แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

อนุพุทธประวัติ ๘๐ องค์ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๔   

ประวัติพระราธเถระ

3.png


ท่านพระราธะ*๑ เกิดในสกุลพราหมณ์ในพระนครราชคฤห์ เดิมชื่อ ราธะ สกุลของพราหมณ์เป็นสกุลที่มั่งคั่งสกุลหนึ่ง เมื่อราธพราหมณ์แก่เฒ่าชราบุตรภรรยาไม่เลี้ยงดู เป็นคนยากจนเข็ญใจ จึงไปอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับพระภิกษุในพระเวฬุวันมหาวิหาร ต่อมาราธพราหมณ์มีความประสงค์อยากจะบวช แต่ไม่มีใครบวชให้ เมื่อไม่ได้บวชสมประสงค์ จึงมีร่างกายอันซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมองไม่ผ่องใส ฯ

พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์ จึงตรัสถาม ทราบความแล้วรับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ใครระลึกถึงอุปการคุณของพราหมณ์นี้ได้บ้าง ฯ


พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าระลึกได้อยู่ วันหนึ่งข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์นี้ให้อาหารแก่ข้าพเจ้าทัพพีหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสว่า ดีละๆ สารีบุตร สัตบุรุษเป็นคนกตัญญูกตเวที

ถ้าอย่างนั้น สารีบุตรให้พราหมณ์นั้นบวชเถิด ครั้นพระองค์ทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรบวชราธพราหมณ์อย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้เลิกการอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ๓ ที่ได้ทรงอนุญาตไว้แล้วแต่เดิม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ทรงอนุญาตให้สงฆ์อุปสมบทกุลบุตรด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ฯ

ท่านพระราธะ เป็นองค์แรกในการอุปสมบทด้วยวิธีนี้ เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดากราบทูลว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าโดยย่อๆ ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังแล้ว จักหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว เป็นคนไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปในภาวนา

พระบรมศาสดา ตรัสสอนว่า ราธะสิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย อะไรเล่าชื่อว่ามาร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน มีความสิ้นไปเสื่อมไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ชื่อว่ามาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเสีย   

พระราธะรับโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว เที่ยวจาริกไปกับพระสารีบุตรไม่นาน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้นเมื่อพระราธะได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ท่านพระสารีบุตรพามาเฝ้าพระบรมศาสดา ทรงปราศรัยตรัสถามว่า สัทธิวิหาริกของท่านนี้เป็นอย่างไร พระสารีบุตรกราบทูลว่า เป็นคนว่านอนสอนง่าย เมื่อแนะนำสั่งสอนว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนั้นไม่ควรทำ ท่านจงทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนั้นดังนี้ ไม่เคยโกรธ ฯ


พระบรมศาสดาตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายถือเป็นตัวอย่างว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นคนว่าง่ายอย่างราธะเถิด เมื่ออาจารย์ชี้โทษสั่งสอน อย่าถือโกรธ ควรคบแต่บัณฑิตที่ตนเห็นว่าเป็นคนแสดงโทษ กล่าวข่ม ให้เป็นดุจคนชี้บอกขุมทรัพย์ให้ เพราะคบบัณฑิตเช่นนั้น มีคุณประเสริฐ ไม่มีโทษเลย ฯ

และทรงยกย่องสรรเสริญพระราธะว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านที่มีปฏิภาณ คือ ญาณแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา ท่านพระราธะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

*๑ ในธรรมบทภาค ๔ ว่า เมื่อเป็นคฤหัสถ์อยู่ในนครสาวัตถี พระศาสดาทรงปรารภเรื่องนี้ขณะประทับอยู่ในพระเชตวัน ฯ


4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๓   

ประวัติพระปิงคิยเถระ

3.png



ท่านพระปิงคิยะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุควรแก่การศึกษาเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย จึงกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิล ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ปิงคิยมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ติดตามออกบวชด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนเชื่อถือเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

ปิงคิยมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำพวกนั้น ได้พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ แล้วพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว ได้ทูลถามปัญหาทีละคนๆ ส่วนปิงคิยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๖ ว่า

ปิงคิยมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกำลัง มีผิวพรรณสิ้นไปแล้ว ดวงตาของข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นกระจ่าง หูก็ฟังไม่สะดวก ขอข้าพระพุทธเจ้าอย่าเป็นผู้หลงฉิบหายเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระพุทธเจ้าควรรู้ เป็นเครื่องละชาติชราในอัตภาพนี้เสีย ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านเห็นชนทั้งหลายผู้ประมาทแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะนั้นท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสีย จะได้ไม่เกิดอีก ฯ

ปิ. ทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ เป็น ๑๐ ทิศทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำที่พระองค์ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ฟังแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้รู้แล้ว แม้น้อยหนึ่ง มิได้มีในโลก ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระพุทธเจ้าควรรู้ เป็นเครื่องละชาติชราในโลกนี้เสีย ฯ
            
พ. เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ อันตัณหาครอบงำแล้ว มีความเดือดร้อนเกิดแล้ว อันชราถึงรอบข้างแล้ว เหตุนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย จะได้ไม่เกิดอีก ฯ
            

ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา ปิงคิยมาณพได้ญาณแห่งธรรม คือ ได้บรรลุเพียงโสดาปัตติผล เพราะเวลาฟังพยากรณ์ปัญหา มีจิตฟุ้งซ่านคิดถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ว่า ลุงของเราหาได้ฟังธรรมเทศนาที่ไพเราะอย่างนี้ไม่ อาศัยโทษที่จิตฟุ้งซ่านเพราะความรักใคร่ในอาจารย์ จึงไม่อาจทำจิตให้สิ้นจากอาสวะได้ ฯ

ในลำดับนั้น ปิงคิยมาณพพร้อมกับมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ครั้นท่านพระปิงคิยะได้อุปสมบทแล้ว จึงทูลลาพระบรมศาสดากลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์แล้ว แสดงธรรมเทศนาปัญหา ๑๖ ข้อนั้นให้ฟัง ภายหลังได้สดับโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ได้บรรลุพระอรหัตผล*๑

ส่วนพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ได้บรรลุธรรมาภิสมัยแต่เพียงชั้นเสขภูมิ (อนาคามิผล) ท่านพระปิงคิยะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

*๑ ในโสฬสปัญหา ฉบับหอสมุด ท่านอ้างอรรถกถาว่า ท่านพระปิงคิยะบรรลุธรรม คือ เป็นพระอนาคามี

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๒   

ประวัติพระโมฆราชเถระ

3.png


ท่านพระโมฆราช เป็นบุตรพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามประเพณีพราหมณ์ ฯ


ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย จึงกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งแว่นแคว้นทั้ง ๒ คือแว่นแคว้นอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ โมฆราชมาณพพร้อมกับมาณพอีก ๑๕ คน ผู้เป็นศิษย์ได้พาบริวารออกบวชติดตามไปอยู่ด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระสิทธัตถราชกุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ประกอบด้วยพระมหากรุณา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีมีความสนเท่ห์ใจใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงได้ผูกปัญหาแก่มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ให้ไปกราบทูลถามดู   


โมฆราชมาณพคนหนึ่งอยู่ในจำนวนนั้น พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว อชิตมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนแรก ครั้นพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว โมฆราชมาณพปรารภจะทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๒ เพราะถือว่าเป็นคนมีปัญญาดีกว่ามาณพทั้ง ๑๕ คน คิดจะทูลถามปัญหาก่อน แต่เห็นว่าอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าและเป็นหัวหน้า จึงยอมให้ทูลถามก่อน

พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามว่า โมฆราช ท่านรอให้มาณพอื่นถามก่อนเถิด ฯ โมฆราชก็หยุดอยู่ ต่อแต่นั้นมาณพคนอื่นได้ทูลถามปัญหาเป็นลำดับๆ กัน ถึง ๘ คนแล้ว โมฆราชมาณพปรารภจะทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๙ อีก พระบรมศาสดาก็ทรงห้ามไว้ดุจนัยหนหลัง โมฆราชก็ยับยั้งนิ่งอยู่ รอให้มาณพอื่นทูลถามถึง ๑๔ คนแล้ว จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๕ ว่า

โมฆราชมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลถามปัญหาถึง ๒ ครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึง ๓ ครั้งแล้ว พระองค์ทรงแก้ ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว ทูลถามปัญหาเป็นคำรบ ๑๕ ว่า

โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุฉะนี้ จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ผู้ทรงปรีชา เห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราช (ความตาย) จึงจะไม่แลเห็น คือ จักไม่ตามไม่ทัน ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจะไม่แลเห็น ฯ

ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา โมฆราชมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหา ที่มาณพทั้ง ๑๖ คน ทูลถามจบลงแล้ว โมฆราชมาณพพร้อมมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฯ

ท่านพระโมฆราช เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ท่านยินดีในจีวรที่เศร้าหมอง ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ฯ ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๑   

ประวัติพระโปสาลเถระ

3.png



ท่านพระโปสาละ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์ ฯ

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย จึงกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่ศิษย์ โปสาลมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปอยู่ด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

โปสาลมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว จึงได้ทูลถามปัญหาทีละคนๆ เมื่อพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาที่อุทยมาณพถามจบลงแล้ว โปสาลมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๔ ว่า

โปสาลมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงสำแดงพระปรีชาญาณในกาลเป็นอดีต ไม่ทรงหวั่นไหว (เหตุสุขทุกข์มีความสงสัยอันตัดเสียได้แล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง)

ขอทูลถามถึงญาณของบุคคล ผู้มีความกำหนัดหมายในรูปแจ้งชัด (คือได้บรรลุรูปฌานแล้ว) ละรูปารมณ์ทั้งหมดได้แล้ว คือล่วงรูปฌานขึ้นไปแล้ว เห็นอยู่ทั้งภายในภายนอกว่า ไม่มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง (คือบรรลุรูปฌานที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ) บุคคลเช่นนั้นจะควรแนะนำสั่งสอนให้ทำอย่างไรต่อไป ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า พระตถาคตเจ้าทราบภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งหมด จึงทราบบุคคลผู้เช่นนั้น แม้ยังตั้งอยู่ในโลกนี้ว่า มีอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ มีอากิญจัญญายตนภพ เป็นที่ไปเบื้องหน้า บุคคลเช่นนั้นรู้ว่ากรรมอันเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ มีความเพลิดเพลินยินดีเป็นเครื่องประกอบดังนี้แล้ว


ลำดับนั้นย่อมพิจารณาเห็นสหชาตธรรมในอากิญจัญญายตนฌาน (คือธรรมที่เกิดพร้อมกันกับฌานนั้น) แจ้งชัดโดยลักษณะ ๓ (คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว) ข้อนี้เป็นฌานอันถ่องแท้ของพราหมณ์เช่นนั้น ผู้มีพรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว ฯ

ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา โปสาลมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว โปสาลมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระโปสาละดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓๐   

ประวัติพระอุทยเถระ

3.png


ท่านพระอุทยะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นพราหมณ์พาวรีออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ อุทยมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

วันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของศากยราชเสด็จออกทรงบรรพชา แล้วปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีใคร่อยากทราบความจริง จึงผูกปัญหาให้แก่มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ให้ไปกราบทูลถามดู

อุทยมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์แล้ว พาบริวารไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหาคนละหมวดๆ ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว จึงได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๓ ว่า

อุทยมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงนั่งบำเพ็ญฌาน มีสันดานปราศจากกิเลสธุลี หาอาสวะมิได้ ได้ทรงทำกิจที่จำจะต้องทำเสร็จแล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชา ความเขลา ไม่รู้แจ้งเสีย ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในกามและโทมนัสเสียทั้ง ๒ อย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วงเหงาเป็นเครื่องห้ามความรำคาญ มีอุเบกขากับสติเป็นธรรมบริสุทธิ์ มีความตรึกกอปรด้วยธรรมเป็นเบื้องหน้า ว่าเป็นธรรมเป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้ทั่วถึง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชาความเขลาไม่รู้แจ้งเสีย

อ. โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวว่านิพพานๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้ ?

พ. โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวว่านิพพานๆ ดังนี้ เพราะละตัณหาเสียได้ ฯ

อ. เมื่อบุคคลมีระลึกอย่างไรอยู่ วิญญาณจึงจะดับ ฯ ข้าพระองค์ทั้งหลายมาเฝ้าแล้ว เพื่อจะทูลถามพระองค์ ขอให้ได้ฟังพระวาจาของพระองค์เถิด ?

พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในภายนอก มีสติระลึกอย่างนี้ วิญญาณจึงจะดับ ฯ

ครั้นพระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหาที่อุทยมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแห่งเทศนาปัญหาพยากรณ์ อุทยมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์ อุทยมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระอุทยะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๙   

ประวัติพระภัทราวุธเถระ

3.png



ท่านพระภัทราวุธะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่ศิษย์ ภัทราวุธมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ติดตามออกบวชด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระสิทธัตถราชกุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกทรงบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจ ใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ได้ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

ภัทราวุธมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นได้พุทธานุญาตแล้ว ได้ทูลถามปัญหาทีละคนๆ เมื่อพระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหาของชตุกัณณีมาณพจบลงแล้ว ภัทราวุธมาณพจึงได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๒ ว่า
            

ภัทราวุธมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าทูลขออาราธนาพระองค์แล้ว ผู้ทรงละอาลัยตัดตัณหาเสียได้ไม่หวั่นไหว (เพราะโลกธรรม) ละความเพลิดเพลินเสียได้ ข้ามห้วงกิเลสพ้นไปได้แล้ว ละความเป็นเครื่องให้ดำริ (ไปต่างๆ) คือ ตัณหาและทิฏฐิได้แล้ว มีพระปรีชาญาณอันดี ชนที่อยู่ในชนบทต่างๆ อยากจะฟังพระวาจาของพระองค์ พร้อมกันมาแล้วจากชนบทนั้นๆ ได้ฟังพระวาจาของพระองค์แล้วจะกลับไปจากที่นี้ ขอพระองค์จงทรงแก้ปัญหาเพื่อชนเหล่านั้น เพราะธรรมนั้นพระองค์ทรงทราบแล้ว ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า หมู่ชนนั้นควรจะนำตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่น ในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวา คือท่ามกลางออกทั้งหมดให้สิ้นเชิง เพราะเขาถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลก มารย่อมติดตามเขาได้โดยสิ่งนั้นๆ เหตุนั้นภิกษุเมื่อรู้อยู่ เห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะ เป็นที่ตั้งแห่งมารนี้ว่าติดอยู่ เพราะความถือมั่นดังนี้ พึงเป็นคนมีสติ ไม่ถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง ฯ
            
ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา ภัทราวุธมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว ภัทราวุธมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระภัทราวุธะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๘   

ประวัติพระชตุกัณณีเถระ

3.png



ท่านพระชตุกัณณี เป็นบุตรพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงขอกราบทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์สั่งสอนไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน ฯ ชตุกัณณีมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยา ฯ

ครั้งหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกทรงผนวชได้สำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประทานโอวาทสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ได้ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปทูลถามลองดู เพื่อจะได้รู้ความจริง ฯ

ชตุกัณณีคนหนึ่งได้อยู่ในจำนวนนั้น จึงพร้อมกันลาอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว ชตุกัณณีมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๑ ว่า

ชตุกัณณีมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่า พระองค์ไม่ใช่ผู้ใคร่กาม ข้ามล่วงห้วงกิเลสเสียได้แล้ว จึงมาเฝ้าเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้หากิเลสกามมิได้ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญาดุจดวงตาอันเกิดพร้อมกับตรัสรู้ จงแสดงธรรมอันระงับกิเลสแก่ข้าพระพุทธเจ้าโดยถ่องแท้ เหตุว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสกามให้แห้งหาย ดุจพระอาทิตย์อันส่องแผ่นดินให้แห้งด้วยรัศมี ขอพระองค์ผู้มีปัญญากว้างขวางราวกะแผ่นดิน ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชราในอัตภาพนี้ ที่ข้าพระพุทธเจ้าควรจะทราบ แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาน้อยด้วยเถิด ฯ

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงนำความกำหนัดในกามออกเสียให้สิ้น เห็นความออกไปจากกามโดยความเกษมเถิด กิเลสเครื่องกังวลที่ท่านยึดถือไว้ ตัณหาและทิฏฐิซึ่งควรจะสละเสีย อย่าเสียดแทงใจของท่านได้ กังวลใดได้มีแล้วในปางก่อน ท่านจงให้กังวลนั้นเหือดแห้งเสีย กังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือกังวลในท่ามกลาง ท่านจักเป็นคนสงบระงับกังวลได้เที่ยวไปอยู่ อาสวะ (กิเลส) ซึ่งเป็นเหตุถึงอำนาจมัจจุราชของชนผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยอาการทั้งปวงมิได้มี ฯ

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา ชตุกัณณีมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว ชตุกัณณีมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระชตุกัณณีดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๗   

ประวัติพระกัปปเถระ

3.png



ท่านพระกัปปะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในนครสาวัตถี เดิมชื่อว่า กัปปมาณพ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส ทูลลาออกจากตำแหน่งปุโรหิต พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน ฯ กัปปมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ประกอบไปด้วยพระมหากรุณา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พาวรีคิดหลากใจ ใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงผูกปัญหาให้แก่มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพผู้เป็นหัวหน้าให้ไปทูลถามดู เพื่อจะได้รู้ความจริง

กัปปมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้ลาอาจารย์ แล้วพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน กับทั้งบริวารพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว กัปปมาณพจึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๐ ว่า
            

กัปปมาณพ. ขอพระองค์ตรัสบอกธรรม ซึ่งจะเป็นที่พึ่งพำนักของชนอันชราและมรณะมาถึงรอบข้าง ดุจเกาะอันเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสาครเมื่อเกิดคลื่นใหญ่ที่น่ากลัว แก่ข้าพระพุทธเจ้า อย่าให้ทุกข์นี้มีได้อีก ?
            
พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวว่า นิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น เป็นที่สิ้นแห่งชราและมรณะนี้แลเป็นดุจเกาะ หาใช่ธรรมอื่นไม่ ชนเหล่าใดรู้นิพพานนี้แล้วเป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมารเลย ฯ

ในที่สุดการพยากรณ์ปัญหา กัปปมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว กัปปมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็อนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระกัปปะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๖   

ประวัติพระโตเทยยเถระ

3.png



ท่านพระโตเทยยะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ โตเทยยมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ในวันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบว่า พระสมณโคดมผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศากยราช เสด็จออกบรรพชา กิตติศัพท์ปรากฏไปในทิศานุทิศว่า พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบประกอบไปด้วยพระมหากรุณา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

โตเทยยมาณพอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาณพ ๑๖ คน ลาอาจารย์ แล้วพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว โตเทยยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๙ ว่า

โตเทยยมาณพ. กามทั้งหลาย ไม่ตั้งอยู่ในผู้ใด ตัณหาของผู้ใดไม่มี และผู้ใดข้ามล่วงความสงสัยเสียได้ ความพ้นของผู้นั้นเป็นเช่นไร ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ความพ้นของผู้นั้นที่จะเป็นอย่างอื่นอีกไม่มี (อธิบายว่าผู้พ้นจากกาม จากตัณหา จากความสงสัยแล้ว กามก็ดี ตัณหาก็ดี ความสงสัยก็ดี จะกลับเกิดขึ้น ผู้นั้นจะต้องเพียรพยายาม เพื่อจะทำตนให้พ้นไปอีกหามีไม่ ความพ้นของผู้นั้นเป็นอันคงที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น) ฯ

ต. ผู้นั้นเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหรือไม่มี เป็นคนมีปัญญาแท้หรือเป็นแต่ก่อตัณหาและทิฎฐิให้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ข้าพระพุทธเจ้าจะรู้จักท่านผู้มุนีนั้นได้อย่างไร ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด ฯ

พ. ผู้นั้นเป็นผู้ที่ไม่มีความหวังทะเยอทะยาน จะเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานก็หาไม่ เป็นคนมีปัญญาแท้ จะเป็นแต่คนก่อตัณหาทิฏฐิให้เกิดด้วยปัญญาก็หาไม่ ท่านจงรู้จักมุนีว่า คนไม่มีกังวลไม่ติดอยู่ในกามภพอย่างนี้เถิด ฯ

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา โตเทยยมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฯ ท่านพระโตเทยยะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ


4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๕   

ประวัติพระเหมกเถระ

3.png



ท่านพระเหมกะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงได้ทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแว่นแคว้นทั้ง ๒ ชื่อว่าอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ เหมกมาณพพร้อมกับมาณพเพื่อนผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปด้วย ฯ

ในวันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกทรงบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติและปฏิบัติตามเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

เหมกมาณพอยู่ในจำนวนมาณพเหล่านั้นด้วย ลาอาจารย์แล้ว พาบริวารเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ กราบทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพระบรมพุทธานุญาตแล้ว เหมกมาณพจึงได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๘ ว่า
            

เหมกมาณพ. ในปางก่อนแต่ศาสนาของพระองค์ อาจารย์ทั้งหลายได้ยืนยันว่าอย่างนั้นได้เคยมีมาแล้ว อย่างนี้จักมีต่อไปข้างหน้า คำนั้นล้วนเป็นแต่ว่าอย่างนี้แลๆ สำหรับแต่จะทำความตรึกฟุ้งให้มากขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าไม่พอใจในคำนั้นเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเหตุถอนตัณหา ที่ข้าพระพุทธเจ้าทราบแล้ว จะพึงเป็นคนมีสติล่วงตัณหา อันให้ติดอยู่ในโลกแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด ฯ
            
พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ชนเหล่าใด ได้รู้ว่าพระนิพพานเป็นที่บรรเทาความกำหนัดพอใจในอารมณ์เป็นที่รัก ซึ่งได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้ดมแล้ว ได้ชิมแล้ว ได้ถูกต้องแล้ว และได้รู้ด้วยใจ และเป็นธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้วดับกิเลสได้แล้ว ชนผู้สงบระงับกิเลสได้นั้น ข้ามล่วงตัณหาอันให้ติดอยู่ในโลก ฯ
            

ในเวลาจบเทศนาปัญหาพยากรณ์ เหมกมาณพพร้อมด้วยศิษย์ที่เป็นบริวารได้บรรลุพระอรหัตผล ฯ เมื่อมาณพนอกนั้นทูลถามปัญหาของตน ฯ และพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์เสร็จแล้ว จึงพร้อมกันทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฯ

ท่านพระเหมกะนั้น เมื่อดำรงเบญจขันธ์อยู่ ได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามหน้าที่ ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:35 , Processed in 0.051053 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.