แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

นิพพานง่ายๆ มีไหม


(วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ใครมีอะไรข้องใจในปัญหาธรรมะมีไหม

สานุศิษย์ :
ลูกอยากถามเรื่องพระนิพพานค่ะ ทำอย่างไรจึงจะนิพพานได้สำเร็จ อย่างเร็วๆ โดยไม่ยาก

สมเด็จ : เจริญพร

คำว่านิพพานนั้น ท่านต้องเข้าใจ เราจะต้องแยกแยะในสภาวะ คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั้น ไม่สูญสลายจากโลกแห่งพิภพแห่งจักรวาล ที่เรียกว่า ตั้งอยู่ในสากลพิภพนี้ วิญญาณก็ย่อมจะไปสู่ในภาวะแห่งวิบากกรรมของตน ที่ได้สร้างในต่างกรรมต่างวาระ

pngegg.5.3.1.png




พระนิพพานคืออะไร


สมเด็จ : ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาในภาวะของคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นี้ หมายความว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง และการที่ท่านจะถึงภาวะแห่งนิพพานนั้น ท่านต้องเข้าใจว่า พระนิพพานคืออะไร

หลักความจริง     การเป็นคน       เพราะมีกรรม
อดีตกรรม          นำตน               สู่ภพเกิด
สภาวะ              สิ่งแวดล้อม        เข้าครอบงำ
จิตดั้งเดิม          แสนสะอาด        ประภัสสร
การปรุงแต่ง       แห่งกายเนื้อ       ธาตุทั้งสี่
ความเคยชิน      มารดาสอน         บิดาเล่า
ทับถมเอา         ความจริงไซร้       ถูกแน่นิ่ง
ภาวะกรรม        ทำให้ท่าน           จิตฟุ้งซ่าน
ตามวาระ          วิบากกรรม           ของโทสะ
เจ้าโทสะ          เข้าครอบกาย       ความเดือดร้อน
เจ้าโมหะ          เข้าครอบงำ         จิตปรุงใน
โลภไม่พอ         เจ้าโลภะ            โกยกันใหญ่ ไหว้วนเวียน
ภาวะนี้             เข้าครอบงำ         บริสุทธิ์
ที่ตั้งตน            สวมกายเนื้อ        เข้าฉับพลัน
การเป็นคน        จะถึงจิต             บริสุทธิ์
หมั่นตั้งรับ         ในศีล                แห่งภาวะ
ศีลสมาธิ           เดินปัญญา         ให้หลุดพ้น
การถึงจิต          นิพพานนิ่ง          ยิ้มผ่องใส
หมายถึงท่าน      ชำระจิต            วางให้หมด
จิตนิ่งไซร้         ไม่เกาะเกี่ยว        นิพพานเอย

คำว่านิพพานนั้น สภาวะแห่งนิพพาน ท่านต้องเข้าใจว่า ถ้านิพพานระหว่างเป็นมนุษย์นั้น ก็คือว่า เราจะต้องไม่เกี่ยว ไม่ข้องกับโลก ทำอย่างไรจึงจะให้จิตนิ่ง ภาวะแห่งจิตนิ่ง ท่านจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดินตามแนวแห่งสัมมาสัมพุทธะที่องค์โคตมะได้วางให้เราเรียนรู้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

pngegg.5.3.2.png




การเรียนลัดสู่นิพพาน


การที่ท่านบอกว่า จะเรียนลัดไปสู่แดนนิพพานนั้น ท่านทั้งหลายสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า เป็นการสอนที่เรียกว่าเอาใจคน

ท่านลองคิดง่ายๆ ซิว่า สภาวะแห่งธรรมชาติ เมื่อท่านเกิดมาเป็นคนใหม่ๆ หลังจากอยู่ในท้องมารดามาถึง ๙ เดือน เมื่อคลอดออกมาร้อง อ๊า ๆ ๆ หมายความว่า เกิดเป็นคนสมบูรณ์แล้ว ท่านเดินได้ฉับพลันหรือไม่ ท่านย่อมเดินไม่ได้ฉับพลัน


ภาวะแห่งการเดินไม่ได้ฉับพลัน ท่านต้องกินอะไร ท่านต้องกินเลือดแห่งความบริสุทธิ์ของมารดา คือการกลั่นเป็นนมวัวให้เราดื่มกิน แล้วค่อยมาฝึกกินข้าว แล้วก็ค่อยมาฝึกนั่ง แล้วค่อยมาฝึกเดิน นี่คือ สภาวะแห่งธรรมชาติของธรรมะอันแท้จริง

pngegg.5.3.3.png




นิพพานในโลกมนุษย์


วิถีการที่ท่านจะไปสู่แห่งการได้นิพพานในโลกมนุษย์นั้น ก็คือว่า ท่านจะต้องตั้งมั่นอยู่ในศีล แล้วท่านจะต้องหมั่นในการละสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ไม่ยึด ไม่หลง ไม่คล้อย ไม่ตามเขา ให้เป็นตัวของตัวเอง มีสัจจะต่อตน ทำสมาธิเป็นเวลา เขาเรียกว่า ลับให้จิตนิ่ง

คือ สมถกรรมฐาน กำหนดจิตรวมจนธาตุทั้งสี่เสมอ แล้วค่อยขึ้นวิปัสสนาญาณ ภาวะนั่นแหล่ จะทำให้ท่านรู้สภาวะแห่งธรรม ท่านก็จะถึงในภาวะนั้น เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่า สภาวะนิพพานเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้สภาพสิ่งแวดล้อมของสังคม ทำให้ผู้สอนธรรมะ เรียกว่า พยายามคล้อยตามอารมณ์คน หรือคล้อยตามวัตถุที่เขาสร้างขึ้นมา ว่าทุกอย่างไปสู่จุดแห่งความรวดเร็ว ถ้าท่านเดินอยู่ในกฎแห่งศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ท่านสามารถไปถึงนิพพานได้ เมื่อท่านทำสมาธิจิตถึงเอกัคคตาจิตไซร้ เมื่อนั้นท่านย่อมรู้รสแห่งคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ได้ด้วยตนเอง

เรื่องของคำว่า นิพพานก็ดี เรื่องของเทพพรหมก็ดี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตย และเป็นเรื่องปัจจัตตัง ที่เรียกว่า ใครทำใครได้ ใครทำใครรู้ ไม่อย่างนั้น องค์โคตมะไม่พูดว่า

“ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นก็จะรู้ว่าตถาคตเป็นอย่างไร”

ฉะนั้น ในสิ่งเหล่านี้ เราใคร่อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ แล้วท่านก็จะรู้ในภาวะแห่งอารมณ์นิพพานของการเป็นมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร


p4.png




ทำอย่างไรจึงไม่เกิดอีก


สานุศิษย์ : ลูกไม่อยากจะเกิดอีกแล้วค่ะ

สมเด็จ :

อันเป็นคน        ไม่ใช่อยู่              ที่ตนคิด
มนุษย์ไซร้        ทุกรูปนาม           นั้นต้องเกิด
ภาวะกรรม        ที่ตนสร้าง            ย่อมมีผล
ท่านทั้งหลาย    จงพิจารณา          ถึงถ่องแท้
สรรพสิ่ง           สู่วงเวียน             ของวัฏฏะ
สลายเรื่อย        สลายไป              เปลี่ยนภาวะ
การเป็นคน        เพราะมีกรรม        นำตนเกิด
ภาวะที่             จะนำตน               พ้นอัตตา
ต้องบำเพ็ญ       ถึงจตุตถฌานสี่      อย่างน้อย
วาระจิต            วิญญาณไซร้         สู่พรหมโลก
การเป็นพรหม    ย่อมมีการ             เสวยกรรม (วิบาก)
วิบากอยู่           สามพันปี              ของทิพยอำนาจอย่างน้อยต่ำ
หนึ่งวัน             โลกวิญญาณไซร้    หนึ่งปีโลกมนุษย์คิด

ฉะนั้น การที่ท่านไม่อยากเกิดนั้น ไม่ใช่อยู่ที่เราจะเลือกของเราได้เอง อีกอย่างหนึ่ง เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ภาวะแห่งการที่เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อกฎแห่งกรรมหรือไม่ ภาวะแห่งการที่เราเชื่อกฎแห่งกรรม ก็ย่อมที่จะเรียกว่า ทำกรรมดีย่อมได้เสวยดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมเสวยชั่ว


ซึ่งเราก็ได้ตอบพวกอาจารย์อภิธรรมแล้วว่า รูปก็ดับนามก็ดับ แล้วเอาอะไรไปเสวยกรรม ก็คือ วิญญาณทิพย์ที่ต้องไปเสวยกรรม ทิพยวิญญาณที่จะต้องหลุดออกจากรูปนาม ไปสู่ปรภพแห่งการเสวยกรรม

p5.png




หลักปฏิบัติตนสู่สุคติในปรภพ


ทีนี้ การที่เราไม่อยากเกิดนั้น เราก็ต้องพยายามสร้างความดี ถ้าท่านตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ในหลักแห่งจาคะมากๆ ทำทาน เรียกว่า ทานบารมี อธิษฐานบารมี สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะช่วยให้ท่านไปสู่สุคติในปรภพ

ส่วนเรื่องที่จะไม่เกิดนั้น ก็เรียกว่า ท่านตายไปแล้ว ท่านจะไปบำเพ็ญต่ออย่างไร นั่นเป็นเรื่องในปรภพ ก็อาจจะสามารถไปถึงพรหมโลก ท่านอาจจะไม่อยากยุ่งเกี่ยว คืออาจจะคิดว่า ฉันนี้เมตตามามากเพียงพอแล้ว ฉันได้สร้างกุศลมามากแล้ว ฉันได้ทำงานเพื่อมนุษย์มามากแล้ว


บัดนี้ฉันมาเสวยบุญของฉันอยู่ในพรหมโลก หรือในเทวโลกก็ดี แล้วฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ที่นั่น เขาก็มีศาลาฟังธรรม และมีที่ฝึกที่จะให้ท่านเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า พระสกทาคามี อนาคามี โสดาปัตติมรรค ซึ่งสำเร็จในโลกวิญญาณ ก็ไม่เกิดได้เหมือนกัน

สานุศิษย์ : จะเกิดมาเป็นคน หรือเป็นอะไรก็รู้สึกว่าไม่อยากเป็นทั้งนั้นค่ะ อยากจะให้มันหายไปเลย ไม่อยากจะมีอะไรค่ะ

สมเด็จ : ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง และท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เคลื่อนไปสู่การสลายแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่จะสูญเปล่าไปหมดนั้น อาตมาว่า ไม่จริงหรอก

ท่านพิจารณาง่ายๆ น้ำที่ระเหยขึ้นไปเป็นไอน้ำ รวมตัวเป็นเมฆแล้วตกลงมาเป็นฝน ขี้ที่เราขี้ออกไป เอาไปรดผัก หลังจากนั้นเราก็เอาผักมากิน เยี่ยวที่เราเยี่ยวออกมาลงไปในดิน กลั่นกรองเป็นชั้นๆ เป็นน้ำ แล้วก็มาโกหกว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ กินกัน ก็เรียกว่า กินขี้เยี่ยวของตัวเองทั้งนั้น แต่ไปตั้งอุปทานกันมากมาย ว่าไอ้นี่สะอาด ไอ้นั่นไม่สะอาด


ฉะนั้น การที่ท่านจะให้สูญสลายไปนั้น ท่านต้องถามตัวท่านว่า ท่านสามารถปฏิบัติจิตของท่านถึงจตุตถฌานสี่ แล้วเล่นอภิญญาสามได้หรือไม่ ถ้าท่านสามารถทำได้ ก็อาจไปสู่แดนพระนิพพานได้ เรียกว่าเข้าสู่ในแดนวิสุทธิเทพ ดินแดนแห่งความสงบ แล้วก็สลายในที่นั้น

สานุศิษย์ : สลายไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือค่ะ

สมเด็จ : ถ้าทุกอย่างจะสลายไปเดี๋ยวนี้ได้ ก็คิดว่าพระอรหันต์คงเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็เป็นผู้สำเร็จกันมากมายในโลก คงไม่ต้องมาฆ่ากันและมาแย่งชิงดีชิงเด่นกันเหมือนทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า คิดกันง่าย ปฏิบัติยาก มันจึงกลายเป็นหันซ้ายหันขวากันเยอะแยะ

ท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ ที่ได้มีโอกาสในที่นี้ แล้วก็ได้มาฟังอาตมาเรียกว่า เล่าให้ฟังเป็นบางสิ่งบางอย่าง สิ่งไหนเป็นสิ่งดีก็ใคร่ให้ท่านนำกลับไปพิจารณา สิ่งไหนไม่ดีก็ใคร่ให้ท่านทิ้งไว้ที่นี่ และท่านที่ยังไม่เคยมา ก็อย่าด่วนรีบลงความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนว่า ชาวพุทธที่แท้จริง จะไม่ด่วนคาดคะเน


ชาวพุทธที่แท้จริง จะไม่ด่วนลงความเห็น หลักของศาสนาพุทธ มีเหตุมีผล และมีปัจจัยที่จะเข้าไปค้นพิสูจน์ ถึงจุดมุ่งหมายแห่งความรู้นั้นได้

เสมือนหนึ่งท่านอยากจะดูการเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ ถ้าท่านไม่ทำสมาธิ ท่านนั่งถามอยู่เรื่อย ท่านก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงภาวะแห่งการเป็นของเทพ ของพรหม เขาก็เคลื่อนไหวกันอย่างไร


ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ในจักรวาลพิภพนี้ ยังมีสิ่งลี้ลับ สิ่งอะไรหลายอย่างที่เราเห็นด้วยตาเนื้อไม่ได้ จึงใคร่จะฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายคิด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

อยากไปเที่ยวเมืองนรก


(วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ถ้าอยากจะไปเที่ยวเมืองนรก จะทำอย่างไร จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือในหลักแห่งความจริงของพรหมโลกก็ดี ในหลักแห่งความจริงของเทวโลกก็ดี ในหลักแห่งความจริงของยมโลกก็ดี การที่เราจะไปเที่ยวยมโลกนั้น อย่างต่ำจะต้องปฏิบัติจิตถึงจตุตถฌานสี่ อย่างสูงจะต้องอภิญญาสี่ เมื่อนั้นแหละจิตวิญญาณจะสามารถไปเที่ยวยมโลก

ทุกวันนี้มนุษย์อยากจะรู้เรื่องวิญญาณ แต่ไม่ทำ แล้วมันจะรู้อย่างไรเล่า คือการทำอะไรต้องฝึกจิตของตนก่อน ทีแรกต้องช่วยตนก่อน


pngegg.5.3.1.png




ยุคนี้อาจารย์มากกว่าขอทาน


สมเด็จ :
หลักของพระพุทธศาสนาอันแท้จริงนั้น ไม่ใช่เป็นปรัชญาธรรมดา หลักของพระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาอันลึกซึ้ง และเป็นวิทยาศาสตร์อันละเอียด องค์สมณโคดมเป็นนักค้นคว้า ก่อนการประกาศธรรมพระองค์เข้าป่าเป็นปีๆ จึงค้นพบสัจจะแห่งพุทธะ

ไม่ใช่อย่างนักบวชหรือนักปราชญ์ทุกวันนี้ อ่านตำราสามเล่ม คุยโวเป็นอาจารย์ อาจารย์มากกว่าขอทานในยุคนี้ สอนกันแต่เรื่องฟุ้ง ไม่สอนความจริง นักค้นคว้านักประกาศธรรมต้องศึกษาเอาองค์สมณโคดมเป็นตัวอย่าง

ทุกวันนี้มีแต่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือแล้วไม่ทำตาม นับถือไปหาอะไร หลักแห่งความพ้นทุกข์ มันต้องตัวเราช่วยตัวเราเอง

สภาวะแห่งความจริง ภาวะจิตยิ้ม รู้จิต รู้ว่าจิตนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ก็รู้ว่าจิตของตนเป็นอย่างไร มนุษย์ผู้นั้นแหละจะรู้ว่าธรรมเป็นอย่างไร ทุกวันนี้มีแต่นักโวหาร มีแต่พูดไม่มีทำ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

ทำไมจึงเกิดการตายหมู่


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สานุศิษย์ : มีข่าวรถชนกันและเกิดการตายหมู่เป็นจำนวนมาก ทำไมจึงเกิดการตายหมู่ขึ้นครับ

สมเด็จ : พวกนี้เขาเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงอายุขัย สมมติรถคันหนึ่งมีคนดวงไม่ดี ๓๐ คน มีคนดวงดี ๑๐ คน คนดวงดีสิบคนจะถูกคนสามสิบคนที่ดวงไม่ดีลากลงไปด้วย

พวกนี้เขาเรียกผีตายโหง ตายห่า พวกนี้ถ้าเจ้าที่เจ้าทางไม่มีลูกน้อง ก็อาจจะเอาไปเป็นลูกน้อง ถ้ามีลูกน้องแล้วก็ไม่เอา ปล่อยเป็นวิญญาณอิสระ วิญญาณอิสระ เหล่านี้แหล่ ถ้าเขามีคุณธรรม เขาก็อาจจะไปหาที่บำเพ็ญได้ จนกว่าอายุขัยจะถึง แล้วยมทูต เทวทูต พรหมทูต จึงจะมารับวิญญาณนั้นไป

ถ้าวิญญาณที่ตายนั้นไม่มีคุณธรรมประจำใจแล้วไซร้ ก็จะทำความรังควาน ให้แก่ผู้ที่ดวงกำลังอับในโลกมนุษย์ และวิญญาณเหล่านี้ เขาจะไปปลอมเป็นใคร หรือว่าจะไปเข้าใคร ถ้าเขาจะบอกว่า นี่ขรัวโตมานะก็ได้ โลกวิญญาณเขาจะยังไม่ลงโทษเลย โลกวิญญาณเขาถือว่ายังไม่ถึงอายุขัย เพราะโลกวิญญาณเขาควรเคารพในกฎระเบียบอย่างแท้จริง


ถ้าวิญญาณนั้นทำความดี เวลาคิดบัญชีกรรมในศูนย์รวมกรรมของโลกวิญญาณ ก็อาจจะไปเสวยกรรมดีได้ แต่ถ้าระหว่างตายแล้วนั้น วิญญาณยังไม่พยายามสร้างกุศล เมื่อถึงเวลาแห่งการคิดบัญชีของโลกวิญญาณแล้ว เขาก็จะลากวิญญาณนั้นไปแล้วเสวยกรรมในขุมนรกต่างๆ เหล่านี้คือ พวกที่ตายยังไม่ถึงอายุขัย

พวกที่รถชนกันตายนี่ บางทีก็เป็นเพราะถูกพวกอสูรฆ่า คืออสูรบำเพ็ญจากนรกโลกเป็นกัป อสงไขย ที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็จะสร้างกรรมพัวพันกับมนุษย์ที่ตาย เพราะมนุษย์คนหนึ่งๆ เขาจะต้องมีญาติโยม นี่เรียกว่าสร้างกรรมพัวพันเพื่อหาที่เกิด เพื่อให้มีกรรมวิบากในการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ โดยวิญญาณอสูรนี้ก็จะไปเกิดกับญาติของคนที่ตาย นี่คือการตายอีกอย่างหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มั่นอยู่ในศีลในธรรม และก็ไม่มีอกุศลกรรมวิบากขนาดหนัก หมั่นภาวนาสวดมนต์ไหว้พระ ผู้นั้นจะรอดพ้นจากภัยในการตายอย่างอสูรฆ่า หรือว่าในการตายอย่างรถชนเหล่านี้


ทีนี้ ส่วนมากที่ตายกันในแบบนี้ เกิดจากมนุษย์ที่อยู่ในที่เดียวกันนั้น อยู่ในอกุศลกรรมวิบากมากย่อมดึงดูดผู้ที่อกุศลกรรมวิบากน้อยให้ต้องตายไปด้วย เช่น สมมติว่ารถคันหนึ่งมีคนดวงตก ๑๐ คน มีคนดวงดี ๑ คน คนหนึ่งคนนั้นย่อมถูกการดึงดูดของผู้ที่มีอกุศลวิบากบังไป ก็พลอยฟ้าพลอยฝนตายไปด้วย
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

ยุคนี้พระศรีอาริย์ลงมาเกิดหรือยัง



สานุศิษย์ : ลูกไปอ่านหนังสือพบว่า พระมาลัยได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วขึ้นไปบนสวรรค์ ไปไหว้พระจุฬามณี แล้วพบกับพระศรีอาริย์ พระศรีอาริย์ก็บอกว่า บารมีของท่านนี่ ในอดีตชาติน่ะ ได้เคยตัดศีรษะบูชาพระพุทธเจ้ามามากกว่ามะพร้าวในชมพูทวีป เรื่องนี้เป็นความจริงแค่ไหนครับ

สมเด็จ : นี่มันเป็นอุปมาอุปไมยของอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ในยุคต่อมาแต่งเติมส่งเสริมให้มันเลอะกันใหญ่

สานุศิษย์ : ทีนี้เขายังบอกอีกว่า จะมาเกิดในเมืองมนุษย์นี่สองครั้ง คือ ครั้งตอนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า และก่อนหน้านั้น ก็ต้องมาเกิดอีกครั้งหนึ่งในเมืองมนุษย์นี่

สมเด็จ : ใครมาเกิด

สานุศิษย์ : พระศรีอาริย์

สมเด็จ : อาตมาขณะนี้ประสานกับพระศรีอาริย์อยู่ ไม่เคยเห็นบอกว่าจะมาเกิดสักที มีแต่ว่า มาอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๔ คือสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นชั้นที่จะต้องใกล้โลกมนุษย์ เพื่อประมวลในเหตุการณ์ของมนุษย์ เพื่อได้รู้และได้รู้ซึ้งถึงวิญญาณทั้งหลายที่จะมาเกิดในยุคต่อมา หลังจากสิ้นศาสนาแห่งสัจจาธิษฐานขององค์สมณโคดม เป็นการประมวลเพื่อเตรียมตน จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในยุคต่อไปจากศาสนาโคตมะ

ในการที่ว่าจะมาเกิดในขณะนี้ ยังไม่เคยได้ยินองค์ศรีอาริย์พูดถึงเลย มีแต่มาประมวลข่าวในโลกมนุษย์ว่า เมื่อถึงยุคที่ตถาคตจะลงมาเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคแล้ว ยุคนั้นตถาคตจะทำอย่างไร จึงจะเข้าซึ้งถึงภาวะเหตุการณ์ในยุคนั้น เพราะว่าสวรรค์ชั้นที่ ๔ นี้ เป็นสวรรค์ชั้นที่เตรียมไป และเตรียมมา เป็นสวรรค์ที่อลหม่านที่สุดของโลกวิญญาณ


สานุศิษย์ : เพราะฉะนั้น เมื่อศาสนาพุทธโคดมถึงห้าพันปีแล้ว ระยะนี้อายุมนุษย์ก็เพียงสิบปีเท่านั้น

สมเด็จ : นี่คนมันเขียนขึ้นมา มันอ่านแล้วเพลินๆ น่ะ

ถ้าศาสนาพุทธถึงสามพันปี จะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมาสำเร็จ นี่พยากรณ์ล่วงหน้า เมื่อ
ศาสนาพุทธถึงสี่พันปี ศาสนาจะลุกเป็นไฟ แล้วก็จะถึงจุดรุ่งเรืองของศาสนาพุทธอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะถึงจุดสลายของศาสนาพุทธ เมื่อครบห้าพันปี

สานุศิษย์ : เมื่อครบห้าพันปีแล้ว พระศรีอาริย์ก็มาเกิดทันทีหรือค่ะ

สมเด็จ : มาช่วงต่อ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

ธรรมชาติของจิต


(วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ :
วันนี้ อาตมาจะเทศน์เรื่อง “ธรรมชาติของจิต”

สภาวการณ์จิตเดิม เป็นจิตนิ่ง สะอาด ประภัสสร เมื่อภาวะแห่งการกระโจนเข้าสู่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในการมาสู่การเป็นมนุษย์ มาเวียนว่ายในคลื่นของวัฏฏะ ก็ได้วิวัฒนาการแห่งการบ่มนิสัยจิตใจของมนุษย์ กลายเป็นมีตัวโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ เมื่อจิตอันบริสุทธิ์ถูกครอบงำ จึงทำให้ลืมอดีตที่ผ่านมาหมด

สภาวะเมื่อวิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น เป็นการที่ว่าจิตตกภวงค์เข้าสู่ที่มืด อยู่ในที่คับแคบ ซึ่งกินเวลาอย่างต่ำ ๘ เดือน จึงคลอดออกมาเป็นมนุษย์

เมื่อจิตปรังปรุงเข้าสู่ในขันธ์ใหม่ ก็อยู่ในสภาพไร้เดียงสา จนถึงอายุสามสี่ขวบ จึงเริ่มแห่งการมีความจำ และสภาวะนี้ ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมในกลุ่มของคนชั่ว ก็ปรับไปสู่วิบากแห่งความหายนะ ถ้าอยู่ในหมู่ของคนดี ก็วิวัฒนาการปรับไปสู่การเป็นคนดี

เมื่ออายุเลยวัยเด็ก เข้าสู่การเป็นหนุ่มสาวในวัยเบญจเพส จิตแห่งสามัญสำนึก ก็จะนึกคิดได้ว่าตนนี้ จะไปเข้าสู่ในสิ่งแวดล้อมอันใดในการเป็นคน จะไปสู่ทางโลกุตระ หรือทางโลกียะ

ทีนี้ ในการที่จะเป็นนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คำว่า “นามธรรม” และคำว่า “พุทธะ” นั้นอยู่ในกายมนุษย์ การที่จะเข้าไปค้นตัวรู้แท้อันดั้งเดิมของจิตและวิญญาณนั้น ทำอย่างไร ซึ่งองค์สมณโคดมก็ได้วางหลักและวิธีการไว้แล้ว เรียกว่า วางเรือไว้ลำหนึ่งให้มนุษย์ดู ว่าเรือลำนี้แหล่ จะพาท่านข้ามสู่หนทางพระนิพพาน เมื่อท่านปฏิบัติจิตไปในทางจิตเข้าฌาน หรือปฏิบัติจิตเข้าสู่กระแสวิมุตติ

ในวิธีการที่นักปฏิบัติทั้งหลายในยุคนี้ปฏิบัติอยู่นั้น ปฏิบัติกันอยู่ในรูปอย่างไร อาตมาก็ไม่อยากพูด คือ ในสภาวะที่ท่านจะทดสอบจิตตัวเองนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ที่ไหนหรอก ให้ทดสอบจิตตัวเองนี่แหละ

ตามหลักแห่งความจริงขององค์สมณโคดม ที่ท่านได้กล่าวพุทธพจน์ไว้บทหนึ่งว่า “ผู้ใดยังไม่รู้ธรรมชาติจิตของตน ผู้นั้นอย่าบังอาจไปสอนคนอื่น ฉันใดก็ฉันนั้น” แต่ทุกวันนี้ เกจิอาจารย์ที่สอนวิปัสสนานั้น ตัวเองยังไม่รู้จักตน แต่ยังอุตริไปยุ่งสอนคนอื่น นี่คือ สภาวะการทำงานของสังคมในยุคนี้


pngegg.5.3.1.png




มารู้จักจิตตน


วิธีการที่จะรู้จักจิตตนนั้น ก็คือ ให้มีสติปัฏฐาน ๔ ควบคุมอายตนะแห่งการเคลื่อนไหวของอารมณ์ของตนด้วย

โดยการเข้าไปสู่สถานที่ที่เรียกว่า ได้รับแต่อนิฏฐารมณ์ เช่น ให้คนด่าเรา เราจะเกิดโทสะขึ้นหรือไม่ หรือในสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยวนทางตา เราจะหลงใหลหรือไม่ ในที่ที่มีของกินดีๆ เราจะติดในรสหรือไม่ ฉะนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายจงสังวรในข้อนี้

pngegg.5.3.2.png




การค้นธรรมชาติของจิต


การค้นธรรมชาติของจิตนั้น เราจะต้องมีความฉันทะ และวิริยะ ถ้าผู้ใดไม่มีความฉันทะ ไม่มีความวิริยะ ผู้นั้นย่อมที่จะรู้สัจธรรมของจิตตัวเองไม่ได้

จึงขอเตือนบรรดาผู้ที่อวดตนเป็นนักวิปัสสนาว่า จงอย่าหลงตนว่าตัวนั้นจะได้อะไร เพราะมนุษย์ที่ถึง มนุษย์ผู้นั้นเขาจะไม่พูด

การที่จะได้อนุสติฌานก็ดี การที่ได้อำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ก็ดี ล้วนแต่จิตนั้นต้องอยู่ฌาน ๔ เป็นอย่างต่ำ ถ้าถึงสภาวะแห่งการที่จะรู้และฟังเสียงเทพ เสียงพรหม เสียงผีเปรต เสียงอสุรกาย เสียงผีนรก เสียงยมบาล ผู้นั้นจิตจะต้องอยู่ในจตุตถฌาน ๔ ท่านไม่ต้องเสียเวลาไปอยู่ในป่าช้า อยู่ในบ้านก็ฟังเสียงเทวดาร้องเพลงได้


และผู้ที่จิตถึงจตุตถฌานแล้ว ผู้นั้นวันหนึ่งๆ ไม่อยากไปไหน ไม่ชอบที่จะไปไหนหรอก ชอบเข้าฌาน ฟังเสียงเทพ เสียงพรหมคุยกัน นั่นแหล่ มันไม่มีสิ่งใดโกหก คุยกับมนุษย์มันมีแต่ความหลอกลวง และยุคนี้ ยิ่งหาสัจจะแห่งความจริงจากมนุษย์นั้นยาก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

วิธีปลดปล่อยทุกข์ มนุษย์ทุกคนล้วนแต่เห็นแก่ตัว


(วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๐)




สมเด็จ : คือในวิถีการแห่งการเทศน์ของอาตมา ก็ได้เทศน์ไว้แยะแล้ว แต่วันนี้จะเทศน์อีกเรื่องหนึ่งในหัวข้อว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นั้น ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวทั้งสิ้น”

คือ ในการกระทำใดๆ ก็แล้วแต่ มนุษย์จะเอาตัวเองเป็นหลัก เอาความพอใจของตนเป็นใหญ่ โดยไม่คิดถึงสภาพการณ์ของคนอื่น และในสภาวะ ถ้าตนนั้นมีทุกข์ก็จะให้ตนพ้นทุกข์ แต่ก็ไม่รู้จักปลดปล่อยทุกข์ นี่คือสัญชาตญาณแห่งสันดานของมนุษย์ในยุคนี้

ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ต้องเข้าใจว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นล้วนแต่เกิดมาใช้กรรมของตน ตนแหล่มีกรรม จึงได้เกิดมาเป็นคน ทีนี้ เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ต้องสร้างในกุศลกรรมแห่งปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้ตนอยู่รอด แต่มนุษย์ไม่ทำเช่นนั้น

มนุษย์จะสร้างกุศลต่อเมื่อมีทุกข์ มนุษย์จะเข้าหาธรรมะต่อเมื่อมีทุกข์ หรือมีสิ่งยุ่งยาก เพราะว่า มนุษย์ยุคนี้หลงอยู่ในวัตถุ ทุกคนอยู่ด้วยความประมาทไม่เตรียมตนไว้ต้อนรับสถานการณ์ ที่จะเกิดกับตนไว้ล่วงหน้า ต่อเมื่อมีเหตุก็วิ่งชุลมุนวุ่นวาย จิตก็ฟุ้งจนกลายเป็นบ้า สภาวะนี้แหล่ที่เรียกว่า อยู่อย่างประมาท

การจะอยู่อย่างไม่ประมาทนั้น เราต้อง


หนึ่ง รักษาสุขภาพพลานามัยของตนให้แข็งแรง


สอง บำเพ็ญสมาธิจิตให้แข็งแกร่ง

เขาเรียกว่า ต้องบำรุงทั้งรูปธรรมนามธรรมให้แข็งแกร่งสมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่อรูปธรรมและนามธรรมแข็งแรงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บย่อมกินเราไม่ได้ ภาวะจิตเราย่อมไม่ประมาท การงานทุกอย่างย่อมสำเร็จ สมองย่อมดี ประสาทย่อมไว ปัญญาย่อมเกิด แต่มนุษย์ยุคนี้ไม่ทำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคแห่งกลียุคนี้ วัตถุทางโลกเจริญสุดขีด จึงทำให้มนุษย์ใช้เวลาในการนอนเป็นเวลาเที่ยว เวลาแห่งการเที่ยวใช้เป็นเวลานอน เรียกว่า กลับธรรมชาติของจิต จึงทำให้มนุษย์เสียพลัง มนุษย์ย่อมที่จะอยู่รอดแห่งการครองตนได้ตลอดโดยไม่ให้มีโรคเบียดเบียนนั้นยาก

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายว่า จงเตรียมตนก่อนตาย จงตายระหว่างเป็น ทุกอย่างย่อมสงบ ถ้าไม่รู้จักการตายระหว่างเป็นแล้ว ความทุกข์ย่อมเกิดดับขึ้น พลังแห่งความเสื่อมของสุขภาพย่อมตามมา อันนี้อาตมาขอทิ้งเป็นปริศนาธรรม ให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายไปคิดพิจารณา เพื่อปรับปรุงระดับจิตของตนให้ขึ้นสูงกว่านี้

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

สมเด็จโตห่วงลูกหลาน


(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณอารีย์ สุวรรณพันธ์ :
หลวงพ่อคะ ตอนลูกนั่งสมาธิ เห็นเงาผ่านมาแว่บหนึ่ง และก็เห็นพระเมรุทอง ยอดสูงเทียมเมฆ เห็นว่ามันสวยดี กระเบื้องเป็นแผ่นเหลืองเหมือนทองคำ แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ตกค่ะ

สมเด็จ :


การทำจิต     ให้จิตนิ่ง            อารมณ์เกิด
อุปาทาน       เข้ายึด              งามผ่องใส
จิตฟุ้งซ่าน     เกาะคนสวย       รีบประแป้ง
ทาลิปไซร้     ปากแดงเหมือน   ปากหมูเอย

พลังอันนี้ทำให้กระแสตก เรียกว่า จิตไม่รวมถึงจิตให้ถึงธรรม เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถามก็คือฟุ้งซ่าน มึงก็บ้า กูก็บ้า ตอบไปเรื่อย คือขณะนี้ เรามันจิตฟุ้งซ่าน ไม่มีอารมณ์อะไรที่จะมาแว่บมาวูบหรอก

ฉะนั้นเราต้องวางซิ วางให้หมด แล้วทำใหม่ เราอย่าไปนึกอุปาทานว่า ข้านี้ อาจารย์ของกูนี้เคยบอกว่า ข้านี่เว้ย สำเร็จฌาน ๑๖ แล้วนะเว้ย ฉะนั้นอันนี้ให้ทิ้งก่อน เพราะมึงลองคิดดูซิว่า อาจารย์ที่บอกว่ามึงสำเร็จญาณ ๑๖ นี่ อาจารย์จะต้องสำเร็จอรหันต์นะ แต่อาจารย์ของมึงหันไปมีเมียแล้ว

คุณอารีย์ สุวรรณพันธ์ : ลูกนับถือเทพพรหมที่สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นอาจารย์ค่ะ

สมเด็จ :
นับถืออาตมาก็ไม่ถึงพระนิพพาน การทำจิตนี้ การทำวิปัสสนา การทำกรรมฐาน เราเดินตามแผนผังของตถาคต เดินตามรอยองค์สมณโคดม อาตมาเพียงแต่ว่า อาตมาเคยผ่านมาก่อน จึงได้มาแนะนำ

ภาวะขณะนี้ อาตมาอยู่ในโลกวิญญาณ อาตมาจะเข้าสู่การเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ได้ อาตมาจะเข้าสู่การเป็นพระอรหันต์ในโลกวิญญาณก็ได้ พระพรหมสำเร็จในโลกวิญญาณก็มีเยอะแยะ แต่ที่อาตมายังไม่ไป ก็เพราะว่าอาตมายังมีอารมณ์ติดเหมือนพวกเอ็ง ก็คือ

ติดมนุษย์ ยังมีความห่วงใยมนุษย์ที่มีกรรมพัวพัน ที่เป็นลูกเป็นหลานยังมีอีกมาก ที่ยังต้องการแสงสว่าง อาตมาจึงไม่ยอมเข้าสู่การพระปัจเจกโพธิเจ้า ไม่ยอมเข้าสู่การเป็นอรูปพรหม หรือเข้าสู่แดนอรหันต์ ยังอยู่เป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกว่า เป็นพรหมที่มีรูป ยังติดมนุษย์ ยังอยากมาคุย จึงมาอยู่เรื่อย

ขอให้ท่านพิจารณาด้วยความเป็นธรรม สิ่งใดดีก็ให้ท่านนำกลับไปพิจารณา สิ่งใดไม่ดีท่านก็ทิ้งไว้ที่นี่ แล้วก็ค่อยๆ ศึกษาต่อไป เพราะว่าเรื่องลี้ลับ เรื่องวิญญาณนี้ สมัยองค์สมณโคตมะอยู่จึงไม่พูดถึง พระองค์ถือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเปลืองสมองมนุษย์


คือ จะต้องผู้นั้นทำเอง ถึงเอง รู้เอง นั่นแหละ ผู้นั้นจึงจะรู้จักตถาคต นี่คือ หลักที่พระพุทธเจ้าสอน พระองค์ตรัสว่า “ตถาคตวางเรือให้ท่านข้าม ท่านเอ๋ย จงลงมาเถิด ลงเรือแล้วไซร้ จึงถึงฝั่ง”

ทุกวันนี้ท่านอยู่คนละฝั่ง แล้วคุยถึงตถาคต แล้วจะถึงตถาคตได้อย่างไรเล่า จึงมีธรรมะบทหนึ่งว่า ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงตถาคต

ฉะนั้นท่านทั้งหลาย ก็ขอให้ท่านฟังด้วยพิจารณา และขอให้ตั้งตนอยู่ในความชอบ แล้วก็หมั่นพิจารณาตัวเอง วันหนึ่งเรากินข้าวกี่มื้อ ใช้เงินเท่าไหร่ เงินที่เราเก็บไว้ ตายไปแล้ว อีแปะหนึ่งก็เอาไปหายมบาลไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนเหลือสมบัติมากๆ นั้นแหละ เป็นการก่อกรรมให้แก่ตัวเอง พอตายลงไป ไอ้เมียคนนั้นก็บอกว่า เงินนั้นเป็นของกู ไอ้ลูกคนนี้ก็บอก เงินนั้นก็เป็นของกู ไอ้นี่ก็บ้านกู ไอ้นั่นรถกู คนตายนอนแมลงวันตอมหึ่ง ช่างมัน กูเอาเงินก่อน นี่เท่ากับท่านสร้างความวุ่นวายให้ลูกหลาน

ฉะนั้น ท่านจงสร้างความดี เพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อใคร วันนี้อาตมาก็เทศน์มามากแล้ว จะกลับเสียที ไม่มีอะไรแล้ว

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

สังคมแห่งกิเลสตัณหา ๙๙


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : วันนี้จะพูดเรื่อง คนที่จะบวชสักหน่อย การบวชนี้ ห่มผ้าเหลืองแล้วไม่สึกแหละดี

พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติว่า เข้าพรรษา ลูกชาวบ้านต้องมาห่มผ้าเหลืองกัน ออกพรรษา ลูกชาวบ้านก็ถอดผ้าเหลืองออกไปมีเมีย สิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่พุทธบัญญัติ มันเป็นประเพณีซึ่งคนเชื่อถือกันว่า บวชหรือยัง บวชแล้วก็เรียกว่า เป็นคนสุก ยังไม่ได้บวชก็เป็นคนดิบ อย่างนี้เป็นต้น

ในเรื่องเครื่องแต่งกาย พระสยามทำไมต้องโกนคิ้ว แล้วพระพม่า พระจีน ทำไมไม่โกนคิ้ว อันนี้เกิดจากสงครามอโยธยา สงครามอโยธยาครั้งนั้น พม่าส่งแนวสืบ เรียกว่า พวกจารบุรุษแต่งเป็นพระเข้ามา และในสมัยนั้น พระสยามยังมีคิ้ว รูปร่างก็เหมือนกัน ก็สืบราชการลับไป ตีกรุงอโยธยาแตก ขณะนั้น พระเถรสมาคมในยุคนั้น จึงวางแผนใหม่ เรียกว่า คณะกรรมการ จึงได้วางกฎว่า พระต้องโกนคิ้ว เพื่อป้องกันจารบุรุษ

ถ้าพูดถึงในเรื่องการบวชนั้น ถ้าท่านศึกษาให้เข้าใจซึ้งถึงหลักแห่งความจริงของพระพุทธศาสนาแล้วไซร้ ทำไมในยุคนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้น ทำไมจึงมีพระอนาคามี พระโสดาบันเกิดขึ้น เพราะว่า ทุกคนก่อนที่จะบวชนั้นได้ศึกษา และได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่า การอยู่ทางโลกนั้น แสนจะยุ่งหนอในการอยู่ครองเรือน


การที่องค์สมณโคดมผู้ที่จะเป็นกษัตราธิราชที่ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป เจ้าชายที่เกรียงไกรแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างออกบวชนี้ จะต้องมีความสุขในป่าลึกแน่ และทุกคนก็ได้อยู่พำนักกับองค์สมณโคดมก่อน แล้วก็ศึกษาแนวชีวิตแห่งการบำเพ็ญว่า สิ่งนี้หนอจะพ้นทุกข์จากในสังสารวัฏได้ จึงบวช เรียกว่า บวชใจก่อนบวชกาย ไม่ใช่แบบสมัยนี้ บวช ๓ วัน บวชแก้บน บวชปล้นคน โจรนี่มันก็มีบนนะ ปล้นคนแล้วบวชนะ

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ จึงทำให้คนไม่เข้าซึ้งถึงหลักแห่งความจริงของคำว่า สาวกตถาคต จึงทำให้นักการศาสนาบางคนที่มาจากต่างประเทศนำไปเขียนโจมตีสยาม อันนี้เพราะว่า มนุษย์ที่ดำเนินงานในสยามไม่มีการรับผิดชอบกันอย่างจริงจัง

ในขณะนี้ ศาสนาพุทธกลายเป็นกระพี้หุ้มอยู่ ๑๕ ชั้น เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นการที่เรียกว่า ทำอย่างไรเล่า จึงจะถึงแก่น อย่าเพิ่งพูดถึงแก่นเลย มาช่วยกันกะเทาะกระพี้ให้มันออกมาก่อน

ถ้าอาตมามีสังขาร อาตมาจะเสนอกฎว่า ถ้าท่านบวช ๓ เดือน บวช ๑๕ วัน จงนุ่งห่มอยู่ในชุดผ้าขาว ก็ถือว่าเป็นการบวชดีกว่าห่มเหลือง และยิ่งเวลานี้พระก้าวหน้า พระวินัยบัญญัติว่า เมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นพื้นดิน เรียกว่า แสงสุริยะส่องโลก เมื่อนั้นศิษย์ตถาคตฉันภัตตาหารได้ พวกพระก้าวหน้าเขาบอก เราไม่ผิดวินัย เราก็เอาสีวาดรูปพระอาทิตย์ขึ้นมาซิ กลางคืนเที่ยงคืนก็ฉันได้ เพราะอาทิตย์ขึ้นแล้ว ซึ่งมีอยู่ตามวัดในขณะนี้วัดหลวง วัดราษฎร์ อาตมาจึงบอกขี้เกียจพูด

เพราะฉะนั้น ท่านจะบวชเป็นพระ ท่านจะต้องเริ่มฝึกว่า


หนึ่ง การฉัน ๒ มื้อ ท่านอยู่ได้หรือไม่ เป็นการสอบตัวเองก่อน แล้วก็การบวช ๓ เดือน จงอย่าบวช อย่างน้อยต้องบวช ๑ ปี หรือ ๑๒ เดือน แล้วค่อยสึก แต่ก่อนบวช ขอให้ฝึกปฏิบัติว่า การฉัน ๒ มื้อ ท่านอยู่ได้หรือไม่


สอง การอยู่ในที่วิเวก อยู่ได้หรือไม่ ไปฝึกก่อน ก่อนที่จะโกนหัว เข้าใจไหม

แล้วการบวช ต้องบวชแบบพระ ไม่ใช่บวชแบบแพะนะ ไม่ใช่เป็นพระแล้วทำอะไรไม่ได้ ถางหญ้าไม่ได้ กวาดลานวัดไม่ได้ กินเสร็จแล้วก็นอนอุ้มพุง อาตมาอยู่วัดระฆังฯ เอาไม้ตีคน ตีพระมามากแล้ว ไล่ให้ทำงาน

การเป็นพระ เรียกว่า สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส ไม่มีตัวตน คำว่าไม่มีตัวตนนี้ ท่านเข้าใจว่า ท่านนี้สละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อส่วนรวม เพื่อสังคม เมื่อไม่มีตัวตนยึด ท่านจะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของโลก ศาสนา ไม่ใช่พระไม่มีตัวตน แล้วก็นอนคลำพุงว่าเมื่อไหร่มันจะยุบ

เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่าสังเวชของคำว่าพุทธศาสนาในสยาม ทีนี้ เราจะมาดำเนินการได้ต้องอาศัยคนจริง ท่านจะต้องประกาศศาสนา ท่านจะเป็นสาวกที่แท้จริง ท่านจะต้องไม่กลัว ไม่ห่วง ไม่ติด ถ้าท่านสามารถถึง ๓ จุดนี้แล้วไซร้ ท่านทำงานใหญ่ได้ ทำงานศาสนาได้

หนึ่ง ถ้าท่านกลัว กลัวสังคมนินทา กลัวผู้มีอำนาจจะบีบเรา กลัวตาย ท่านทำงานใหญ่ไม่ได้ ทำงานศาสนาไม่ได้


สอง ถ้าท่านห่วง ห่วงลูก ห่วงเมีย ห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงญาติ ห่วงโน่นห่วงนี่ ท่านทำงานศาสนาไม่ได้


สาม ถ้าท่านติด หมายความว่า ทั้งๆ ที่จะทำงานศาสนา หรือว่าห่มผ้าเหลืองแล้ว ยังติดในอดีต อดีตฉันนี่เคยเป็นพันเอกนะ อดีตฉันเคยเป็นนายพลนะ อดีตฉันเป็นคุณหญิงนะ ถ้าท่านติดสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านทำงานใหญ่ไม่ได้

ท่านจะต้องทิ้งทั้งหมด ๓ ตัวนี้ นี่คือ หลักที่ท่านจะทำงานศาสนา ทำงานเพื่อส่วนรวม

ในขณะนี้ ศาสนาพุทธต้องการคนจริง คนจริงที่จะมานำศาสนาไปยุติสงครามแห่งไฟอเวจีที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็คือ สามารถเอาธรรมะตีเข้าในผู้นำไม่กี่คนในโลกมนุษย์ ให้ละทิ้งทิฐิมานะในการยึดตน ในการหลงมัวเมาในอำนาจ ให้เข้าถึงความตายเป็นสรณะ เมื่อนั้นสันติสุขก็จะเกิดในโลกมนุษย์ได้ แต่ก็ยังไม่มีผู้นำศาสนาที่แข็งแกร่งที่แท้จริง สงครามไฟอเวจีในโลกมนุษย์ใกล้เข้ามาทุกวินาทีแล้ว

ฉะนั้นในขณะนี้ ศาสนา ศีลธรรม มนุษยธรรม หลักแห่งความเมตตาจิตเท่านั้น ที่จะค้ำจุนโลก

จึงขอเตือนมนุษย์ทั้งหลายที่มาในวันนี้ ขอให้ท่านตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม และจงพยายามสวดมนต์ภาวนาให้มาก ในกลียุคเช่นนี้

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

พระคาถาชินปัญชร




พระคาถาชินปัญชร


ก่อนเจริญภาวนาพระคาถาชินปัญชร ให้ระลึกถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ด้วยพระคาถา “นะโม โพธิสัตว์โต พรหมรังษี” ขอบารมีท่านแผ่รังสี เพื่อช่วยให้ท่องบ่นพระคาถาชินปัญชรจำได้แม่นยำ และสวดได้โดยเร็ววัน

(ก่อนสวดให้ตั้ง นะโม ๓ จบ)


ชะยาสะรากะตา พุทธา        เชตตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง           เย ปิวิงสุ นะราสะภา
ตัณหังกะราทะโย พุทธา       อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง        มัตถะเก เต มุนิสสะรา

สีเล ปะติฏฐิโต มัยหัง          พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง        อุเร สัพพะคุณากะโร
หะทะเย เม อะนุรุทโธ           สาริปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณทัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง    โมคคัลลาโน จะ วามะเก

ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง         อาสุง อานันทะราหุโล
กัสสะโป จะ มหานาโม        อุภาสุง วามะโสตะเก
เกเลนเต ปิฏฐิภาคัสมิง        สุริโยวะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน            โสภีโต มุนิปุงคะโว

กุมาระกัสสะโป เถโร           มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง      ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ        อุปาลีนันทะสีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา        นะลาเฏ ติละถา มะมะ

เสสาสีติ มะหาเถรา            วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา             ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะวันตา สีละเตเชนะ           อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
ระตะนัง ปุระโต อาสิ           ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง

ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ        วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ         อาฏานาฏิยะสุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ          เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานา วะระสังยุตตา      สัตตัปปาการะลังกะตา

วาตะปิตตาทิสัญชาตา         พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
อะเสสา วินะยัง ยันตุ           อนันตะชินะเตชะสา
วะทะโต เม สะกิจเจนะ         สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
ชินะปัญชะระมัชเฌนหิ         วิหะรันตัง มะหีตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ      เต มะหาปุริสาสะภา

อิจเจวะมันโต                     สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ                     ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ                   ชิตาริสังโค
สังฆานุภาเวนะ                   ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต       ชะจะรามิ ชินะปัญชะเรติ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด
เราจะต้องเอาตนเข้าไปพัวพันกับสิ่งนั้น
และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น
แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น
ค่อยลงความเห็น


1131245rgf5gktx1tbw1jj.png



หนทางดับทุกข์
ผู้นำที่มีอำนาจ อย่าบูชาอำนาจเหนือความตาย
ชนชั้นเศรษฐี อย่าบูชาเงินเป็นพระเจ้า
ชนชั้นกลาง อย่าดิ้นรนเทียบคนอื่น
คนชั้นต่ำ อย่ายึดมั่น ข้าวสามกำมือข้าก็รอด
รับรองไม่มีทุกข์


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 15:40 , Processed in 0.089512 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.