ตอนที่ ๑๗ ประวัติพระมหากัจจายนเถระ
พระมหากัจจายนะ เป็นบุตรพราหมณ์ปุโรหิต กัจจานโคตรหรือกัจจายนโคตร ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี ชื่อว่า กัญจนะ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้วเรียนจบไตรเพท เมื่อบิดาได้กระทำกาลกิริยาแล้ว ได้รับตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา ฯ
ครั้นกาลต่อมา พระเจ้าจัณฑปัชโชตได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว เสด็จเที่ยวโปรดสั่งสอนประชาชน ธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้น เป็นธรรมที่แท้จริง และยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีพระประสงค์จะใคร่เชิญสมเด็จพระบรมศาสดาไปประกาศพระศาสนาที่กรุงอุชเชนี จึงสั่งกัจจายนะปุโรหิต ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เรียนจบไตรเพทไปทูลเชิญเสด็จ กัจจายนะปุโรหิตทูลลาจะบวชด้วย
ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงออกจากกรุงอุชเชนีพร้อมด้วยบริวาร ๗ คน ครั้นมาถึงที่ประทับพระบรมศาสดาแล้ว พากันเข้าไปเฝ้า พระองค์ตรัสเทศนาสั่งสอน ในที่สุดเทศนา ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกันทั้ง ๘ คน แล้วจึงทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ครั้นได้อุปสมบทแล้ว จึงทูลเชิญอาราธนาพระองค์เสด็จไปที่กรุงอุชเชนี ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต พระบรมศาสดาทรงรับสั่งว่า ท่านไปเองเถิด เมื่อท่านไปแล้วพระเจ้าจัณฑปัชโชตจักทรงเลื่อมใส ท่านพร้อมด้วยบริวาร ๘ องค์ กราบถวายบังคมลาสมเด็จพระบรมศาสดากลับไปสู่กรุงอุชเชนีประกาศพุทธศาสนาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสแล้ว จึงกลับมาสู่สำนักของพระบรมศาสดาอีก ฯ
ท่านเป็นผู้ฉลาดในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อให้พิสดาร เช่น ในครั้งหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงภัทเทกรัตตสูตรโดยย่อแล้ว เสด็จเข้าวิหารที่ประทับ ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ช่องที่จะทูลถามเนื้อความ ที่พระองค์ตรัสโดยย่อให้เข้าใจกว้างขวาง เห็นความสามารถของท่านพระมหากัจจายนะ จึงได้อาราธนาขอให้ท่านอธิบายให้ฟัง
ท่านก็อธิบายให้ฟัง ฯ ท่านอธิบายให้ฟังโดยพิสดารแล้วกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ เราเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงแสดงแล้วโดยย่อความพิสดารอย่างนี้ ถ้าท่านทั้งหลายประสงค์ ก็จงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดากราบทูลถามเนื้อความเถิด พระองค์ทรงแก้อย่างไร จงจำไว้อย่างนั้น กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ
พระองค์ตรัสสรรเสริญพระมหากัจจายนะว่า ภิกษุทั้งหลาย กัจจายนะเป็นผู้มีปัญญา ถ้าพวกเธอถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็แก้เหมือนอย่างที่กัจจายนะแก้แล้วอย่างนั้น เนื้อความแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วโดยย่ออย่างนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงจำไว้เถิด ฯ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้อธิบายความย่อโดยพิสดาร ฯ
ท่านพระมหากัจจายนะนั้น ได้ทูลขอพระบรมพุทธานุญาตให้พระองค์ทรงแก้ไขพระพุทธบัญญัติบางข้อ ซึ่งขัดต่อภูมิประเทศ เช่น เมื่อครั้งท่านพำนักอาศัยอยู่ ณ ภูเขาชื่อว่า ปวัตตะ แขวงเมืองกุรุรฆระ ในอวันตีทักขิณาปถชนบท อุบาสกผู้เป็นอุปัฏฐากของท่านองค์หนึ่ง ชื่อว่า โสณกุฏิกัณณกะ มีความประสงค์จะบวชในพระธรรมวินัย แต่ก็ได้เพียงบรรพชาเท่านั้น โดยล่วงไป ๓ ปีแล้ว จึงได้อุปสมบท เพราะในอวันตีทักขิณาปถชนบทหาภิกษุสงฆ์เป็นคณปูรกะไม่ได้
เมื่อโสณกุฏิกัณณกะได้อุปสมบทแล้ว มีความปรารถนาจะไปเฝ้าพระบรมศาสดา จึงไปลาท่านพระมหากัจจายนะผู้เป็นอุปัชฌาย์ ท่านก็อนุญาต และสั่งให้ไปถวายบังคมพระบาทพระบรมศาสดาด้วยเศียรเกล้าตามคำขอของท่าน แล้วให้กราบทูลขอพระบรมพุทธานุญาตให้พระองค์ทรงแก้ไขพระพุทธบัญญัติ ซึ่งขัดต่ออวันตีทักขิณาปถชนบท ๕ ข้อ คือ
๑.....ในอวันตีทักขิณาปถชนบท มีภิกษุน้อย ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยคณะภิกษุน้อยกว่า ๑๐ รูป ฯ ในข้อนี้มีพระพุทธานุญาตว่า “ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตการอุปสมบทในปัจจันตชนบท ด้วยคณะมีพระวินัยธรเป็นที่ ๕” (ด้วยคณะสงฆ์ ๕ รูป) ฯ
๒.....มีพื้นที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตรองเท้าเป็นชั้นๆ ในข้อนี้มีพระพุทธานุญาตว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรองเท้าเป็นชั้นๆ ในปัจจันตชนบท” ฯ
๓.....พวกมนุษย์ต้องอาบน้ำทุกวัน ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตการอาบน้ำเป็นนิตย์ ฯ ในข้อนี้มีพระพุทธานุญาตว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการอาบน้ำได้เป็นนิตย์ในปัจจันตชนบท” ฯ
๔.....มีเครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ มีหนังแพะหนังแกะเป็นต้น บริบูรณ์ดีเหมือนมัชฌิมชนบท ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตเครื่องลาดทำด้วยหนังสัตว์ มีหนังแพะหนังแกะเป็นต้น ฯ ในข้อนี้มีพระพุทธานุญาตว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ มีหนังแพะ หนังแกะเป็นต้น” ฯ
๕.....พวกมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมถวายจีวรแก่ภิกษุไปแล้วในภายนอกสีมาด้วยคำว่า “พวกข้าพเจ้าถวายจีวรผืนนี้ แก่ภิกษุชื่อนี้” เมื่อพวกเธอเหล่านั้นกลับมาแล้ว พวกภิกษุในวัดแจ้งความให้พวกเธอทราบ พวกเธอรังเกียจ ไม่ยินดีรับ ด้วยเข้าใจเสียว่าผ้านั้นเป็นนิสสัคคียะ (จำต้องสละ เพราะล่วง ๑๐ ราตรีแล้ว) ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสบอกการปฏิบัติในจีวรเช่นนั้น ฯ ในข้อนี้มีพระพุทธานุญาตว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้ภิกษุยินดีรับจีวรที่ทายกถวายลับหลังนั้นได้ ผ้ายังไม่ถึงมือภิกษุตราบใด จะนับว่าเธอเป็นผู้มีสิทธิ์ในผ้านั้นเต็มที่ยังไม่ได้ตราบนั้น” ฯ
ท่านพระมหากัจจายนะนั้น เป็นผู้มีรูปงาม มีผิวเหลืองดุจทอง มีเรื่องเล่าในอรรถกถาธรรมบทว่า บุตรเศรษฐีมีชื่อว่า โสเรยยะ ในโสเรยยนครเห็นท่านแล้วคะนองใจยิ่งนัก ด้วยอำนาจอกุศลจิตเพียงเท่านี้ เพศชายแห่งโสเรยยเศรษฐีบุตรนั้นกลับเป็นเพศสตรี เธอได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง จึงหนีไปอยู่นครอื่น จนกระทั่งได้สามีมีบุตรด้วยกัน ๒ คน ภายหลังได้ไปขอขมาให้ท่านอดโทษแล้ว จึงกลับเป็นบุรุษตามเดิม ฯ
ตามความในมธุรสูตรว่า ท่านอยู่มาถึงภายหลังแต่พุทธปรินิพพาน ใจความย่อในสูตรนั้นว่า เมื่อท่านพระมหากัจจายนะอยู่ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี พระเจ้ามธุรราชธานีอวันตีบุตรเสด็จไปหา แล้วทรงตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระมหากัจจายนะผู้เจริญ พวกพราหมณ์ถือว่า พวกเขาเป็นผู้ประเสริฐสุด เกิดจากพรหม ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ฯ
ท่านพระมหากัจจายนะทูลตอบ แล้วแสดงวรรณะ ๔ เหล่านี้ไม่ต่างกัน ครั้นพระเจ้ามธุรราชสดับแล้วเกิดความเลื่อมใส แสดงพระองค์เป็นอุบาสก ถึงพระเถระกับพระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ฯ
พระเถระทูลห้ามว่า อย่าถึงท่านเป็นสรณะเลย จงถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสรณะของท่านเป็นสรณะเถิด ฯ พระเจ้ามธุรราชจึงตรัสถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ ที่ไหน ได้ทราบความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานเสียแล้ว
จึงตรัสว่า ถ้าพระองค์ได้ทรงสดับว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จในที่ใด แม้ใกล้ไกลเท่าใด พระองค์ก็คงจะเสด็จไปเฝ้าให้จงได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว ข้าพระองค์ขอถือพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว กับพระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง ฯ
ข้อนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า ท่านพระมหากัจจายนะมีชีวิตอยู่มาภายหลังแต่พระพุทธปรินิพพาน ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ
|