ตอนที่ ๔ แสงสว่างเป็นกิเลส ?
มีคนเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า มีผู้กล่าวว่า การทำสมาธิแล้วบังเกิดความสว่างหรือเห็นแสงสว่างนั้นไม่ดี เพราะเป็นกิเลส มืดๆ จึงจะดี
หลวงพ่อท่านกล่าวว่า
“ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสส่วนละเอียดไปละกิเลสส่วนหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดในแสงสว่างหรือหลงแสงสว่าง แต่ให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างกับเราเดินผ่านไปในที่มืดต้องใช้แสงไฟ หรือจะข้ามแม่น้ำมหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ แต่เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่ได้แบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไป”
แสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นกัน ผู้มีสติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแสงสว่างภายใน ที่ไม่มีแสงใดเสมอเหมือนดังธรรมที่ว่า
“คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา”
ตอนที่ ๕ วัดผลการปฏิบัติด้วยสิ่งใด ?
มีผู้ปฏิบัติหลายคน ปฏิบัติไปนานเข้าชักเขว ไม่ชัดเจนว่าตนปฏิบัติไปทำไม หรือปฏิบัติไปเพื่ออะไร ดังครั้งหนึ่ง เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า
“ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ มีนิมิตภายนอก แสงสีต่างๆ เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นทางปฏิบัติกันเลย”
หลวงพ่อท่านย้อนถาม สั้นๆ ว่า
“ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลง ข้าว่าแกใช้ได้”
ตอนที่ ๖ อารมณ์อัพยากฤต
เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าอารมณ์อัพยากฤตไม่จำเป็นต้องมีได้เฉพาะพระอรหันต์ ใช่หรือไม่ ? ท่านตอบว่า
“ใช่ แต่อารมณ์อัพยากฤตของพระอรหันต์ท่านทรงตลอดเวลาไม่เหมือนปุถุชนที่มีเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
ท่านอุปมาอารมณ์ให้ฟังว่า เปรียบเสมือนคนไปยืนที่ตรงทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปทางดี (กุศล) อีกทางหนึ่งไปในทางที่ไม่ดี (อกุศล) ท่านว่า อัพยากฤตมี ๓ ระดับ คือ
• ระดับหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉยๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
• ระดับกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิ มีสติ มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากสิ่งที่ดี ที่ชั่ว ดังที่เรียกว่า อุเบกขารมณ์
• ระดับละเอียด คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีทั้งอารมณ์ที่คิดปรุงไปในทางดีหรือในทางไม่ดี วางอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลาเป็นวิหารธรรมของท่าน
ตอนที่ ๗ ตรี โท เอก
ครั้งหนึ่งผู้เขียนจะจัดทำบุญเพื่อเป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรมน้อมถวายแด่หลวงพ่อเกษม เขมโก เนื่องในโอกาสที่หลวงพ่อท่านมีอายุครบ ๗๔ พรรษา เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘
ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงพ่อว่า “การทำบุญอย่างไร จึงจะดีที่สุด”
หลวงพ่อท่านได้เมตตาตอบว่า “ของดีนั้นอยู่ที่เรา ของดีนั้นอยู่ที่จิต
จิตมี ๓ ชั้น ตรี โท เอก ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย โทก็ปานกลาง เอกนี่อย่างอุกฤษฏ์
มันไม่มีอะไร.....ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวอนัตตานี่แหละเป็นตัวเอก ไล่ไปไล่มา ให้มันเห็นสังขารร่างกายเราตายแน่ๆ
คนเราหนีตายไม่พ้น ตายน้อย ตายใหญ่ ตายใหญ่ก็ตายหมด ตายน้อยก็หลับ ไปตรองดูให้ดีเถอะ.....”
ตอนที่ ๘ ต้องสำเร็จ
หลวงพ่อเคยสอนว่า.....
“ความสำเร็จนั้นมิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้ามาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่างต้องสำเร็จไม่ใช่จะสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้ แล้วครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบเป็นตัวอย่างให้เราดู อัฐิท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันหมด
เมื่อได้ไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ขอให้ลงมือทำทันที ข้าขอรับรองว่าต้องสำเร็จ ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้น อยู่ที่ความเพียรของผู้ปฏิบัติ”
ขอให้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า “สิ่งนั้น บัดนี้เราได้ลงมือทำแล้วหรือยัง ?”
ตอนที่ ๙ จะเอาโลกหรือเอาธรรม
บ่อยครั้งที่มีผู้มาถามปัญหากับหลวงพ่อโดยมักจะนำเอาเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติมิตร หรือคนอื่นๆ มาปรารภให้หลวงพ่อฟังอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจผู้เขียนว่า“โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า
“เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง
ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น”
|