ตอนที่ ๒ ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งความดี
(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)
คุณวิชัย ประยูรพูลผล : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ อาทิตย์ที่แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จเทศน์ว่า เกจิอาจารย์บางองค์นี่ ทำน้ำพระพุทธมนต์โดยใช้คาถาชินปัญชรของเจ้าประคุณสมเด็จ แต่ว่าทำแล้วไม่ขลัง เพราะพระพวกนี้ไม่มีความกตัญญู
ผมจึงอยากจะถามว่า ชีวิตของคนเรานี้ จะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือว่ามีความเหลวแหลก จะต้องขึ้นกับตัวกตัญญูนี้ เป็นกฎตายตัวหรือไม่ แล้วอย่างกุลบุตร กุลธิดา ถ้าจะให้อนาคตก้าวหน้า จะต้องอาศัยบุญบารมีของพ่อแม่จึงสำเร็จ และต้องได้รับพรจากพ่อแม่ จึงประสบความสำเร็จในชีวิตที่ต้องการ อันนี้จะเป็นความจริงประการใดครับ
สมเด็จ :
อันความจริง ชีวิตเกิด นั้นแสนง่าย
สภาพการณ์ ดำรงอยู่ ในเป็นคน
สำเร็จผล ในการงาน ที่ต้องการ
ต้องอยู่กรรม ภาวะกรรม สามข้อไซร้
อดีตกรรม ปัจจุบันกรรม วาสนา
จังหวะดี เรียกภาวะ ว่าดวงขึ้น
จังหวะให้ สามกรรมไซร้ สำเร็จผล
ทีนี้ ชีวิตคนจะให้สัมฤทธิผลนั้น ในจิตต้องมี ขันติ สัจจะ วิริยะ เมตตา กตัญญู เป็นหลัก เพราะอะไรเล่า เพราะท่านทั้งหลาย ท่านลองพิจารณาดู เราไม่มีความกตัญญูแล้ว เราก็เป็นผู้ที่เรียกว่า เนรคุณ
ภาวะแห่งเนรคุณนี้แหล่ เทพพรหมย่อมไม่สรรเสริญ หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยกย่อง ไม่อนุโมทนา พลังแห่งการไม่อนุโมทนานี้แหล่ เรียกว่า มีมารขัดขวางในการดำรงชีวิตแห่งการเป็นคน เพราะอะไรเล่า อาตมาจะเทศน์ให้ฟังง่ายๆ
หลังจากที่ท่านเสวยกรรมวิบากในโลกวิญญาณแล้วไซร้ ท่านก็จะเป็นวิญญาณอิสระ ภาวะแห่งการเป็นวิญญาณอิสระนี้แหล่ ท่านก็จะหาผู้ที่มีกรรมพัวพันกับท่าน เพื่อในการเกิด
ทีนี้ ในการเกิดนี้ จุดแรก ใครเป็นผู้ที่ทำให้ท่านอยู่รอด ก็คือพ่อแม่ แม่ต้องเลี้ยงด้วยนมเพื่อให้ท่านอยู่รอด พ่อต้องหาเงินมาป้อนเพื่อให้ท่านเป็นคน ถ้าเกิดมาถึงพ่อแม่ไม่เลี้ยงท่าน อาตมากล้าพูดว่า ท่านไม่สามารถอยู่ถึงปัจจุบัน เมื่อตอนเกิดใหม่ๆ ตัวนิดเดียว เอาขากระทืบก็ตายแล้ว แต่ด้วยความเอ็นดู ว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไข จึงเลี้ยงให้โตขึ้น
ฉะนั้น จึงมีข้อธรรมะว่า ฆ่าบิดามารดาธรณีจะสูบ เพราะบุญคุณในการทะนุถนอมเลี้ยงดูขึ้นมา
ทีนี้ในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น ต้องเข้าใจว่า มันสมองกันในปัจจุบันชาติ ถ้าท่านไม่มีความกตัญญูในบิดามารดาเป็นหลัก ท่านก็ย่อมที่จะเจริญในชีวิตไม่ได้
การแสดงความกตัญญูควรทำอย่างไร
สมเด็จ : ย้อนเข้ามาสู่อีกปัญหาหนึ่งว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือต่อวงศ์ตระกูล ต่อผู้มีพระคุณนั้น จะทำอย่างไร
นี่เข้ามาสู่จุดอีกจุดหนึ่งก็คือว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือว่าต่อผู้มีพระคุณ ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปนั่งกะหลีกะหลอ หรือว่านั่งพะเน้าพะนออยู่นั่น ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินกัน ไอ้นั่นก็คอยเรียกลูกคะ ลูกขา ไอ้นั่นก็ แม่คะ แม่ขา ทั้งวันก็แม่คะแม่ขา ลูกคะ ลูกขา เลยไม่ต้องทำอะไรกัน
การแสดงความกตัญญูนั้น ก็คือ เมื่อเราออกสู่สังคม ก็เรียกว่าเป็นนกบินได้แล้ว เราจำเป็นต้องบินออกจากบ้าน เพื่อท่องเที่ยวไปในสากลจักรวาล เราก็จะต้องเป็นนกที่ดี คือมีสัจธรรม ไม่เที่ยวเป็นอันธพาลเกเร ไม่เป็นคนเสเพล คบคนพาลกินเหล้าเมายา เล่นไพ่ ล้วนแต่เป็นทางไปสู่อบายภูมิ อย่างนั้นเรียกว่า เราไม่กตัญญู
แล้วเรากตัญญูด้วยการเสียสละตนทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อศาสนา เพื่อมวลมนุษย์ นี่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูให้กับผู้มีพระคุณ
หลักแห่งการกตัญญู
ฉะนั้น ชีวิตแห่งความสำเร็จก็คือ ท่านกตัญญูต่อบิดามารดาด้วยการไม่ประพฤติชั่วหนึ่ง ด้วยการไม่ลืมคุณท่านหนึ่ง นี้เป็นหลักที่เรียกว่า เทพพรหมอนุโมทนา ก็เข้าหลักว่า เขาส่งเสริมบารมีให้เราสัมฤทธิผลในความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในโบราณกาลเขาจึงนับถือว่า แม้คนใดคนหนึ่ง ที่บอกคำพูดเพียงคำเดียว หรือคาถาบทใดบทหนึ่ง หรือว่าให้รู้จักท่องนะโม คนนั้นก็ถือว่าเป็นครูแล้ว จะต้องมีการคารวะ
อกตัญญู ฟ้าดินแปรปรวน
แต่ว่าในยุคนี้เป็นกลียุค ยุคที่เรียกว่า มนุษย์จะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ ก็คือว่า พอทีแรกครูสอน ก็เรียกว่ารับความรู้จากครูบ้าง พอไปที่อื่น บอกว่ากูนี่แหละเป็นผู้วิเศษ รู้เองโดยไม่มีครูสอน ต่อไปก็อาจมีการเตะครูออกจากโรงเรียนบ้าง นี่คือประเพณีแห่งความเสื่อมทราม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศสยาม ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
แล้วสิ่งนี้แหละ เป็นพลังแห่งความสะเทือน เขาเรียกว่า สิ่งลี้ลับทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะมนุษย์ด้อยความกตัญญู อันความกตัญญูนี้เป็นหลักสำคัญมาก ที่เขายึดและปฏิบัติกันมาในโบราณกาล
เรื่องความกตัญญูนี้ อาตมาก็เคยเล่าแล้วว่า เมื่ออาตมามีสังขารอยู่นั้น รัชกาลที่ ๔ เป็นมหา ๕ ประโยค แต่อาตมาเป็นมหาไม่มีประโยค อาตมาถือว่าพระเจ้าแผ่นดินมีความรู้ ๕ ประโยค เราจะไปรู้ดีกว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้
ฉะนั้นเราอย่าเข้าสู่สนามสอบ แต่สมัยนี้ไม่อย่างนั้น หัวหน้ามีความรู้แค่ ม.๖ ลูกน้องมีความรู้ดอกเตอร์ เลยดูถูกหัวหน้ากัน งานเลยไม่เจริญ ประเทศก็ทรุดโทรมลง เพราะไม่เชื่อฟังกัน
|