต้องพิจารณาเอง

เพราะว่า อาตมาไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบยกตนข่มท่าน หรือไม่ใช่เทวดาที่มาหากินกับมนุษย์ ที่จะบอกว่า เจ้าจงมานับถือข้า อย่าไปนับถือคนอื่นเลย ถ้าเจ้าไปนับถือคนอื่น ข้าจะหักคอเจ้า อันนี้ก็มี แต่เป็นเทวดาบางองค์นะ

เพราะฉะนั้น อาตมาขอบอกว่า ท่านมาอาตมาก็ไม่ยินดี
ท่านไม่มาอาตมาก็ไม่ยินร้าย ท่านด่าอาตมา อาตมาก็ขออนุโมทนา ฉะนั้นไม่วิจารณ์

คุณทองหล่อ : ถ้าเช่นนั้นเกล้าฯ ขอถามว่า หลวงพ่อรู้จักท่านหรือเปล่า รู้จักใช่ไหมครับ

สมเด็จ : อาตมาคิดว่า อาตมาไม่รู้จักเขาหรอก แต่เขารู้จักอาตมามากกว่า เพราะว่าอาตมาเวลานี้ เป็นครูสอนอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ สอนอยู่รูปพรหมชั้นที่ ๔ มีศาลฟังธรรม พวกเทพพรหม พวกที่เรียกว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เทพเกือบจะทุกชั้นและทุกองค์จะมาฟังธรรมที่อาตมาแสดงในสวรรค์ชั้นที่ ๔ เพราะฉะนั้น เขาอาจจะรู้จักอาตมา แต่อาตมาไม่รู้จักเขา

คุณทองหล่อ : หลวงพ่อครับ แล้วที่เขาทรงหลวงพ่อทวดที่หลังคุรุสภาที่ลาดพร้าว ที่เขาทรงกันนั้น ใช่หลวงพ่อทวดไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้ เราดูเอาเอง เทพพรหมชั้นสูงมาย่อมไม่มีการติดรสมนุษย์ แล้วก็ย้ำอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ทวดก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่นางอาย ทำงานแล้วก็ต้องทำงานใหญ่เพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ไม่ขอวิจารณ์

แล้วขอบอกว่า เทวดาที่ใช้ชื่อหากินกับมนุษย์มีมาก อาตมาก็ถือว่ามนุษย์ อาตมายังมาช่วย ทีนี้เทวดาที่ต้องโทษ รู้ผิดกฎโลกวิญญาณ เขาให้เกิด เขาไม่ยอมเกิด เขาจะขอบำเพ็ญ เมื่อมาบำเพ็ญในโลกมนุษย์แล้ว จะพูดว่าเทวดา ก มา มนุษย์ก็ไม่รู้จัก เขาก็เลยขอยืมชื่อสมเด็จโตของอาตมามาใช้


อาตมาก็บอก เออ แต่เจ้าอย่าทำให้ชื่อข้าป่นปี้ก็แล้วกัน แต่ที่นี้ บางองค์ เมื่อลงมาทำงานในโลกมนุษย์ กลับทำป่นปี้ก็มี คือ หลงในกิเลสที่มนุษย์มาครอบให้ จึงเข้าสภาวะบำเพ็ญไปสู่นรกก็มี

อันนี้ อาตมาจึงไม่วิจารณ์ ขอให้ท่านไปพิจารณา คือ ท่านใช้สมองพิจารณาเอาเอง แล้วหลวงปู่ก็เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านย่อมไม่มานั่งหากินกับมนุษย์ และในขณะนี้ กระแสจิตมารวมกันที่สำนักปู่สวรรค์มากที่สุด เมื่อ ๑๐ ปีก่อน อาตมาไปหลายแห่ง หลังจากสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว อาตมาไม่มีการไปทุกแห่งที่เคยไป ขอแถลงให้ทราบด้วย

คุณทองหล่อ : กระผมขอกราบถามหลวงพ่อว่า องค์ท่านที่กระผมนำไปกราบไหว้บูชาอยู่ที่หิ้งของกระผม ใช่องค์ท่านจริงใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างอะไรเรียกว่า จริง อะไรเรียกว่า ไม่จริง รูปสมมตินั่นแหละ หน้าตาขรัวโตทั้งนั้น ท่านบูชาด้วยศรัทธา ท่านก็ย่อมถึงอาตมา ถ้าท่านไม่บูชาด้วยศรัทธา นั่นก็เป็นพระอิฐพระปูน

เพราะฉะนั้น อะไรเรียกว่า จริง ไม่จริง ย่อมไม่มีในวัตถุ เพียงแต่ว่าสร้างด้วยถูกเทวบัญญัติ ถูกพรหมบัญญัติหรือไม่ และสำหรับอาตมานั้น สมเด็จพระเครื่องสร้างด้วยสมัยอาตมาหรือไม่เท่านั้นเอง ที่เป็นแง่ของวัตถุ แล้ววัตถุทุกอย่างย่อมเป็นพระ ถ้าท่านศรัทธาก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่านไม่ศรัทธาก็เศษอิฐเศษปูนเศษเหล็ก

ฉะนั้น อย่าใช้คำว่า จริง หรือไม่จริง เขาเจตนาสร้างรูปสมมติของหลวงปู่ขึ้นมา หลวงปู่ก็ย่อมที่จะรับรู้ว่า รูปสมมติของเราเกิดขึ้นแล้วในโลกมนุษย์ ได้อยู่ที่บ้านนั้นกี่องค์ บ้านนั้นบูชาด้วยความจริงจัง บ้านนั้นเห็นหลวงปู่ชอบกินเหล้าก็มีถวายเหล้า นั่นมันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่เขาทำ

แต่จงจำเอาไว้ว่า เทพพรหมชั้นสูงย่อมไม่ติดในรสอาหารของมนุษย์ และถ้าท่านศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านย่อมทราบว่า เทวดาธรรมดามีอาหารทิพย์เสวย มีทิพย์อาสน์นั่ง สมเด็จโต หลวงปู่ทวดมาในโลกมนุษย์ เลวยิ่งกว่าเทวดาอีกหรือ พอมาถึงก็บอกว่า เฮ้ย มึงวันนี้มาหากูนี่ มึงเอาหมากมาให้กูหรือเปล่าวะ มีอะไรมาเซ่นบ้าง ไม่เซ่น กูไม่พูดอะไรกับมึงนะ นี่ให้เราไปพิจารณากันเอง


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า สำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่ให้เขาด่า ไม่มีหน้าที่ไปด่าเขา และท่านจงจำเอาไว้ว่า ความจริงย่อมเป็นความจริง ความลับไม่มีในโลกนี้หรอก มีเพียงถูกปกปิดในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของความจริง และท่านเป็นมนุษย์ก็ต้องใช้สมองที่เขาประทานให้พิจารณาว่า สิ่งไหนควรยึด สิ่งไหนควรวาง เข้าใจไหม

คุณทองหล่อ : เข้าใจขอรับ กระผม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

โลกวิญญาณมาทำงาน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อสมเด็จครับ เรื่องที่สำนักอี้ ที่สิงคโปร์ เขาส่งผู้แทนมาที่สำนักนี้ หลวงพ่อทราบเรื่องหรือยังครับ

สมเด็จ : เขายังไม่ได้ติดต่ออาตมานี่

ศ.ดร.คลุ้ม : เขามาติดต่อกับเจ้าสำนักแล้ว แต่ไม่ทราบว่า หลวงพ่อทราบเรื่องนี้หรือเปล่าครับ แหล่งที่เขาอยู่ที่สิงคโปร์นั่น เขาก็ทำงานคล้ายแบบเรานี้ จุดประสงค์คือร่วมทำงานกับศาสนาต่างๆ เพื่อความสันติสุขของโลกเหมือนกัน คล้ายๆ กับแนวของเรานี่แหละครับ แล้วสำนักเขารู้สึกจะมีอะไรคล้ายๆ กับเราหลายอย่างครับ

สมเด็จ : เป็นสำนักของวิญญาณพวกเทพ พวกนี้เขาพวกเทพมาทำงาน ฉะนั้น เขาจึงต้องมาประสานกับเรา เวลานี้ พวกวิญญาณเขาจะมาทำงานตามจุดต่างๆ ของโลก แล้วเป็นการเปิดเผยให้มนุษย์รู้ในอนาคต จะได้รู้ว่าในขณะนี้ สังคมของมนุษย์อยู่ในยุคของกลียุค เป็นภาวะที่จะต้องร้อนถึงพระเจ้าและเทพเจ้ามาทำงานกัน เพื่อชี้จุดแห่งความจริงให้มนุษย์รู้ซึ้งในความมีศีลธรรม เพื่อคลายทิฐิแห่งการยึดตน เมื่อนั้นสันติสุขย่อมเกิดขึ้น

ภาวะแห่งความร้อนทั้งหลายเกิดจากมนุษย์ ที่เป็นผู้นำในโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ไม่หันเข้ามาพิจารณาตัวเอง จึงเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทีนี้ ในสภาวการณ์เหล่านี้ เราจะไปโทษเขาเหล่านั้นที่ไม่หันมาศึกษาตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นไปตามกุศลที่เขาสร้างมา แต่ภาวะแห่งสันดานก็ย่อมจะถึงวาระแห่งการวิบากของเขา ฉันใดก็ฉันนั้น

เสมือนหนึ่งในภาวการณ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูติขึ้นในกรุงกบิลพัสดุ์ นักพยากรณ์ทั้งหลายได้ทำนายว่า กุมารน้อยนี้จะต้องเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระเจ้าสุทโธทนะมีความแน่วแน่ที่จะให้กุมารน้อยเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาจักรพรรดิแห่งชมพูทวีป จึงจัดให้เจ้าชายอยู่อย่างสุข โดยหาพระนางยโสธรามาให้เป็นมเหสี

เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างปราสาท ๓ ฤดูกาลขึ้น ที่เชิงเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากภูเขาหิมาลัย มีปราสาทฤดูร้อนอยู่ริมแม่น้ำโรหิณี ปราสาทฤดูหนาวสร้างอยู่เชิงเขาหิมาลัย ในฤดูหนาวจะได้ชมหิมะปกคลุมยอดหิมาลัย เป็นแสงประกายแวววาวน่าดู ราวกับจำลองสวรรค์มาอยู่ในปราสาทนั้น ทั้งยังแวดล้อมด้วยเหล่านารีที่คัดเลือกอย่างสวยงามจากเมืองต่างๆ ห้อมล้อม ให้เจ้าชายสิทธัตถะนั้นไม่รู้จักคำว่า เปลี่ยนแปลงและร่วงโรย

แต่ด้วยอนุสัยแห่งการบำเพ็ญมาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น ถึงกาละสัญชาตญาณเดิมที่จะสร้างความดีในการโกยสัตวโลก พระองค์ทรงเหม่อมองไปสู่หุบเขาหิมาลัย ซึ่งในยุคนั้น ชาวชมพูทวีปเชื่อกันอย่างแน่นอนว่า บนยอดเขาหิมาลัยนั้น มีดินแดนแห่งหนึ่ง หุบเขาช่องหนึ่ง ที่เรียกว่า ป่าหิมพานต์ ป่าหิมพานต์นั้นจะต้องเป็นที่สถิตของพระเจ้าและเทพเจ้าชั้นสูง

ภาวะทั้งๆ ที่แวดล้อมด้วยนางสนม แวดล้อมด้วยพระนางยโสธรา เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย พระองค์ก็สามารถนั่งสมาธิในท่ามกลางหมู่นารีได้ ซึ่งสร้างความสังเวชและไม่สมพระทัยให้แก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ภาวะกรรมวิบากของแต่ละคน แต่ละหมู่ แต่ละพวก สร้างมาไม่เหมือนกัน

pngegg.5.3.1.png



เหล่าปีศาจครองเมือง



สมเด็จ : ทีนี้ในภาวะแห่งโลกขณะนี้ คืออยู่ในภาวะแห่งเหล่าปีศาจทั้งหลายขึ้นมาเกิดในจุดต่างๆ แห่งโลกมนุษย์ และลืมสัจจะที่ให้ไว้ว่า จะมาสร้างความดี ด้วยมีสันดานแห่งความชั่ว จึงผุดขึ้นมาในขณะนี้ จึงร้อนถึงพระเจ้าและเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต้องมาช่วยยับยั้ง

แห่งภาวะที่เรียกว่า ทะเลจะกลายเป็นเลือด ด้วยการถือทิฐิในกลุ่มผู้นำของโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่เรียกว่า รวมกันขึ้นในโลกมนุษย์ว่าเป็นองค์การแห่งศูนย์รวมของชาติมนุษย์ในขณะนี้

เหตุการณ์ทั้งหลายก็อาจจะคลี่คลายสู่ในการที่เรียกว่า ร้อนจากทวีปแห่งแหลมสุวรรณภูมิสู่ทวีปยุโรปตะวันตกก็ได้ แต่ภาวะมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ เมื่อไม่รู้จักคำว่าพอ ก็ย่อมมีความวุ่นวายต่อไป อย่างไม่มียุติ


เพราะฉะนั้น สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ คือเพื่อชี้จุดบอดให้มนุษย์ทั้งหลายหยุด แล้วพิจารณาตน เพื่อคลายทิฐิสู่ในการไม่ตกในอบายภูมิมากเกินไป

pngegg.5.3.2.png



อุดมการณ์ช่วยโลกมนุษย์



เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เราต้องช่วยกัน และท่านทั้งหลาย การทำความดีย่อมลำบาก แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงยึดมั่นว่า

ทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อบุคคล

สัตวโลกในภาวะนี้กำลังถูกครอบงำของความศิวิไลซ์ที่สมมติสร้างขึ้นนี้ จึงทำให้เกิดประหัตประหารในสงครามเศรษฐกิจก็ดี สงครามแย่งมนุษย์ก็ดี สงครามค้าอาวุธก็ดี สิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจถึงกฎแห่งความจริงของอนัตตา หรือกฎแห่งความจริงของธรรมชาติ


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่า แผนงานของอาตมาที่จะช่วยมนุษย์ในยุคนี้ อาตมาจะพยายามดำเนินงานตามอุดมการณ์ที่อาตมาร่างขึ้นมา แต่ทั้งนี้ ก็ต้องเชิญชวนมนุษย์ที่ปรารถนาสันติสุขแก่มนุษยชาติ เสียสละเวลาร่วมทำงานกันอย่างจริงจัง จึงจะสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จได้

อุดมการณ์ ๑๐ ประการ ของสำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ให้สานุศิษย์ยึดมั่นคือ

๑. ช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้ชนทุกชั้น
๒. ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง
๓. ทำลายความเชื่อที่งมงายหลงเข้าใจผิด
๔. ผดุงความเป็นธรรมของสังคม
๕. เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสันติภาพเป็นสรณะ
๖. ส่งเสริมศาสนาให้ดีขึ้นทุกวิถีทาง
๗. ยินดีอุปถัมภ์นักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่หวังพระนิพพาน
๘. ร่วมมือกับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์
๙. ส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมเข้าสู่จิตใจเยาวชน
๑๐. ยืนยันโลกหน้ามีจริง เพื่อไม่ให้มนุษย์ที่ทำบาปมากขึ้น


อุดมการณ์ดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยมนุษย์ร่วมกันช่วยดำเนินงาน งานนั้นจึงสำเร็จ

เราทำงานเพื่อความจริง เราทำงานเพื่อความดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวคำสรรเสริญนินทา แต่ขอให้ทุกคนยึดมั่นในหลักการ คือ

๑. มีเมตตาต่อศัตรู
๒. มีความบริสุทธิ์ต่อส่วนรวม
๓. มีสัจจะต่องาน
๔. มีขันติต่อคำสรรเสริญและนินทา


เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะถึงหลักชัยแห่งการที่เรียกว่า อยู่อย่างไม่เสียชาติเกิด และทุกคนที่ร่วมทำงานกับอาตมานี้ ทุกคนย่อมได้กุศล เงินเดือนนั้น อาตมาไม่มีจ้าง อันนี้ต้องไปคิดกันที่โลกวิญญาณ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

แดนพรหมโลก


(วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๓)



DSC00434.jpg



ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ หัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น



อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : อยากจะขอเรียนถาม เรื่องพระพรหมเจ้าค่ะ คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ที่ได้ยินชื่อว่า ผู้พิชิตมารทุกทิศนั้น ท่านบำเพ็ญบารมีอะไรมาเจ้าคะ

สมเด็จ :
ในเรื่องของพรหมโลกนี้ มันเป็นเรื่องยาว อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แล้วว่า เทพพรหมนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร แต่พรหมที่มีตบะแข็ง พรหมที่มีอาวุโส พรหมที่มีตำแหน่งในพรหมโลกนั้น มีอยู่ไม่กี่องค์เท่านั้น

ทีนี้ อย่างองค์พระพรหมชินนะนี้ เป็นผู้พร้อมทุกอย่าง คือในสภาวการณ์เขาเรียกว่า เป็นผู้สำเร็จสมัยองค์สมณโคดม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพรหมที่ไม่ขึ้นต่อพรหมโลก เขาเรียกว่า เป็นพรหมเอกเทศในพรหมโลก มีตำแหน่งหัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น เป็นผู้ที่มีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า เขาเรียกว่า เดินไปไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่ กายนั้นแสงเหมือนพระอาทิตย์ จิตใจงามเหมือนพระจันทร์ คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดเหมือนหยกขาว

ในที่ประชุมของพรหมโลกเห็นว่า พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมเกเร พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมที่จะให้มนุษย์ติดสินบน ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม และเป็นผู้รอบรู้สรรพสิ่ง เป็นเจ้าพิธีการของโลกวิญญาณ

เมื่อสมัยอาตมามีสังขาร อาตมาจะสร้างพระผงอิทธิเจแปดหมื่นสี่พันองค์ครั้งสุดท้าย อาตมาก็คิดว่า จะทำอย่างไรจะสร้างให้พระขลัง ให้คนเล่าลือว่า พระขรัวโตนี้เหนียว ดีเด่น เมตตามหานิยม ในการปลุกเสกนั้น ท่านอย่าลืมว่า วัตถุนั้นเพียงแต่เป็นวัตถุธรรม วัตถุนั้นจะขลังได้ต่อเมื่อพลังจิตของผู้ปลุกเสกเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ก่อนนี้อาตมาก็คือว่า แค่มีศีลบริสุทธิ์ก็ปลุกเสกได้ขลัง

ต่อเมื่อวันหนึ่ง องค์ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ได้ปรากฏในนิมิตให้อาตมาเห็น อาตมาก็บอกว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เทพธรรมดา ต้องเป็นพรหมแน่ๆ อาตมาก็ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมีอะไรบ้างไหมที่จะสอนขรัวโตนี้ ขรัวโตยินดีได้รับการวิจารณ์ และคำสอนของท่านทั้งหลายที่จะมาสอนให้ขรัวโตหลุดพ้น บรรลุในหลักแห่งอริยสัจสี่อันแท้จริงขององค์สมณโคดม

พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ก็ได้แนะวิธีการปลุกเสก วิธีการตั้งให้ถูกทิศเทวบัญญัติ มันยังมีความซ่อนเร้นของความลี้ลับของความอัศจรรย์อยู่เหนือความจริง ถือว่าการปลุกเสกพระนั้น ถ้าตั้งไม่ตรงทิศของเทวบัญญัติแล้วไซร้ เทวดาจะมาน้อย ต่อให้ท่านชุมนุมเทวดาขนาดไหน และสภาวะจิตจะต้องสะอาด

pngegg.5.3.1.png



ตำแหน่งผู้พิชิตมาร



สานุศิษย์ : แล้วที่เห็นองค์พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ท่านถือคทา แล้วก็เท้าขวาเหยียบเต่า เท้าซ้ายเหยียบพญานาค อันนี้หมายความกระไรครับ

สมเด็จ : ที่มือขวาที่ถือนั้นเขาเรียกว่า คทาพรหม คทาพรหมอันนี้สร้างในโลกมนุษย์ที่ยังใช้ไม่ได้ คทาพรหมของท่าน ก็คือเป็นจามจุรีทิพย์ของพรหมโลก หัวนั้นมีแสงพุ่งออกมาเป็นรัศมี เท้าขวาเหยียบเต่านั้นหมายความว่า พาหนะประจำตำแหน่ง คือตอนจะออกรบ เขาเรียกว่า จะพิชิตมาร


คือหมายความว่า พรหมโลกเกิดยุ่งก็ดี เทวโลกเกิดยุ่งก็ดี ยมโลกเกิดยุ่งก็ดี อันนี้ต้องไปอ่านกัณฑ์เปิดโลกที่อาตมาเทศน์เอาไว้แล้ว มารโลกเกิดมาหาเรื่องมาก เขาช่วยกันไม่ได้ เขาก็ต้องเชิญองค์พรหมชินนะ

พระพรหมชินนะจะออกศึกไล่ถึงประตูบ้าน เขาก็มีพาหนะ พาหนะเหล่านี้เป็นวิญญาณทิพย์ และเป็นวิญญาณที่จำศีล ที่จะเตรียมตัวเกิดเป็นพระสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรยด้วย ที่เศียรของพระพรหมชินนะนั้น มีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทองด้วย แต่ที่นี่เขาทำ เขาเรียกว่า ทำแบบจริงจังไม่ได้

คือเป็นรูปพระพรหมรูปงามละ ที่เรียกว่า เทวดาผู้หญิงหลง พรหมผู้หญิงที่อยู่ชั้นฝึก ยังไม่ถึงชั้นที่ ๕ พรหมชั้นที่ ๖ ก็ยังติดกาเม ก็ยังหลง แต่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ใดถูกแม้แต่เท้าพระพรหมชินนะ ผู้นั้นต้องถูกสาปลงมาเกิด เพราะว่าเป็นพรหมที่เกลียดสตรีเพศ


วิมานสร้างด้วยแก้วมรกต ภายในปูด้วยเพชร เป็นถนนในวิมาน นอนบรรทมด้วยสิงห์ ไม่ชอบพูดกับใคร หมดธุระเข้าห้องปิดประตู เขาเรียกว่า ไม่ล่อเพลงยาว ชอบล่อเพลงสั้น

สานุศิษย์ : แล้วพญานาคล่ะครับ ที่ท่านเหยียบพญานาค เหยียบเต่า

สมเด็จ : พญานาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ เขาเรียกว่า ผู้เหยียบสมุทร เต่านั้นถือว่าเป็นสัตว์บก หมายความว่า ทั้งบกทั้งน้ำอยู่ในตีนข้า

pngegg.5.3.2.png



ผู้นำพรหมโลก



สานุศิษย์ : อยากทราบว่า ท้าวมหาพรหมนั้น มีทั้งหมดกี่องค์ด้วยกันครับ

สมเด็จ : ท้าวมหาพรหมของโลกวิญญาณนั้น มีหลายองค์ คือ

๑. ท้าวจตุรพรหม
๒. ท้าวอัปราพรหม
๓. ท้าวมหาพรหมสามวิจิตร
๔. ท้าวมหาพรหมสามภพ


นี่คือ ผู้รับบัญญัติ เขาเรียกว่า เป็นผู้นำพรหมโลก แล้วต่อมา มีท้าวมหาพรหมประกาศิต ท้าวมหาพรหมอีกตั้งเยอะแยะ
ท้าวมหาพรหมสามวิจิตรเพิ่งมาโลกมนุษย์ ครั้งนี้ก็มาปลุกเสกตะกรุดของสำนักปู่สวรรค์ แล้วก็มีพระพรหมที่ไม่ขึ้นอยู่กับพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ นี้คือ พรหมผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในพรหมโลก และพรหมที่ไม่มีหน้าที่ อาตมาก็บอกไปแล้วว่า มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

สานุศิษย์ : องค์พระพรหมเมศวร คือใครคะ

สมเด็จ : คืออยู่ในหลักของการบัญญัติของพรหมโลก บรมพรหมเมศวรนี้ ถ้าว่าตามหลักแล้ว เดิมทีเป็นพระพรหมที่ประจำทิศบูรพา ต่อมาคล้อยตามอารมณ์มนุษย์ ก็ต้องปิ๋วจากหน้าที่ เวลานี้ถูกสั่งจำศีลสมาบัติอยู่อีก ๓ กัป ถึงจะให้ออกจากสมาบัติ คือคล้อยตามอารมณ์มนุษย์มากเกินไป จึงไม่นับอยู่ในพรหมโลกเวลานี้

เพราะฉะนั้น ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ จึงเป็นพรหมที่ฉลาด เรียกว่า กูไม่พูดกับมึงดีที่สุด เพราะว่ามนุษย์นี่ มันจะเอาแต่ได้อย่างเดียว มันไม่ยอมรับรู้กฎแห่งกรรม มันไม่รับรู้หลักแห่งความจริง

สานุศิษย์ : ที่เรียกว่า องค์ตรีเนตรบรมครูนั่น คือใคร

สมเด็จ : ตรีเนตรนั่น มันแค่เทวทูต เชื่อมต่อระหว่างพรหมโลกกับเทวโลก เราจะปฏิบัติจิต เราก็อย่าไปวุ่นวายเรื่องพรหมให้มาก วุ่นมาก เดี๋ยวมันจะบ้า เราควรจะฝึกพลังของเราให้มาก แล้วใช้พลังของเรานั้นศึกษา และเราต้องตั้งตนอยู่ในศีลแห่งความบริสุทธิ์ เมื่อตั้งตนอยู่ในศีลบริสุทธิ์แล้ว พลังแห่งการประทานของเทพพรหมย่อมให้มาเอง โดยไม่ต้องไปอ้อนวอน

สานุศิษย์ : อยากทราบว่า วิญญาณเมื่อดับไปนี้ จะปฏิบัติการสิ่งใดครับ จึงจะได้ไปเป็นเทพพรหม ไปเป็นพรหม

สมเด็จ : อันนี้อยู่ที่ว่า ระหว่างที่อยู่ในโลกมนุษย์นั้น เขามีกรรมแห่งกุศล อกุศลขนาดไหน ถ้ามีอกุศลน้อยก็ไปอยู่ในเทวโลก ไปอยู่เทวโลกบำเพ็ญได้ดีก็ไปอยู่พรหมโลก แต่จะผ่านพรหมโลกต้องผ่านอาตมาอบรมก่อน จึงจะขึ้นสู่พรหมโลก แล้วพรหมโลกยังแบ่งออกเป็นรูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น กึ่งพรหมกึ่งเทวะ พรหมลูกฟัก แล้วก็พรหมสุทธาวาส มันมีเรื่องอีกเยอะแยะ อธิบายเป็นวันๆ ก็อธิบายไม่จบหรอก แค่เรื่องพรหมโลก

ฉะนั้น เวลานี้มา ก็เอาแค่ว่า เวลานี้เรามีทุกข์อะไร เราจะขจัดทุกข์ใจนั้นอย่างไร เราจะช่วยมนุษย์ได้ในรูปใด เราอย่าไปรู้เรื่องเขา เรียกว่า อยู่บ้านตัวเอง แล้วชอบไปรู้เรื่องบ้านของคนอื่น

สานุศิษย์ : คืออยากรู้ เพราะว่าได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาครับ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรสนใจบ้าง

สมเด็จ : อันนี้ บำเพ็ญจิตให้ถึงเอกัคตาจิต แล้วจะรู้สรรพสิ่งในสิ่งนี้ ดีกว่าที่คนเขาจะมาเล่าให้ฟังอีก

สานุศิษย์ : วันนี้จะถามหลวงพ่อไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ ให้โอกาสแก่สานุศิษย์คนอื่นต่อไป

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

เทพพรหมผ่านร่างมนุษย์


(วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เหลี่ยว : ลูกขอกราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกมีความสงสัย เรื่องการเข้าทรงครับ และคนทรงนี่ จะต้องมีบุญมีบาป หรือว่ามีอุปนิสัยอย่างไรครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ ผู้ที่จะเป็นร่างทรงของวิญญาณของพวกรุกขเทวดา พวกผีเปรต อสุรกาย เหล่านี้ เรียกว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกรรมวิบากในอกุศลที่ตนสร้างมา จึงได้ถูกการจองล้างจองผลาญของเหล่าวิญญาณที่ยังไม่เข้าซึ้งถึงธรรม ส่วนการที่จะเป็นร่างทรงของผู้สำเร็จเทพพรหมชั้นสูงนั้น คือ

๑. บุคคลนั้นจะต้องมีกรรมพัวพันกับวิญญาณนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติเป็นหลายชาติ

๒. บุคคลนั้นจะต้องมีศีลธรรม และมีคุณธรรมประจำใจ

๓. จะต้องเป็นผู้ที่เทพพรหมนั้นๆ ต้องการมาทำงานด้วย จึงจะเป็นสื่อในการที่จะให้เทพพรหมลงมาทำงานในโลกมนุษย์ได้

ถ้าพูดถึงว่า มีบุญหรือมีบาปนั้น ท่านจงดูเอาเอง อย่างร่างทรงที่อาตมายืมร่างมาทำงานนี้ เขาบอกว่า เขามีกรรม จึงต้องมาให้อาตมาใช้งาน ทั้งวันจะต้องขลุกอยู่แต่ในห้อง บางครั้งจะต้องไปอยู่ในป่า แล้วก็กิน ๒ มื้อ

แล้วในเรื่องการเล่นการทรงนั้น อาตมาอยากจะเตือนว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเล่นเลย สมมติท่านพยายามส่งกระแสจิตถึงเทพพรหมชั้นสูงที่เขาไม่ได้อยากมาทำงาน และถ้าระหว่างนั้น เขากำลังเข้าฌานอยู่ ท่านก็ย่อมมีบาปในการที่จะให้เทพพรหมนั้นมาประทับท่าน

การเข้าทรงนั้น ไม่ใช่จะทรงได้ทุกองค์ ขึ้นอยู่กับว่า วิญญาณนั้นกับท่านมีความพัวพันกันหรือไม่ กระแสจิตท่านปฏิบัติสะอาดเพียงพอหรือไม่ ที่จะให้เทพพรหมเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างท่าน นี่เป็นความจริงของคำว่า ความสัมพันธ์แบบลูกโซ่ในกฎแห่งสังสารวัฏ ไม่ใช่พอคิดจะทรง องค์นี้เข้าแล้ว เดี๋ยวไม่เอาละ องค์นี้ไม่ชอบ ทรงสมเด็จโตนี่ มาทีไรชอบด่า หาองค์ที่พูดดีๆ พูดเพราะๆ มาดีกว่า ก็กลายเป็นว่า เทพพรหมเป็นเครื่องเล่นของท่านน่ะซิ

สิ่งเหล่านี้อาตมาขอบอกว่า ถ้าท่านจะเล่นกับวิญญาณ ท่านต้องคิดให้ดีก่อนว่า ท่านพร้อมที่จะให้วิญญาณใช้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า ท่านพร้อมเสมอหรือยัง ที่จะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้าอย่างเทพพรหมชั้นสูงนั้น เขาต้องเกี่ยวพันกับท่าน เขาถึงจะมา ไม่ใช่ท่านคิดจะเชิญให้มาก็มา อย่างเวลานี้มีเยอะแยะ ท่านลองไปดูซิ เชิญสมเด็จโต ๒ บาทก็มา บุหรี่มวนหนึ่งก็มา หมากคำหนึ่งก็มา สมเด็จนี้ไม่มีค่าเลยหรือ

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ท่านต้องพิจารณา ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาในโลกมนุษย์นั้น ตลอดเวลาจะเป็นเวลากี่โมงกี่ยาม นานแค่ไหนก็แล้วแต่ แม้แต่น้ำหยดเดียวของมนุษย์ก็ไม่ต้องการ และจะมีพลังแห่งสติสัมปชัญญะพร้อมอยู่เสมอ ที่จะรับทราบเรื่องราวจากท่านที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระแสจิต


เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องปฏิบัติเองให้ถึงอัปปนาสมาธิ เข้าสู่ในกระแสฌานญาณแล้วนั่นแหล่ ท่านจึงจะมาคุยถึงเรื่องเทวดา พรหม ค่อยรู้เรื่องหน่อย ในสภาวการณ์ของสังคมในกลียุคนี้ ถ้าท่านไม่หมั่นทำสมาธิให้จิตสงบแล้ว อาตมากล้าบอกว่า สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ในไม่ช้าจะเกิดจิตไม่ดี เกิดเป็นโรคประสาทกันเยอะแยะ

ฉะนั้น ท่านควรสงบจิตให้นิ่งเสียบ้าง ท่านจะไม่ถูกโรคประสาทกิน ทั้งนี้และทั้งนั้น อาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากแล้ว ถ้าท่านทำจริง ขอให้ท่านตีอริยสัจสี่ให้แตกกระจายจริงๆ ให้ถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างถ่องแท้แล้ว ท่านย่อมถึงธรรม ย่อมรู้ธรรมชาติ ย่อมรู้ศาสนา


คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์เจ้าขา ดิฉันสงสัยเจ้าค่ะ ว่าเทพพรหมเขาก็มีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ทำไมเขาต้องมาเข้าทรงคนโน้นคนนี้ คงเป็นเทพที่ไม่ดีใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าเทพที่ดีแล้ว ก็คงไม่ต้องมาขอเข้าใคร

สมเด็จ : คือไม่เสมอไป เทพบางองค์เขาผิด เขารู้ผิดแล้วก็อยากจะประพฤติตนบำเพ็ญเข้าสู่ในทางดี ซึ่งย่อมเป็นที่สรรเสริญของมนุษย์และเทพพรหม เขาก็อาจจะมาขอยืมร่างมนุษย์เพื่อสร้างบารมี โดยการมารักษาโรค เป็นการบำบัดทุกข์ทางกายให้มนุษย์ เพราะในการรักษาโรคธรรมดานั้น เทพธรรมดาเขาก็มีกระแสอำนาจจิตที่จะรักษาได้

ถ้าเทพอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า เทพเห็นแก่กิน ก็ชอบจะมาอาศัยร่างมนุษย์ เพื่อกินของของมนุษย์ตะพึดตะพือ ถ้ามึงมีหัวหมูมา กูก็ให้สามตัวไป นี่คือเทพอีกจำพวกหนึ่ง เป็นพวกรุกขเทวดา ที่ถูกเขารุออกจากเทวโลก เป็นเทพที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่สำนึกในบาปบุญ

และอีกจำพวกหนึ่งคือ เทพพรหมชั้นสูงที่จะมาทำงาน โดยมีอุดมการณ์และมีนโยบาย นั่นก็อีกชนิดหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ยาก เขาจะไม่มาขอเข้าทั่วไปกับทุกคน

คุณชุบชีพ : แล้วร่างทรงของสมเด็จล่ะเจ้าคะ เมื่อกี้สมเด็จบอกว่า มีกรรม แต่ดิฉันว่า กรรมที่ต้องมารับใช้เทพพรหมนี้ ก็ต้องมีกุศลกรรมซิเจ้าคะ มิใช่อกุศลกรรม เพราะเป็นการสร้างบารมี

สมเด็จ : คือว่า ทำในสิ่งที่ดีก็ย่อมเป็นการดีทั้งนั้น แต่ทีนี้ในด้านของคำว่า ในส่วนตัว ในกายเนื้อนั้น เขาก็ร้องขึ้นไปสู่โลกวิญญาณเรื่อยๆ ว่า

กินก็ไม่เป็นเวลา นอนก็ไม่เป็นเวลา นั่งก็ไม่เป็นเวลา แล้วไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองเลย แล้วท่านก็จะทำงานไปเรื่อยๆ แล้งงานนี้มันจะไปได้อย่างไร ซึ่งก็ยังไม่มีลูกมือที่ดีมาร่วมมือ

ก็ด้วยเหตุว่า เรียกว่า เขามีกรรมพัวพันกับอาตมา มีกรรมพัวพันกับหลวงปู่ มีกรรมพัวพันกับท้าวมหาพรหมชินนะในอดีตชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นวิญญาณที่เขาส่งลงมาเกิด เพื่อทำงานในชิ้นนี้ เกี่ยวกับงานของโลกวิญญาณ

แต่สภาวการณ์แห่งการยังเป็นปุถุชน ย่อมมีความน้อยใจ เขาก็ชอบจุดธูปร้องเรียนไปเรื่อยว่า ไหนว่าสมเด็จโตมีเมตตาจิต บอกว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ แล้วทำไมมาเบียดเบียนเขาเล่า อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะอาตมาถือว่า อาตมาเบียดเบียนคนหนึ่งคน อาตมาจะช่วยสัตวโลกได้อีกแยะ

คุณชุบชีพ : ถ้าหากว่า คนทรงเขาคิดกลับใหม่ว่า ที่สมเด็จโตมาใช้ร่างนี่ ก็เพราะเป็นคู่บารมีกัน ก็ไม่น่าน้อยใจนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : ก็เพราะอารมณ์ของการเป็นเด็ก ย่อมมีการขึ้นลงเป็นธรรมดา เรียกว่า เป็นมนุษย์อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ที่ยังไม่เลยวัยกลางคนนั้น บางครั้งก็เกิดความไม่แน่นอน

คุณประสิทธ์ อ่อนน้อม : ขอกราบนมัสการหลวงปู่ครับ กระผมอยากทราบว่า ตอนที่เทพพรหมจะเข้าร่าง สัมผัสร่างมนุษย์นี่เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : ตอนที่เทพพรหมจะมาใช้ร่างท่านนั้น ในขณะจิตที่ท่านเกิดความจุก เกิดความแน่น หรือเรียกว่า หน้ามืดในขณะนั้นแหล่ กระแสจิตของเทพพรหมนั้นจะเข้าตีกระแสจิตของท่าน คือตีจิตวิญญาณท่านออกไปทางหนึ่ง คือใช้พลังงานของเทพพรหม

อย่างอาตมามาเข้านี่ วิญญาณทิพย์ของร่างทรง จะออกไปอยู่ข้างๆ ของร่างนี้ แล้วเทวดากลุ่มหนึ่งจะล้อมเอาไว้ในบารมี และสายใยแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ยังไม่ขาด เรียกว่า สับเปลี่ยนในฉับพลัน เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

นิ่งเสียโพธิสัตว์


(วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณขีด : กระผมได้เคยฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จ ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า หลวงปู่ทวดหรือพระภิกษุปู ได้ไปพบพระมุนี ๒ องค์สนทนากัน องค์หนึ่งถามอีกองค์หนึ่งว่า “ท่านนี้หรือ ที่ชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรม” พระมุนีองค์ที่ถูกถามก็นิ่ง แต่อาการนิ่งนั้นแทนคำตอบ เมื่อพระภิกษุปูได้ฟังเช่นนั้น ในสัญชาตญาณของบุรุษอาชาไนย ท่านก็เลยคิดได้ดีทีเดียวว่า “การนิ่ง” จะต้องมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้ กระผมฟังแล้วก็มาคิดดูว่า “ความนิ่ง” นี่ น่าจะมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่จริงๆ เหมือนกัน เพราะว่าเปรียบอย่างน้ำในภาชนะที่นิ่งก็ย่อมมองเห็นธรรมชาติต่างๆ ถ้าเรามองลงไปในน้ำ แต่ถ้าหากน้ำนั้นสั่นคลอนหรือว่ามีคลื่น เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นเงาของธรรมชาตินั้นๆ ได้ เพราะฉะนั้น กระผมจึงคิดว่า การนิ่งของจิตนี่ จะต้องมีธาตุรู้เจือปนอยู่ในความนิ่ง เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

สมเด็จ : เขาเรียกว่า การนิ่งของกระแสจิต จะทำให้ท่านรู้ความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ นั่นคือ ธาตุทั้ง ๔ เสมออยู่ฌานญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องรู้ เมื่อสำเร็จญาณฌานแล้ว นิ่งของเขานั่นแหละ เขาจะรู้สรรพสิ่งที่จะเข้ามากระทบ

ดั่งเช่น ในพุทธกาลครั้งหนึ่ง มีสาวกขององค์โคตมะ ๒ องค์ องค์หนึ่งสำเร็จอรหันต์ อีกองค์หนึ่งยังไม่สำเร็จอะไร ทั้งสองได้เดินทางจากแคว้นมคธไปแคว้นพาราณสี องค์หนึ่งนั้นเป็นลูกศิษย์ องค์ที่สำเร็จเป็นอาจารย์ ก็ให้องค์ที่เป็นลูกศิษย์ถือบาตร จีวร และสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ โดยให้เดินหลัง


ลูกศิษย์ที่เดินตามหลังนั้น บางกระแสจิตก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เรานี้ควรจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะโปรดสัตวโลกให้พ้นทุกข์จากไฟอเวจี อาจารย์ที่เดินนำหน้าอยู่ที่นั้น รู้กระแสจิตของลูกศิษย์ด้วยความนิ่ง ก็ได้นำบาตรและสัมภาระที่จำเป็นนั้นมาถือ และให้ลูกศิษย์เดินนำหน้า

ลูกศิษย์เดินนำหน้าไปพักหนึ่ง ก็คิดว่าการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นแสนจะลำบาก แสนจะอดอยาก ไม่เป็นดีกว่า เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ดีกว่า อาจารย์ที่เดินอยู่ข้างหลังก็รู้กระแสจิต ก็ได้เอาบาตร จีวร และสัมภาระให้ลูกศิษย์ถือ แล้วให้เดินตามหลัง ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งลูกศิษย์เกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุใด เดี๋ยวให้กระผมเดินนำหน้าท่าน เดี๋ยวให้กระผมเดินตามหลังท่าน เดี๋ยวท่านก็ถือของเอง เดี๋ยวท่านให้กระผมถือ อาจารย์มีเหตุผลอะไรหรือ

อาจารย์ก็ได้อธิบายว่า เมื่อขณะจิตท่านคิดเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ท่านมีความปรารถนาแห่งความแรงกล้าเหนือเรา เราจึงยกย่องท่านให้เดินหน้า เราเป็นคนเดินตาม ถือของแทนท่าน แต่เมื่อท่านได้ย้อนกระแสจิตกลับมาเพื่อสำเร็จเป็นอรหันต์นั้น เราถือว่าท่านก็เท่ากับเรา เราจึงให้ท่านเดินตามหลัง และถือของแทนเรา

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่สำเร็จด้านกระแสจิตของฌานญาณแล้ว ความนิ่งของเขาแหล่ เป็นการกระทบกระแสจิตของมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้ามาหา เข้ามาพัวพัน ท่านจะเห็นว่า ท่านจะเข้าหาหลวงปู่นั้น หลวงปู่จะไม่พูดมาก แต่รู้ว่าท่านต้องการอะไร จะช่วยเท่าที่จะทำได้

สิ่งเหล่านี้ ท่านทั้งหลาย การพูดมากเป็นการเสียพลังมาก เสียพลังมากก็มีความฟุ้งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

ถ้าจะพูดในด้านปรมัตถธรรมแล้วไซร้ อาตมาคิดว่า ท่านไม่ต้องศึกษาธรรมะอะไรมากมายหรอก นักธรรมตรีท่านอ่านให้จบ แล้วท่านทิ้งตำรานั้น หันมาปฏิบัติจิต ธรรมชาติแห่งความรู้แท้นั้นแหละ จะเข้าซึ้งถึงธรรมะอันแท้จริง แต่ทุกวันนี้ สังคมปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้น สังคมปัจจุบันจะต้องว่า ฉันนี่สำเร็จปรมัตถธรรม โดยมีคนเซ็นรับรอง เขาเรียกว่า มีประกาศนียบัตรรับรองกันเยอะแยะ กลายเป็นว่า ปรมัตถธรรมอยู่ที่กระดาษอวดกัน

คุณขีด : ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันว่า ในความนิ่งมีธาตุรู้อย่างยิ่ง อย่างที่ผมคิด เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ได้ใช้ธาตุรู้เป็นทางค้นคว้า เพื่อไปสู่มรรคผลใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างความนิ่งสู่แดนนิพพาน ถ้าท่านไม่นิ่ง ท่านจะยิ่งฟุ้ง ถ้าท่านฟุ้งมาก ท่านย่อมห่างธรรมมาก เพราะการพูดเป็นสมมติบัญญัติ ถ้าท่านยึดสมมติบัญญัติเป็นหลัก ท่านไม่มีทางสำเร็จ คำด่าเป็นสมมติที่จับตัวไม่ได้ คำชมก็เป็นสมมติที่จับตัวตนไม่ได้


เพราะฉะนั้น ผู้รู้เขาจึงใช้กระแสจิต เรียกว่า รู้ด้วยธรรมชาติ นิ่งต่อนิ่ง คุยกันแล้วรู้กันเอง และความนิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ท่านก็ต้องพยายามบ่มในสมาธิวิปัสสนา ให้ถึงจุดแห่งเอกะอย่างจริงจัง แล้วนั่นแหล่ ท่านจะถึงธาตุแท้ความรู้อันบริสุทธิ์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 20:54 , Processed in 0.058644 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.