แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

7.png


ตอนที่ ๑

ประวัติพระพุทธสิหิงค์


(วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : วิถีการ การเกิดประเพณีสงกรานต์นั้น จะพูดถึงพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เรียกว่า พระพุทธสิหิงค์

เมื่อสมัยพุทธกาลล่วงไปแล้วประมาณ ๗๐๐ พรรษา มีกษัตริย์สิงหลองค์หนึ่ง ซึ่งมีความเคารพเลื่อมใสในองค์สมณโคดม ได้ตรัสแก่เหล่าอรหันต์ ๒๐ องค์ ว่า ท่านเคยเห็นรูปอันแท้จริงขององค์สมณโคดมบ้างไหม เหล่าพระอรหันต์นั้น ก็ได้ทูลพระจักรพรรดิองค์นั้นว่า ไม่เคยเห็นองค์สมณโคดม

กษัตริย์องค์นั้น จึงได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ถ้ามนุษย์ไม่เคยเห็นแล้ว มีเทพพรหมองค์ใดเล่า ที่เคยเห็นองค์สมณโคดม

ในสภาวะนั้นแหล่ มีพญานาคตนหนึ่งได้แปลงกายเป็นคนขึ้นในพิภพมนุษย์แล้วว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้านี้แหล่เคยเฝ้าองค์สมณโคดม กษัตริย์ก็ถามว่า ท่านจะจำลองภาพขององค์สมณโคดม ให้พวกเราได้เห็นได้หรือไม่

พญานาคนั้นเป็นผู้บำเพ็ญฤทธิ์มาแล้ว ได้บอกให้เตรียมจัดสถานที่อันควรแก่การสักการบูชา องค์กษัตริย์สิงหลก็ได้จัดการให้ตามนั้น

บัดนั้น พญานาคก็ใช้อิทธิฤทธิ์ โดยการแปลงตัวจำลองเป็นรูปองค์สมณโคดมขึ้น พร้อมกับเนรมิตเป็นวิหารเชตวันขึ้น ณ สถานที่นั้น ชาวเมืองทั้งหลายก็ได้มาสักการะ ว่าองค์สมณโคดมนี้หนอ รูปงามสุดจิตไม่มีที่ติ ได้แสดงปาฏิหาริย์อยู่ ๓ วัน

ในกาลครั้งนั้น กษัตริย์องค์นั้นจึงได้คิดสร้างรูปสมมติขององค์สมณโคดมขึ้น สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์ โดยป่าวประกาศหาช่างมาสร้างองค์สมมติพระพุทธสิหิงค์นี้ สร้างขึ้นพร้อมกับสมัยที่อินเดียสร้างมหาวิทยาลัยนาลันทาขึ้น พระพุทธรูปองค์นี้ได้เป็นที่สักการบูชาของชาวสิงหล จนพุทธศตวรรษผ่านไปพันกว่าปี

ในยุคกรุงสุโขทัย กษัตริย์ไทยองค์หนึ่งได้รับทราบถึงคำร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิปาฏิหาริย์ขององค์พระพุทธสิหิงค์นี้ ก็ได้บัญชาให้พระยานครศรีธรรมราช ผู้ครองแคว้นนครศรีธรรมราชไปอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากกรุงลังกามา กษัตริย์กรุงลังกายอมอ่อนน้อม


เพราะรู้สภาพการณ์ว่า กษัตริย์ไทยองค์นี้มีบุญญาภินิหารประกอบกับได้รู้ประวัติการสร้างพระองค์นี้ว่า เมื่อหลังจากพุทธศาสนาล่วงไปแล้วประมาณสองพันปี พระพุทธสิหิงค์นี้จะต้องเข้าสู่แหลมสุวรรณภูมิ จึงได้ยอมให้แก่ราชทูตของไทย

เหตุการณ์ต่อมา เรือที่ไปรับพระพุทธรูปนี้ได้ไปอับปางกลางทะเล คณะทูตที่ไปรับพระพุทธสิหิงค์นั้น ทั้งหมดมีกษัตริย์ ๗ องค์ ข้าราชบริพาร ๗๔ คน ได้จมดิ่งลงไปกลางทะเล ณ บัดนั้น แต่พระพุทธสิหิงค์ได้ลอยเข้าถึงฝั่งนครศรีธรรมราช ก่อนถึงฝั่งนครศรีธรรมราช เทวะผู้รักษาพระพุทธสิหิงค์ได้เข้ามานิมิตให้แก่เจ้าผู้ครองนครศรีธรรมราชว่า ให้จัดเรือออกต้อนรับพระพุทธรูป พวกราชทูตของท่านได้ตายหมดแล้วกลางทะเล

วันรุ่งขึ้น ทางเจ้าเมืองจึงได้จัดเรือสำเภาต่างๆ ออกค้นหาพระพุทธสิหิงค์ เจ้าแห่งนครศรีธรรมราชได้เกิดขนพองสยองเกล้าขึ้น เมื่อเห็นพระพุทธรูปทองคำลอยทวนกระแสน้ำเข้ามา กาลบัดนั้น จึงได้จัดต้อนรับพระพุทธสิหิงค์ จัดฉลองสมโภช ๗ วัน ๗ คืน หลังจากนั้นพระพุทธสิหิงค์ได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ ณ ที่หลายแห่ง คือ กำแพงเพชร สุโขทัย เชียงใหม่ เชียงราย จนมาถึงรัตนโกสินทร์

ในสภาพการณ์ การจัดประเพณีสงกรานต์นั้น เริ่มต้นแห่งกรุงสุโขทัยเป็นการสมโภชต้อนรับพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ไม่มีการสรงน้ำ ต่อมาถึงต้นรัตนโกสินทร์ เหล่าพระเถระก็ดี เหล่าฆราวาสก็ดี คิดหาปัจจัย จึงได้จัดให้มีการสรงน้ำพระก็ดี จัดให้มีการอะไรก็ดี จนเวลานี้กลายเป็นประเพณีไป

ตามความจริงแล้ว องค์สมณโคดมไม่ใช่อยู่ที่รูปนั้น องค์พระธรรมไม่ใช่อยู่ที่คัมภีร์ องค์พระสงฆ์ไม่ใช่อยู่ที่ห่มผ้าเหลือง ในสภาวะนั้นจะต้องค้นเข้าไปจึงจะถึงวิญญาณอันแท้จริง แต่นั่นเป็นเพียงสัญลักษณ์ให้รับรู้ว่า องค์สมณโคดมนั้นเป็นผู้เลิศทั้งปัญญา ทั้งจิตศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์ เพราะอะไรเล่า เพราะจิตถึงแห่งวิมุตติ เหนือกระแสคลื่นแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

อาตมาจึงว่า สำนักปู่สวรรค์มาตั้งในโลกมนุษย์นี้ เป็นการยาก เพราะกระแสคลื่นแห่งความโสมมในยุคนี้มันแรง อาตมาก็ไม่มีสังขารจะหาคนเข้าซึ้งถึงสัจธรรมนั้นก็ยาก ถ้าเป็นสำนักอื่นเขาก็ต้องจัดสรงน้ำพระอะไร ซึ่งวิธีการเช่นนี้


แทนที่จะเอาสิ่งที่ดีเข้าสักการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มนุษย์กลับเอาน้ำสกปรกเข้าไปราด ให้ปูชนียวัตถุนั้นกลายเป็นมีสิ่งสกปรกโสมมติดขึ้นมา ทำให้เทวะที่ประจำต้องหนีจากที่รับผิดชอบในหน้าที่แห่งการประจำพระพุทธรูปชั่วคราว เพราะมนุษย์เอาน้ำอะไรไม่รู้ไปสาดกัน

ฉะนั้น การเป็นชาวพุทธนั้น จงอย่าหลงงมงาย และท่านมาในสถานที่นี้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อการเทศน์ของอาตมา จะต้องเอาไปพิจารณาไตร่ตรองนั้นแหล่ จึงค่อยเชื่อว่าจริงหรือไม่จริง และที่อาตมาพูดนี้ก็ไม่ค่อยตรงกับตำราที่เขาวางไว้นัก เพราะตำราที่เขาวางไว้เขียนกันมาหลายอาจารย์ แต่นี่อาตมาสอบถามวิญญาณที่รับผิดชอบในเรื่องพระพุทธสิหิงค์ เอาละ นี่เรื่องเบาสมองมีแค่นี้ อาตมาก็ไม่ค่อยมีเวลา


หมายเหตุ ท่านที่ได้อ่านบทความนี้ ขอความกรุณาไตร่ตรองมหาพิจารณาให้ดี เพราะอาจไม่ตรงตามตำราที่มีอยู่ในโลกมนุษย์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

การสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ


(วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกสงสัยว่า ทำไมต้องมีการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ เป็นพระประจำวันเกิด และมีความหมายอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมานั้น เพื่อระลึกถึงองค์สมณโคดมผู้เป็นศาสดา การสร้างพระประจำวันเกิดก็ดี สร้างพระปางต่างๆ ก็ดีนั้น เป็นการรวมเอาอิริยาบถขององค์สมณโคดมมาสร้าง การที่ว่าเป็นวันโน้น วันนี้นั้น ไม่ใช่ว่าองค์สมณโคดมวันนี้นั่งก็นั่งเฉยๆ วันนี้ยืนก็ยืนอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นการสร้างเพื่อเป็นที่ระลึก แล้วมนุษย์ก็สร้างเรื่องให้เป็นเรื่องขึ้นมา

สภาวะพระพุทธรูปองค์ใดก็แล้วแต่ เมื่อสร้างสำเร็จก็จะมีเทวะประจำดูแลรักษา ถ้าพระองค์นั้นมีการปลุกเสกก็ขลังหน่อย ไม่มีการปลุกเสกก็อ่อนหน่อย นี่คือสภาพการณ์ของมัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเครื่อง พระทั้งหลายขลังหมด ถ้าเราใช้ไปในทางที่ดีอยู่ในศีลในธรรม อยู่ในหลักแห่งมนุษยธรรม แล้วทุกอย่างมันใช้ได้ดี
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

อาชีพการขายพระ เช่าพระ บาปหรือไม่


(วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า การที่มนุษย์ทุกวันนี้ มีอาชีพเช่าพระ ขายพระ จะบาปขนาดไหน

สมเด็จ : ในรูปของการขายสิ่งปฏิมากรนั้น ถ้าค้าขายด้วยความสุจริตใจ โดยที่ไม่มีการโกหกมดเท็จแล้วไซร้ ทางโลกวิญญาณถือว่า เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่เขาอาศัยดำรง เพื่อความอยู่รอดในการเป็นคน ถือว่าไม่บาป

ทีนี้ในภาวะ มนุษย์จำพวกหนึ่งชอบปลอมแปลง ชอบโกหก ชอบตอแหล ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หลอกลวงว่าเป็นของที่นั่นที่นี่ เที่ยวหลอกชาวบ้าน ในหลักของโลกวิญญาณถือว่า ผู้นี้สร้างในวจีกรรมให้มนุษย์หลงยึดในสิ่งผิด ถือว่าจะต้องมีบาป

และการเอาปฏิมากรหรือเอาองค์สมมติของพระพุทธเจ้า โดยที่ไปขโมยเขามาก็ดี  ไปเที่ยวทำลายปูชนียสถานเพื่อเอามาจำหน่ายก็ดี มนุษย์เหล่านี้ เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไซร้ ถึงเวลาแห่งการใช้กรรมอยู่ในโลกวิญญาณนั้น จะต้องตกนรกขุมที่ ๑๑ ซึ่งในภาวะนั้นแหล่ จะถูกลงโทษอย่างไม่ปรานี

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าว่าตามหลักในความจริงแล้ว การค้าขายด้วยความสุจริต ถือว่าเป็นการดำรงเพื่อสืบศาสนา ให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย มีสิ่งเหนี่ยวรั้งและมีสิ่งยึด

เพราะฉะนั้น ผู้ขายพระปฏิมากรนั้น มีทั้งผู้ที่ทำแล้วได้บาป และผู้ที่ทำแล้วได้บุญ เข้าใจไหม


pngegg.5.3.1.png




บูชาพระเพื่ออะไร


สานุศิษย์ : เท่าที่บูชาพระอยู่ทุกวันนี้ ถูกต้องหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : คือ การบูชาพระนี้ต้องเข้าใจว่า เป็นวิธีการปฏิบัติให้ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อระงับจิตของเราไม่ให้ตัวโทสะ โมหะ โลภะ เข้าครอบงำ และเป็นการทำจิตให้อยู่ในความสะอาด มีสมาธิ ย่อมเป็นกุศลจิตของผู้ปฏิบัติ

ทีนี้ การไหว้พระ ท่านต้องเข้าใจว่า ไหว้เพื่ออะไร ในวิธีการนั้นให้ระลึกถึงพุทธานุภาพ ในการที่องค์สมณโคดมได้เสียสละ ในการช่วยปลดปล่อยสัตวโลก ให้หลุดพ้นจากความบ้าคลั่งในโลกมนุษย์นี้ การตั้งพระพุทธรูปนั้นไซร้ ก็เพื่อ

๑. ให้เราเห็นตัวอย่างที่เราจะปฏิบัติตามได้


๒. เป็นการระลึกถึงพระธรรมขององค์สมณโคดมว่า ถ้ามนุษย์ทุกคนปฏิบัติตามพุทธพจน์ ย่อมสู่ในที่แห่งการพ้นทุกข์ได้

เพราะฉะนั้น การบูชาต้องเข้าใจว่า ไหว้พระเพื่ออะไร การไหว้พระ เรียกว่า ปฏิบัติบูชา เพื่อให้ตามรอยขององค์สมณโคดม ต้นแห่งศาสนา ในยุคแห่งการเป็นคนของเรา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ให้ดูบุคคลตัวอย่าง บุคคลตัวอย่างนี้ ควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การปฏิบัติตาม นี่คือ หลักแห่งความเจริญของการบูชาพระ


ทีนี้ในการบูชา เราควรจะได้ความดีจากการบูชาพระ พระย่อมคุ้มครองเรา เมื่อเราสักการะ เพราะวิญญาณของผู้สำเร็จนั่นนิ่ง และรู้ในการของกระแสจิตของทุกๆ คน ที่สักการะแต่ว่าไม่พูด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่บำเพ็ญไปในทางบุญฤทธิ์ บำเพ็ญไปทางโพธิสัตว์ บำเพ็ญไปทางอรหันต์แล้วไซร้ ย่อมที่จะช่วยมนุษย์โดยไม่ให้มนุษย์รู้ตัว เพราะไม่ต้องการให้มนุษย์ติดหนี้บุญคุณ เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : แล้วที่เขาเอารูปหลวงปู่ไปตั้งเสี่ยงเซียมซี จะบาปไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้เป็นวิธีการของสัมมาอาชีวะชอบ ซึ่งดีกว่าที่จะไปขโมยเขากิน ซึ่งในการนี้ต้องเข้าใจว่า ผู้สำเร็จนั้นไม่เคยลงโทษผู้ที่ประพฤติตนเป็นสุจริต แม้เขาจะเอารูปไปตั้งหาเงิน ก็ด้วยความสุจริตไม่ได้หลอกลวงเขา ย่อมไม่มีบาป ดีกว่าในการปั้นองค์สมมติอาตมาก็ดี องค์สมมติหลวงปู่ก็ดี สร้างในสมัยนี้ แล้วไปโกหกว่าสร้างในสมัยอยุธยา นั่นแหละเป็นความบาป ใครมีอะไรอีกไหม

pngegg.5.3.2.png




พระเครื่องที่เลี่ยมพลาสติกพลังจะออกมาช่วยได้หรือไม่


(วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : มีบางคนเอาพระเครื่องไปเลี่ยมพลาสติก เขาหุ้มปิดหมดเลย น้ำก็เข้าไม่ได้ พลังของพระเครื่องจะออกมาช่วยได้อย่างไร

สมเด็จ :
สภาพการณ์ พลังทิพย์นี้ทะลุได้แม้แต่กำแพง แต่ถ้าผู้ที่ห้อยนั้นไม่มีศีลธรรม แบบซึ่งอาตมาก็บอกว่า พระสมเด็จที่อาตมาสร้างนั้น สร้างมีแต่กระแสแห่งความเมตตา และในการแคล้วคลาด ไม่ใช่สร้างเป็นการเหนียวให้พวกโจรเขาปล้นกัน สภาวการณ์บางคราว ที่เขาไปปล้นแล้วเหนียวนั้น เพราะว่ากรรมวิบากของเขายังดี ในพลังแห่งการเขาเรียกว่า สภาพ ในวันตายยังไม่ถึง เพราะฉะนั้นก็อาจจะคุ้มครองเขาไปรอด

ฉะนั้นอันนี้บางคนเขาก็ยึดว่ามีพระเยอะแยะ ต้องอย่าลืมว่า กระแสจิตของเกจิอาจารย์ก็ดี ของเหล่าเทพพรหมก็ดี เขาลงพลังในสิ่งใดๆ ที่ให้สมมติว่าเป็นเหรียญก็ดี เป็นตะกรุดก็ดี เป็นอะไรก็ดี เขาล้วนแต่มีคำสาปของเขาไว้ทั้งนั้น แต่เขาปิดไว้ลับเฉพาะ รู้เฉพาะเขา ว่าสิ่งนี้ ถ้าบุคคลเอาไปใช้เฉพาะที่เขาสาปไว้แล้ว ย่อมที่จะไม่ขลัง ไม่มีการคุ้มครอง อันนี้มีความลับของอรรถกถาจารย์ เกจิอาจารย์ พวกนักปลุกทั้งหลาย เขามีสัจจะของเขาไว้อันหนึ่ง แต่เขาไม่เพ่นพ่านให้ใครรู้ซึ่งกันและกัน

เพราะฉะนั้น ในการที่จะหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเรานั้น เป็นการที่จะมีเพียงช่วยเหลือเราได้ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนมากขึ้นอยู่กับตัวเรา ตัวเราต้องประพฤติดี ประพฤติชอบ มีศีล มีสัจจะ มีหลักมีธรรม มีความเมตตา ไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว ใช้ของย่อมที่จะขลังขึ้น ถ้าเรามีความเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความคิดแต่จะทำลายของเขา ให้ห้อยพระเป็นเจดีย์ทั้งกรุ มันก็ช่วยไม่ได้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

หลักการปลูกบ้านที่ดี


(วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณคงสิทธิ์ : หลวงพ่อครับ กระผมสงสัยในการปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับการทำบันไดบ้าน และการทำสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับบ้านเรือนนี่แหละครับ โดยเฉพาะกระผมถูกเขาทักว่า ทำอะไรไม่ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นนี้จะเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านมีอันเป็นไปประการใดหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เจริญพร ถ้าจะว่าถึงกฎธรรมชาติแล้ว ในโลกนี้มีสิ่งเกี่ยวข้องพัวพันกันและกันตามภาวะกรรมวิบากของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปลูกบ้านนั้น จำเป็นจะต้องมีลักษณะดี ผู้อยู่ในบ้านนั้น จึงจะดี

บ้านที่มีลักษณะดีที่สุดนั้น ควรจะหันหน้าบ้านไปทางทิศตะวันออก ถ้ามีเนื้อที่พอ แต่ถ้าเนื้อที่ไม่พอ ควรจะหันหน้าไปทางทิศเหนือ ทั้งนี้ เพราะเหตุใดเล่า ก็เพราะว่าในหลักแห่งธรรมชาติเขาถือว่า เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงขึ้นมาแล้วไซร้ สิ่งโสโครกสิ่งอัปมงคลย่อมจะถูกแสงพระอาทิตย์ส่องสาดชะล้างให้หายไป บ้านนั้นก็จะเจริญ ปราศจากสิ่งโสโครกและเสนียดจัญไร

ส่วนในการปลูกบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือนั้น เพราะถือกันว่า ทิศเหนือนั้นเป็นทิศที่พระโพธิสัตว์ผ่าน สัตว์ทั้งหลายย่อมได้รับความอนุเคราะห์ เมตตาจากพระโพธิสัตว์

ทีนี้ มีปัญหาว่า มีความสัมพันธ์และมีความพัวพันกันอย่างไรนั้น ในเรื่องนี้ ถ้าท่านเชื่อในกฎแห่งกรรม กฎแห่งวัฏฏะ วัฏฏะย่อมวนเป็นวงกลม มนุษย์ตายแล้วไม่สูญ ต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ตาย และมีความสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวของอิทธิพลของดวงดาวบนท้องฟ้าและมีความสัมพันธ์ในการดึงดูดเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมนุษย์บ้าง แต่ไม่สู้จะมากนักตามหลักแห่งโหราศาสตร์

คุณคงสิทธิ์ : เรื่องบันไดบ้านด้วยครับ

สมเด็จ : เรื่องบันไดบ้านนั้น ต้องทำให้ดี ท่านต้องดู บันไดกับบานประตูต้องให้ตรงกัน อย่าเฉียง เดี๋ยวนี้พวกนักออกแบบสมัยใหม่ เขาสร้างบ้านอย่างมีศิลปะมีการซิกแซ็กไปมา ให้ท่านไปดูบ้านไหน ร้านค้าไหน ที่ทำบันไดหันตรงดิ่งออกมาหน้าบ้าน จะมีความเจริญแตกต่างกันกับบ้านหรือร้านค้าที่ทำบันไดแซ็กไปแซ็กมา

อันนี้มันเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของสถานที่นั้นอีกด้วย จะต้องประกอบกัน เรื่องนี้ท่านจะต้องดูกาละในที่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านควรจะหาผู้รู้จริงไปทำ ไม่ใช่พวกไม่รู้ไปทำ

ถ้าจะเทศน์ไป เขาก็จะบอกว่า ต้องนิมนต์สมเด็จโตไปทำ ในสมัยที่อาตมายังมีสังขาร ก็ชอบทำเรื่องนี้ให้กับชาวบ้าน แต่ตอนนี้เหลือแต่วิญญาณ จึงไม่รับนิมนต์


pngegg.5.3.1.png





พระภูมิเจ้าที่


คุณคงสิทธิ์ : หลวงพ่อครับ การตั้งศาลพระภูมินั้นมีความสำคัญอย่างไรและมีความเป็นมาอย่างไรครับ

สมเด็จ : สำหรับเรื่องการตั้งศาลพระภูมินั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า พระภูมิคืออะไร นี่เป็นจุดหนึ่งในหลักทั่วๆ ไป พระภูมิเจ้าที่หนึ่ง เจ้ากรุงพาลีหนึ่ง นางพระธรณีหนึ่ง พระแม่คงคาหนึ่ง พญามัจจุราชหนึ่ง นายนิติยบาลหนึ่ง ท้าวจตุโลกบาลหนึ่ง สิริพุฒอำมาตย์หนึ่ง ท่านเหล่านี้ล้วนแต่มีความพัวพันในหน้าที่ของโลกวิญญาณ ซึ่งจะแยกแยะไปนั้นยาก

ในการตั้งศาลพระภูมิ ก็หมายความว่า บ้านเรามีเทวดาอยู่ เทวดาที่ดีก็มี ที่เลวก็มี ส่วนมากแล้วเจ้าที่เจ้าทาง หรือรุกขเทวดาที่จะบำเพ็ญความดีนั้นก็มี ที่ไม่บำเพ็ญความดีก็มี เขาเหล่านี้ก็อยากจะได้ที่อยู่อาศัย

เรื่องพระภูมินี้ อาตมาก็เคยเทศน์มาแล้วว่า สืบเนื่องมาแต่อดีตกาลครั้งหนึ่งในแคว้นพาราณสี เมื่อครั้งบวงสรวงเหล่าเทพพรหม ครั้งนั้นพระพรหมที่มีกายหยาบ สามารถเปล่งรัศมีให้มนุษย์เห็นได้บ้างเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็เปล่งรัศมีให้นางสุชาดาได้เห็นพระรูปอันงดงามของพระพรหมองค์นั้น

เมื่อนางสุชาดาได้เห็นพระพรหมองค์นั้นแล้ว ก็เกิดความติดเนื้อต้องใจในรูปโฉมของพระพรหมองค์นั้น จึงถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในอนาคตกาล ข้าน้อยนี้จะบวงสรวง เพื่อจะได้เห็นและชมพระบารมีของพระองค์ ข้าน้อยจะทำอย่างไรเล่า”

พรหมองค์นั้นก็บอกว่า “ถ้านางอยากจะเห็นเรา จงตั้งศาลขึ้นมาเพื่อเป็นที่ประทับ พร้อมกับโปรยข้าวตอก ดอกไม้ ของหอม และกระแจะจันทน์อันดี ข้าจะเสด็จมาพบแม่นางผู้มีเมตตา บำเพ็ญบุญแห่งเรา”

ครั้นต่อมาหลังจากนั้น พวกพราหมณ์ทั้งหลายก็ยึดเอาการตั้งศาลเพื่อติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า ประเพณีอันนี้สืบเนื่องมาถึงเขตแดนสยาม ถือกันว่าเป็นการตั้งพลังทั้งหลาย มีพระชัยมงคล เป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านี้มีหน้าที่จากโลกวิญญาณให้มาตรวจตรา ตามวาระตามหน้าที่

แต่ศาลที่ตั้งกันส่วนมาก บางศาลก็มีเทวดา บางศาลก็มีอมรมนุษย์ และพวกปีศาจที่ไร้ศาลเข้ามาสถิต เพราะฉะนั้น ในการตั้งศาลนี้ จึงอธิบายว่า ย่อมได้ผลทั้งดีและผลร้าย


ผลร้าย หมายความว่า ถ้าเราตั้งไว้ที่ที่เราไม่รู้จริง เราจะได้พวกรุกขเทวดา พวกอมรมนุษย์มาสถิต พวกนี้ชอบการเซ่นไหว้ ถ้ามีพวงมาลัยสวยๆ ขนมหวานดีๆ มาให้ได้เสพรสแล้วก็อนุโมทนาส่งเสริมให้ดี ถ้าวันไหนไม่เซ่นไหว้ก็มีการกลั่นแกล้งให้เจ็บป่วย ปวดหัว ปวดท้อง ต่างๆ นานา

เพราะฉะนั้น การตั้งศาลนี้ จะว่าสำคัญก็สำคัญ จะว่าไม่สำคัญก็ไม่สำคัญ อยู่ที่พราหมณ์ที่ทำพิธีตั้งศาล จะรู้จักวางหลักและรู้จักดูทิศหรือไม่ เรื่องเหล่านี้เรียกว่า ปลูกบ้านให้ตรงกับเทวบัญญัติ ย่อมเป็นมงคลแก่ตน อันนี้เขาเรียกว่า หลักมงคล ๓๒


เมื่ออาตมามีสังขารอยู่ อาตมาเคยเขียนร่างขึ้นไว้ เขาเอาออกมาพิมพ์ขายหรือแจกกันด้วย เดี๋ยวนี้ไม่รู้มีอยู่ในท้องตลาดหรือไม่
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

สิ่งเป็นมงคลแห่งชีวิต


(วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ใครมีอะไรบ้าง?

อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : ลูกขอกราบเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับสิริมงคลที่คนโบราณว่าไว้ในหนังสือของโลกนิติที่พูดถึงเรื่อง เรือน ๔ ห้อง ห้ามปลูก และแมว ๕ หมา ๖ ห้ามเลี้ยง แล้วพวกช่างก่อสร้างก็เล่าสืบกันมาว่า การเจาะประตูบ้านเขาให้แบ่งเป็น ๘ ช่อง ประตูควรจะอยู่ช่องที่ ๒ ถ้าเผื่อประตูบ้านมาอยู่ช่องที่ ๑ จะเกิดอัปมงคลกับตัวเจ้าของบ้าน อย่างนี้ ลูกจึงอยากขอทราบเหตุผลเจ้าค่ะ

สมเด็จ : ในเรื่องของมงคลนี้ ในภาวการณ์ต้องเข้าใจว่า หลักแห่งการเป็นมงคลนั้น ก็คือว่า บุคคลที่จะอยู่ในการดำรงตนเป็นมนุษย์นั้น ต้องรู้จักในภาวการณ์แห่งการวางตน รู้จักวิถีการแห่งการคบมิตร วิถีการแห่งการเจรจาหนึ่ง วิถีการแห่งการนอนหนึ่ง

ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย เรื่องของมงคลนี้ เป็นสิ่งในหลักของความอาถรรพณ์ เช่นว่า ถ้าท่านอยากจะได้มงคลในเรื่องของการว่าผิวพรรณดีแล้วไซร้ ท่านจะต้องวางตน คือ

หนึ่ง   สภาวะจิตนั้น จะต้องไม่มีความอิจฉาในเพื่อนมนุษย์


สอง   ในเรื่องขันอาบน้ำ ท่านเชื่อหรือไม่ ถ้าท่านเอาขันใบหนึ่งที่สำหรับอาบน้ำและล้างหน้า ใส่น้ำและตั้งบูชาไว้ที่หน้าหิ้งพระ และก่อนที่จะล้างหน้า ให้ท่านระลึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรือใช้คำว่า นะโมพุทธายะ ทุกครั้ง หน้าของท่านจะผ่องใส เพราะอำนาจบารมีแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จะแทรกซึมเข้าไปในกายของท่าน

ทีนี้ มาถึงเรื่องของคำว่า ปลูกเรือนนั้น เขาจะต้องดูลักษณะแห่งทิศ ทิศเหนือเป็นทิศพระโพธิสัตว์ คนเกิดวันอะไรควรจะหันหน้าทิศอะไร แต่ปกติแล้วไซร้ เขาต้องการหันหน้าสู่ทิศตะวันออก

ทีนี้ ในสภาพการณ์แห่งการขึ้นสู่ทิศตะวันออกนี้ดีอย่างไรเล่า ดีในด้านเขาเรียกว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าแล้วไซร้ พระอาทิตย์นั้นจะส่องและเข้าสู่ในบ้านเรือน เป็นการทำให้เกิดความสว่างไสว มนุษย์เรานี้กลัวที่สุดก็คือความมืด เกลียดที่สุดก็คือความมืด เพราะฉะนั้น จึงวางหลักแห่งการที่ว่าหันหน้าสู่ทิศตะวันออก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วไซร้ จะช่วยให้เราคลายความมืด

ถ้าอธิบายสู่ในหลักแห่งสุขวิทยาแล้ว ก็คือว่า เมื่อหันหน้าสู่ทิศตะวันออกนี้ พระอาทิตย์ส่องแสงจะได้ฆ่าเชื้อโรคภายในได้ ในด้านที่มีอยู่ให้สลายไป นี่คือ หลักแห่งสุขศึกษา

ส่วนในเรื่องของประตูบ้านก็ดี ในการแบ่งห้องก็ดี ให้อยู่ในสภาพการณ์แห่งการปลอดโปร่งของทิศทางลมเป็นหลัก

ในเรื่องของแมวหมานั้น เขาเรียกว่า มนุษย์กลัวในสิ่งที่ไม่สมควรกลัว สัตว์ทั้งหลายเกิดมาในโลกมนุษย์นี้ ล้วนแต่มีกรรมของตนเป็นที่เสวย ในวิถีแห่งการแห่งกรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ในเรื่องเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่ ถ้าใครไม่กล้าเลี้ยง เอาให้สมเด็จโตเลี้ยง เลี้ยงได้ทั้งนั้น


เพราะว่าภาวะสัตว์เหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะมีกรรมของตน ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นจุดแห่งการนำให้เกิดเป็นสภาพที่มาใช้กรรมในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ก็เรียกว่า ถือจนเลยเถิด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

เกิดดีก็ต้องตายดี


(วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สมเด็จ : เจริญพร ในสภาวะการสร้างกุศลทำบุญนี้ ท่านจะได้กุศลอย่างไร การสร้างกุศลนี้ มนุษย์มาพร้อม เทวดามาพร้อม พรหมมาพร้อม อสุรกายนรกโลกปลดปล่อยหมด ซึ่งในสภาวการณ์ย่อมได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญในความศรัทธาของเหล่ามนุษย์ ที่มาด้วยความเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสานุศิษย์ที่เดินทางมาจากสารทิศ จากจังหวัดต่างๆ เพื่อมาในพิธีการนี้

ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างกุศล ท่านจะหวังกุศลอะไร ในจุดแห่งการเป็นมนุษย์นั้นต้องเข้าใจว่า จุดใหญ่ที่เราต้องการคือการเกิดดี แล้วก็ต้องการตายดี การตายดีนั้น ก็คือ มีกุศลนำพาไปสู่ในการอยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ไปสู่การเป็นเทวดาก็ดี ไปสู่การเป็นพรหมก็ดี


สิ่งเหล่านี้ท่านจะได้ ก็คือหนึ่ง จิตใจของท่านจะต้องไม่มีตัวอิจฉาริษยาในความดีของแต่ละคน เพราะอะไรเล่า มนุษย์เราทุกคนเกิดมาล้วนแต่มีกรรมของตนเป็นใหญ่ เขาเรียกว่า อดีตกรรมให้มาสืบต่อในปัจจุบันกรรม ปัจจุบันกรรมให้มาสืบต่อในอนาคตกรรม

pngegg.5.3.1.png




ผู้หญิงที่อยากสวย


สมเด็จ : ในสภาวการณ์ อาตมาตรวจแล้ว คนที่มาในที่นี้ ฟังได้แค่ธรรมะขั้นพื้นฐาน ในขั้นวิมุตติยังฟังไม่ได้ ก็ขอเทศน์ธรรมะขั้นพื้นฐาน

ธรรมะขั้นพื้นฐานสำหรับสตรีนั้น ถ้าอยากจะรูปสวยนั้นแหล่ จะทำอย่างไรจึงจะรูปสวย คือ คนเราจะสวยนั้น ไม่ใช่สวยที่ใบหน้า การสวยนั้นอยู่ที่จิต ถ้าจิตเรามีความสะอาด จิตเราไม่มีความวิตก จิตเราไม่มีความกังวล เมื่อคนอื่นเขาทำในสิ่งที่ดี เราควรร่วมอนุโมทนาในสิ่งนั้น

เมื่อจิตเราไม่ยึดตัวตน ไม่ยึดเขา ไม่ยึดเรา ไม่ยึดโน่น ไม่ยึดนี่แล้ว เราย่อมมีความสุข คือ จิตนั้นจะตั้งอยู่ในความปีติ สภาวการณ์ที่ตั้งตนอยู่ในความปีตินั้นแหละ จะทำให้อายตนะภายในผ่องใส เมื่ออายตนะภายในผ่องใส ก็จะแสดงออกมาทางสีหน้า ก็คือ เกิดความยิ้ม ความยิ้มนี้แหละ จะเป็นการชนะในเหล่าศัตรูทั้งหลาย หรือว่ามารทั้งหลาย

ในสภาพการณ์แห่งการใช้ความยิ้มชนะสิ่งทั้งปวงนี้ เป็นการทำมาแล้วในอดีตกาล ในเหล่าผู้ครองเมืองก็ดี ผู้เป็นกษัตริย์ก็ดี จะต้องมีในจุดนี้ เพราะ การยิ้มอย่างไม่ใช่ฝืนยิ้มนั้น จิตเราจะต้องมีความนิ่ง มีความสะอาด มีความไม่ยึดในสิ่งทั้งหลาย ว่าสิ่งนี้ต้องเป็นของเรา สิ่งนั้นต้องเป็นของเรา ท่านเอ๋ย ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่านหรอก มีแต่จิตวิญญาณของท่านเท่านั้น ที่จะไปใช้กรรมในปรภพ


pngegg.5.3.2.png




ผู้ชายที่อยากมีเกียรติ


สมเด็จ : ธรรมะสำหรับผู้ชาย ผู้ชายนั้นมุ่งในความมีเกียรติ ความเป็นเศรษฐี ในการที่ท่านจะมีเกียรตินั้น ท่านจะต้องตั้งตนอยู่ในทางที่ชอบ ไม่มีการคิดเบียดเบียนคนอื่นที่กระทำความดี ไม่มีการคิดปองร้ายต่อมนุษย์ที่เป็นเพื่อนบ้านก็ดี เพื่อนร่วมประเทศก็ดี หรือเพื่อนร่วมโลกก็ดี

เมื่อท่านเป็นมิตรกับเขาแล้วไซร้ ความเป็นมิตรแห่งจิต เขาเรียกว่า จิตต่อจิตย่อมถึงกัน เมื่อนั้นท่านย่อมมีมิตร เมื่อท่านมีมิตรมาก เมื่อเขายกย่องท่าน ว่าท่านนี้ประกอบในความดี ท่านย่อมมีเกียรติ

pngegg.5.3.3.png




ผู้ดี


ความเป็นผู้ดีนั้น ไม่ใช่อยู่ที่เชื้อชาติ ไม่ใช่อยู่ที่ตระกูล เพราะอะไรเล่า อาตมาจึงพูดเช่นนี้ เพราะ การเป็นผู้ดีนั้น อยู่ที่ว่าจิตของท่านต้องสะอาด ไม่ใช่หม่นหมอง ถ้าจิตของท่านมีความอิจฉาริษยาในเพื่อนมนุษย์ เมื่อนั้นท่านย่อมไม่มีความเป็นผู้ดี ย่อมไม่มีเกียรติ

ท่านอย่าลืมว่า ท่านนั่งอยู่ที่นี้ บริเวณนี้ หรือในที่ไหนๆ ทั่วจักรวาลพิภพนี้ ล้วนแต่มีวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวของเทพพรหม ของอะไรทั้งสิ้น ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แยะแล้วว่า วิญญาณนั้นเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าอณู ปรมาณู แล้วท่านรู้ไหมว่า อณูปรมาณูประกอบด้วยสสารอะไร อาตมาไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ แต่อาตมารู้วิทยาศาสตร์

เพราะในสภาวการณ์ทั้งหลาย เมื่อการตั้งจุดแห่งการรับของจิตตรงกัน เมื่อนั้นเราย่อมมีความสุข ถ้าจิตเราคิดร้ายต่อเขา เทพพรหมที่อยู่ในศีลอยู่ในธรรม ย่อมสาปแช่งเรา เมื่อเราถูกการสาปแช่งมากๆ แล้วไซร้ เมื่อนั้นเราจะอยู่ไม่เป็นสุข มีความหงุดหงิด

ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้มีเกียรติ ท่านจะต้องไม่มีการอิจฉาเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย และท่านจะต้องตั้งตนอยู่ในการไม่ยึดตน ไม่ยึดเขา ไม่ยึดเรา เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะเป็นผู้มีสุข และเป็นผู้มีเกียรติ นี่คือ ภาพแห่งความจริงของสัจธรรม อันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม

ปุถุชนนั้นตกอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสาร ควรตั้งตนอยู่ในทางที่ชอบ คืออยู่ในวจีกรรมชอบ อยู่ในมโนกรรมชอบ อยู่ในกายกรรมชอบ เมื่อนั้นท่านจะเป็นผู้มีสุข และมีเกียรติทั้งหญิงและชาย

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

หลักสูตรของธรรมะไม่มีอะไรมาก


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พระมหาสังวร : หลวงพ่อครับ กระผมกราบขอฟังธรรมจากหลวงพ่อ ขอได้โปรดกรุณาแสดงธรรมเทศนาด้วยครับ

สมเด็จ : อาตมาก็แสดงไว้มากแล้วนี่ คือในหลักการเขาเรียกว่า ธรรมะนั้น ถ้าว่ากันตามกฎของความจริงแล้ว ไม่มีอะไรยุ่งเหยิง ไม่มีอะไรที่น่าจะพูด

หลักของธรรมะ ก็คือ ค้นตัวธรรมชาติของจิต รู้จักความทุกข์และความสุข เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว สภาวการณ์ให้รู้เท่าทันอายตนะ ปฏิบัติจิตให้สิ้นจากกิเลส แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ในหลักของคำเทศนาในพระไตรปิฎก หรือในการแสดงกรรมฐานใดๆ ก็แล้วแต่ ล้วนแต่ให้เข้าสู่ในการค้นตัวสัจจะของธรรมชาติ แห่งการให้จิตนี้อยู่ในจุดแห่งวิมุตติ (ความหลุดพ้น) ทั้งนั้น ในหลักของกรรมฐานที่เขาวางกันมาในพื้นเพใดๆ ก็ดี ก็เป็นแนวทางเพียงพอที่จะปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นได้

เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามอาตมาว่า แสดงธรรมะอะไร อาตมาว่าทุกอย่างไม่เห็นต้องแสดง ในสภาพการณ์ในหลักของธรรมชาติ มันมีให้ศึกษาในกายของแต่ละบุคคล มีให้ศึกษาในความจริงในแต่ละบุคคล ซึ่งในสภาวการณ์นี้แหล่ องค์สมณโคดมจึงได้บอกว่า นานาจิตตัง

สัจจะมีอยู่ทั่วในพิภพ ซึ่งผู้ใดไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปดู ไม่เข้าไปค้น แล้วจะพบสัจจะอะไรเล่า

สัจจะมีในทฤษฎีที่ท่านอ่านเป็นตันๆ หรือ มันไม่ใช่ความจริงเลย นั่นคือ การศึกษาให้ฟุ้ง ศึกษาไว้ชิงดีในการพูด

ฉะนั้น ใครก็แล้วแต่ ถ้าจะมาสำนักปู่สวรรค์มาพูดแล้ว อาตมาบอกตรงๆ ว่า ไม่เคยยินดีต้อนรับนักพูด อาตมาต้อนรับนักทำ ถ้าจะปฏิบัติจิตไปสู่วิมุตติจิตอย่างจริงจัง ไม่ห่วงในทางโลกแล้วไซร้ มาคุยกับอาตมาได้ เพราะว่าหลักธรรมทั้งหลาย ทั้งประวัติศาสตร์ก็ดี ทั้งการเป็นอยู่ของวิญญาณก็ดี ทั้งเรื่องนิทานก็ดี เรื่องเทพพรหมก็ดี อาตมาเทศน์ไว้แยะแล้ว เปิดเผยสิ่งลี้ลับไว้มากเพียงพอ ที่จะเป็นแนวทางการศึกษาได้

pngegg.5.3.1.png





การปฏิบัติธรรมต้องมีสัจจะ


ข้าหลวงสุทิน : ลูกได้เรียนถามถึงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อก็ได้ชี้แจงให้แล้วเมื่อคราวก่อน แต่ลูกก็ยังไม่ได้เข้าสู่การปฏิบัติเลยครับ

สมเด็จ : คือ ในการตั้งสัจจะนั้น ต้องจำไว้ว่า ในการตกลงระหว่างกองทัพมารกับกองทัพธรรม หรือมารโลกกับโลกทางธรรม แต่เวลานี้มารโลก ในโลกมนุษย์กำลังนำ ก็คือ การสร้างวัตถุทำลายธรรมชาติให้ผิดฤดูกาล

ก็มีข้อตกลงอยู่อันหนึ่งว่า บุคคลตั้งจิตในด้านโลกุตระก็ดี บุคคลตั้งใจมุ่งพุทธภูมิก็ดี บุคคลตั้งความแน่วแน่สู่แดนนิพพานก็ดี จะต้องถูกการทดสอบของเหล่ารุกขเทวดา อมรมนุษย์ ผีเปรต อสุรกาย หรือมาร

ฉะนั้น ในสภาวการณ์ที่มีภาระรับผิดชอบ ท่านก็อย่าเพิ่งตั้งในหลักแห่งความสุดยอดของจิตในทางนี้ เพราะว่าการทดสอบของพวกเหล่าวิญญาณก็คือ เขาจะทำทุกวิถีทางให้เราเสื่อมในสัจจะของตน พูดง่ายๆ คือ เราจะก่อ เขาจะทำลาย

เพราะฉะนั้น พวกที่มีภาระผูกพันอยู่ ยังตัดไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปตั้งในจิตแห่งการมุ่งไปสู่โลกุตระ จงมีเวลาแห่งการกระทำที่ว่า เราจะรวมจิตให้นิ่ง ว่างจากกิเลสชั่วขณะหนึ่งเท่าที่จะทำได้ นานเท่าที่จะทำได้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

อยู่อย่างไม่ให้ผ้าเหลืองร้อน


(วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : ในสภาวการณ์ การเป็นพระในยุคนี้ มันยุ่งเหยิง เมื่อเราบวชเป็นพระแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นลูกตถาคตโดยสมบูรณ์ เราจะต้องประพฤติตนให้สมกับเป็นลูกตถาคต เมื่อนั้นการอยู่ในผ้าเหลืองย่อมไม่ร้อน

ในสภาวะการบวชนั้นแหล่ เราต้องเข้าใจว่า บวชเพื่ออะไร การห่มผ้าเหลืองก็เพื่อดำเนินไปสู่การปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่ห่มแล้วเที่ยวไปคุยที่นั่นนอนที่นี่ การกระทำเช่นนั้น ย่อมที่จะเป็นเหตุแห่งการครหานินทาของฆราวาส

สำหรับการที่มีเหตุผลเกิดขึ้นอะไรนั่น ทุกอย่างมันมีจุดมุ่งหมายการเริ่มต้นและมีจุดแห่งการสลายของมัน เราต้องรู้จักแก้ไข ไม่ใช่เป็นกระต่ายตื่นตูม จะต้องเป็นผู้มีหลักแห่งสติสัมปชัญญะควบคุมพร้อมให้ปัญญานั้นคงที่ เพื่อวินิจฉัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในเหตุการณ์ใดก็แล้วแต่ ถ้ามนุษย์มีคำว่ากลัวขึ้นต้นแล้ว เหตุการณ์นั้น ถึงแม้จะเป็นฝ่ายดี ก็จะต้องเป็นฝ่ายเสีย เพราะว่าตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว สิ่งที่มนุษย์นั้นไม่ได้ทำผิด มนุษย์นั้นจะไม่ตื่นเต้นจนเกินไป


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอยู่ในผ้าเหลือง อยู่ในผ้ากาสวพัสตร์ ถือว่าเป็นลูกของตถาคต ดำเนินตามรอยองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เราจะต้องมีสัจจะแห่งพลังแห่งการอธิษฐานบารมี สิ่งลี้ลับอำนาจทิพย์ย่อมช่วยผู้ที่ดำรงอยู่ด้วยความประพฤติดี ประพฤติชอบ ธรรมะย่อมชนะอธรรม เข้าใจไหม

พระผิว : เข้าใจครับ ขอโทษครับ หลวงพ่อชื่ออะไรครับ

สมเด็จ : อาตมาก็เคยบอกแล้ว ในการดำเนินงานของอาตมานั้น พูดง่ายๆ เขาเรียกว่า ช่วยคนให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่พ้นผิด และการช่วยเหลือของผู้สำเร็จนั้น ไม่ต้องการให้มนุษย์รู้

พระผิว : กระผมเป็นฝ่ายถูกครับ หลวงพ่อ

สมเด็จ : ในสภาวะ ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกก็อย่าตื่น ตื่นแล้วมันจะเป็นฝ่ายผิด และการเป็นบรรพชิตต้องควบคุมการเดิน การนั่ง การพูด ควรจะรีบปฏิบัติตรวจดูสังขาร แห่งคำว่าขันธ์ห้านั้นเป็นอย่างไร ควรจะควบคุมอารมณ์แห่งจิต เมื่อจิตมีสมาธิแน่วแน่แล้ว โรคประสาทโรคห่าโรคเหวเกิดขึ้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าจิตฟุ้ง ทุกอย่างย่อมไม่มีพลัง เขาเรียกว่า พลังที่เก็บเอาไว้ ควรจะใช้ไปในทางที่ดี อย่าใช้ไปในทางที่ผิด จิตฟุ้ง เพราะวุ่นไปกับโลก

ถ้ามนุษย์ผู้ใดวุ่นกับโลก มนุษย์ผู้นั้นจะดำรงตนอย่างสันติสุขไม่ได้ และมนุษย์ผู้ใดอยู่ในโลกแต่ไม่ยึดโลก มนุษย์ผู้นั้นจะมีพลังเหนือมนุษย์ เข้าใจไหม

พระผิว : เข้าใจครับ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

พลังเหนือมนุษย์



สานุศิษย์ : การจะให้มีพลังเหนือมนุษย์นั้นต้องปฏิบัติตนอย่างไรครับ

สมเด็จ : เพราะอะไรจึงเหนือมนุษย์ ธรรมชาติแห่งความลี้ลับของมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นของคำว่า พุทธะแห่งธรรมชาติของจิตเดิม พลังอันนี้นอนนิ่งอยู่ในอนุสัยแห่งกายเนื้อของมนุษย์ แม้วิญญาณจะปฏิสนธิเปลี่ยนขันธ์ใหม่ พลังลี้ลับอันนี้ก็ยังเป็นธรรมชาติคงทนอยู่ เขาเรียกว่า รู้แห่งบริสุทธิ์จะอยู่คงที่ แม้โลกนี้สลาย

เมื่อเราอยู่ในโลก เราไม่ยึดโลก พลังอันนี้จะนิ่ง ถ้าเราไม่ฟุ้ง เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน พลังอันนี้ช่วยเราได้ เรียกว่า นะจังงัง เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ต้องท่องคาถา นี่แหละเหนือมนุษย์ และรู้จักใช้จิตให้ถูก ไม่ใช้พลังจิตไปในทางที่ผิด มันก็เหนือมนุษย์


การที่ทำให้จิตเสียพลังไปในทางที่ผิด เช่น พวกมึงนั่งเรียนหนังสือกันอยู่ เรียนๆ ไป เห็นอีหนูตรงข้ามมันสวยดี นี่พลังเสียไปในทางที่ผิดแล้ว หรือ อีหนูบอก แหม หนุ่มคนนี้รูปหล่อ น่ารัก นี่ก็พลังเสียไปในทางที่ผิด ความจริงไม่มีคำว่ารัก ไม่มีคำว่าสวย จิตนิ่ง เรากำลังดูตำราในข้อนี้ จิตก็อยู่ในข้อนี้ เมื่อสภาวะอันนั้นผ่านไป ถือว่า คือธรรมชาติอันหนึ่ง ไม่อย่างนั้น อาตมาจะบอกหรือว่า อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือการต่อสู้ อนาคตนั้นคือความหวัง แต่อย่าหลง

การเป็นมนุษย์จะต้องมีจุดมุ่งหมายแห่งการดำรงชีวิต เรียกว่า ตั้งอุปทานแห่งการยึดในอนาคต อดีตที่ผ่านมา อย่าเอามาทวนกระแสเป็นการเสียพลังโดยใช่เหตุ จงอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งตื่นขึ้น ระลึกถึงวันปัจจุบันแห่งการลืมตาดูโลก เราจะใช้พลังไปในทางไหน วันที่ผ่านมานั้น เราจับมันกลับมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อมนุษย์ผู้ใดดำรงพลังอันนี้อยู่ได้ มนุษย์ผู้นั้นจะสอบอะไร เอาตีนเขี่ยมันก็ถูก


ธรรมชาติแห่งการถึงจุดมันมี ธรรมชาติแห่งการสำเร็จมันมี แต่ต้องรู้จักค้น และให้ทุกคนเข้าใจว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นการมาใช้กรรมตามภพชาติ แห่งการพัวพันของแต่ละภพแต่ละชาติ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งสนุก

เพราะฉะนั้น ระหว่างดำรงอยู่ การเป็นมนุษย์นั้นแหล่ จะวางแผนอย่างไรให้หลุดจากมนุษย์ นั่นคือ ผู้ตื่นแล้ว ถ้าพวกที่ยังไม่ตื่น ยังหลงอยู่ในกามคุณ หลงอยู่ในการยึดมั่นในวัตถุ มันก็ย่อมเวียนว่ายอยู่อย่างนี้ วนอยู่อย่างนี้ ไม่มีคำว่าสิ้นภพสิ้นชาติ เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

การปฏิบัติให้จิตเหนือขันธ์


(วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : เจริญพร

ตามหลักแล้ว อาตมาไม่อยากจะเทศน์หรอก เพราะมนุษย์ยุคนี้เป็นมนุษย์ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง

ในสภาวะแห่งการทำงานทุกอย่างนั้น อาตมาก็บอกแล้ว การทำงานมันจะต้องมีรูปงาน และจะต้องมีการวางแผน แล้วต้องวินิจฉัยแผน ถ้าไม่มีแผน งานนั้นก็ต้องล้มเลิก

สำหรับมนุษย์ผู้หนึ่งที่อยู่ที่นี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นนักปฏิบัติ ในภาวะการปฏิบัติจิตนั้น จะต้องอย่ายึดขันธ์ เมื่อเวทนาเกิดขึ้น อย่าถอยเวทนา จึงจะถึงจิตที่แท้จริงของคำว่า “วิมุตติ”

วิมุตติจิตนั้น หมายความว่า จิตสามารถแยกออกจากสังขาร จิตอยู่ในวิญญาณ ต้องแยกออกจากสังขาร เมื่อวิญญาณอยู่เหนือจิต จิตอยู่เหนือสังขารแล้ว อะไรเล่าจะมีคำว่าเจ็บ อะไรเล่าจะมีคำว่าเมื่อย อะไรเล่าจะมีคำว่าปวด

เมื่อจิตแยกไม่ได้ สภาวะแห่งธรรมชาติของขันธ์ที่บ่มมา ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน จากการสอนของบิดามารดาที่เกี่ยวพันกัน สอนบ่มมา ตั้งแต่ปฏิสนธิมาเป็นคน สอนการเดิน การนั่ง การนอน จนเป็นสภาวะที่เรียกว่า ความเคยชิน ซึ่งพุทธะอันแท้จริงนั้น ไม่มีคำว่านั่ง ไม่มีคำว่านอน ไม่มีคำว่ายิ้ม

สภาวะอันเดิม เขาเรียกว่า จิตเดิมแท้สะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ในขันธ์ปัจจุบันนี้ เขาเรียกว่า ความเคยชิน เพราะฉะนั้น การเข้ากรรมฐาน ก็คือ ตัดความเคยชินออกเสีย ให้เหลือจิตนิ่งแห่งความสะอาด คือ วิมุตติจิต ว่ายังไงนักปฏิบัติ

สานุศิษย์ : ถูกแล้วครับ

สมเด็จ : ถูกแล้วครับ ไม่ใช่เมื่อยแล้วก็ถอยซิ

สานุศิษย์ : ทนไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนท่าบ้างครับ

สมเด็จ : ก็อย่ายึดอารมณ์นั้น มันถึงจุด มันสู้ไปเอง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 22:33 , Processed in 0.077630 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.