แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

8.png


ตอนที่ ๑

บุพกรรมนำเกิด



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ อย่างบางคนเกิดมาอาภัพ คือ พ่อแม่ตายจาก หรือว่าต้องโยกย้ายจากกันไป อันนี้เป็นเพราะกรรมพัวพันของพ่อแม่กับลูกตัดขาดกันใช่หรือไม่ หรือว่าเกิดจากการผิดศีลข้อใดครับ

สมเด็จ : ศีลเป็นระเบียบแบบแผนของสังคม เรียกว่า ตั้งสัจจะควบคุมตัวเอง ศีลที่เราปฏิบัติบริสุทธิ์ก็ย่อมที่จะได้ความดีความบริสุทธิ์ของเรา

ส่วนในเรื่องของบิดามารดานั้น เป็นเรื่องของบุพกรรมแห่งการเรียกว่า หมดสิ้นกรรม ซึ่งท่านจะเห็นว่า คนเรานี้ เรื่องการสะสมกรรมในอดีตนั้นย่อมมี เช่น บางคนเรายังไม่เคยเจอ พอเราเจอหน้าก็เกิดถูกชะตา รักใคร่ แต่บางทีบางคนเห็นหน้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จัก ก็รู้สึกเกลียดขึ้นมา

พ่อแม่บางคนมีลูกเกิดมาผลาญเงินพ่อแม่จนหมด อันนี้ เขาเรียกว่า เจ้าหนี้มาทวงหนี้ ซึ่งพ่อแม่ของเขาอาจจะเป็นลูกหนี้ในอดีตชาติ พอผลาญเสร็จ พอลูกจะกลับตัวเป็นคนดีได้ ลูกก็ต้องมาตายจากไป ส่วนบางคนมีลูกเป็นคนดี แต่อยู่กับพ่อแม่ไม่ได้นานก็ตายจาก นี่เรียกว่า เป็นการสิ้นสุดการใช้กรรมของเขา


สิ่งเหล่านี้เป็นบุพกรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องศีล ศีลเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในเรื่องของคำว่า ศีล ในเรื่องของอุปทานของตัวเรานี่ ถ้าเราไม่ยึดในคำพูดจากอุปทานแห่งสมมติบัญญัติแล้ว เราก็ย่อมที่จะเรียกว่า เป็นผู้มีศีลได้ เขาเรียกว่า มีโทสะน้อย ควบคุมสติตัวเองได้

คือเทียบง่ายๆ อย่างสมมติคำว่า ด่าคำหนึ่ง ถ้าเด็กๆ เพิ่งหัดพูดมา ด่าแม่อย่างนี้ เราก็บอกว่า แหม ดีใจ ลูกพูดได้ กลายเป็นน่ารัก น่าหัวเราะ กลายเป็นซาบซึ้ง แต่ถ้าคนอื่น คนโตๆ ด้วยกันมาด่า กลับกลายเป็นโกรธ ไม่พอใจ ต้องเตะปากกันละ นี่เขาเรียกว่า ยึดสมมติ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งความดี


(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณวิชัย ประยูรพูลผล : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ อาทิตย์ที่แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จเทศน์ว่า เกจิอาจารย์บางองค์นี่ ทำน้ำพระพุทธมนต์โดยใช้คาถาชินปัญชรของเจ้าประคุณสมเด็จ แต่ว่าทำแล้วไม่ขลัง เพราะพระพวกนี้ไม่มีความกตัญญู

ผมจึงอยากจะถามว่า ชีวิตของคนเรานี้ จะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือว่ามีความเหลวแหลก จะต้องขึ้นกับตัวกตัญญูนี้ เป็นกฎตายตัวหรือไม่ แล้วอย่างกุลบุตร กุลธิดา ถ้าจะให้อนาคตก้าวหน้า จะต้องอาศัยบุญบารมีของพ่อแม่จึงสำเร็จ และต้องได้รับพรจากพ่อแม่ จึงประสบความสำเร็จในชีวิตที่ต้องการ อันนี้จะเป็นความจริงประการใดครับ

สมเด็จ :

อันความจริง      ชีวิตเกิด            นั้นแสนง่าย
สภาพการณ์       ดำรงอยู่            ในเป็นคน
สำเร็จผล          ในการงาน         ที่ต้องการ
ต้องอยู่กรรม      ภาวะกรรม         สามข้อไซร้
อดีตกรรม         ปัจจุบันกรรม       วาสนา
จังหวะดี            เรียกภาวะ          ว่าดวงขึ้น
จังหวะให้          สามกรรมไซร้      สำเร็จผล

ทีนี้ ชีวิตคนจะให้สัมฤทธิผลนั้น ในจิตต้องมี ขันติ สัจจะ วิริยะ เมตตา กตัญญู เป็นหลัก เพราะอะไรเล่า เพราะท่านทั้งหลาย ท่านลองพิจารณาดู เราไม่มีความกตัญญูแล้ว เราก็เป็นผู้ที่เรียกว่า เนรคุณ


ภาวะแห่งเนรคุณนี้แหล่ เทพพรหมย่อมไม่สรรเสริญ หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยกย่อง ไม่อนุโมทนา พลังแห่งการไม่อนุโมทนานี้แหล่ เรียกว่า มีมารขัดขวางในการดำรงชีวิตแห่งการเป็นคน เพราะอะไรเล่า อาตมาจะเทศน์ให้ฟังง่ายๆ

หลังจากที่ท่านเสวยกรรมวิบากในโลกวิญญาณแล้วไซร้ ท่านก็จะเป็นวิญญาณอิสระ ภาวะแห่งการเป็นวิญญาณอิสระนี้แหล่ ท่านก็จะหาผู้ที่มีกรรมพัวพันกับท่าน เพื่อในการเกิด

ทีนี้ ในการเกิดนี้ จุดแรก ใครเป็นผู้ที่ทำให้ท่านอยู่รอด ก็คือพ่อแม่ แม่ต้องเลี้ยงด้วยนมเพื่อให้ท่านอยู่รอด พ่อต้องหาเงินมาป้อนเพื่อให้ท่านเป็นคน ถ้าเกิดมาถึงพ่อแม่ไม่เลี้ยงท่าน อาตมากล้าพูดว่า ท่านไม่สามารถอยู่ถึงปัจจุบัน เมื่อตอนเกิดใหม่ๆ ตัวนิดเดียว เอาขากระทืบก็ตายแล้ว แต่ด้วยความเอ็นดู ว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไข จึงเลี้ยงให้โตขึ้น

ฉะนั้น จึงมีข้อธรรมะว่า ฆ่าบิดามารดาธรณีจะสูบ เพราะบุญคุณในการทะนุถนอมเลี้ยงดูขึ้นมา

ทีนี้ในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น ต้องเข้าใจว่า มันสมองกันในปัจจุบันชาติ ถ้าท่านไม่มีความกตัญญูในบิดามารดาเป็นหลัก ท่านก็ย่อมที่จะเจริญในชีวิตไม่ได้


pngegg.5.3.1.png




การแสดงความกตัญญูควรทำอย่างไร


สมเด็จ : ย้อนเข้ามาสู่อีกปัญหาหนึ่งว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือต่อวงศ์ตระกูล ต่อผู้มีพระคุณนั้น จะทำอย่างไร

นี่เข้ามาสู่จุดอีกจุดหนึ่งก็คือว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือว่าต่อผู้มีพระคุณ ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปนั่งกะหลีกะหลอ หรือว่านั่งพะเน้าพะนออยู่นั่น ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินกัน ไอ้นั่นก็คอยเรียกลูกคะ ลูกขา ไอ้นั่นก็ แม่คะ แม่ขา ทั้งวันก็แม่คะแม่ขา ลูกคะ ลูกขา เลยไม่ต้องทำอะไรกัน

การแสดงความกตัญญูนั้น ก็คือ เมื่อเราออกสู่สังคม ก็เรียกว่าเป็นนกบินได้แล้ว เราจำเป็นต้องบินออกจากบ้าน เพื่อท่องเที่ยวไปในสากลจักรวาล เราก็จะต้องเป็นนกที่ดี คือมีสัจธรรม ไม่เที่ยวเป็นอันธพาลเกเร ไม่เป็นคนเสเพล คบคนพาลกินเหล้าเมายา เล่นไพ่ ล้วนแต่เป็นทางไปสู่อบายภูมิ อย่างนั้นเรียกว่า เราไม่กตัญญู


แล้วเรากตัญญูด้วยการเสียสละตนทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อศาสนา เพื่อมวลมนุษย์ นี่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูให้กับผู้มีพระคุณ

pngegg.5.3.2.png




หลักแห่งการกตัญญู


ฉะนั้น ชีวิตแห่งความสำเร็จก็คือ ท่านกตัญญูต่อบิดามารดาด้วยการไม่ประพฤติชั่วหนึ่ง ด้วยการไม่ลืมคุณท่านหนึ่ง นี้เป็นหลักที่เรียกว่า เทพพรหมอนุโมทนา ก็เข้าหลักว่า เขาส่งเสริมบารมีให้เราสัมฤทธิผลในความเป็นอยู่ของมนุษย์

ในโบราณกาลเขาจึงนับถือว่า แม้คนใดคนหนึ่ง ที่บอกคำพูดเพียงคำเดียว หรือคาถาบทใดบทหนึ่ง หรือว่าให้รู้จักท่องนะโม คนนั้นก็ถือว่าเป็นครูแล้ว จะต้องมีการคารวะ

pngegg.5.3.3.png




อกตัญญู ฟ้าดินแปรปรวน


แต่ว่าในยุคนี้เป็นกลียุค ยุคที่เรียกว่า มนุษย์จะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ ก็คือว่า พอทีแรกครูสอน ก็เรียกว่ารับความรู้จากครูบ้าง พอไปที่อื่น บอกว่ากูนี่แหละเป็นผู้วิเศษ รู้เองโดยไม่มีครูสอน ต่อไปก็อาจมีการเตะครูออกจากโรงเรียนบ้าง นี่คือประเพณีแห่งความเสื่อมทราม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศสยาม ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

แล้วสิ่งนี้แหละ เป็นพลังแห่งความสะเทือน เขาเรียกว่า สิ่งลี้ลับทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะมนุษย์ด้อยความกตัญญู อันความกตัญญูนี้เป็นหลักสำคัญมาก ที่เขายึดและปฏิบัติกันมาในโบราณกาล

เรื่องความกตัญญูนี้ อาตมาก็เคยเล่าแล้วว่า เมื่ออาตมามีสังขารอยู่นั้น รัชกาลที่ ๔ เป็นมหา ๕ ประโยค แต่อาตมาเป็นมหาไม่มีประโยค อาตมาถือว่าพระเจ้าแผ่นดินมีความรู้ ๕ ประโยค เราจะไปรู้ดีกว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้


ฉะนั้นเราอย่าเข้าสู่สนามสอบ แต่สมัยนี้ไม่อย่างนั้น หัวหน้ามีความรู้แค่ ม.๖ ลูกน้องมีความรู้ดอกเตอร์ เลยดูถูกหัวหน้ากัน งานเลยไม่เจริญ ประเทศก็ทรุดโทรมลง เพราะไม่เชื่อฟังกัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

การเป็นคู่ครองที่ดีจนแก่เฒ่า


(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ในเรื่องของการเป็นสามีภรรยากันนั้น เขาเรียกว่า มันมีผลของอดีตกรรมส่งมาให้บรรจบกันในยุคปัจจุบันกรรม เมื่อบรรจบกันในปัจจุบันกรรม ถ้าถึงกรรมแห่งวาระการอยู่คู่ครองกันไม่นาน แล้วต้องจากกันไป เขาเรียกว่า กรรมวิบากน้อย สภาวะนั้นเขาเรียก คู่ไม่แท้

เพราะฉะนั้น การเป็นคู่กันนั้นแหล่ การเงินใดก็แล้วแต่ เขาเอาไปนั้น เราต้องคิดว่า เป็นกรรมที่พัวพันติดเป็นอดีตชาติ สิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่มีทุกข์ ซึ่งในเรื่องนี้ อาตมาก็จะเทศน์สอนเหล่าพวกผู้หญิงทั้งหลายด้วย

จริงอยู่ ผู้ชายนั้นเปรียบเสมือนไม้เลื้อย ที่จะชอบเลื้อยตามสภาวะแห่งการติดพันผู้หญิง แต่ผู้หญิงดูจิตใจของตัวเองนั้นแหล่ ว่าตัวนั้น ทำให้สามีไม่สมอารมณ์บ้างหรือไม่ เราให้เกียรติสามีเพียงพอหรือไม่ เราได้ปรนนิบัติเป็นยอดกัลยาณีดีหรือไม่ สภาวะฝ่ายหญิงนั้น มักไม่ยอมคิดในอันนี้ จึงทำให้มีการเกิดเรื่องเกิดราว

สาเหตุจากวิบากกรรมนั้นด้วย แต่ปัจจุบันส่งเสริมให้เลิกกันไปก็มาก เพราะอะไรเล่า เพราะฝ่ายหญิงนั้นแหล่ มีทิฐิมาก สภาพการณ์ของสตรีนั้น จะถืออารมณ์ตัวเป็นใหญ่ เมื่อถืออารมณ์ตัวเป็นใหญ่ มันก็อยู่กันไม่ได้


เพราะการเป็นสามีภรรยา หรือการเป็นคู่รักคู่อะไรนั้น ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่เราจะเอาแต่อารมณ์ตัวเราเองเป็นใหญ่ เพราะมนุษย์เราเขาเรียกว่า มนุษย์ปุถุชน มันก็ย่อมมีความเบื่อเกิดขึ้น เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

มงคลของชีวิต ๑๐ ประการ


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ เรื่องมงคลในพุทธศาสนานี่ มีมงคลอยู่ ๓๘ ประการ ก็มีปัญหาสงสัย ๓๘ ประการนี่ เราปฏิบัติกันไม่ครบหรอก จึงอยากจะกราบเรียนถามว่า มงคลอะไรสำคัญที่สุด ในการที่เราเป็นมนุษย์นี่ จะยึดหลักไว้ในการดำรงชีวิตต่อไป

สมเด็จ :

           หลักมงคล       อันใหญ่           มนุษย์ไซร้
หนึ่ง     ตื่นเช้า            ขยันแจ้ง          พากเพียรงาน
สอง     หมั่นเรียน        ศิลปะศาสตร์    ให้ถ่องแท้
สาม     หลีกเลี่ยง        เหล่าคนพาล     มิควรคบ
สี่         เข้าหา            บัณฑิตตน         แลกความรู้
ห้า       ตั้งตน             ให้อยู่ชอบ        สัมมาชีพ
หก       เลี้ยงเมีย         เคารพแม่         ให้อยู่รอด
เจ็ด      อุปถัมภ์ไซร้      ลูกตน             เกิดปุถุชน
แปด    คบหาสมาคม    หมู่มิตร           ข้างเคียงตน
เก้า      หมั่นรู้              พุทธคุณ          ท่องให้ขึ้น
สิบ       ทำจิต             ให้ว่างนิ่ง          สันโดษเอย

๑๐ ข้อพอ

คุณพินิจ : ครับ ๑๐ ข้อ ขอให้จำไว้ทุกคนนะครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

กระแสแห่งบุญ


(วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕)



การอุทิศแผ่ส่วนบุญ


สานุศิษย์ : กระผมขอกราบเรียนถามครับ คือ เมื่อเราตักบาตรแล้วกรวดน้ำอุทิศบุญ บุญจะไปถึงผู้ที่เราอุทิศให้หรือไม่ แล้วเจ้ากรรมนายเวรนี้ กระผมยังไม่ทราบว่า หมายความว่าอะไรครับ

สมเด็จ : คือ การทำบุญตักบาตรนี้ เป็นภาวะที่ให้เราซึ้งคำว่า จาคะ ซึ่งมนุษย์เรานี้เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีกรรมพัวพันซึ่งกันและกัน ต่างกรรมต่างวาระ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ มีมนุษย์จำพวกหนึ่งยอมสละตนมาห่มผ้าเหลือง เพื่อที่จะปฏิบัติธรรม จะจริงหรือไม่ก็อยู่ที่ภาวะของกรรมของคนๆ นั้น

ทีนี้ การอุทิศกุศลนั้น ถ้าอุทิศให้กับวิญญาณที่กำลังเสวยสุขอยู่ในปรภพ ของของเราก็อาจไม่ถึง หรือถ้าวิญญาณนั้นเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมลึกๆ กุศลของเราก็อาจไม่ถึงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวการณ์อธิษฐานบารมีของเราด้วย


ทางโลกวิญญาณเขาก็จะมีหน่วยเก็บกรรม มีนายนิติยบาลที่จะรับทราบในสิ่งเหล่านี้ไว้ เพื่อส่งให้ตามเจตนาของผู้อุทิศกุศลที่มีความแน่วแน่ แต่ถ้าเราไม่ได้อุทิศกุศลให้ใคร กุศลนั้นก็ย่อมที่จะเป็นของเรา เปรียบเสมือนหนึ่งเราส่งเงินไปให้ใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้าปลายทางไม่มีผู้รับ คนอื่นจะมารับไม่ได้ ชื่อนั้นเป็นชื่อเรา เงินนั้นย่อมเป็นของเราอยู่เสมอ

pngegg.5.3.1.png




เจ้ากรรมนายเวร


สมเด็จ : สำหรับคำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” นั้น ก็คือว่า ถ้าบุคคลนั้นมีเจ้าหนี้มากมายหลายคน ที่กำลังทวงหนี้อยู่ เราระบุทีละคน ไม่แน่ว่ามันจะถึงหรือไม่ถึง เราก็ใช้ว่า เจ้ากรรมนายเวร เรียกรวมๆ กันไป

เปรียบง่ายๆ ก็คือว่า เราอยู่จังหวัดนี้ แล้วเราติดหนี้คนที่อยู่ต่างจังหวัดตั้งหลายคน เงินที่เราส่งไปให้ ไม่รู้จะแบ่งกันยังไงจึงจะครบ จะให้คนนี้ก่อน เดี๋ยวคนนั้นก็เกิดโมโห จะให้คนนั้นก่อน เดี๋ยวคนนี้ก็เกิดโมโห เราก็อาจมีวิธีบอกว่า ส่งเงินจำนวนนี้มาคืนท่าน ขอให้ท่านแบ่งกันตามภาวะ ก็อาจจะถึง ก็คือว่าไม่ก่อศัตรูผู้ที่เป็นเจ้าของหนี้เรา

ฉะนั้น ท่านมาหาหลวงปู่ บางครั้งท่านก็ระบุชื่อคนที่ท่านจะต้องทำ ก็หมายความว่า ท่านมีเจ้าหนี้เพียงคนเดียว แต่ถ้าให้ใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวร ท่านจงเข้าใจว่า ท่านมีเจ้าหนี้หลายคน ท่านก็ไม่อยากให้เกิดศัตรูกับเจ้าหนี้คนใดคนหนึ่ง ก็ว่ารวมกันไป


สมมติว่า ทำบุญ ๑๐ บาท ก็ว่าส่งเงินมาให้เอ็ง ๑๐ บาท มี ๑๐ คน ก็แบ่งกันไปคนละบาทก็แล้วกัน ถ้าเราจะส่งให้นาย ก คนเดียว นาย ข ซึ่งอยู่ด้วย ก็จะโมโหหาเรื่องขึ้นมาหน่อยแน่ กูก็เป็นเจ้าหนี้ ทำไมไม่ส่งมาให้กู

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า วิธีการทำงาน คือ วิญญาณที่มาโปรดมนุษย์ เป็นวิญญาณเทพพรหมชั้นสูง ที่มีบารมี เขาย่อมจะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มนุษย์ก่อกรรมก่อเวรขึ้นอีก และให้มนุษย์มีทางหายป่วย ทั้งในด้านจิตใจ และในสังขารร่างกาย

นี่คือ หลักแห่งการทำงานของโลกวิญญาณ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

กรรมกับการดุลกรรม


(วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

คุณอารีย์ สุวรรณพันธ์ : ขอกราบนมัสการ กราบเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับกรรมที่ทำไว้ในอดีตน่ะค่ะ ตอนนี้ได้รับทุกข์ทรมานมาก อยากทราบว่าจะมีวิธีล้างกรรมที่ทำไว้ได้อย่างไรคะ

สมเด็จ :
เจริญพร คือในปัญญาเรื่องกรรม แล้วจะล้างให้กรรมนั้นหมดจากสังสารวัฏนั้น เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันพระปลายเดือน อย่างบางคนที่เคยไปสำนักต่างๆ เกี่ยวกับพวกที่เทพที่ลงมาทำงาน ส่วนมากเขาจะหยุดวันพระ แต่ว่าสำนักปู่สวรรค์ไม่มีวันหยุด เพราะอะไรเล่า

สำนักปู่สวรรค์ เขาเรียกว่าเป็นปู่ครู คือบรมครูสวรรค์มาทำงาน ซึ่งก่อนที่จะมาที่นี่ ก็ได้รับการคารวะจากเทวดาทั้งหลายที่มาทำงานในโลกมนุษย์ แล้วก็ได้แสดงธรรมในที่ประชุม ที่ศาลาฟังธรรมที่สวรรค์ชั้นดุสิต ในเรื่อง “กรรม” เหมือนกัน ก็เลยตกลงมาต่อในโลกมนุษย์ แสดงว่าสมเด็จโตหากินสองรายการ

ทีนี้ ในเรื่องกรรมนี้ ท่านต้องเข้าใจว่า เราเป็นชาวพุทธหรือไม่ เมื่อเราเป็นชาวพุทธแล้ว หลักแห่งศาสนาพุทธนั้น สอนให้เชื่ออยู่ในภาวะแห่งความเที่ยงของกรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ก็ขอให้ท่านใช้สมองแห่งความเป็นธรรม แห่งการเป็นคนกลาง ให้มีคำว่า “ยุติธรรม” พิจารณาว่า ท่านมาสังเกตการณ์ในสำนักปู่สวรรค์

ท่านจะเห็นว่า ตั้งแต่บ่ายโมง ร่างนี้ยังไม่ได้กินอาหาร บ่ายโมงเชิญหลวงปู่มาทำงาน เกือบสามชั่วโมง เสร็จแล้วลุกขึ้นให้พระพรหมชินนะไปไล่พวกปีศาจ อสุรกาย หรือพวกไสยคุณ เป็นชั่วโมงๆ แล้วกลับขึ้นมา ถึงกลายเป็นอาตมาขึ้นเทศน์ เรียกว่า ติดต่อกันโดยไม่ได้พัก ไม่ได้กินอาหาร ไม่ได้ดื่มน้ำ


ถ้าไม่ใช่สิ่งลี้ลับแล้ว มนุษย์ธรรมดาท่านลองแสดงให้อาตมาดูบ้างซิว่า เป็นเวลาห้าหกชั่วโมงนี้ ทำได้ไหมในโลกมนุษย์ แล้วก็เจอปัญหาธรรม ป้อนคำถามเข้ามาโดยไม่ได้ซักซ้อม หรือเตรียมตัวมาก่อน แล้วจะแก้อย่างไร ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านพิจารณาวินิจฉัยต่อไป

pngegg.5.3.1.png




การดุลกรรม


ในหลักพุทธศาสนาของเรา สอนให้เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม แล้วภาวะแห่งคำว่า “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว” นี่เป็นกฎแห่ง “ปัจจัตตัง” ฉะนั้น กรรมในอดีตที่ผ่านมา หรือกรรมชั่วนั้น เราจะลบล้าง ไม่มีทางลบล้าง

ทีนี้ เมื่อไม่มีทางลบล้างแล้ว เราจะทำอย่างไร ให้กรรมนั้นเสวยสู่เราน้อยเล่า เราก็ต้องประกอบกรรมดีขึ้นมา ยกตัวอย่าง สมมติเราติดหนี้นาย ก อยู่ ๒๐ บาท เราก็สร้างลูกหนี้มาทวงเรา เราก็ให้ไปเอากับนาย ข เราก็หลุดออกมา เขาเรียกว่า ตัวเราก็หลุดจากกรรมอันนั้น เราก็พ้นตัว นี่คือ ภาวการณ์ดุลกรรม

ฉะนั้นเรื่องกรรมนี้ ท่านต้องไปเสวยในปรภพ แล้วท่านก็อย่าไปยึดตามอาจารย์ที่สอนท่าน ดูเหมือนว่าเราจะเป็นนักเรียนวิปัสสนา อภิธรรมกับเขาด้วยมิใช่หรือ

คุณอารีย์ : ใช่ค่ะ

สมเด็จ : แล้วอาจารย์ที่สอน เดี๋ยวนี้ไปมีเมียกี่คนแล้วล่ะ ฉะนั้นเราต้องพิจารณา เราอย่าหลงตามอารมณ์คน ทำไมเขาจึงไม่ชอบสำนักปู่สวรรค์ เพราะสำนักปู่สวรรค์ สมเด็จโตมาทำงาน คือสมเด็จองค์นี้ แต่ไหนแต่ไร เขาเรียกว่า เป็นสมเด็จที่ไม่สุภาพ ไม่เหมือนกับสมเด็จทั้งหลาย คือพูดอะไรก็ตามเรื่องตามราว คือไม่รู้จักประจบสอพลอ แล้วอาจารย์ที่สอนน่ะ สอนให้เราหลงใช่ไหมล่ะ ว่าเราสำเร็จฌาน ๑๖ แล้ว

คุณอารีย์ : ใช่ค่ะ

สมเด็จ : อือม์..เสร็จแล้วอาจารย์สูบบุหรี่วันละกี่ซอง ฉะนั้น เราต้องพิจารณาถึงอาจารย์ที่สอนด้วย ต้องเข้าใจว่า การเป็นพระนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ผ้าเหลือง พระอยู่ที่คุณธรรม พุทธะอยู่ที่ใจ ต้องคนถึงธรรมอันแท้จริง จึงเรียกว่าพระ และจะต้องหลุดแห่งการติดของสังคม

ฉะนั้น อาจารย์สอนวิปัสสนา บอก เอ็งนั่ง เอา ได้ฌาน ๑๖ แล้ว สำเร็จแล้ว ไอ้นี่หลงไปใหญ่ ว่ากูสำเร็จได้ฌานแล้ว คุยจนฟุ้ง เรียกว่าทุกวันนี้ แต่ละวัดมันมีแต่เรื่องฟุ้ง ฉะนั้น เราควรหันกลับมาค้นจิตในจิต

ค้นจิตในจิตนี้ เราจะทำอย่างไร ก็คือให้ท่องคติประจำใจที่อาตมาให้ก็คือ
อดีตที่ผ่านมานั้น อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือการต่อสู้ อนาคตคือความหวัง เรามีความหวังแต่อย่าหลง เมื่อหลงก็นำความหายนะมาสู่เรา

อดีตคือความฝันนั้น เราก็ต้องพยายามละทิ้งอารมณ์แห่งความผิดในกรรมชั่ว ในอดีตที่เราพัวพันมา ให้สลัดมันออกไปว่า สิ่งนั้นเป็นอุปทานที่เราเกิดขึ้นมา และเรามีกรรมที่จะต้องมาทำ มาพัวพันในเรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งอาตมาก็ไม่อยากพูด เพราะพูดไปเดี๋ยวกลายเป็นประจานไป

ก็คือว่าให้ทิ้งมันเสีย แล้วมาตั้งต้นอารมณ์ปัจจุบัน ว่าบัดนี้ข้าจะตั้งต้นเป็นคนดีอยู่ในศีลในสัตย์ จะไม่กระทำให้หนุ่มทั้งหลายมาคิดรักข้า ข้าจะไม่เข้าใกล้กับหนุ่มทั้งหลาย ให้เกิดความพัวพันในการฆ่ากันขึ้น และบัดนี้ ข้าสำนึกในกรรมนั้นแล้ว ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอโหสิกรรมให้ข้าเสีย


ข้าจะตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการภาวนาอยู่ในศีล หมั่นสำรวมจิต คือรวมอารมณ์ให้เป็นสมาธิเสีย อย่าไปเป็นวิปัสสนึก คือพยายามรวมให้จิตแข็งแกร่ง ด้วยการใช้พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ให้ละทิ้งอารมณ์ภายในที่เราต้องการละ ทีนี้ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เราก็พยายามทิ้งอุปทานอันเดิม มาสู่ปัจจุบัน

ปัจจุบันคือการต่อสู้ ต่อสู้ให้ชนะอารมณ์เดิม แล้วปรับอารมณ์ใหม่ให้ชนะทั้งภายในและภายนอก ให้อยู่สัมมาทิฐิ แห่งอารมณ์แห่งความรู้ของสมถกรรมฐานให้ถึงองค์ฌาน

ภาวะแห่งการถึงองค์ฌานนี้แหล่ จะทำให้กระแสจิตเราเข้มแข็ง เมื่อจิตเราเข้มแข็ง เขาเรียกว่า รู้แห่งฌาน ก็ย่อมที่จะรู้บางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยแก้ไขกรรม นี่คือ เรื่องของการดุลกรรม เข้าสู่จุดละ

ฉะนั้น ถ้าชีวิตเรายังไม่สามารถพุ่งออกจากสังสารวัฏ เราก็ไม่มีทางที่จะหมดกรรม ยังจะต้องอยู่ในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการเป็นสัตวโลก


ทีนี้ ในภาวะนี้ ถ้าเราหมั่นสำรวจตัว และหมั่นสำรวจจิตแล้วไซร้ เราจะต้องรีบสร้างทานบารมี ด้วยการทำบุญทำทาน ตักบาตรพระ ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อให้บารมีอันนี้มาเสริม ช่วยในเรื่องที่จะเกิดกรรม ที่เรียกว่าสัตวโลกต้องมาตาย เพราะความพัวพันกับเรา และอีกอย่างหนึ่ง ก็จะช่วยให้เรา เมื่อสิ้นชีวิตดับจากโลกมนุษย์แล้วไปสู่ปรภพ จะได้เสวยกรรมดี

pngegg.5.3.2.png




สร้างกรรมพัวพันกับพระโพธิสัตว์


ท่านทั้งหลายมาวันนี้ สมเด็จโตจำเป็นต้องคุยโว สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักโลกวิญญาณมาตั้งในโลกมนุษย์ ก็เรียกว่าเป็นเชิงบันได ที่ท่านจะไปสวรรค์หรือไปนิพพาน

ท่านได้ถวายตัวเป็นสานุศิษย์พระโพธิสัตว์แห่งยุค (หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ที่จะสำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรยแล้วไซร้ ก็ขอให้ท่านหมั่นภาวนาไหว้ระลึกถึง เมื่อท่านสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว ท่านอาจจะมีโอกาสเข้าสู่อาณาจักรโพธิสัตว์ด้วยการเสวยบุญ เรียกว่า ไม่ใช่พ้นกรรมเดิม แต่อย่างน้อยก็จะช่วยให้ท่านไม่ต้องเสวยกรรมชั่วที่ท่านสร้าง หลังจากนั้น ท่านเข้าสู่การเสวยกรรมดี

ท่านมีโอกาสดีในการที่เป็นสาวกของพระโพธิสัตว์ ที่มาพบกันระหว่างมนุษย์กับวิญญาณนี้ ก็จะช่วยให้ท่านเข้าสู่เทวโลก หรือพรหมโลกได้เร็วกว่าคนอื่น เรียกว่า ได้สิทธิพิเศษบางอย่าง อันนี้เป็นเรื่องที่ให้ท่านวินิจฉัย

อาตมาไม่ต้องการให้ท่านเชื่อ เพราะพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรายึด พุทธศาสนาสอนให้เราละ ละอัตตาทิฐิ ละสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ให้หมดไป เพื่อนำตนให้หลุดจากสังสารวัฏ ไปสู่แดนนิพพาน นั่นคือหลักแห่งสัจธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้ ในภาวะขณะนี้ เรายังเป็นอารมณ์ปุถุชน เรายังอยู่ในฝ่ายครองเรือน เราก็อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องการละจากสังสารวัฏ ให้เราหันมายึดในเรื่องของนามธรรมให้แข็งแกร่ง คือยึดในเรื่องเทพพรหม ยึดในเรื่องบุญบาปให้แน่นหนา เมื่อนั้นก็จะพบชีวิตแห่งความสันติ และท่านก็มีทางที่บำเพ็ญในโลกวิญญาณดีกว่าคนอื่น

ฉะนั้นในเรื่องกรรมนี้ เป็นกฎแห่งปัจจัตตัง เรียกว่า ผู้ใดสร้างกรรมดี ย่อมได้เสวยดี ผู้ใดสร้างกรรมชั่ว ย่อมได้เสวยชั่ว

ทีนี้ ผลแห่งวิบากนี้จะดุลกันได้ ต่อเมื่อท่านสำนึกตน และมีความฉลาดนั่นแหละ จะช่วยให้ท่านได้มีโอกาสใช้หนี้ แล้วยังมีสตางค์ไปใช้ในปรภพ พอจะเข้าใจไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

แผ่เมตตาให้ศัตรูอโหสิกรรม


(วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : ขอกราบเรียนถาม วิธีแผ่เมตตาให้แก่ศัตรูจะปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : เจริญพร คือในหลักแห่งความจริงของการแผ่เมตตานั้น เป็นการชำระจิตของเรา ให้เป็นมิตรกับสรรพวิญญาณทั้งหลาย ที่มีอยู่ในพิภพนี้ และในสภาวการณ์ เราจะใช้บทแผ่เมตตาบทใดบทหนึ่งก็ได้ แต่จุดสำคัญ ต้องอย่าลืมว่า บทแผ่เมตตาของที่นี่ เป็นบทที่แผ่ทั้งสามโลกสี่โลก ครอบจักรวาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลังจากเราสวดมนต์ใดๆ หรือประกอบกุศลใดๆ ก็แล้วแต่ เราแผ่เมตตาบทนั้น แล้วก็ระบุชื่อถึงผู้นั้น ขอให้กุศลผลบุญที่เราสร้างนี้ ขอให้ผู้นั้นจงได้รับตามสภาวการณ์แห่งกรรมวิบาก ซึ่งเราเป็นมนุษย์ด้วยกัน เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต่างคนต่างมีกรรม ต่างคนต่างมีภาวะต้องมาเสวยกรรมวิบาก ต่างกรรมต่างวาระ เราจะมาเป็นศัตรูกันเพื่ออะไรเล่า อันนี้เราก็แผ่ไปเรื่อยๆ ผู้ที่คิดร้ายต่อเรา มันก็อาจจะร้อนไปเอง

นี่คือหลัก เรียกว่า อาวุธอันร้ายกาจขององค์สมณโคดม ก็คือ การใช้หลักเมตตาจิต


pngegg.5.3.1.png




บทแผ่เมตตา


พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นรกโลก มารโลก ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงมีแต่ความสบายจิตสบายใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยพิบัติทั้งหลายนั้นเทอญ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร


(วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พ.ท.สอน นิยมโชค : กระผมสงสัยปัญหาธรรมดา เกี่ยวกับการกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร เราจะกรวดเวลาไหน ใส่บาตรแล้วกรวด หรือว่าเราต้องรอ จนกระทั่งพระฉันเสร็จเสียก่อน

สมเด็จ : ไม่จำเป็นเวลาไหน เมื่อเราใส่เสร็จจะกรวดก็ได้ เราลืมไป คืนนี้จะนอนกรวดก็ได้ เราลืมไป เข้าห้องส้วมกรวดก็ได้

พ.ท.สอน : ทีนี้เขาบอกว่า ถ้ากรวดช้านี่ อาหารจะบูดเสียหมด เดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรจะไม่ได้อาหารที่ดี

สมเด็จ : เจ้ากรรมนายเวรเขาเสวยในอาหารทิพย์ เขาไม่ใช่เสวยอาหารที่เราใส่บาตรเข้าไป แล้วมันจะบูดยังไง

พ.ท.สอน : ทีนี้ ในการเจ็บป่วยนี่ เราจะใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวร เราจะทำยังไงจึงจะถึงเจ้ากรรมนายเวรโดยสะดวกที่สุดครับ

สมเด็จ : จะให้ถึงสะดวกที่สุดก็คือ ก่อนเราจะกรวดน้ำ เราทำสมาธิ แล้วแต่จิตทำได้สักสิบนาที หรือสิบห้านาที หรือว่าครึ่งชั่วโมง แล้วให้จิตนั้นว่างจากสรรพสิ่งได้หรือไม่ เราต้องถามตัวเราก่อน ว่างจากสรรพสิ่งได้ แล้วเราใช้เจตนาแห่งความแน่วแน่ อธิษฐานบารมีให้ถึงเจ้ากรรมนายเวร อาตมารับรองว่า จะหายได้เร็ว

ทีนี้ มนุษย์ทุกวันนี้มันไม่ทำ แล้วเอาแต่ถาม ถามแล้วไม่รู้จะถามไปทำอะไร

พ.ท.สอน : ฉะนั้น ในการกรวดน้ำนี่ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : เอ็งเอาน้ำมาให้กูกินยังอร่อยกว่า คือนั่นเขาเรียกว่า คนที่ไม่เข้าซึ้งถึงคำว่า พุทธศาสนาคืออะไร ก็ทำให้ศาสนามันกลายจนไม่รู้เป็นศาสนาอะไร เข้าใจไหม คือในหลักแห่งการบวช บวชไม่ใช่บวชเพื่อให้เรียนเป็นมหาเท่านั้น บวชไม่ใช่เพื่อหวังตำแหน่งเจ้าคุณเท่านั้น แต่บวชเพื่อให้ตัวเองนั้น ละออกจากสรรพสิ่งในกิเลส เพื่อบำเพ็ญตนให้รู้ในองค์ฌาน เข้าซึ้งถึงธรรม

การเป็นพระอรหันต์ มีหน้าที่ปลดทุกข์ การเป็นพระอริยสงฆ์นั้น มีหน้าที่เป็นไปรษณีย์ไถ่กรรมให้กับเหล่ามนุษย์ เช่น พวกมนุษย์เขามาทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน

ถ้าในยุคสมัยองค์สมณโคดมแล้ว เขาจะรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ ระหว่างเขาเอาอาหารลงใส่บาตรนั้น ขณะนั้นกระแสจิตเขาอธิษฐานอะไร แล้วเมื่อพระอรหันต์องค์นั้น กลับมาถึงวิหารเชตวัน ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรีบทำตามกระแสจิตของวิญญาณทั้งหลายที่มา คนที่มาใส่บาตรกี่คน เราจะต้องทำตามจิตนั้นให้เขาเสร็จ แล้วถึงมาบำเพ็ญฌานของตน นั่นคือในยุคนั้น

เพราะฉะนั้น ทำไมจึงบอกว่า ทำบุญในยุคนั้นได้เนื้อนาบุญ และได้ผล ทุกวันนี้ บางคนก็อาศัยผ้าเหลืองเพื่อเป็นโจรก็มี เพราะฉะนั้น ในการทำบุญก็เรียกว่า ดูการกระทำ เราถือว่าทำบุญนี้ เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อให้เราไม่เป็นบุคคลตระหนี่ เป็นคนที่เรียกว่า มีการเสียสละ ให้ใจเบิกบาน


เราก็ถือว่า ถ้าพระสงฆ์ไม่ถึง เราก็ใช้หลักแห่งการกระทำของเราให้มันถึง ก็คือ เราจะต้องส่งเสริมด้วยบารมี แห่งการอธิษฐานของเราด้วย เพื่อไปเสริมให้บุญนั้นสำเร็จมรรคผล

พ.ท.สอน : อีกนิดหนึ่งครับ คือมีบางท่านกล่าวว่า ในการกรวดน้ำนี่ ถ้าหากว่าเรากรวดน้ำให้แก่เจ้าสมุห์บัญชี หรือผู้ที่เป็นผู้จด อะไรนี่เสียก่อน แล้วฝากให้เขาจะไปถึงเร็ว อย่างนี้จะเป็นความจริงไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้ก็เป็นการให้สินบนยมบาล เพราะฉะนั้น ยมบาลต้องถูกเตะตูดให้มาเกิดในโลกมนุษย์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

การต่ออายุขัย


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณชุบชีพ นกแก้ว : ดิฉันมีความสงสัย อยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า ผู้ที่ถวายทานไปแล้ว จะได้อายุยืน มีวรรณะสวยงาม มีความสุข และเกิดพลัง คำว่าอายุยืนนี้ จะต่ออายุกันได้ไหมเจ้าคะ

สมมติว่า นาย ก ทำกรรมไว้ เช่น เบียดเบียนสัตว์ ก็ต้องเป็นคนขี้โรค และฆ่าสัตว์ก็เป็นคนอายุสั้น แต่เมื่อเขาไปถวายทานแล้ว เขาจะต่ออายุขัยได้ไหมเจ้าคะ แล้ว พร ๔ อย่าง คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ นี้ จะได้ในปัจจุบันชาติหรืออนาคตชาติ แต่ถ้าหากว่าได้ในปัจจุบันชาตินี้ สงสัยว่าจะค้านกับกฎแห่งกรรมกระมั่งคะ?

สมเด็จ : เสียงนกแก้ว      แจ้วแจ้ว       ถามธรรมะ
            ว่าวรรณะ           สี่นั้น            เป็นอย่างไร
            การทำบุญ         ได้บุญ          ปัจจุบัน
            อนาคต             ค้านกัน         ไม่ถึงไซร้
            จิตนิ่ง                ฟังเอย

คือ หลักแห่งคำว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ นี้ เขาเรียกว่า เป็นการให้ศีลให้พรตามภาวะกรรมแห่งการทำบุญของคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นจะได้หรือไม่ อันนี้เป็นปัญหาเรื่องใหญ่ ส่วนการต่ออายุนั้น จะต่อได้หรือไม่ อันนี้อาตมาจะอรรถาธิบายให้ฟัง

หนึ่ง  ถ้าบุคคลนั้นถึงอายุขัย สิ้นแห่งความเป็นอยู่ของภพของตนที่เสวยชาติเป็นมนุษย์แล้ว เรียกว่า หมดอายุ ต่อให้พระพุทธเจ้าก็มาต่อให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านที่หลงการต่ออายุ เอาเงินไปกินขนมดีกว่า

สอง  แต่ถ้าอายุนั้น เป็นการที่เรียกว่า “ตายเทียม” หมายความว่า ท่านมีอกุศลวิบากขนาดหนัก ที่จะทำให้ท่าน จิตวิญญาณจะต้องถอดออกจากขันธ์ปัจจุบัน อันนี้ช่วยได้ ช่วยได้อย่างไรเล่า ช่วยได้โดยเรียกว่า ต้องเทพพรหมช่วยท่าน

ถ้าศึกษาในหลักพระสูตร ท่านศึกษาในหลักพระอภิธรรม ท่านย่อมรู้ว่า อายุของเทพพรหมนั้นเป็นพันๆ ปี คือเขาจะเอาอายุของเขานี่แหละ เสริมให้กับท่าน

อย่างในขณะนี้ สำนักปู่สวรรค์ เดือนมิถุนายนจะทำการต่ออายุให้กับบุคคลคนหนึ่ง คือ เจ้าคลุ้ม เพราะในเดือนสิงหาคม มันจะมีกรรมวิบากขนาดหนัก ที่เรียกตามภาษาชาวบ้าน “ดวงดับ” ในฐานะที่เอาจริงกับงานของโลกวิญญาณ อาตมาก็บอกแล้วว่า ท่านทำงานกับสำนักปู่สวรรค์นั้น เงินเดือนไปคิดกันที่โลกวิญญาณ เพราะว่าอาตมาไม่มีจะจ่ายให้ในโลกมนุษย์


แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้วไซร้ วิญญาณย่อมจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย ในด้านที่เรียกว่า ส่งดอกเบี้ยคืน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอยู่ในอกุศลกรรมวิบาก แต่ยังไม่หมดอายุขัยตามภาวะกรรม เทพพรหมชั้นสูงสามารถช่วยท่านได้ นี่เรื่องอายุ

ในเรื่องของวรรณะ วรรณะ หมายความว่า กรรมวิบากในอกุศลและกุศลในอดีตชาติส่งท่านมาสู่ในปัจจุบันชาติ ที่ท่านจะมาเกิดในวรรณะใด ตระกูลใด ฉะนั้น การให้ศีลให้พรวรรณะนี้ หมายความว่า ผลอันนี้จะสนองท่านได้ ต่อเมื่อในอนาคต ในปรภพ ในอนาคตชาติ

สุขะ ในตัวนี้หมายความว่า ถ้ามนุษย์เรามีจิตใจแห่งความเบิกบาน ไม่มีความวิตก ไม่มีความทุกข์แล้ว ก็ย่อมที่จะเกิดพละกำลังได้ ในร่างกายสมบูรณ์ขึ้น

นี้คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์บ้าในด้านคำดี เขาเรียกว่า ชอบให้คนพูดดี พระก็เลยประดิษฐ์คำพูดมาให้ว่า “โยมเอ๋ย โยมนั้นถวายสิ่งนี้ให้แก่อาตมา อาตมาขอให้โยมนั้น มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ เต็มด้วยอานิสงส์ ธนสมบัติ” แม่นั่นยิ้มแฉ่งเลย

ครั้งหนึ่ง อาตมา รับนิมนต์เจ้าหมื่นพิทักษ์ราช นิมนต์สมเด็จโตไปเลี้ยงฉันเพล ฉันเสร็จแล้วสมเด็จโตให้พรว่า “โยมเอ๋ยโยม วันนี้ถวายข้าวปลาให้สมเด็จโตกิน เพราะฉะนั้น ก็ขอให้พ่อของโยมตายก่อนโยม” มันหน้าบึ้งเลย นี่เราให้พรแบบสัจจะ พ่อมึงต้องตายก่อนมึง ดีกว่ามึงตายก่อนพ่อ มันฟังไม่รู้เรื่อง


เพราะฉะนั้นในสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า มนุษย์ยังติดสมมติบัญญัติ ภาวะแห่งการติดสมมติบัญญัตินั้นแหล่ เขาจึงร่างหลักคำพูดโวหารเพื่อให้มนุษย์ฟังแล้วเคลิ้ม

ทีนี้ สิ่งเหล่านี้ท่านจะได้หรือไม่ อยู่ที่ท่านทำ ท่านทำกุศล กุศลย่อมที่จะสนองท่านเอง แล้วผู้ที่ให้พรนั้น มีพลังเพียงพอหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ท่านเชื่อกฎแห่งสสารพลังงานหรือไม่ ถ้าท่านเชื่อกฎแห่งสสารพลังงาน น้ำระเหยขึ้นไปเป็นไอน้ำ ไอน้ำตกมาเป็นฝน นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ง่ายๆ


ก็คือ กรรม กุศล อกุศล ย่อมที่จะเกิดวิบากแก่ท่านไม่ภพนี้ก็ภพหน้า นี่เป็นหลักแห่งสัจธรรม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

กฎแห่งกรรม


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์เจ้าขา พูดถึงกุศล อกุศล กรรมอดีต กรรมอนาคต หรือกรรมปัจจุบันนี้ อยากจะเรียนถามอีกสักข้อเถอะเจ้าค่ะ

คือ มีผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้หนึ่ง ท่านได้โกงเงินหลวง ต่อมาถูกจับได้ ดิฉันรู้จักท่านผู้นี้เจ้าค่ะ เป็นถึงคุณพระ ตอนที่ท่านโกงนั้น ดิฉันยังเล็กอยู่ พอถูกจับได้ ก็ถูกถอดบรรดาศักดิ์ ท่านเลยแกล้งทำเป็นบ้า แต่ต่อมาเกิดบ้าจริงๆ

อันนี้ละเจ้าค่ะ ดิฉันอยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า กรรมอันนี้เป็นกรรมในอดีตชาติส่งผลมา หรือว่าโกงเขาแล้วกรรมทันตาเห็น เกิดบ้าขึ้นมาจริงๆ แล้วในอนาคตชาติต้องไปรับกรรมอีกไหมเจ้าคะ คือตามธรรมดาเขาก็แกล้งทำเป็นบ้าอยู่แล้ว โดยสร้างรูปบ้าขึ้นมา ไม่ต้องการรูปดี

ตามหลักอภิธรรมแล้ว อนาคตชาติจะต้องเจอจะต้องบ้าจริงๆ แต่นี่เกิดบ้าจริงในปัจจุบันชาติ แล้วในภพหน้าโน้น รูปบ้ามันจะเกิดติดมาอีกไหมเจ้าคะ?

สมเด็จ : อันนี้ต้องดูตอนที่จะสิ้นจากโลกมนุษย์ นี่คือจุดสำคัญ ตอนที่จิตวิญญาณจะถอดออกจากขันธ์ ในขณะนั้นอารมณ์แห่งความบ้านั้น จะตรึงตลอดหรือไม่ ถ้าตรึงตลอด ไปปรภพก็ต้องไปเสวยกรรมนี้ แล้วก็ในอนาคตภพก็อาจจะเป็นบ้า

ทีนี้ อารมณ์แห่งความบ้านั้น ท่านอย่าลืม คนดีก็ดี คนบ้าก็ดี เวลาจะตาย อารมณ์นั้นเปลี่ยน เขาเรียกว่า วาระสุดท้ายแห่งจิตวิญญาณจะถอดออกจากขันธ์

เพราะฉะนั้น ในเรื่องที่มนุษย์ผู้นี้โกง เรียกว่า กรรมวิบากในอดีตส่งมา ปัจจุบันเสริมเข้ามาหนุน ก็ทำให้บ้าได้ในปัจจุบัน แล้วก็มีความกลัว ความกลัวนี้แหละ จะทำให้มนุษย์บ้า

พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ท่านสร้างทั้งที่ลับและที่แจ้ง ท่านย่อมได้รับฉันใด ความบริสุทธิ์ท่านสร้างทั้งที่ลับและที่แจ้ง ท่านก็ย่อมได้รับฉันนั้น

อย่างมนุษย์ผู้นี้ เรียกว่าหัวโกง แล้วทำแกล้งบ้า ภาวะแห่งความกลัวในมโนภาพที่หลอกหลอนตนนั้นแหละ ส่งเสริมให้บ้าจริงๆ ขึ้นมา เรียกว่า พลังงานในสภาพปั้นขึ้นมาสมกับที่ต้องการบ้า

ทีนี้ว่า จะส่งผลไปในอนาคตชาติหรือไม่ ต้องดูในวาระจิตวิญญาณจะสิ้นจากโลกมนุษย์

คุณชุบชีพ : ถ้าอย่างนั้นจะค้านกับหลักอภิธรรมไหมเจ้าคะ ที่ว่าถ้าสร้างกัมมชรูปแล้ว จะต้องไปเจอรูปอันไม่งาม

สมเด็จ : รูปอันไม่งามนั้น หมายความว่า ในปรภพ อกุศลในปรภพต้องไปเสวย ท่านอย่าลืม ระหว่างเป็นวิญญาณต้องเสวยกรรมอันหนึ่ง ซึ่งอาตมาบอกแล้วว่า เอาเรื่องโลกนั้นมาคุยกันกับโลกนี้มันเปรียบกันยาก ระหว่างเป็นวิญญาณต้องเสวยในรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งหลังจากเสวยกรรมวิบากอันนั้นแล้ว วิญญาณนี้จะอิสระ

เปรียบง่ายๆ เอาอย่างนี้ ขณะนี้อาตมาอยู่ที่รูปพรหม เรียกว่าจะบำเพ็ญไปที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าอาตมาเกิดหลง ไม่บำเพ็ญ แล้วก็เกิดติดแม่นกแก้ว ซักกันไปซักกันมาอยู่เรื่อย มาคุยกันเรื่อยๆ ฌานญาณไม่ทำ พลัดจิตเริ่มตกๆ ๆ พลังแห่งการตกนี้แหล่ เมื่อถึงคราววิบาก เรียกว่าหมดอายุขัยในพรหมโลก วิญญาณนี้ต้องเป็นวิญญาณอิสระ พอเป็นวิญญาณอิสระ จะต้องหากรรมพัวพันที่มีภพ ที่จะเกิดในโลกมนุษย์

เรื่องกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า คนเข้าใจมาที่นี่ เขาจะศรัทธา ถ้าไม่เข้าใจมาที่นี่ เขาไม่ศรัทธา เพราะอะไรเล่า มาถึงถามเรื่องหมอดู สมเด็จก็ไม่ดู หลวงปู่ก็ไม่พูด

เพราะว่าสมัยอาตมามีชีวิตอยู่วัดระฆังฯ เล่นในโหราศาสตร์ เทียบในดวงดาว ก็เรียกว่า มีส่วนเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไปอยู่โลกวิญญาณแล้ว ได้รู้ว่า โอ...ไอ้กรรมวิบากนี่ มันเหนือดวงดาว เพราะฉะนั้น จะดูแบบเดาสุ่มไม่ได้ เดาไม่ได้ สำหรับคนๆ หนึ่งที่กรรมวิบากมันถี่ยิบ เรียกว่า อนิจจังของกรรมวิบากของกรรม เราจึงไม่ใช้หลักพยากรณ์ ในระหว่างการมาใช้ร่างมนุษย์ทำงานในครั้งนี้ คือ เราไปอยู่ในโลกนั้นแล้ว เรารู้เรื่องว่ากรรมวิบากมันเป็นอย่างไร มันเป็นลูกโซ่แห่งการพัวพันแบบไหน

เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ขัด อันนี้ไปเสวยในรูปภพ ในปรภพจากอนาคต นี่มันเรื่องอีกไกล อีกช่วงหนึ่ง เข้าใจหรือยัง


คุณชุบชีพ : ก็แสดงว่า คนที่บ้านั้น ถ้าตอนเวลาเขาดับจิต เขาหายบ้า ถ้าจิตเขาเป็นกุศล เขาไปสู่ภพใหม่ รูปที่เขาสร้างไว้เป็นกัมมชรูปนั้น ก็ไม่ได้ตามไปใช่ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ไม่ เพราะว่าพลังกระแสมันอ่อน วิ่งไปไม่ทัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 22:34 , Processed in 0.059556 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.