แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

อนุพุทธประวัติ ๘๐ องค์ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗๙   

ประวัติพระนาลกเถระ

3.png


ท่านพระนาลกะ เป็นบุตรของน้องสาวอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส ในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อครั้งพระมหาบุรุษประสูติใหม่ กาฬเทวิลดาบสไปเยี่ยมเยียน ได้เห็นพระลักษณะของพระมหาบุรุษมีลักษณะถูกต้องตามตำราพยากรณ์ศาสตร์ของพราหมณ์ว่า พระองค์ทรงผนวชแล้วจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกในโลก จึงแนะนำกะผู้หลานชายให้ออกประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์คอยพระองค์อยู่ นาลกะก็กระทำตามคำแนะนำ


เมื่อพระมหาบุรุษเจ้าเสด็จออกทรงผนวชอยู่ นาลกะได้ทราบข่าวจึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลถามปัญหาโมไนยปฏิบัติ พระองค์ทรงพยากรณ์ให้โดยนัยเป็นต้นว่า พึงทำจิตให้เสมอในสัตว์และบุคคลทั้งปวง อย่าโกรธ อย่าโทมนัสขัดเคืองเมื่อถูกบริภาษ ในเวลาจบพยากรณ์ปัญหา นาลกะเกิดความเลื่อมใสทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย

ครั้นท่านได้อุปสมบทแล้ว ทูลลาพระบรมศาสดาเข้าไปสู่ป่า อุตส่าห์พยายามทำความเพียรในโมไนยปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ ไม่ทำความสนิทสนมกับชาวบ้าน ไม่ติดในบุคคลและถิ่น เป็นผู้มักน้อยในที่จะถาม ไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล


พระนาลกะป็นผู้ปฏิบัติในโมไนยปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ และเป็นธรรมเนียมของผู้บำเพ็ญโมไนยปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ คงจะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือน เป็นอย่างน้อย ๗ ปี เป็นอย่างกลาง ๑๖ ปี เป็นอย่างสูง และในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ จะมีสาวกผู้บำเพ็ญโมไนยปฏิบัติเพียงองค์เดียวเท่านั้น

ในพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามโคตมะนี้ ได้จัดว่า พระนาลกะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรโมไนยปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ นับแต่วันที่ท่านได้บรรลุพระอรหัตผลมา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่ได้เพียง ๗ เดือนเท่านั้น ก็ดับขันธปรินิพพานด้วยอิริยาบถยืน ณ เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดา ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘๐   

ประวัติพระองคุลิมาลเถระ

3.png


ท่านพระองคุลิมาละ* เป็นบุตรพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในพระนครสาวัตถี มารดาชื่อว่า นางมันตานีพราหมณี


เมื่อท่านคลอดจากครรภ์มารดา ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ คือ บรรดาเครื่องศัสตราวุธยุทธภัณฑ์อันมีอยู่ในเรือนนั้นก็ดี เครื่องพระแสงศัสตราวุธของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี ก็บังเกิดรุ่งเรืองเป็นเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ

ฝ่ายปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดา เมื่อเห็นเหตุนั้น จึงออกจากเรือน เล็งแลดูฤกษ์บน ฤกษ์ปรากฏในอากาศ ประหลาดใจหนักหนา ด้วยว่าบุตรนั้นจะเกิดเป็นโจร ครั้นเพลารุ่งเช้า จึงเข้าไปสู่ที่เฝ้า กราบทูลเนื้อความนั้นให้พระองค์จับกุมารประหารชีวิตเสีย แต่พระองค์หาทรงทำไม่ กลับสั่งให้บำรุงรักษาไว้

ปุโรหิตาจารย์ก็อภิบาลบำรุงรักษากุมารนั้นไว้ และให้นามว่า “อหิงสกกุมาร” แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียน เพราะถือตามนิมิต ครั้นกาลต่อมา เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว มารดาจึงส่งอหิงสกกุมารไปพระนครตักศิลา เพื่อจะให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาและศิลปศาสตร์

เมื่อเจ้าอหิงสกกุมารไปถึงพระนครตักศิลาแล้ว ก็เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ขอศึกษาศิลปวิทยา อุตส่าห์กระทำวัตรปรนนิบัติเป็นอันดี และมีปัญญาเล่าเรียนได้ว่องไว แม้จะเล่าเรียนศิลปศาสตร์วิชาการใดๆ ก็รู้จบสิ้นทุกประการ เชี่ยวชาญกว่าสานุศิษย์ทั้งปวง จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ทิศาปาโมกข์

ฝ่ายมาณพทั้งหลายอันเป็นเพื่อนเล่าเรียนด้วยกันนั้น ก็บังเกิดการริษยา จึงประชุมปรึกษากันเพื่อคิดอุบายทำลายเจ้าอหิงสกกุมารเสีย เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้ว ได้ไปยุยงอาจารย์ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ในที่สุดอาจารย์ก็ปลงใจเชื่อ คิดหาอุบายที่จะกำจัดอหิงสกกุมารเสีย

เมื่อเห็นอุบายเป็นที่แยบคายแล้ว จึงพูดกับอหิงสกกุมารว่า มาณเว ดูก่อนมาณพ เจ้าจงไปฆ่าคนแล้วตัดเอานิ้วมือมาให้ได้พันนิ้ว แล้วจงนำมา เราจะประกอบศิลปศาสตร์อันชื่อว่าวิษณุ
อหิงสกกุมารจึงได้ฝืนใจทำ เริ่มจัดอาวุธ ผูกพันให้มั่นกับตัวแล้วก็ลาอาจารย์เข้าสู่ราวป่า เที่ยวพิฆาตฆ่ามนุษย์ อันเดินไปมาในสถานที่นั้นๆ

ครั้นฆ่าได้แล้ว มิได้กำหนดนับเป็นคะแนนไว้ ประการหนึ่งจิตของอหิงสกกุมารไม่ได้คิดว่าจะทำการบาปหยาบช้า เหตุดังนี้จึงมิได้กำหนดคนที่ตนฆ่าตาย ก็บังเกิดลบเลือนสงสัย ตั้งแต่นั้นมา เมื่อฆ่าคนตายแล้ว ก็ตัดนิ้วร้อยเป็นพวงไว้ ดุจพวงมาลา นับได้ถึง ๙๙๙ นิ้ว เพราะเหตุนั้น เจ้าอหิงสกกุมารจึงมีนามปรากฏว่า องคุลิมาลโจร แปลว่า โจรผู้ฆ่าคนเอานิ้วมือ

ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ระบือกระฉ่อนไปตามนิคมชนบทต่างๆ มหาชนมีความสะดุ้งตกใจกลัว ก็พร้อมกันไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อกราบทูลให้พระองค์กำจัดเสีย เมื่อพระองค์ทรงทราบแล้ว จึงสั่งให้เตรียมพล เพื่อจะไปจับองคุลิมาลโจรฆ่าเสีย ปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดาทราบว่าอันตรายจะมีแก่บุตร จึงปรึกษากับนาง
มันตานีพราหมณี ให้นางมันตานีพราหมณีรีบออกไปก่อน เพื่อบอกเหตุนั้นให้แก่บุตรทราบ

ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแลเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตผลขององคุลิมาลโจร ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระภารธุระ ก็จะกระทำมาตุฆาตฆ่ามารดาเสีย จักเป็นเหตุเสื่อมจากมรรคผล จึงรีบเสด็จไปแต่เช้าตรู่

เมื่อพบเข้าแล้ว องคุลิมาลโจรก็ตรงเข้าไล่ทันที หมายจักพิฆาตเอานิ้วพระหัตถ์ แม้ไล่เท่าไรก็ไม่ทัน จนเกิดความเหนื่อยเมื่อยล้า จึงได้ร้องตะโกนให้พระบรมศาสดาหยุด พระองค์จึงตรัสตอบว่า พระองค์ท่านได้หยุดแล้ว แต่เขาก็ยังไล่ตามไม่ทัน
องคุลิมาลโจรจึงหาว่าพระองค์ตรัสมุสาวาท

พระองค์ก็ตรัสบอกว่า เราหยุดจากการทำอกุศลอันให้ผลเป็นทุกข์มานานแล้ว ส่วนท่านนั้นยังไม่หยุด

พระสุรเสียงนั้น ทำให้องคุลิมาลโจรรู้สึกสำนึกโทษของตัว จึงเปลื้องศัสตราวุธและองคุลีออกจากกายทิ้งไว้ในซอกภูเขา แล้วเข้าไปเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาต ให้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงนำพาเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร

ครั้นเวลารุ่งเช้า ท่านเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ชาวพระนครได้เห็นท่านแล้วก็เกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่าน พากันวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูเสีย และพูดจากันต่างๆ นานา บางคนพูดว่า ท่านพระองคุลิมาละปลอมเป็นสมณะเพื่อหลบหนีราชภัย บางคนพูดว่า เพื่อหวังจะประทุษร้ายคนภายในพระนคร


ท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหนก็มีเสียงโจทก์กันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่ทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่าน ภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย แต่ก็เป็นโชคดีอย่างหนึ่งของท่าน ท่านได้ทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์คนหนึ่ง หญิงนั้นก็คลอดบุตรง่ายเหมือนเทน้ำออกจากกระออม  

ตั้งแต่นั้นมา ก็มีคนนิยมนับถือท่าน จนกระทั่งว่าแท่นที่ท่านนั่ง คนเอาน้ำไปรดแล้วใช้เป็นน้ำมนต์ ก็ได้ผลสมประสงค์เช่นเดียวกัน คาถาที่ท่านทำน้ำมนต์นั้นนิยมกันว่า ได้แก่


“ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.” ดังนี้

(ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ)

แปลว่า “ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่ฉันเกิดมาแล้วโดยอริยชาติ ยังไม่รู้สึกตัวว่าแกล้งปลงชีวิตมนุษย์สัตว์เลย ด้วยอำนาจสัจวาจานั้น ขอความสวัสดี จงมีแก่หล่อนและครรภ์ของหล่อนเถิด”  

ท่านพระองคุลิมาละนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรสมณธรรม แต่ว่าจิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ เพราะว่าคนที่ท่านฆ่า ประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า


พระบรมศาสดาทรงทราบ จึงได้เสด็จไปแนะนำสั่งสอน ไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรมที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว

ท่านประพฤติตาม ไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

* ท่านพระองคุลิมาละ บางตำนานกล่าวว่า ท่านได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้สามีบริโภค แต่ในเอตทัคคบาลีปรากฏว่าท่านได้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้กล่าวไว้ เกรงว่าจะเกิน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

bgpra.1.1.jpg


[ ขอความสุข สวัสดี และดวงตาเห็นธรรม จงมีแด่ทุกท่าน ]

l25.png


IMG_0086.3.JPG


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 1

ขอบคุณครับ.

ขออนุโมทนาในวิริยะของท่านผู้นำบทความมาลง ได้ความรู้ และยังถ่ายทอดไปยังพุทธศาสนิกชนไปอย่างทั่วถึง สาธุ สกฺกาโรติ.

Rank: 1

สาธุ ครับ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-14 00:38 , Processed in 0.084138 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.