แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

การเป็นพระที่ดี


(วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๒)



พระสงบ จิตธรรม : กราบนมัสการหลวงพ่อสมเด็จ กระผมจะเดินทางธุดงค์ไปจังหวัดมหาสารคามครับ

สมเด็จ : ในการเดินทางไปในที่ใดๆ ก็แล้วแต่ จุดสำคัญของคำว่าพระภิกษุสงฆ์นั้น การเป็นภิกษุสงฆ์ไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนห่มผ้าเหลืองเท่านั้น สิ่งที่จะต้องละในสิ่งแรก ก็คือ การติดในเรื่องหมากพลู ในเรื่องของยาเสพติด สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะต้องละ

เพราะอะไรเล่า เพราะการที่เราจะเรียกว่าเป็นพระนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นง่าย ปุถุชนเข้ามาห่มผ้าเหลืองก็เพื่อบำเพ็ญ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เข้าสู่การเป็นสงฆ์ก็เพื่อการเป็นอริยสงฆ์ และการเป็นมนุษย์นั้น ต้องรู้จักคำว่า “พอ” ในเรื่องของวัตถุ ถ้ามนุษย์เรายังไม่รู้จักตัว “พอ” เขาเรียกว่า แบกขันธ์ ๕ ไว้ทูนหัว ย่อมหนัก ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ ทิ้งเสีย ย่อมไม่หนัก

เพราะอะไรเล่า เพราะว่าทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมเป็นของอนัตตา ชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งสมมติ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะต้องเริ่มฝึกและพยายามฝึก เพราะว่า เราต้องคิดว่า อายุขัยของเรานั้น ทุกๆ วัน ร่วงโรยสู่ห้วงเหวแห่งความตาย ทุกๆ วัน คำว่า “ตาย” มาคอยอยู่กับเรา

ฉะนั้น ถ้ามนุษย์จะบวชก็ควรคำนึงในข้อนี้ ไม่ใช่เอาผ้าเหลืองมาห่มไว้เพื่อหาความสุขทางโลก

และในการเป็นพระที่จะออกธุดงค์นั้น เป็นกฎวินัยที่องค์สมณโคดมวางไว้ ตั้งแต่การสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องออกธุดงค์เพื่อเผยแผ่สอนคน ทีนี้ ในการที่จะสอนคนนั้น สิ่งแรกที่ติดในสิ่งเล็กๆ ถ้าเราไม่ละ เราย่อมที่จะสอนให้คนเชื่อถือไม่ได้

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเขาเบื่อคนห่มผ้าเหลือง เพราะส่วนมากคนห่มผ้าเหลืองก็ปฏิบัติตัวคล้ายๆ ฆราวาส และในการบวช คำว่า “ผ้ากาสาวพัสตร์” มาถึงยุคนี้ ไม่รู้เรียกผ้าอะไร ถ้าจะบวชตามรอยองค์สมณโคดมที่ถูกต้องแล้ว จีวรจะต้องเอาจากผ้าตราสัง เอามาย้อมแก่นขนุนให้เป็นสีฝาดเพื่อห่มครองตน ไม่ใช่แบบในยุคนี้ พระมีเตารีด รีดผ้าเหลืองให้เงาวับ สิ่งเหล่านี้แหล่ ทำให้คนเห็นแล้วหมดความนับถือ เพราะพระสงฆ์ไม่เข้าซึ้งถึงการเป็นพระสงฆ์

ฉะนั้น เราควรปรับปรุงสงฆ์ให้เป็นสงฆ์ที่ดีในยุคนี้ และพระสงฆ์ที่จะออกไปโปรดสัตว์สั่งสอนคนนั้น จะต้องเป็นสงฆ์ที่ละทิ้งในสิ่งแห่งการติดทั้งหลาย เช่น ยาเสพติด บุหรี่ หมากพลู ควรจะละให้ได้ก่อน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

ผู้กล่าวอ้างพระพุทธเจ้ามีบาป


(วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๐)



นายณัฐพร อุชชิน : หลวงพ่อครับ คือผมฟังเทศน์ของหลวงพ่อ ที่ว่าผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ จะเป็นอาจารย์หรือพระก็ดี มักจะกล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้ววจีกรรมอันนี้จะใช้บาปอย่างไรครับ

สมเด็จ : วจีกรรม อันนี้ มนุษย์ที่กล่าวนั้นต้องใช้ในโลกวิญญาณ เพราะสันดานมนุษย์ปัจจุบันนี้มันเต็มทน เช่น มนุษย์ตัวเล็ก มันต้องอ้างว่า ฉันนี่มีเจ้านาย มีผู้ใหญ่ มนุษย์ที่เป็นอาจารย์สอนจะต้องชอบอ้างพระพุทธเจ้า และอาตมาอยากจะถามอาจารย์สอนทั้งหลายว่า ท่านได้ยินหรือว่า คำพูดเหล่านี้องค์สมณโคดมเป็นผู้พูด

เพราะฉะนั้น หลักที่อาตมาจะให้นักสอนทั้งหลาย ที่ว่าตายแล้วจะไม่ให้ตกนรกหนักหน่อย ก็ให้ว่า ฉันนี่แหละ หรือว่า อาตมานี่แหละ ว่าตามตำราที่เขาว่ามา ตำราเล่มนี้มันว่าอย่างนี้นะ นั่นน่ะกรรมอันนี้มันจะตกนรกน้อยหน่อย  ไอ้พวกที่ชอบอ้างว่า คำนี้เป็นคำพูดขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แหม เทศน์กันจนหวานหยดย้อย เขาจดกันไม่ทัน

หลักขององค์สมณโคดมวางไว้ว่า สิ่งใดเราไม่เห็น เราอย่าเพิ่งเชื่อ แต่เราต้องเข้าไปค้น แล้วพิจารณาด้วยเหตุผล แล้วค่อยเชื่อ นั่นแหละคือสาวกของตถาคต เพราะฉะนั้น สิ่งใด คำพูดใด เราไม่ได้ยินจากองค์สมณโคดม เราอย่าอ้างชื่อองค์สมณโคดม นั่นแหละคือสาวกขององค์สมณโคดม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

พระไตรปิฎกคือแนวทาง การปฏิบัติคือทางหลุดพ้น


(วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : ที่เสด็จพ่อบอกว่า พระไตรปิฎกนั้นคนแต่งเติมเอง ถ้าเช่นนั้น เราจะเอาอะไรเป็นแนวทางล่ะเพคะ เพราะพระพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว และก่อนเสด็จสู่ปรินิพพานก็ได้มีรับสั่งบอกไว้ว่า พระธรรมวินัยนี้แหละ จะเป็นสิ่งแทนตัวตถาคต หมายความว่า ให้พวกเรานับถือพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยนี้ได้แก่พระไตรปิฎก และถ้าเราไม่นับถือพระไตรปิฎกแล้ว เราจะมีอะไรเป็นแนวทางดำเนินไป

สมเด็จ : แนวทางที่ทำ คือ ให้ท่านอ่านบทกรรมฐานให้ถ่องแท้ แล้ววางพิจารณาในกรรมฐาน แล้วทำให้เกิดฌานญาณในด้านวิปัสสนานั้น และเหนือสรรพสิ่งในโลกพระไตรปิฎก

องค์สมณโคดมเพียงแต่วางพื้นฐานแห่งพระวินัยไว้เป็นแนวทาง ท่านจะหลุดพ้นต้องอยู่ที่ท่านต้องทำเอง จึงจะหลุดพ้น บางคนเขาบอกว่าพระคาถาชินปัญชรของสมเด็จโต ถ้าสวดมากๆ แล้วก็จะเป็นเศรษฐี ถ้าอย่างนั้นท่านไม่ต้องทำอะไร ปิดประตูนั่งสวดคาถาชินปัญชร แล้งเงินมันก็บินเข้ามาหาเองหรือ

ให้เชื่อในกฎแห่งเหตุผล ในปฏิบัติในการทำตน แล้วท่านจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสรณะ ย่อมเหนือกว่าที่ท่านจะเทิดทูนพระไตรปิฎก

คุณหญิงระเบียบ : สมาธิ ปัญญา ก็อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่นอกพระไตรปิฎก

สมเด็จ : อาตมา เมื่อตะกี้ก็ได้เทศน์ไปแล้ว หมายความว่า พระไตรปิฎกนั้นเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ใช่ให้ยึดหมด อาตมาบอกแล้วว่า อาตมารับรองเพียงแปดพันสี่ร้อย ไม่รับรองถึงแปดหมื่นสี่พัน ก็บอกมาเช่นนั้นตั้งนานแล้ว

ไม่ใช่ว่าให้โยนพระไตรปิฎกเข้ากองขยะ แล้วเอาเท้าเขี่ยเข้าไป อาตมาไม่ได้สอนเช่นนั้น ให้อ่านเป็นพื้นฐาน แล้ววาง แล้วทำ นั่นแหละ เทวดา พรหม และแม้กระทั่งแต่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ

เมื่ออ่านแล้ว อย่าเกาะตำรา ถ้าเห็นผู้อื่นปฏิบัติแตกต่างออกไป ก็อย่าเพิ่งแย้งว่า “คุณแสดงอย่างนี้ไม่ได้ หนังสือเล่มนี้เขาว่าอย่างนี้”


ท่านต้องอย่าลืมว่า หนังสือพระไตรปิฎกในสยามนั้น แปลมาตั้งกี่ภาษา กว่าจะมาเป็นภาษาสยาม คำพูดบางคำแปลตรงตัวไม่ได้ เพราะว่ามันปรับแห่งธรรมชาติไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อาจารย์ที่แปลก็ต่อเติมกิเลสของตนลงไปบ้าง แต่ก็มีส่วนที่เป็นพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ว่าเลือนลางจากพระไตรปิฎกไปหมด

อาตมาพูดอย่างนี้ตั้งแต่มีสังขาร จนถึงปัจจุบันเหลือแต่วิญญาณก็ยังยืนยันคำพูดเดิม

เมื่ออาตมาอยู่วัดระฆังฯ รัชกาลที่ ๔ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจอมอยู่หัว) จะสัมมนาพระไตรปิฎกทีไร อาตมาก็บอกว่า “เจ้าประคุณมหาบพิตร เชิญไปจัดการเองเถิด อาตมาไม่เล่นด้วย” เพราะว่าเรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เรายังไม่ได้เป็นพุทธะแห่งยุค เราจะไปสัมมนาพุทธพจน์ได้อย่างไร ไม่เหมือนอาจารย์สมัยนี้ พออ่านตำราสามเล่ม เป็นอาจารย์ใหญ่ พออ่านตำราห้าเล่ม ชำระพระไตรปิฎก

ผลสุดท้าย พวกชำระพระไตรปิฎกสึกกันเป็นแถว เพราะว่าความอาถรรพณ์ในนั้นมันมี ไม่รู้พุทธพจน์อันแท้จริงก็เอาออกเสีย ใส่พุทธพจน์เก๊เข้าไป อาถรรพณ์จึงเล่นงานพวกเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระไตรปิฎก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

การปฏิบัติตนสู่พุทธะ


(วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมขอกราบถามปัญหาว่า เมื่ออยู่ในเพศฆราวาสนี่ จะปฏิบัติตัดอาสวกิเลสได้อย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ ในหลักแห่งการปฏิบัติตนให้สิ้นอาสวกิเลสนั้นแหล่ ในสภาวะที่เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติไปสู่การสิ้นอาสวกิเลสได้ แต่ถ้าการครองเรือนแล้ว อาตมาคิดว่า จะไปสู่โลกุตระนั้นยาก เพราะมันจะมีลูกโซ่แห่งการพัวพัน แต่ถ้าอยู่ในเพศนักบวช จะปฏิบัติได้ง่ายกว่า

สานุศิษย์ : แล้วถ้าฆราวาสนั้นเป็นคนโสดล่ะครับ จะมีทางบรรลุอริยมรรคอริยผลหรือไม่ครับ

สมเด็จ : อันนี้ อยู่ที่บุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สะสมมา

สานุศิษย์ : เมื่ออยู่ในเพศสมณะ ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรครับ จึงจะสมเป็นเพศสมณะที่แท้จริง

สมเด็จ : การที่จะปฏิบัติตนให้สมกับการเป็นพระ ก็คือ ปฏิบัติในหลักแห่งการว่า

หนึ่ง  พยายามปฏิบัติให้ฉันทะในเอกะอย่างสม่ำเสมอ


สอง  อย่าสะสมในวัตถุที่เขาสร้างมาให้

เพราะเราบวชนั้น บวชเพื่อละ ไม่ใช่บวชเพื่อลาภยศ แต่ว่านักบุญในยุคนี้ทุกวันนี้ เป็นนักบวชที่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เพราะว่าตอนที่บวชก็รับกับอาจารย์ว่า ข้าฯ ทิ้งแล้วซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เหตุไฉนบวชในยุคนี้จึงยังติดอยู่เล่า อาตมาไม่อยากเทศน์ และอาตมาไม่อยากถอยเข้าอนุสติฌาน ดูการกระทำที่เลวร้ายของมนุษย์แห่งกลียุคนี้ เพราะการเป็นนักบวช มีผ้ากาสาวพัสตร์ครอง มีข้าวกินเพื่อปฏิบัติจิตก็พอแล้ว ยังต้องการอะไรอีก


สานุศิษย์ : ถ้ามนุษย์ปรารถนาที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า จะปฏิบัติตนอย่างไรครับ

สมเด็จ : วิธีการที่จะปฏิบัติตนไปสู่การสำเร็จแห่งพุทธะนั้น เช่น การเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี การเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จในแดนพรหมก็ดี หรือการเป็นพระพุทธเจ้าที่สำเร็จจากโลกมนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าเป็นพุทธะแห่งยุค การบำเพ็ญไปสู่การเป็นพุทธะแห่งยุคนั้น ระหว่างเป็นมนุษย์จะต้องปฏิบัติดังนี้

๑. ต้องฉันทะและมีสัจจะในการบำเพ็ญ


๒. จะต้องพยายามอธิษฐานบารมีของตน


๓. จะต้องแสวงในศีล สมาธิ ให้มาก
เพื่อบรรลุแห่งปัญญาวิมุติ

พระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น เรียกว่าเป็นกัปๆ กัลป์ๆ จึงจะมีองค์หนึ่ง แต่ถ้าบำเพ็ญตนไปสู่พรหมโลกแล้ว ไม่ต้องบำเพ็ญมาก ขณะจิตตอนสิ้นจากการเป็นมนุษย์ อารมณ์ของท่านอยู่ในตติยฌานสามแล้ว สภาวะจิตแห่งวิญญาณย่อมจะสู่พรหมโลก คืออาตมาชอบคนซัก และคนซักนั้นต้องปฏิบัติ

สานุศิษย์ : ตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้ได้ครับ

สมเด็จ : การปฏิบัติทางจิตนั้น จะต้องจำไว้ว่า เราอย่าตั้งอุปทานแห่งความหวังสูงส่ง พยายามอย่ายุ่งกับทางโลก และการที่จะได้ฌานญาณนั้น อย่าตั้งอุปทานแห่งความอยาก คือว่ายุคนี้ เกจิอาจารย์ชอบสอนให้คนยึดอารมณ์ ยึดกันจนฟุ้งกันไปใหญ่
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

วิธีการช่วยบิดามารดาให้พ้นจากนรกอเวจี



สานุศิษย์ : จะมีหลักปฏิบัติอย่างไร ในการช่วยบิดามารดาที่สิ้นชีวิตไปแล้วให้พ้นจากนรกอเวจี

สมเด็จ : จงจำเอาไว้ ทุกอย่างที่เราสร้างในโลกมนุษย์ จะไปคิดกันในโลกวิญญาณ เมื่อเราเป็นบุตรแห่งการที่มีความกตัญญู เราจะทำบุญให้บิดามารดาในปรภพ ท่านไม่ต้องไปทำอะไรมาก คือ ท่านนั่งปฏิบัติจิตแห่งการจะระลึกถึงพระพุทธคุณก็ดี พระธรรมคุณ พระสังฆคุณก็ดี สักครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นแล้ว จงตั้งจิตให้แน่วแน่ แผ่เมตตา

บารมีแห่งการปฏิบัติของตนนี้ไปสู่ปรภพ เพื่อบิดาหรือมารดาก็ดี ผลแห่งบุญในกระแสแห่งการถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนี้แหล่ จะช่วยผู้ที่ตกอยู่ในนรกอเวจีนี้ขึ้นสูงจากนรกได้ ยิ่งกว่าการทำทานอะไรทั้งสิ้น เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติเพื่อช่วยเข้าใจไหม

สานุศิษย์ : ครับ แล้วบารมีพระศรีอริยเมตไตรยจะช่วยไม่ได้เชียวหรือครับ

สมเด็จ : ในภาวะอันนี้ต้องเข้าใจว่า องค์ศรีอริยเมตไตรยไม่มีจุดแห่งการที่จะมาช่วยเรื่องของวิญญาณเหล่านี้ เพราะว่า องค์ศรีอริยเมตไตรยกำลังเตรียมตนที่จะมารับช่วงศาสนา สืบต่อจากองค์สมณโคดม กระแสจิตย่อมไม่มีว่างสำหรับผู้ที่จะบูชาทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราปฏิบัติทางนี้แล้ว เราต้องเข้าใจ ถ้าท่านอยากจะให้วิญญาณทั้งหลายหลุดพ้น ท่านจงบูชาพระโพธิสัตว์แห่งยุคซิ

สานุศิษย์ : องค์ศรีอริยมุนีใช่ไหมครับ

สมเด็จ : องค์ศรีอริยมุนีนั่น เตรียมตัวมาเป็นสาวก เพราะฉะนั้นไปคิด สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นเพื่อโกยสัตวโลก แต่จะโกยได้ขนาดไหนนั้น จะต้องแล้วแต่มนุษย์

สานุศิษย์ : พระโพธิสัตว์แห่งยุคนี่องค์ไหนแน่ครับ พระศรีอริยเมตไตรย หรือ หลวงปู่ทวด

สมเด็จ : นี่เขาเรียกว่า กรรมยังบังอยู่ ก็อาตมาพูดไปสองครั้งแล้วนี่

อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวดไงล่ะ

สานุศิษย์ : อ้อ พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

วิธีทำบุญโดยไม่ให้พระได้บาป


(วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : การถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ควรปฏิบัติอย่างไร

สมเด็จ : พูดถึงในเรื่องการทำบุญ ต้องเข้าใจว่า ฆราวาสก็มีส่วนทำให้พระตกนรก เพราะอะไรเล่า

เพราะว่า พระภิกษุนั้น ลูกตถาคตต้องไม่มีการสะสม ทีนี้เมื่อท่านถวายผ้าเข้าไปมากๆ พระท่านก็รับไว้ แล้วไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็เก็บๆ ตั้งๆ ๆ ใส่ตู้ไว้ บางทีก็มีแมลงตัวเล็กๆ หรือแมลงสาบแทะเสียหาย อันนี้ถือว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทางโลกวิญญาณเขาถือว่า เป็นการทำลายเศรษฐกิจ บาปนั้นก็ตกอยู่กับพระสงฆ์

ท่านควรใช้วิธีการว่า สมมติว่า ท่านจะถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ เพื่ออุทิศกุศลให้นาย ก สมมติว่าผ้านั้นราคา ๘๐๐ ท่านก็ถวายเป็นเงินไป โดยเขียนว่า ปัจจัยนี้ถวายเป็นค่าจีวร สบง เพื่ออุทิศให้นาย ก อะไร ก็ว่าไป แล้วเงินนั้น พระท่านก็จะได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกต่อไป

เพราะการเป็นพระนั้น ต้องไม่มีการสะสมใดๆ ทั้งสิ้น ท่านต้องพยายามให้พระสงฆ์มีจีวร สบง ให้น้อยที่สุด อย่าให้มีมาก มากแล้วเท่ากับเราไปสร้างบาปให้กับพระ โดยไม่รู้ตัว

ฉะนั้น ถ้าท่านจะทำบุญแล้วให้ได้บุญ ไม่ใช่ทำบุญแล้วได้บาป คือทำให้พระต้องตกนรก ก็ขอให้ท่านใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือระบุวัตถุประสงค์ที่ท่านจะถวาย แล้วถวายเป็นเงิน เป็นปัจจัยไป วิธีนี้ท่านจะได้กุศลมาก แล้วพระก็จะได้ไม่ตกนรกด้วย


pngegg.5.3.1.png




พระยักยอกเงินวัด ตกนรกขุมไหน


สานุศิษย์ : ถ้าพระโกงเงินวัด ยักยอกเงินวัด จะต้องตกนรกขุมไหนครับ

สมเด็จ : ไม่ต้องพูดถึงยักยอกเงิน หรือโกงเงินหรอก เพราะพระนั้น แม้เอาเงินของใครแม้เพียงบาทเดียว ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาต ก็ขาดจากการเป็นพระแล้ว หรือถ้ามีโยมปวารณา พระจะขออะไรจากโยมปวารณาก็จะต้องรู้ฐานะโยมปวารณาด้วย ไม่ใช่ขอแล้วโยมปวารณาต้องเดือดร้อน

เมื่อครั้งพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นมีเรื่องขึ้นมาว่า มีพระภิกษุองค์หนึ่ง ในขณะนั้นพระเจ้ากรุงพาราณสีได้ปวารณาไว้ ในขณะที่ไปเยี่ยม บอกว่า ถ้าท่านต้องการอะไรก็มาเอาได้ ยินดีอุปัฏฐาก พระก็รับทราบ พอเข้าพรรษาพระนั้นก็ไปตัดไม้ในป่า ขนไม้ในคลังมาตอกใหญ่ สร้างกุฏิถาวรใหญ่โต โดยถือว่าพระเจ้าแผ่นดินอนุญาตไว้แล้ว

พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติวินัยออกมาว่า สิ่งของใครราคาเกินหนึ่งมาสก ถ้าได้มาโดยเจ้าของไม่ได้อนุญาต ผู้นั้นขาดจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ทันที

เพราะการไปเอาของในคลังโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิด เท่ากับเป็นการขโมย และถึงแม้มีโยมปวารณาไว้ คือยอมให้ด้วยความเต็มใจ ให้ภิกษุเรียกร้องขอเอาได้ก็ตาม เมื่อภิกษุจะขออะไร จะต้องรู้ฐานะของโยมปวารณาด้วย ขอแล้วจะต้องไม่ทำให้โยมปวารณาเดือดร้อน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

จำแนกบาป บุญ


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



ทหารรบเพื่อประเทศชาติเป็นบุญหรือบาป


คุณส่งศักดิ์ น้อมศิริ : หลวงพ่อครับ กระผมมีเรื่องสงสัยที่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อครับ คือทหารที่ไปรบเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง จะเป็นบาปเป็นบุญอย่างไร มากน้อยแค่ไหนครับ

สมเด็จ : คือ ในด้านสงครามนั้น มันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่หวังจะเป็นใหญ่เรียกว่าถูกสามเมาครอบงำ คือมนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมายศ (โลภ) มนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมาโกรธ มนุษย์ฝ่ายหนึ่งเมาหลง เมื่อสามนี้ครองอยู่ในมนุษย์เหล่าใด มนุษย์เหล่านั้นก็ไม่มีความสันติสุข ย่อมมีการเบียดเบียนกัน

ทีนี้ ในการที่ว่ารบเพื่อประเทศชาติ เพื่อหมู่คณะนั้นเป็นอย่างไร ถ้าจะอธิบายในหลักของธรรมะล้วนๆ แล้ว ฆ่าสัตว์ย่อมมีบาปทุกคน แต่ว่าบาปนั้นจะหนักหรือเบา เรียกว่า เป็นอนันตริยกรรม หรือเป็นเพียงกรรมธรรมดา


อย่างการที่เราเป็นผู้น้อย ถูกผู้ใหญ่สั่งไป ภาวะของโลกวิญญาณเขาถือหลักว่า เราไม่มีเจตนาแห่งการฆ่า อีกคนหนึ่งสั่งเราฆ่า เพราะฉะนั้นในกรรมอันนี้ เขาถือว่าได้รับส่วนในการรับผิดชองเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งผู้สั่งจะต้องรับ

ทีนี้ ในเรื่องของคำว่าเพื่อหมู่คณะนั้น ก็คือว่า มนุษย์ทุกคนรักหมู่คณะ มนุษย์ทุกคนรักประเทศชาติที่ตนยึดมั่น จนไม่รู้ซึ้งถึงสัจจะแห่งการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่รู้ซึ้งถึงสัจจะแห่งการเป็นคนในปรภพ จึงทำให้เกิดความรักแห่งการชาตินิยม ถือตน ถือทิฐิจนมากเกินไป ไม่คิดถึงว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้นแหล่

อันนี้อาตมาจะไม่วิจารณ์อะไรมาก เพียงแต่ว่าท่านฆ่าด้วยไม่มีเจตนาที่จะฆ่า เพราะไม่มีความโกรธแค้นกันมา ไม่รู้จักมักจี่ในเหล่าศัตรู ก็คือว่าเป็นส่วนบาปแต่น้อยหน่อย เพราะว่าไม่มีเจตนาแห่งการสร้างกรรมแห่งการฆ่า เจตนากรรมไม่มี เป็นการที่ถูกบังคับให้กระทำ อันนี้ถ้าท่านสร้างกุศลก็อาจจะเป็นอโหสิกรรมกับวิญญาณนั้นๆ ที่ถูกฆ่า

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

ไปรบเวียดนามมีบาปไหม


(วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณวีระ ทัดทอง : หลวงพ่อสมเด็จครับ การไปรบเวียดนามนี่ มีบาปมีกรรมหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : คือว่าในเรื่องสงครามนี้ เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่เรียกว่ามีตัวโลภครอบงำ สิ่งเหล่านี้ เราต้องตั้งคำถาม ถามก่อนว่าเรารบเพื่ออะไร รบเพื่อความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ รบเพื่อตัวโลภ หรือว่ารบเพื่ออะไร

ในสภาพการณ์ การฆ่าสัตว์ทุกชนิดย่อมมีบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรามีเจตนาฆ่า แล้วในเรื่องสงครามนี้ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ ถ้ามนุษย์เราทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ รู้จักตัว “พอ” พอจิต พอใจ พออยู่ รู้ภาวะแห่งการเป็นคน ว่าการเป็นคนนั้นมีอายุขัยเท่าไหร่ ทรัพย์สินวัตถุเรามีเท่าไหร่ พอกินไหม วันหนึ่งๆ เรากินกี่มื้อ


ถ้ามนุษย์เรามีอันนี้รู้ว่า ทรัพย์สินวัตถุสิ่งสมมตินี้ ตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่มีตัวโลภ เมื่อมนุษย์ไม่มีตัวโลภ สงครามย่อมไม่มีเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สงครามเกิดจากมนุษย์ที่มีตัวโลภและมีตัวโกรธ อันนี้เรียกว่า อกุศลอารมณ์ย่อมปะปนอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นก็พิจารณากันเอง

คุณวีระ : ได้บาปได้กรรมนี้ มันจะมากน้อยเท่าไหร่ครับ ตายแล้วจะตกนรกไหมครับ ตกนรกขุมไหนครับ

สมเด็จ : ฆ่าด้วยเจตนา หรือ ฆ่าเพื่อป้องกันตัว

กฎของโลกวิญญาณเขามีความยุติธรรม ท่านฆ่าด้วยเจตนาย่อมตกนรกขุมลึก ถ้าท่านฆ่าเพื่อป้องกันตัว ก็ย่อมที่จะได้ตกนรกขุมที่ไม่ลึก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะให้เจาะจงลงไปว่าตกนรกขุมไหนนั้น เป็นการชี้ไม่ได้ เพราะว่าความละเอียด และความยุติธรรมของกฎแห่งกรรม ของโลกวิญญาณนั้น เขาถี่ยิบ

เรื่องของกรรมของคนๆ หนึ่ง อธิบายเป็นวันๆ ก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นจึงให้ความแน่นอนไม่ได้ว่า จะตกขุมไหน หรือไม่ แต่ว่าเมื่อท่านสร้างบาปแล้ว ท่านมีกระแสจิตมารู้ในเรื่องการสร้างบุญ ท่านจงหมั่นสร้างกุศล เพื่อที่จะไปดุลกรรมที่เราสร้างอกุศล ก็อาจจะช่วยเราได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

คุณวีระ : ทำบาปมากๆ แล้วทำบุญกุศลชดใช้ จะชดใช้ได้ไหมครับ

สมเด็จ : โลกวิญญาณเขาไม่มีการลบล้าง คือ บาปต้องเสวยบาปแน่นอน บุญต้องเสวยบุญแน่นอน ทีนี้ ในเรื่องปาณาแล้วไซร้ เขาเรียกว่า เจตนาแห่งการฆ่าย่อมที่จะต้องมีกรรมสนองในอันนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ละเอียด ที่ต้องอธิบายเป็นวันๆ ที่จะหมดเปลือกแห่งกฎแห่งกรรมนี้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

กรรมที่ทำให้เสียสติ


(วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ ผมขอถามปัญหาสัก ๓ ข้อครับ

๑. การที่คนเสียสตินั้น เพราะทำกรรมอันใดไว้


๒. เมื่อตายไปทั้งๆ ที่เสียสตินั้น จะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ และจะไปเกิดโดยเสียสติอีกหรือไม่


๓. จะมีทางแก้ไขอย่างไร เมื่อผู้เสียสตินั้นตาย จะให้ภาวนาได้อย่างไร


สมเด็จ : คือ ในหลักการแห่งการที่มนุษย์เกิดมาเสวยกรรมวิบาก แห่งการเป็นผู้ไร้สติสัมปชัญญะแห่งการเป็นคนนี้

สืบเนื่องจากในอดีตกาล บุคคลนั้นไม่รักษาในเบญจศีลและเบญจธรรมให้ครบ เป็นบุคคลที่โลภในทรัพย์ อิจฉาริษยามนุษย์ด้วยกัน และอารมณ์แห่งวาระสุดท้ายแห่งการตายนั้น ยังข้องอยู่ในหลักแห่งทุกข์หรือไม่

ถ้าผู้นั้นตายด้วยไม่ใช่อายุขัย เกิดมาอีกครั้งก็คือผู้เสียสติ ถ้าผู้ที่ตายแบบถึงอายุขัย เมื่อเสวยในกรรมวิบากแล้วไซร้ ในเทวโลกก็ดี ยมโลกก็ดี ถึงภาวะเกิดมาอีกที อาจจะเกิดมาเป็นคนเซ่อ นั่นคือสภาพการณ์ของต่างกรรมต่างวาระ แล้วมนุษย์ผู้นั้นปฏิบัติอย่างไร เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๐

การแบ่งเพศชายหญิงในโลกวิญญาณ


(วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : การที่มนุษย์เกิดเป็นหญิง ชาย สืบเนื่องจากดวงวิญญาณที่เป็นหญิง เป็นชาย หรือว่าสืบเนื่องจากอะไรครับ

สมเด็จ : คือ การเกิดเป็นชายหรือเป็นหญิงนั้น มันเป็นจุดของกรรมวิบากในตอนปฏิสนธิเป็นใหญ่

วิญญาณที่อยู่ในโลกวิญญาณการเป็นหญิงเป็นชายนี้ จะอยู่ในวิญญาณประเภทพวกเปรต อสุรกาย อมรมนุษย์ รุกขเทวดา ผีตายโหง เหล่านี้ ยังมีการแบ่งเป็นหญิงเป็นชาย

ภาวะของการเป็นอยู่ของเทพพรหมชั้นสูงแล้ว ในสภาพการณ์ของกิเลส การแบ่งเป็นหญิงเป็นชายนี้จะไม่มี มีก็น้อยเต็มที และถ้าผู้บำเพ็ญสู่อรูปพรหมแล้วไซร้ ย่อมตัดกิเลสแห่งการเป็นหญิงเป็นชายสิ้น ณ บัดนั้น

คือในภาวะแห่งการณ์เทศน์ของอาตมา ก็ได้เทศน์ไว้แยะแล้ว เรียกได้ว่า เทศน์ไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม แต่มนุษย์ถือว่าเป็นเรื่องฟังเล่น ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่คิด


การที่ทุกวันนี้โลกยุ่งเหยิง การที่ทุกวันนี้โลกไม่สงบ การที่ทุกวันนี้สังคมปั่นป่วน ก็เพราะมนุษย์หลงตัวเอง หลงอำนาจ หลงความเป็นคน หลงว่าตัวทำถูกทุกอย่าง คือไม่พยายามพิจารณาตัวเอง มันจึงทำให้เกิดผลแห่งวิบากกรรม เกิดความชุลมุนอลหม่านขึ้น

ในหลักแห่งการเป็นคนแล้ว การทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีการพิจารณาด้วยปัญญา ไม่มีมโนยิทธิแห่งความแน่วแน่ ของการทำงานแล้วไซร้ ทุกอย่างย่อมที่จะพลาด

การเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีศีลก็ต้องมีสัตย์ ถ้ามนุษย์ผู้ใดไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ มนุษย์ผู้นั้นเลวยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอย่านึกว่าตนเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่น และในการวางตนอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เพราะหลงตน ถือตนเป็นใหญ่ จึงเกิดความวุ่นขึ้นในโลกมนุษย์

ในการที่อาตมามาสำนักปู่สวรรค์นี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะขัดเกลามนุษย์ แต่เวลานี้อาตมารู้สึกปล่อยตามภาวะกรรม เขาเรียกว่า กระแสคลื่นอารมณ์หลงของมนุษย์ มันแรงกว่าที่เราจะต้าน เมื่อมันแรงกว่าที่เราจะต้าน หลักของปฏิปทาก็คือ ปล่อยวาง

เพราะฉะนั้น ในการทำงานอะไรต่อไป ให้มนุษย์ช่วยใช้สมองบ้าง แล้วทำอะไร จงจำเอาไว้ว่า งานที่ยากที่สุด คืองานศาสนา ถ้าท่านคิดจะทำงานศาสนา แต่ไม่มีการเสียสละแล้ว อาตมาอยากจะพูดว่า อย่าเข้ามายุ่งดีกว่า เพราะถ้ามนุษย์เราไม่รู้จักบริหารเวลา ก็ย่อมไม่มีเวลา

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 22:51 , Processed in 0.056115 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.