แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

อนุพุทธประวัติ ๘๐ องค์ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔   

ประวัติพระสารีบุตรเถระ

3.png



ท่านพระสารีบุตร เกิดในตำบลบ้านชื่อว่า นาลกะหรือนาลันทะ ไม่ห่างไกลจากกรุงราชคฤห์ บิดาชื่อว่า วังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อว่า นางสารีพราหมณี บิดาของท่านเป็นนายบ้านตำบลนั้น เดิมท่านชื่อ อุปติสสะ อีกอย่างหนึ่งเขาเรียกชื่อตามความที่เป็นบุตรนางสารีว่า “สารีบุตร”

เมื่อท่านมาอุปสมบทในพระธรรมวินัยแล้ว สพรหมจารีพากันเรียกท่านว่า “พระสารีบุตร” ทั้งนั้น ฯ

ท่านกล่าวว่า สกุลพราหมณ์ผู้เป็นบิดาแห่งอุปติสสมาณพ เป็นสกุลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติและบริวาร เมื่ออุปติสสมาณพเจริญวัยแล้ว ได้เล่าเรียนศิลปศาสตร์ มีปัญญาเฉียบแหลมเล่าเรียนได้เร็ว และได้เป็นมิตรชอบพอกันกับโกลิตมาณพโมคคัลลานโคตร ผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกัน เพราะว่าตระกูลทั้ง ๒ นั้น เป็นสหายสืบเนื่องกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ฯ

อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพ ๒ สหายนั้น ได้เคยไปเที่ยวดูการมหรสพในกรุงราชคฤห์ด้วยกันเสมอ เมื่อดูอยู่นั้นย่อมร่าเริงในที่ควรร่าเริง สลดใจในที่ควรสลดใจ ให้รางวัลในที่ควรให้ วันหนึ่ง ๒ สหาย ชวนกันไปดูการมหรสพเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่หาได้ร่าเริงเหมือนวันก่อนๆ ไม่ เพราะพิจารณาเห็นว่าการดูมหรสพไม่เป็นสารประโยชน์อะไร ๒ สหายมีความเห็นร่วมกันอย่างนั้นแล้ว พร้อมกันนำบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพาชกต่อไป แต่ถ้าใครได้ธรรมพิเศษแล้วจงบอกแก่กัน ฯ

ครั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชาชน ประกาศพระพุทธศาสนาเสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ฯ วันหนึ่งพระอัสสชิซึ่งนับเข้าในพวกพระปัญจวัคคีย์ ผู้ที่พระบรมศาสดาทรงส่งไปประกาศพระศาสนา ได้กลับมาเข้าเฝ้า ในตอนเช้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ฯ

อุปติสสปริพาชกได้เห็นท่านแล้ว เกิดความเลื่อมใสอยากทราบลัทธิของท่าน เมื่อได้โอกาสจึงขอให้ท่านแสดงธรรมนั้นให้ฟัง โกลิตปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนกัน ชวนกันจะไปเฝ้าพระบรมศาสดา จึงไปลาสัญชัยผู้เป็นอาจารย์ สัญชัยห้ามไว้ อ้อนวอนให้อยู่หลายครั้งก็ไม่ฟัง พาบริวารไปพระเวฬุวัน เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลขออุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งหมด ฯ

สองสหายครั้นเมื่อบวชแล้ว ภิกษุทั้งหลายเรียกท่านทั้งสองว่า “สารีบุตรและโมคคัลลานะ” ฯ ภิกษุที่เป็นบริวารนั้น ครั้นได้ฟังธรรมเทศนานั้นแล้วบรรลุพระอรหัตก่อน ฯ ฝ่ายพระสารีบุตรอุปสมบทแล้ว ๑๕ วัน จึงได้สำเร็จพระอรหัตด้วย ได้ฟังเทศนา เวทนาปริคคหสูตร ที่พระบรมศาสดาตรัสแก่ปริพาชกชื่อ ทีฆนขอัคคิเวสนโคตร

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด ฯ พระบรมศาสดาจึงตรัสตอบว่า ดูก่อนอัคคิเวสนะ ถ้าอย่างนั้นความเห็นอย่างนั้นก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบใจความเห็นอย่างนั้น ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ทรงแสดงทิฏฐิ ๓ อย่างนั้น ลำดับนั้นได้ทรงแสดงอุบายเครื่องไม่ถือมั่นต่อไป

สมัยนั้นพระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์แห่งพระบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ตรัสแก่ทีฆนขปริพาชกนั้น แล้วพิจารณาตามพระธรรมเทศนา จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ฯ ส่วนทีฆนขปริพาชกนั้น ได้เพียงดวงตาเห็นธรรม สิ้นความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธศาสนาแล้ว ทูลแสดงตนเป็นอุบาสก ฯ

พระสารีบุตร เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ได้เป็นกำลังสำคัญใหญ่ของพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนาและเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระองค์ พระองค์ทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางปัญญา


และสามารถจะแสดงพระธรรมจักรและจตุราริยสัจให้กว้างขวางพิสดารเหมือนกับพระองค์ได้ ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังมีคุณความดีที่พระองค์ยกย่องอีกเป็นหลายสถาน จะยกมากล่าวแต่ที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้

              ๑. ทรงยกย่องว่า พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตด้วยกัน เรื่องนี้พึงมีตัวอย่างคือ เมื่อครั้งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เมืองเทวหะ ภิกษุพากันเข้าไปเฝ้าพระองค์ ทูลลาจะไปปัจฉาภูมิชนบท พระองค์ตรัสให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อท่านพระสารีบุตรจะได้แนะนำสั่งสอนในการไปของพวกเธอ จะได้ไม่เกิดความเสียหาย ฯ


             ๒. ทรงยกย่องพระสารีบุตรเป็นคู่กับพระโมคคัลลานะ เช่น
เมื่อครั้งพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคบกับสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้เกิด และโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น

สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่สูงกว่านั้น ฯ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา และพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย

             ๓. มีคำยกย่องพระสารีบุตรอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “พระธรรมเสนาบดี” ซึ่งเป็นคู่กับพระบรมศาสดาว่า “พระธรรมราชา”
            
             ท่านพระสารีบุตร ยังมีคุณความดีที่ปรากฏตามตำนานอีกมาก ที่สำคัญก็คือ

             ๑. ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณในการแสดงพระธรรมเทศนา คือ ชี้แจงแสดงให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน ฯ พึงสาธกเรื่องพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า ยมกะมีความเห็นเป็นทิฏฐิว่า พระขีณาสพตายแล้วดับสูญ ฯ ภิกษุทั้งหลายค้านเธอว่า เห็นอย่างนั้นผิด เธอไม่เชื่อ แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจเปลื้องเธอจากความเห็นนั้นได้ จึงอาราธนาพระสารีบุตรไปช่วยชี้แจงแสดงให้เธอ จึงได้หายความเคลือบแคลงสงสัย ฯ

             ๒. ท่านเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ฯ ข้อนี้ตัวอย่างคือ ท่านได้ฟังธรรมเทศนาที่พระอัสสชิแสดง ได้ธรรมจักษุแล้ว เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านนับถือพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์ ทำการเคารพอยู่เสมอ แม้ได้ยินข่าวว่าพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เมื่อท่านจะนอน ท่านจะนมัสการไปทางทิศนั้นก่อน แล้วนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ


อีกเรื่องหนึ่ง ท่านยังให้ราธพราหมณ์อุปสมบท เพราะรำลึกถึงอุปการคุณที่ราธพราหมณ์ได้ถวายบิณฑบาตแก่ท่านเพียงทัพพีหนึ่ง ในเมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ (เรื่องนี้จักมีพิสดารในประวัติพระราธเถระ)

ท่านพระสารีบุตร นับได้ว่าเป็นกำลังใหญ่ของพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนา ธรรมภาษิตของท่านจึงมีเป็นอันมาก เช่น สังคีติสูตร เป็นต้น นอกจากพระพุทธภาษิตแล้ว ภาษิตของพระสารีบุตรมีมากกว่าของพระสาวกอื่นๆ ฯ

พระสารีบุตรนั้นนิพพานก่อนพระบรมศาสดา อยู่มาถึงปัจฉิมโพธิกาลพรรษาที่ ๔๕ ล่วงไปแล้ว ก่อนแต่จะปรินิพพาน ท่านพิจารณาเห็นว่า อายุสังขารจวนสิ้นแล้ว ปรารถนาจะไปโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วปรินิพพานในห้องที่เกิด จึงกราบทูลสมเด็จพระบรมศาสดาไปกับพระจุนทะผู้น้องและบริวาร ไปถึงบ้านเดิมแล้วเกิดปักขันทิกาพาธขึ้นในคืนนั้น


ในเวลาที่ท่านกำลังอาพาธอยู่นั้น ได้เทศนาโปรดมารดาจนสำเร็จ คือได้บรรลุโสดาปัตติผล ฯ พอเวลาปัจจุสมัยวันเพ็ญแห่งกัตติกมาส พระเถระเจ้าก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

รุ่งขึ้น พระจุนทะได้ทำฌาปนกิจสรีระของพระเถระเจ้าเสร็จแล้ว ก็เก็บอัฐิธาตุนำไปถวายพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี พระองค์โปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระเถระเจ้าไว้ ณ ที่นั้น ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓   

ประวัติพระคยากัสสปเถระ

3.png



ท่านพระคยากัสสปะ เกิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตร เดิมชื่อว่า “กัสสปะ” ตามโคตร มีพี่ชาย ๒ คน ได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ ๑ และนทีกัสสปะ ๑ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้วได้เรียนจบไตรเพทตามลัทธิของพวกพราหมณ์ มีความชำนิชำนาญมีชื่อเสียงปรากฏ มีบริวาร ๒ ร้อยคน ฯ

ครั้นต่อมาพิจารณาเห็นลัทธิของตนไม่มีแก่นสาร จึงพร้อมด้วยพี่ชายทั้ง ๒ และบริวารออกบวชเป็นชฎิลบำเพ็ญพรตบูชาเพลิง ตั้งอาศรมอยู่โดยลำดับกัน ส่วนท่านตั้งอาศรมอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ ถัดอาศรมของพี่ชายที่ ๒ ลงไปภายใต้ จึงได้นามฉายาตามที่อยู่เข้าข้างหน้าว่า “คยากัสสปะ”

เมื่อพี่ชายทั้ง ๒ พร้อมด้วยบริวารลอยบริขารชฎิลเสียในแม่น้ำ แล้วพากันอุปสมบทในพระพุทธศาสนาฯ ท่านได้เห็นบริขารลอยมาตามกระแสน้ำ สำคัญว่าเกิดอันตรายแก่พี่ชายทั้ง ๒ ของตน จึงพร้อมด้วยบริวารพากันมา

ครั้นถึงแล้วเห็นพี่ชายทั้ง ๒ กับด้วยบริวารถือเพศเป็นภิกษุแล้ว ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงพากันลอยบริขารของตนเสียในแม่น้ำพร้อมด้วยบริวาร แล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างเช่นเดียวกับพี่ชาย ฯ

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ ทรงได้ตรัสเทศนา อาทิตตปริยายสูตรโปรด ในที่สุดเทศนา ท่านพร้อมด้วยพี่ชายทั้ง ๒ และบริวารรวม ๑ พัน ๓ องค์ ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยกันทั้งหมด ฯ


ท่านได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสติกำลังของท่าน เมื่อท่านดำรงชนมายุอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒   

ประวัติพระนทีกัสสปเถระ

3.png



ท่านพระนทีกัสสปะ เกิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตร ฯ มีพี่ชายที่ ๑ ชื่อว่า อุรุเวลกัสสปะ มีน้องชายคน ๑ ชื่อ คยากัสสปะ ฯ เมื่อเจริญวัยได้เรียนจบไตรเพทด้วยกันทั้ง ๓ คน ฯ ท่านมีมาณพเป็นบริวาร ๓ ร้อยคน


ครั้นพิจารณาเห็นลัทธิของตนไม่มีแก่นสาร จึงได้พากันออกบวชเป็นชฎิล บำเพ็ญพรตบูชาเพลิงพร้อมกันทั้ง ๓ คนกับด้วยบริวาร ตั้งอาศรมอยู่โดยลำดับกัน ส่วนท่านตั้งอาศรมอยู่ที่ลำน้ำอ้อมหรือคุ้งแห่งแม่น้ำคงคา ถัดอาศรมของพี่ชายลงไปภายใต้ จึงได้นามฉายาว่า “นทีกัสสปะ”

ครั้นเมื่อพระอุรุเวลกัสสปะผู้เป็นพี่ชายพร้อมด้วยบริวาร ถูกพระบรมศาสดาทรงทรมานให้เสื่อมหายคลายจากลัทธินั้นแล้ว จึงพากันลอยตบะบริขารแห่งชฎิลลงมาตามกระแสน้ำ ท่านสำคัญว่าเกิดอันตรายแก่พี่ชายของตน จึงพร้อมด้วยบริวารรีบไป ได้เห็นพระอุรุเวลกัสสปะผู้พี่ชายถือเพศเป็นภิกษุแล้ว


ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงพากันลอยบริขารชฎิลเสียในแม่น้ำ พร้อมด้วยบริวารพากันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลขออุปสมบท พระองค์ก็ประทานอุปสมบทแก่เธอทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาเหมือนอย่างท่านพระอุรุเวลกัสสปะผู้พี่ชาย

เมื่อท่านมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ได้ฟังเทศนา อาทิตตปริยายสูตร ซึ่งพระบรมศาสดาทรงแสดงในเมื่อครั้งประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคลพร้อมทั้งบริวาร ฯ

ท่านได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสมควรแก่หน้าที่ สั่งสอนให้กุลบุตรกุลธิดาให้เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยเป็นต้น เมื่อท่านดำรงตนอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑   

ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ

3.png



ท่านพระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย ๒ คน ชื่อว่า กัสสปะตามโคตรทั้งนั้น แต่ผสมนามตามที่อยู่ของท่านเข้าด้วยว่า นทีกัสสปะ และ คยากัสสปะ ฯ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้เรียนจบไตรเพท ฯ ท่านมีมาณพเป็นบริวาร ๕ ร้อยคน


ครั้นต่อมาพิจารณาเห็นลัทธิที่ตนนับถือ ไม่เป็นแก่นสาร จึงได้พาน้องชายทั้ง ๒ คน พร้อมด้วยบริวารออกบวชเป็นชฎิลบำเพ็ญพรตบูชาเพลิง คือ นักบวชจำพวกที่เกล้าผมเชิง เรียกตามโวหารสมัยนั้นว่า ฤาษี ตั้งอาศรมอยู่ตามลำดับกัน ท่านตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ จึงได้นามตามที่อยู่ของท่านว่า “อุรุเวลกัสสปะ”

ครั้งเมื่อพระบรมศาสดาทรงส่งสาวกไปประกาศศาสนาในทิศานุทิศนั้นๆ แล้วพระองค์ทรงพิจารณาเห็นความบริบูรณ์แห่งอุปนิสัยของชนชาวมคธเป็นอันมาก มีพุทธประสงค์จะทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น ณ แคว้นนั้น และทรงพระพุทธดำริจะพาท่านอุรุเวลกัสสปะผู้มีอายุมาก เป็นที่นับถือของมหาชนมานานตามเสด็จไปด้วย


จึงเสด็จพระพุทธดำเนินไปโดยลำพังพระองค์เดียว มุ่งตรงไปยังอุรุเวลานิคม ในระหว่างทางเสด็จ ได้เทศนาโปรดภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน และประทานอุปสมบทให้ แล้วส่งไปประกาศพระศาสนา พระองค์เสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป

เมื่อถึงอุรุเวลานิคมแล้ว ตรัสขอพำนักอาศัยกับท่านอุรุเวลกัสสปะ ท่านอุรุเวลกัสสปะมิได้เต็มใจรับ ผลที่สุดเมื่อขัดไม่ได้ ก็ให้พำนักอาศัย พระองค์ได้ทรงทรมานพระอุรุเวลกัสสปะ ด้วยอภินิหารมีประการต่างๆ จนให้ท่านเห็นว่า ลัทธิของตนที่ถืออยู่นั้น หาแก่นสารมิได้ จึงเกิดความสลดใจ แล้วละลัทธิเดิมเสีย พากันลอยบริขารแห่งชฎิลในแม่น้ำ ทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พร้อมด้วยบริวาร ๕ ร้อย ฯ

ครั้นกาลต่อมาเมื่อน้องชายทั้ง ๒ คน พร้อมด้วยบริวารของตนได้เข้ามาอุปสมบทในพระธรรมวินัยเหมือนกับท่านแล้ว ฯ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้พาภิกษุ ๑ พัน ๓ รูป ออกจากอุรุเวลาเสด็จไปยังตำบลคยาสีสะใกล้แม่น้ำคยา แล้วเสด็จประทับอยู่ ณ ที่นั้น


ครั้นทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นอินทรีย์แก่กล้าแล้ว จึงตรัสเทศนา อาทิตตปริยายสูตรโปรด เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเทศนาอยู่ จิตของภิกษุเหล่านั้นก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน กล่าวคือภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระขีณาสพ ฯ

พระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ พอสมควรแก่พระพุทธอัธยาศัย แล้วพระองค์พร้อมด้วยภิกษุ ๑ พัน ๓ รูป เสด็จจาริกไปโดยตามลำดับถึงกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ สวนตาลหนุ่มอันชื่อว่า ลัฏฐิวัน ฯ


พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นมคธทรงทราบข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพารเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า พระบรมศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารมีอาการต่างๆ พระองค์จึงได้ทรงสั่งพระอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเหล่านั้น ประกาศให้ทราบว่า ลัทธิเก่านั้นอันหาแก่นสารมิได้ ท่านกระทำตามรับสั่ง ทำให้มหาชนเหล่านั้นสิ้นความเคลือบแคลงสงสัย แล้วตั้งใจฟังพระธรรมเทศนา

พระองค์ทรงแสดง
อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ในที่สุดเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วน ๑ ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ครั้งนี้จัดว่าท่านได้ช่วยเป็นกำลังพระศาสดาในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ฯ

นอกจากนี้ ท่านยังได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสมควรแก่กำลังความสามารถ และรู้จักเอาใจบริษัท ปรากฏว่ามีบริวารถึง ๕ ร้อย ฯ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า “เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีบริวารมาก”

(ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลแห่งความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้างด้วยธรรมบ้าง ตามต้องการอย่างไร ฯ ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่เป็นผู้อันจะพึงปรารถนาในสาวกมณฑล) ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐   

ประวัติพระควัมปติเถระ

3.png



ท่านพระควัมปติ เป็นบุตรเศรษฐีสืบๆ กันมาในพระนครพาราณสี เป็นสหายที่รักใคร่กันกับพระยสะ เมื่อยสกุลบุตรออกบวชแล้ว ท่านได้ทราบข่าว จึงมาดำริว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้น จักไม่เลวทรามต่ำช้า คงจะเป็นธรรมวินัยอันดี จึงพร้อมด้วยสหายพระยสะอีก ๓ คน คือ วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ พากันเข้าไปหาท่านพระยสะ

พระยสะก็พาท่านพร้อมด้วยสหายเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอให้พระองค์ตรัสสั่งสอน พระบรมศาสดาทรงตรัสสั่งสอนด้วยเทศนา อนุปุพพิกถาและ อริยสัจ ๔ ในเวลาที่จบเทศนา ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม คือปัญญาอันเห็นธรรมปราศจากธุลีมลทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านว่า

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา”

เมื่อท่านได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระองค์เถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้า ได้ฟังธัมมิกถาที่พระองค์ตรัสสอนในภายหลัง จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ท่านได้เป็นพระอรหันต์ที่นับเข้าในจำพวกผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ฯ

ในคราวที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ท่านก็ได้ไปประกาศพระศาสนาในนานาชนบท ช่วยสั่งสอนให้กุลบุตรกุลธิดา ให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใส เมื่อท่านดำรงชีพอยู่ถึงกาลกำหนดอายุขัยแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙   

ประวัติพระปุณณชิเถระ

3.png



ท่านพระปุณณชิ เป็นบุตรของเศรษฐีสืบๆ กันมาในเมืองพาราณสี เป็นสหายกับท่านพระยสะ เมื่อได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงมาดำริว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้น จักไม่เลวเป็นแน่แท้ คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ

ครั้นดำริอย่างนี้แล้ว จึงพร้อมด้วยสหายพระยสะอีก ๓ คน คือ วิมละ สุพาหุ ควัมปติ พากันเข้าไปหาพระยสะ พระยสะจึงพาท่านพร้อมทั้งสหายเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอให้พระองค์สั่งสอน


พระองค์ก็ทรงรับสั่งสอนตรัสเทศนา “อนุปุพพิกถา” และ อริยสัจ ๔ ในเวลาจบเทศนา ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม จึงทูลขออุปสมบทกับพระศาสดา พระองค์ก็ทรงประทานอนุญาตให้เป็นภิกษุโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา และเมื่อท่านได้อุปสมบทแล้ว ได้ฟังเทศนาปกิณณกกถาเพิ่มเติมอีก ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล ฯ

ท่านองค์หนึ่งซึ่งได้รับอนุมัติจากสมเด็จพระบรมศาสดา ให้ไปประกาศพระศาสนาในนานาชนบท ได้ทำกิจในหน้าที่อันสามารถจะทำ เมื่อท่านดำรงชนมายุอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘   

ประวัติพระสุพาหุเถระ

3.png



ท่านพระสุพาหุ เป็นบุตรของเศรษฐีสืบๆ กันมาในเมืองพาราณสี เป็นสหายกับท่านพระยสะ เมื่อได้ทราบข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่าธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวชนั้น จักไม่เลวทรามแน่แล้ว คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ อำนวยประโยชน์สุขให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม

ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงพร้อมด้วยสหายอีก ๓ คน คือ วิมละ ปุณณชิ ควัมปติ พากันเข้าไปหาท่านพระยสะ ไหว้แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้งนั้นพระยสะจึงพาสหายเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอให้พระองค์ตรัสสั่งสอน

พระองค์ก็ตรัสสั่งสอนด้วยเทศนา อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ทรงรับให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ลำดับนั้นทรงสั่งสอนปกิณณกเทศนาให้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคล

ท่านได้ช่วยเป็นกำลังประกาศพระศาสนาตอนปฐมโพธิกาลองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงชีพอยู่ถึงกาลกำหนดอายุขัยแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗   

ประวัติพระวิมลเถระ

3.png



ท่านพระวิมละ เป็นบุตรของเศรษฐีในพระนครพาราณสี เป็นสหายที่สนิทและชอบพอของพระยสะ เมื่อพระยสะผู้เป็นสหายออกบวช แล้วท่านได้ทราบข่าว จึงคิดว่าพระธรรมวินัยที่พระยสะออกบวชนี้ จักไม่เลวทรามเป็นเสื่อมเสียจากประโยชน์เป็นแน่ คงจะเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ อำนวยประโยชน์สุขให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม

ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงไปชักชวนสหายอีก ๓ คน คือ สุพาหุ ปุณณชิ ควัมปติ พากันเข้าไปหาพระยสะบอกความประสงค์ในการมาของตนๆ ให้ท่านทราบ พระยสะจึงพาท่านพร้อมด้วยสหาย ๓ คน ไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ทูลขอให้พระองค์ทรงสั่งสอนให้ได้บรรลุธรรมพิเศษและประทานอุปสมบทอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา และทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคล ฯ


คราวเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในตอนปฐมโพธิกาล ท่านก็ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในนานาชนบท สั่งสอนกุลบุตรให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ให้ได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัย เมื่อท่านดำรงชีพอยู่ถึงกาลกำหนดอายุขัยแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖   

ประวัติพระยสเถระ

3.png



ท่านพระยสะ เป็นบุตรเศรษฐีในพระนครพาราณสี ซึ่งมีเรือน ๓ หลัง เป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู สมัยนั้นเป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน มีสตรีล้วนประโคมดนตรีบำรุงบำเรออยู่ ไม่มีบุรุษเจือปน


ในคืนวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อน หมู่ชนที่เป็นบริวารหลับต่อภายหลัง มีแสงไปสว่างอยู่ ยสกุลบุตรเมื่อตื่นขึ้นเห็นหมู่ชนที่เป็นบริวารหลับมีอาการพิกลต่างๆ ไม่เป็นที่น่าเลื่อมใส ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า

ครั้นยสกุลบุตรได้เห็นแล้วเกิดความสลด คิดเบื่อหน่าย จึงเปล่งอุทานออกมาว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” สวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไป แล้วออกจากประตูเมืองเดินตามทางที่จะไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

ในเวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรเปล่งอุทานเดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน” ยสกุลบุตรได้ยินดังนี้ จึงถอดรองเท้าเดินเข้าไปถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง


พระบรมศาสดาตรัสเทศนา อนุปุพพิกถาฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกามแล้ว และในที่สุดแสดงเทศนา อริยสัจ ๔ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั่งนั้น ภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ฯ

ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร พอรุ่งเช้าก็ขึ้นไปบนเรือนไม่เห็นลูก จึงบอกแก่เศรษฐีผู้เป็นสามีให้ทราบ เศรษฐีใช้ให้คนไปตามหาในทิศทั้ง ๔ ส่วนตนเองก็เที่ยวออกหาด้วย เผอิญเดินไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้น จึงตามเข้าไป


เมื่อเศรษฐีเข้าไปถึงแล้ว พระบรมศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ในที่สุดเทศนา เศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าถึงพระองค์กับพระธรรมและภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ขอพระองค์จงจำข้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เศรษฐีนั้นได้เป็นอุบาสกอ้างเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก ฯ

เศรษฐีผู้เป็นบิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว จึงขอให้กลับไปเพื่อให้ชีวิตแก่มารดา เพราะมารดาโศกเศร้าพิไรรำพันนัก ภายหลังทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ควรกลับไปครอบครองเรือนบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับพระยสะเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จรับบิณฑบาตในเวลาเช้า พระองค์ทรงรับด้วยพระอาการนิ่งอยู่ เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว จึงลุกจากที่นั่งถวายอภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป


เมื่อเศรษฐีหลีกไปแล้ว ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ในที่นี้ไม่ได้ตรัสว่า “เพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ” เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วฯ

ครั้นเวลารุ่งเช้าวันนั้น พระบรมศาสดามีพระยสะเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จไปรับบิณฑบาตในเรือนเศรษฐี ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ แก่สตรีทั้ง ๒ คือ มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะ ให้สตรีทั้ง ๒ นั้นได้เห็นธรรมแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกาเกิดขึ้นในโลกก่อนกว่าหญิงอื่น ครั้นเสร็จภัตกิจ ได้ตรัสเทศนาสั่งสอนชนทั้ง ๓ แล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ

การอุปสมบทของพระยสะ นับว่าอำนวยประโยชน์ให้แก่ชนเป็นอันมาก เพราะท่านอุปสมบทเพียงองค์เดียว ยังเป็นเหตุชักจูงผู้อื่นเข้ามาอุปสมบทด้วย เช่น สหายของท่านอีก ๕๔ คน ที่ได้มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เพราะอาศัยท่าน ท่านได้ช่วยพระบรมศาสดาประกาศพระศาสนาตอนปฐมโพธิกาลองค์หนึ่ง ท่านดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕   

ประวัติพระอัสสชิเถระ

3.png



พระอัสสชิ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในกรุงกบิลพัสดุ์ พราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้เห็นพระมหาบุรุษมีลักษณะถูกต้องตามตำราลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ ในคราวที่ถูกเชิญเลี้ยงโภชนาหารในพิธีทำนายพระลักษณะของพระองค์ จึงได้มาบอกเล่าให้ท่านฟังและสั่งไว้ว่า

บิดาก็เฒ่าชราแล้ว เห็นจะไม่ทันเห็นพระองค์ ถ้าพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชเมื่อใด ให้ออกบวชตามเสด็จเมื่อนั้น ตั้งแต่นั้นมาท่านมีความเคารพนับถือและเชื่อในพระองค์มาก คอยให้ถึงสมัยเช่นนั้นอยู่

เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชแล้ว และทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ท่านได้ทราบข่าวจึงพร้อมด้วยพราหมณ์ ๔ คน มีโกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า พากันออกบวชตามเสด็จ เฝ้าปฏิบัติอยู่ทุกเช้าค่ำ ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ยังไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษอันใด ทรงทราบแน่ในพระทัยว่าไม่ใช่ทางพระโพธิญาณ จึงทรงเลิกทุกรกิริยานั้นเสีย ตั้งพระทัยบำเพ็ญเพียรในทางใจสืบไป ฯ

พวกท่านพากันเข้าใจว่า เห็นจะไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษอันใดอันหนึ่งแน่นอน จึงเกิดความเบื่อหน่าย พากันละทิ้งพระองค์เสีย หลีกไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ฯ

ครั้นพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรทางใจได้ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปตรัสเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดเป็นปฐมเทศนา ในลำดับนั้นทรงตรัสปกิณณกเทศนา ท่านได้สดับเทศนานั้นพอเป็นเครื่องปลูกความเชื่อและความเลื่อมใสแต่หาได้สำเร็จมรรคผลอันใดไม่

ครั้นได้สดับปกิณณกเทศนาที่พระองค์ตรัสในวาระที่ ๒ ท่านกับพระมหานามะ ได้ดวงตาเห็นธรรม จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงรับให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ครั้นกาลต่อมา ได้ฟัง “อนัตตลักขณสูตร” ที่พระองค์ทรงแสดงในลำดับปกิณณกเทศนานั้น ท่านพร้อมด้วยพระภิกษุอีก ๔ รูป คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ ได้บรรลุเป็นพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคลก่อนพระอริยสาวกทั้งหมด

ครั้นเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนาในตอนปฐมกาล ท่านองค์หนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้ช่วยเป็นกำลังพระบรมศาสดาประกาศพระศาสนาในนานาชนบท ปรากฏว่าท่านเป็นผู้เฉลียวฉลาด รู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวดหรือเย่อหยิ่ง กิริยามารยาทเป็นที่น่าเลื่อมใส

ในเมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน ในกรุงราชคฤห์ อุปติสสปริพาชก เดินมาแต่สำนักของปริพาชก ได้เห็นท่านเข้าเกิดความเลื่อมใส จึงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง

ท่านกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมายังพระธรรมวินัย ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวาง เราจักกล่าวแก่ท่านโดยย่อพอรู้ความ แล้วท่านก็แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก ความว่า

“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้” ฯ อุปติสสปริพาชกได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วท่านได้ชักนำให้ไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา

ภายหลังปรากฏว่า อุปติสสปริพาชกอุปสมบทในพระพุทธศาสนา มีนามว่า พระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา จัดว่าท่านอัสสชิได้ศิษย์สำคัญองค์หนึ่ง ฯ ท่านดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:39 , Processed in 0.058847 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.