แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

9.png



เมื่อมนุษย์ในโลกสวดมนต์

พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า

จะดลบันดาลให้เกิดสติและปัญญา

สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ

ให้กลายเป็นสันติสุขได้


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



การเป็นคน

ระหว่างเสวยสุข   อย่าหลงสุข

ระหว่างเสวยทุกข์   อย่าหนีทุกข์


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

5.png



ตอนที่ ๑

ปราชญ์แห่งสยาม


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ก่อนอื่น วันนี้อาตมาจะเทศน์ให้เหล่าสาธุชนทั้งหลายที่เดินทางมาวันนี้ จากทางเหนือก็มีทางอีสานก็มี

ในยุคอาตมามีสังขารนั้น อาตมายังไม่เคยไปทางศรีสะเกษ ทางเชียงใหม่ มีไหมคนมาจากศรีสะเกษ มาจากเชียงใหม่ อาตมาบุญน้อยไม่ได้เหยียบ เคยไปอย่างมากแค่เมืองกำแพงเพชร ได้เคยผ่านเมืองพิจิตรในยุคโบราณกาลนั้น พิจิตรถือว่าเป็นเมืองหลวง เมืองเชียงใหม่นั้น เรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งความรุ่งเรืองในสมัยนั้น

ในสภาพการณ์วิวัฒนาการของบ้านเมือง ยุคหนึ่งชาวสยามร่นจากล้านนาไทย ในอาณาจักรน่านเจ้า ได้เคยมาตั้งเมืองหลวง ณ เชียงตุง หลังจากนั้นก็เข้าสู่เชียงใหม่ ถ้าว่าตามหลักก็คือ ชาวสยามที่เราเรียกว่าไทยน้อยนั้น ร่นมาจากทางเหนือ ส่วนทางใต้นั้น ล้วนแต่เป็นชาวแขกมลายูอยู่มาก

ทีนี้มาพูดถึงว่า ทำไมอาตมาจึงไปกำแพงเพชร เพราะพื้นเพเดิมของอาตมานั้น บรรพบุรุษเป็นชาวกำแพงเพชร และได้มาอยู่อโยธยาในยุคนั้น แล้วก็มาพัวพันในเรื่องจักรีวงศ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเล่ากันสิบวันสิบคืนไม่จบ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ท่านทั้งหลาย ท่านคงเคยได้ยินชื่อสมเด็จโต วัดระฆังฯ มานาน แต่ท่านไม่เคยพบตัว ในขณะนี้ ท่านมาสำนักปู่สวรรค์ก็ยังไม่ได้พบตัว พบแต่วิญญาณ ในเรื่องวิญญาณนี้แหล่ ท่านก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าองค์สมณโคดมสอนมนุษย์เราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เราต้องศึกษา เราต้องปฏิบัติ เราต้องค้นเข้าไป แล้วค่อยลงความเห็นว่า จริง ไม่จริง ใช่ ไม่ใช่

ท่านทั้งหลาย ท่านมาสู่การเป็นพุทธมามกะนั้น เพื่ออะไรเล่า การที่เรานับถือศาสนาพุทธนั้น เรามีจุดมุ่งหมายก็คือ ให้ตนพ้นทุกข์ ภาวะแห่งการที่จะให้ตนพ้นทุกข์นั้นแหล่ ท่านต้องพยายามฝึกให้รู้จักตนเป็นสรณะ เพราะอะไรเล่า


เพราะว่า มนุษย์เรา ถ้าไม่มีการพิจารณาตัวเอง คอยแต่พิจารณาความผิดของผู้อื่น คอยจับผิดความผิดของผู้อื่น ไม่จับความผิดของตัวเอง มนุษย์ผู้นั้น ย่อมไม่มีทางพ้นทุกข์จากสังสารวัฏ เพราะว่าจิตของท่านหมกมุ่นอยู่แต่อารมณ์ภายนอก ไม่ปฏิบัติอารมณ์ภายใน แล้วท่านจะถึงหลักแห่งการแท้จริงของพุทธะได้อย่างไรเล่า

เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายได้เดินทางมาสู่เมืองหลวงในขณะนี้ และได้มาสำนักปู่สวรรค์ อาตมาทั้งๆ ที่ไม่มีสังขาร ต้องการมาทำงานในโลกมนุษย์ครั้งนี้ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายเพียงแค่เทศน์แค่นี้


อาตมามีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในงานเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ในงานเกี่ยวกับศาสนาอันแท้จริง ให้มนุษย์รู้ซึ้งถึงกฎแห่งกรรม รู้ซึ้งถึงความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่ง จึงได้ทำการตั้งสำนักขึ้น แต่สภาพการณ์จะโปรดสัตวโลกให้เข้าซึ้งถึงศาสนาอันแท้จริงนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับลูกมือ ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย

ท่านอย่าลืม ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่าด่วนลงความเห็น ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่ายึดพระไตรปิฎกจนแน่นหนา เพราะว่า อาตมาก็เคยเทศน์แล้วว่า พระไตรปิฎกนี้ถึงปัจจุบันสองพันกว่าปี และจากภาษาหลายภาษา กว่าจะแปลเป็นภาษาสยามที่เราอ่าน อารมณ์ของอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ย่อมมีการต่อเติมบิดพลิ้วพุทธพจน์ได้บ้าง


pngegg.5.3.1.png




การเป็นชาวพุทธที่ดี


การเป็นชาวพุทธที่ดีนั้น ท่านจะปฏิบัติอย่างไรเล่า คือ ท่านต้องพยายามถือศีล ๕ อย่าให้หลุดจากกายของท่าน

ศีล ๕ นี้ มีอยู่ในธรรมชาติของโลก แล้วท่านจะต้องถือให้ดี ถ้าท่านถือไม่ดี กิเลสแห่งความเมา ของโทสะ โมหะ โลภะ เข้าครอบงำแล้วไซร้ เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะไม่ถึงศีล เมื่อท่านไม่ถึงศีล ท่านย่อมไม่ถึงธรรม เมื่อท่านไม่ถึงธรรม ท่านย่อมไม่มีปัญญาแห่งความรู้อันวิมุตติ รู้วิมุตติอันนี้ จะต้องปฏิบัติด้วยการรู้จักกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ นี้เป็นธรรมะขั้นสูง

ทีนี้ ท่านอย่าเพิ่งท้อถอยในธรรมะขั้นสูง คือท่านพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และพยายามทำสมาธิให้แจ้งจากอาสวกิเลสไม่มากก็น้อย เมื่อนั่นแหล่ ท่านจะค่อยรู้กฎแห่งอนัตตา ท่านจะรู้กฎการเป็นพระพุทธศาสนาอันแท้จริง


ท่านทั้งหลาย ท่านควรจะปลื้มปีติที่ท่านเกิดเป็นชาวสยาม เพราะชาวสยามที่แท้จริง ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ชาวสยามขณะนี้ เป็นผู้นำศาสนาพุทธโลก แม้จะเป็นเพียงแค่เปลือกพุทธก็ยังดีกว่าประเทศอื่น และท่านจงปลื้มใจว่า ท่านอยู่ในแดนสยามอันเป็นแหล่งสุดท้ายที่มีศาสนาพุทธ เราจะต้องช่วยกันผดุงศาสนาพุทธไว้เป็นศาสนาสากลของโลก

จุดมุ่งหมายของสมเด็จโตที่มาทำงานในครั้งนี้คือ ต้องการให้มนุษย์เข้าซึ้งถึงศาสนา ยึดหลักการเป็นพุทธะ ถึงแห่งการสิ้นอาสวะ ให้มนุษย์ทั่วโลกรู้จักพระพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกัน

pngegg.5.3.2.png




จุดไต้สลายพลังกบฏ


สมเด็จ : อาตมาจะเล่าประวัติให้ฟัง

เมื่อพระจอมเกล้า ร.๔ ใกล้สวรรคต ได้เรียกอาตมาเข้าไปปรึกษาในวังว่า ขรัวโต คือ ร.๔ คุยกับอาตมา ไม่เคยเรียกสมเด็จหรอก เรียกขรัวโต

ขรัวโต บัลลังก์ข้านี้ฝากอยู่กับท่าน กุมารยังน้อยนัก อายุเพียง ๑๕ ชันษา ถ้าข้าสิ้นไป ขรัวโตจะต้องช่วยกุมบังเหียนในเบื้องหลัง

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร มหาบพิตรไม่ต้องวิตกกังวลหรอก ตราบใดขรัวโตยังอยู่ ตราบนั้นราชวงศ์จักรีนี้ ใครทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยขรัวโตก็จะเป็นขงเบ้งแห่งสยาม

หลังจากนั้นไม่นาน พระจอมเกล้า ร.๔ ได้สวรรคต เจ้าปิยะขึ้นครองราชย์ อายุ ๑๕ ชันษา มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้นพระยาศรีสุริยวงศ์วางแผนยึดอำนาจ ใช้เวลาวางแผนเป็นปี มิใช่เป็นเดือน ก็มีผู้ที่จงรักภักดีต่อราชบังลังก์ คือนายน้อย กับ นายจันทร์ นายน้อยก็พยายามเอาข่าวมาบอกขรัวโต นายจันทร์ก็พยายามฟังข่าวมารายงานขรัวโต

อาตมาก็บอกแล้วว่า ถ้าสมเด็จโตเป็นคนสุภาพ สมเด็จโตก็คงไม่ถกจีวรแจวเรือจ้าง และสมเด็จโตก็คงไม่เอาลิงตั้งไว้หัวเรือต้อนรับพระเจ้าแผ่นดิน วันหนึ่ง นายจันทร์ก็มาบอกว่า นี่พระเดชพระคุณอาจารย์ เขาจะเอาแน่แล้วนะ


อาตมาก็บอกว่า ไอ้จันทร์มึงเฉยไว้ ยังไม่ถึงเวลากูแสดง ปล่อยมันก่อน มันก็ประชุมกัน ในขณะนั้นประชุมกันก็คือว่า จะฆ่าสมเด็จโตก่อนที่จะยึดอำนาจ หรือว่าจะฆ่าเจ้า ร.๕ ก่อน แล้วค่อยมาทำลายสมเด็จโต ปัญหาในที่ประชุมของเหล่าคิดยึดอำนาจ ในขณะนั้นตัดสินอะไรไม่ได้

เพราะว่าในขณะนั้น ถ้าฆ่าสมเด็จโตแล้ว จลาจลจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยสมเด็จโตแห่งวัดระฆังฯ ก็มีเสน่ห์มากเพียงพอ ที่มีทั้งสาวแก่แม่หม้ายติดกันแยะ ติดอะไร ติดการเทศน์ ไม่ใช่ติดอยากจะเอาไปเป็นผัวหรอก

ทีนี้ เราก็ดูเหตุการณ์ว่า ขณะนี้กำลังมีการประชุมนายพล เอาละถึงคราวขรัวโตแสดงละ ไอ้จันทร์จุดไต้ และมึงเดินตามหลังนะ กูจะเข้าวัง ถ้าตำรวจวังไม่ให้เข้า มึงกระทืบเลยนะ กูเข้าเอง ก็จุดไต้เข้าไปที่ประชุมเสนาบดี

ในขณะนั้น กำลังถกกันหน้าดำหน้าแดง มีชื่อไอ้โต อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตมาแล้วโว้ย มีเรื่องอะไรวะ พระยาศรีสุริยวงศ์หน้าซีด บอกว่า พระเดชพระคุณ ไม่มีอะไรหรอก กำลังคุยกันถึงคุณงามความดีของท่าน นี่ฟังเอา มนุษย์พวกนี้มันใจเย็นนะ

อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตนี่มันมีดีที่ไหนวะ ตั้งแต่พระจอมเกล้า ร.๔ ยังไม่สิ้น เถรสมาคมก็มีแต่คิดจะสึกสมเด็จโตอยู่เรื่อย เขาก็บอกไม่มีอะไร อยากจะคุยถึงความดีความชอบ คุยถึงคุณความดีของท่านพระเดชพระคุณ

อาตมาก็บอกว่า ขอประทานโทษ ท่านพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้กระแสข่าวว่า ท่านนี้คิดกบฏต่อจักรีวงศ์จริงหรือไม่ ในขณะนั้นที่ประชุมเสนาบดีซึมกันหมด เหงื่อแต่ละเม็ดโตยิ่งกว่าเม็ดมะขาม อาตมาพูดต่อไปว่า อาตมาเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ถ้าท่านว่าไม่จริง ท่านจงเดินกับข้านี้ ไปสู่โบสถ์วัดพระแก้ว สาบานต่อหน้าพระเดี๋ยวนี้ นี่คือเบื้องหลังในขณะนั้น

อาตมาจึงบอกว่า ท่านจงวางแผนให้ละเอียดกว่านี้ แล้วค่อยมาโค่นสมเด็จโต แต่สมเด็จโตไม่มีการพยาบาทใคร สมเด็จโตสงสาร เพราะว่ากรรมที่เขาสร้างนั้น จะเป็นวิบากกับเขาเอง พวกที่ร่วมเป็นขบวนการ ยมโลกได้ตีตราออกมาแล้ว

ทุกอย่าง การเป็นคน ท่านไม่ต้องวิตกสิ่งใดๆ ขอให้ท่านมีหลักขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา ท่านมี ๔ ประการนี้ ประจำใจแล้ว รับรองท่านตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

ขันติ จะทำอย่างไรจึงเป็นผู้มีขันติ


๑. อย่าตื่นตูมข่าวที่เขาลือ

๒. อย่าเชื่อคนที่เรานับถือมาแล้ว

๓. พิจารณากระแสข่าวที่มาพัวพันตัวเราว่า เป็นไปได้หรือไม่ แล้วคำนวณด้วยเหตุผลว่า เรื่องเป็นอย่างไร แล้ววินิจฉัยว่า เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างไร นี่คือ ขันติ

สัจจะ เราต้องยึดมั่นว่า ตราบใดที่ข้าเป็นชาวพุทธ ตราบนั้นข้าจะไม่ทำชั่ว ข้าจะตาย ยินดีพลีชีพเพื่อศาสนา เพื่อความดี

บริสุทธิ์ เรายึดมั่นความบริสุทธิ์ เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์เพื่อมวลชน เพื่อส่วนรวม เพื่อหมู่คณะ หรือเพื่อครอบครัว ย่อมได้รับการคุ้มครองจากเทพพรหม ที่มีอยู่มากในโลกนี้

เมตตา จงเมตตาแม้แต่ผู้ที่คิดร้ายต่อท่าน ท่านจงแผ่เมตตาให้เขาเถิด แล้วกระแสจิตของเขาจะกลับดีเอง


pngegg.5.3.3.png




สมเด็จโตตบหน้าผู้หญิง


สมเด็จ : วันหนึ่ง เป็นวันพระถืออุโบสถ อาตมาลงทำวัตรเย็นอยู่ ก็มีพวกที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา มาถือศีลกัน มานอนกันในโบสถ์

ในขณะนั้น ก็มีหญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง อายุราว ๕๐ กว่าแล้ว ก็คุยกันกับเหล่าผู้ที่มาถืออุโบสถว่า ฉันนี่น่ะ สำเร็จอนาคามีจ้ะ บอกว่าฉันนี่สำเร็จอนาคามี แล้วก็เคี้ยวหมากหยับๆ ไอ้เราก็กำลังไหว้พระอยู่ พอไหว้พระเสร็จ อาตมาก็หันมา แล้วบอกว่า ไหน อยากจะขอดูหน้าอนาคามีหน่อยซิ

แม่นั่นหันมา พอหันมา อาตมาก็เอามือตบหน้าไปทันที ร้องไห้โฮเลย อาตมาบอกว่า นี่มันอนาคาบ้าแล้ว เพราะอนาคามีตัดแล้วซึ่งสังโยชน์แห่งความยินดียินร้าย เพราะฉะนั้น ศีลแห่งอนาคามีนั้น ไม่ใช่มาพูดเล่น ถ้าบอกว่า เวลานี้ฉันมาถือศีล ๘ ก็พูดกันได้ อย่าไปคุยถึงอนาคามี เรื่องมีแค่นี้เอง

แต่ท่านอย่าลืม ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา และเหม็นยิ่งกว่าขี้วัว จากปากหนึ่งลือไปอีกปากหนึ่ง กลายเป็นอะไรรู้หรือเปล่า กลายเป็นว่า สมเด็จโตปล้ำผู้หญิงในโบสถ์

ทีนี้ เถรมหาสมาคมก็หาเรื่องจะสึกอาตมาอยู่แล้ว ก็ประชุมกันใหญ่ให้สมเด็จโตชี้แจง อาตมาก็บอกว่า พระเดชพระคุณสังฆราช ท่านผู้เป็นอริยบุคคลในที่ประชุมนี้ ท่านเชื่อหรือ ว่าอาตมานี้จะปล้ำผู้หญิงในโบสถ์ ปล้ำเพื่ออะไร สังขารอาตมานี้ ๗๐ กว่าแล้ว เดินยังไม่ค่อยไหวเลย จะเตะปี๊บดังได้ยังไงวะ

เพราะฉะนั้น ท่านจะพิจารณา และพิจารณาถึงความดีที่อาตมาทำมาบ้าง อาตมาตบหน้าแม่นั่นจริง แต่การตบนั้น อาตมาไม่มีโมหจริตในการครอบงำ ไม่มีโทสจริตในการครอบงำ ไม่มีโลภจริตในการครอบงำ ก็คือ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด เป็นการตบเพื่อทดสอบว่า บุคคลนี้สำเร็จอนาคามีหรือไม่ ถ้าเป็นบุคคลที่สำเร็จอนาคามีจริงไซร้ อาตมานี่ละจะกราบเขาทั้งๆ ผ้าเหลือง

เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า การเป็นพระนั้นไม่ใช่อยู่ที่ผ้า ฉะนั้นอาตมภาพนี้ ก็ไม่ใช่เป็นผู้สำเร็จ จึงอยากจะรู้ เสาะหาอาจารย์ที่สำเร็จอนาคามี ที่ตบนั่นเป็นการทดสอบอารมณ์ ถ้าจะผิด ก็ผิดแค่เรียกว่าอาบัติ ในด้านใช้กายเนื้อแตะต้องสตรี เพราะฉะนั้น อันนี้ปลงอาบัติได้

เมื่อเถรสมาคมรับการชี้แจงของอาตมาแล้ว ก็ไม่มีอะไร เชิญพระเดชพระคุณสมเด็จโตกลับ


p4.png




สมเด็จโตสร้างพระ


สมเด็จ : อาตมาสมัยมีสังขาร ก็เชื่อในเรื่องวิญญาณอยู่แล้ว อาตมาเข้าฌานสมาบัติ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ก็ได้นิมิตมาสอน วิธีการสร้างพระยังไงจึงสวย จึงขลัง ได้สร้างครั้งสุดท้าย ก็ได้ค้นพบคาถาชินปัญชร เป็นการปลุกเสกครั้งสุดท้าย แปดหมื่นสี่พันองค์

ในการสร้างพระของอาตมานั้น มันไม่มีอะไรหรอก เกิดจากว่าในยุคนั้น ชาวบ้าน ถ้าพูดถึงคนถึงศีลธรรมจริงๆ แล้ว มีการทำเพื่อศาสนาจริงๆ แล้ว ในยุคนั้น ไม่ใช่อาตมาจะว่าคนยุคนี้ไม่ดีนะ คนในยุคนั้นมาช่วยกันบูรณะวัดก็ดี มาช่วยกันทำอะไรให้ในโบสถ์วัดระฆังฯ ไม่มีการเรียกปัจจัย เมื่อไม่มีการเรียกปัจจัย อาตมาก็คิดไปคิดมาว่า เราจะตอบแทนเขาอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ได้มาร่วมทำงานกับขรัวโตครั้งหนึ่ง จึงได้คิดสร้างพระขึ้นมาแจก


ส่วนในการสร้างพระให้เจ้า ร.๕ นั่น อีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็เรื่องเจ้า ร.๕ นี้ เรื่องแยะ ทำไมเจ้า ร.๕ จึงส่งราชโอรสไปเรียนรัสเซียบ้าง เยอรมันบ้าง นั่นใครวางแผน สมเด็จโตนี่แหละ วางแผนเพื่อให้สยามอยู่รอด แต่เราไม่อยากพูดมาก เพราะว่าเราทำงานปิดทองก้นพระ

p5.png




เจดีย์ขี้ยา


ทีนี้ อาตมาในสมัยนั้น เขาเรียกว่ามีเสน่ห์มาก อาตมาจะทำอะไร อาตมาใช้กะละมังตีมันไปเรื่อย แจวเรือตีกะละมังบ้าง จากคลองบางกอกน้อยไปบางกรวย ใครจะช่วยทำบุญกับสมเด็จโตก็มา จนเขารายงานเข้าไปในวัง

พระจอมเกล้า ร.๔ ก็เรียกไปสอบ บอกว่า เหตุไฉนขรัวโตจึงทำอย่างนี้ อาตมาจึงบอกว่า เจริญมหาบพิตร สมเด็จอย่างอาตมานี้มันจนนะ ระฆังก็ไม่มีเงินซื้อ จึงใช้กะละมังตีแทนระฆัง เขาบอกว่า แล้วของในวังที่เอาไปถวายท่านน่ะ หายไปไหนหมด

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร ที่จริงน่ะ เสียดายมาก ว่าพระเจ้าแผ่นดินประทานโน่น ประทานนี่ให้ แต่ว่าชีวิตมนุษย์นั้น เสียดายยิ่งกว่านี้ เพราะทุกอย่างที่ถวายไป อยู่ร้านเจ๊กหมด

ท่านก็บอกว่า เหตุไฉนท่านจึงชอบไปขายร้านเจ๊กเล่า ก็ตอบว่า ถ้ามหาบพิตรมาเป็นแบบอาตมาแล้ว มหาบพิตรก็จะรู้สึกว่าลำบากขนาดไหน ทั้งๆ ที่กุฏิอาตมานี้ พยายามทำให้มันเหม็นที่สุด จีวรนี้ใส่มันเป็นเดือนไม่ยอมซัก เพื่อให้คนที่มาคุยมันจะได้หนีเร็วๆ แต่มันก็ยังตื้อกันเต็มกุฏิ จนเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้ ไม่ไว้ตัวเลย ในกุฏิมีแต่พวกขี้ยา

อาตมาก็บอกว่า ก็เจดีย์ขี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไรเล่า ไม่ใช่เหล่าขี้ยาหรือเพราะพวกเหล่าขี้ยาเขามาหาอาตมา ไม่มีเงินซื้อยา อาตมาก็ให้เงินไปซื้อยาก่อน แล้วก็ว่าพวกเอ็ง อาตมาขอบิณฑบาตอย่างหนึ่งนะ ขอบิณฑบาตเรื่องการเสพยา สมัยนั้นเขาใช้ยาตั้ง สักเดือนนึงนะ แล้วข้าจะสร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์ เขาบอกตกลง

อาตมาก็ไปขุดหลุมไว้หลังกุฏิ แล้วให้เขาโยนเงินที่จะไปเสพยานั้นใส่ลงไป จนรวมเงินมาสร้างได้ จนเขาลือกันว่า สมเด็จโตแสดงอภินิหารอยู่หลังกุฏิ หยิบเงินขึ้นมาสร้างเจดีย์ได้

p6.png




เป็นพระต้องละกามคุณ


บางที ตีหนึ่งตีสอง ก็มีคนมาเคาะประตูบอก สมเด็จๆ เมียผมจะออกลูก ผมไม่มีตังค์ครับ ต้องเอาให้มันไป แล้วนั่น พวกลูกศิษย์วัดไปก่อเรื่องราว อ้าว เราต้องไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอให้ เพื่อไม่ให้สตรีด่างพร้อย มันต้องใช้เงินทั้งนั้น

แล้วอาตมานี้ไม่ค่อยมีเงิน ไปไหนมีสตางค์ไม่เกิน ๘ สตางค์ อย่างมากที่สุดก็ ๘๐ สตางค์ อาตมาสิ้นมรณภาพไปแล้ว เขาไปค้นในกุฏิทั่วไป มีจีวรเก่าๆ อยู่ ๒ ผืน มีเศษสตางค์อยู่ ๕ สตางค์

เพราะฉะนั้น เราเป็นสาวกตถาคต เราจงอย่ายึด ทุกอย่างจงละ เพื่อในการให้ถึงแห่งความหลุดพ้นในกิเลส ในกามตัณหา เมื่อนั้นท่านจะเป็นสาวกที่ดี ผ้าเหลืองก็จะไม่ร้อน ถ้าท่านเป็นพระ ท่านสะสมวัตถุมาก ความร้อนก็ยิ่งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

และทำไมองค์สมณโคดมจึงบัญญัติให้ฉัน ๒ มื้อเล่า เพราะว่ามนุษย์เรานี้ เป็นสิ่งธรรมดา เมื่อท้องอิ่ม หัวถึงหมอน มโนภาพเรื่องกามคุณย่อมเกิดขึ้น องค์สมณโคดมนี้เป็นนักปราชญ์ที่เข้าซึ้ง รู้จักถึงชีวิตการเป็นคน จึงวางกฎให้ฉัน ๒ มื้อ


เพื่อให้มื้อเย็นนี้ เป็นการกระวนกระวายถึงเรื่องท้อง จะได้ไม่คิดเรื่อง กามตัณหา นี่คือหลักความจริง นี่คือการเป็นยอดคนขององค์สมณโคดม ที่เราทั้งหลายนับถืออยู่นี้

p7.png




ศาสนาพุทธจะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี หรือไม่


พระครูบุญทอง : กระผมอยากจะถามหลวงพ่อสมเด็จ เกี่ยวกับศาสนาพุทธของเรา จะเจริญถึง ๕๐๐๐ ปี ดังคำทำนายหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว เหตุนี้แหล่ สำนักปู่สวรรค์จึงได้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ไหนๆ เทศน์แล้ว ก็ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ศาสนาพุทธอยู่แดนสยามถึง ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้นจะเกิดกลียุคขนาดหนักในโลกมนุษย์ ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่เสื่อมอยู่ในขณะนั้น

แต่ท่านก็ควรยินดีว่า ถ้าท่านช่วยกันดำรงจรรโลงสำนักปู่สวรรค์นี้ ให้ยืนยาวไปถึงในยุคนั้น เมื่อพุทธศาสนา ๓๐๐๐ ปี มติโลกวิญญาณจะส่งพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาในโลกมนุษย์ และมาสำเร็จในสำนักปู่สวรรค์ เพื่อมาช่วยกู้ศาสนาในขณะนั้น

ถ้าทัน รอด ก็จะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี ถ้าไม่ทัน ไม่รอด ก็จะไม่ถึง ๕๐๐๐ ปี และอาจจะไปเจริญในเมืองอื่น เพราะว่า ปณิธานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละยุค แต่ละองค์นั้น ย่อมมีความปรารถนาอันแข็งแกร่ง และย่อมมีอธิษฐานบารมีแน่วแน่

ฉะนั้น บารมีแห่งการอธิษฐานของพระองค์ พระองค์ต้องพยายามทุกวิถีทาง อาตมาจึงบอกว่า ถ้าท่านไม่เข้าซึ้งศาสนา ท่านจะเข้าใจว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าเข้าแดนนิพพาน (หมายเหตุ ข้อนี้ขัดกับนักพระไตรปิฎก เพราะถือว่านิพพานแล้วเข้าสู่สุญตา ฉะนั้น ขอให้ท่านอ่านเอาไว้เพื่อพิจารณาเท่านั้น)


ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าแดนนิพพาน แต่มาโลกมนุษย์ไม่ได้ เพราะพระองค์มีปณิธาน ในเรื่องที่จะให้ศาสนาของพระองค์อยู่ได้ถึง ๕๐๐๐ ปี

อย่างวิญญาณอาตมาในขณะนี้ ทั้งๆ ที่เหล่าเทพพรหม แม้แต่พรหมที่สิ้นไปใหม่ๆ ที่พวกเจ้าคงรู้จักกันดี คือ เจ้าคุณนรรัตน์ ก็บอกว่า นี่ท่านโต อย่าไปยุ่งกับมนุษย์ให้มันมากนักเลย ผมนี้ สมัยมีสังขารอยู่ ผมยังปิดกุฏิอยู่วัดเทพศิรินทร์ ทั้งๆ ที่ผมมีคนนับถือมาก ผมยังไม่ทำเลย แล้วท่านโตพ้นจากขี้มาแล้ว ทำไมจึงไปยุ่งกับขี้อยู่เรื่อย อาตมาก็บอกว่า สมเด็จโตนี้ ชอบเล่นกับขี้ ก็เพราะว่า

๑. พระที่อาตมาสร้างเอาไว้ในสมัยนั้น มันเจ้ากรรมเกิดเฮี้ยนขึ้นมา


๒. เวลานี้มาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์อยู่ ก็มีคนศรัทธามากเหมือนกัน


เพราะฉะนั้น มีคนศรัทธาแห่งการที่มีกรรมพัวพันนี้แหล่ จึงยังตัดไม่ขาด จึงต้องมาเล่นกับขี้เรื่อยๆ จนกว่าวันไหนจะถูกขี้อุดตันก็มาไม่ได้

ทีนี้ ศาสนาพุทธในขณะนี้ อยู่ในภาวะกลางกลียุค ก็ต้องอาศัยเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นสาวกตถาคตให้ช่วยกันจรรโลงศาสนา เมื่อท่านกลับเชียงใหม่ ทุกวิถีทางให้พระสงฆ์ของเรา อย่าไปยึดนิกาย ให้ถือเป็นพุทธสาวก นี่เป็นเรื่องสำคัญ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

พระบรมสารีริกธาตุจะประชุมพร้อมกันเมื่อปี พ.ศ.๕๐๐๐



อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : ลูกขอทราบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบห้าพันปีแล้ว พระพุทธองค์จะรวมพระบรมสารีริกธาตุ และจะมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย ลูกขอทราบรายละเอียดเจ้าค่ะ

สมเด็จ : หมายความว่า เมื่อครบห้าพันปี ศาสนาของพระองค์จะสลายพร้อมโลก พระองค์ก็จะแสดงอภินิหาร ปาฏิหาริย์ อัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็สลายธาตุ

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะรวมพระบรมสารีริกธาตุอย่างไรเจ้าคะ เพราะเวลานี้ไปอยู่เมืองโน้นนิด เมืองนี้หน่อย

สมเด็จ : ด้วยอำนาจแห่งอภิญญา อำนาจแห่งอภิญญาย่อมที่จะทำได้ แต่จะครบถ้วนอาการ ๓๒ หรือไม่นั้น นั่นคือเรื่องอนาคต ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งอะไรแน่นอน ปรารถนาได้ แต่ท่านอย่ายึด

อาตมาจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ จงยึดมั่นคติว่า

อดีต      คือความฝัน
ปัจจุบัน  คือการต่อสู้
อนาคต  คือความหวัง แต่อย่าหลง


หลงฉิบหาย เพราะอะไร แบบไอ้หนุ่มหวังอีหนูมากเกินไป อีหนูมีผัวใหม่ ไอ้หนุ่มอกแตกตาย นี่คือหวังมากเกินไป ฉะนั้น เราหวังเอาไว้พอประมาณ อย่าให้มันมาก แล้วมันก็จะไม่แย่ แล้วอดีต เราก็อย่าไปยึดมัน อดีตผ่านไปแล้ว กู่ยังไงมันก็กลับมาไม่ได้ ให้เราตั้งสติพร้อมอยู่ว่า ปัจจุบันนี้เราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุด

อาจารย์ลัดดา : ประทานโทษ ลูกขอถาม การที่พระพุทธองค์จะเสด็จมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้ายนั้น จะมาในรูปกายเนื้อ หรือว่าวิญญาณเจ้าคะ

สมเด็จ : เสียงกัมปนาททั่วจักรวาล แต่ไม่เห็นตัว


pngegg.5.3.1.png




ไบเบิล


อาจารย์ลัดดา : จะมาทางภูมิประเทศไทย หรือว่าทางอินเดียเจ้าคะ

สมเด็จ : อินเดีย ยอดเขาคิชฌกูฏ ท่านศึกษาประวัติคัมภีร์ไบเบิลหรือเปล่า ศึกษาเรื่องโมเสสค้นพบบัญญัติ ๑๐ ประการหรือเปล่า ขณะนั้นพระองค์หนึ่ง ใช้เสียงกัมปนาทออกจากในถ้ำ และโมเสสได้ยกเป็นพระเจ้า

อาจารย์ลัดดา : แล้วที่พระเยซูบอกว่า ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนั้น คือไบเบิลเจ้าคะ เพราะว่าพระเยซูท่านยังไม่มา แล้วไบเบิลมาได้อย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ไบเบิลมีก่อนพระเยซู

อาจารย์ลัดดา : ของชาติไหนเจ้าคะ ศาสนาไหน

สมเด็จ : คือว่าศาสนาในโลกนี้ ท่านศึกษาในหลักของปรัชญา ในขณะนั้นศาสนาโซโลมอนเป็นหลัก พระเจ้าโซโลมอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งในโลกอาหรับ ได้ทรงเขียนคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมา ต้นตระกูลคือโซโลมอน


หลังจากนั้น โมเสสได้ศึกษาคัมภีร์โซโลมอนในไบเบิล แปลเป็นคัมภีร์ไบเบิล และโมเสสได้รับพรจากพระองค์หนึ่ง ในบัญญัติ ๑๐ ประการนี้ จึงเพิ่มเข้าไปในไบเบิล เพราะฉะนั้น คริสต์ศาสนาจะมีไบเบิลยุคเก่า และไบเบิลยุคกลาง แล้วค่อยมาแตกเป็นโปรเตสแตนท์ คริสตัง คริสเตียน นี่อีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น ไบเบิล ต้นตระกูลก็คือ โซโลมอน เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง นับถือพระอาทิตย์ ท่านต้องศึกษาประวัติอาหรับก่อน แล้วค่อยมาศึกษาประวัติของคัมภีร์ไบเบิล แล้วจะซึ้งกว่านี้ อันนี้ต้องใช้เวลานาน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

หลักการอยู่ให้อายุยืน


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขาร ทำไมอาตมาอายุ ๗๙ แล้ว ยังแข็งแรง พวกลูกขุนเอย ลูกหลวงเอย เขาบอก ไอ้ลูกพ่อแม่สั่งสอนไม่ไหว เอาไปฝากสมเด็จโตสั่งสอนดีกว่า สามสี่คนมาอยู่วัดระฆังฯ มันก็เกี่ยงกัน ไม่ยอมตักน้ำอาบกันละ ปล่อยให้โอ่งมันแห้ง


อาตมาก็บอกว่า เจริญพร พ่อคุณ แม่คุณ พ่อลูกขุนลูกนาย ตักน้ำอาบไม่ได้หรอก ไอ้โตนี่ตักให้พวกเอ็งอาบเอง อายุ ๗๙ ต้องหิ้วน้ำทุกวัน ๒ ตุ่มนะ หิ้วให้พวกมัน แทนที่มันจะบอกว่า สงสารขรัวโตหิ้วแล้วเหนื่อยแฮะ มันกลับบอกว่า เออ...ดีเว้ย สมเด็จโตตักน้ำให้เราอาบ สบายไปเลย นี่มนุษย์มันอย่างนี้

ทีนี้ ทำไมอาตมาจึงแข็งแรง เพราะว่า อาตมาสมัยยังมีสังขารอยู่นั้น อาตมาไม่ยึดอดีต อยู่แค่ปัจจุบันว่า ขณะนี้ เรายังไม่สิ้นจากโลกมนุษย์ ตาลืมขึ้นมา เราจะทำอย่างไรให้ไม่เบียดเบียนตัวเรา แล้วไม่เบียดเบียนคนอื่น และจะทำอย่างไรเพื่อความสงบสุขของคนอื่น


ถ้าท่านมีคติธรรมอันนี้ประจำใจแล้ว ท่านยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะบำรุงกาย ก็คือว่า เจตนาแห่งความบริสุทธิ์แห่งความดีของท่านนี้แหล่ จะส่งเสริมให้ขันธ์ท่านสบายดีขึ้น เรียกว่าแก่ช้า ดีกว่าท่านจะไปประแป้ง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

วิธีอ่านตำราให้จำแม่น


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขารอยู่ เขาเรียกว่า อาตมานี่เป็นนักอ่านที่หาตัวจับยาก ทีนี้ ท่านจะเป็นนักเรียนท่านจะอ่านให้จำได้ ท่านจะทำอย่างไร นี่เผยเคล็ดลับให้หน่อย

ก่อนท่านจะอ่านตำรา ท่านต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาด แล้วท่านจะต้องวางสรรพสิ่ง แล้วทำสมาธิสัก ๑๕-๒๐ นาที จึงดูตำรา

ถ้าตำราที่ท่านไม่เคยอ่าน ท่านต้องอ่านเร็วๆ อ่านรู้ใจความเป็นครั้งที่ ๑ อ่านครั้งที่ ๒ อ่านจำ ครั้งที่ ๓ อ่านท่อง แล้วทีนี้อ่านคล่อง รับรองสอบได้ที่ ๑ เรื่อย


เพราะอาตมาสมัยนั้นอ่านแบบนี้ แล้วจะอ่านนี่ ท่านจะต้องอาบน้ำตอนเช้า เช่น ตอนตี ๕ ไม่ก็ตอนตื่นนอนแล้ว ก็ตื่นตอนตี ๓ ตี ๒ รุ่งอรุณ อะไรนี่ สมองปลอดโปร่งดี อาตมาอ่านจนสังฆราชบอกว่า เอ็งไปอ่านกับพระประธานในโบสถ์ดีกว่านะ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

สร้างพระนอนที่จังหวัดเพชรบุรี


(วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



คุณจีรวัฒน์ : หลวงพ่อครับ ผมได้ไปนมัสการพระนอนองค์ใหญ่ที่วัดหนึ่ง ใกล้ๆ ตัวจังหวัดเพชรบุรีครับ มีองค์สมมติหลวงพ่อกับพระคาถาชินปัญชรตั้งบูชาอยู่ด้วย และมีคำประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อ กระผมอยากทราบว่า สมัยหลวงพ่อมีสังขารอยู่นั้น หลวงพ่อได้เกี่ยวข้องกับวัดนี้อย่างไรครับ

สมเด็จ : เมื่อสมัยอาตมามีสังขารอยู่นั้น อาตมาได้เคยเดินทางไปจำพรรษา ณ สถานที่นั้น แล้วได้สร้างพระองค์นี้ขึ้น และการที่อาตมาจะสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่า ปัจจัยนั้นมันหาง่าย ถ้ารู้จักหา เงินนั้นเป็นสิ่งสมมติ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเรารู้จักเข้าไปเอา

หลักการที่จะเข้าไปเอาเงินก็ดี เอาดินก็ดี เอาปูน เอาทรายก็ดี มันมีหลักอยู่ง่ายนิดเดียว คือ เราต้องมีมนุษยสัมพันธ์ และต้องเข้าใจว่า การที่เราเป็นนักบวชจะบำเพ็ญเป็นผู้ทำงานศาสนานั้น คาถาที่จะต้องท่องขึ้นใจ ก็คือ พระเจ้าคือคนรับใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนรับใช้เรา คือจะต้องขึ้นใจว่า พระเจ้านั้นคือคนใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าจะมาใช้มนุษย์

เมื่อเราถ่องแท้อันนี้แล้ว เราก็ปฏิบัติจิตให้ถึงเจโตปริยญาณ พอที่จะหยั่งรู้จิตใจมนุษย์แล้ว เราเข้าไปคุยกับมนุษย์คนนี้ได้ ว่ามนุษย์คนนี้ต้องการอะไร มีทุกข์อะไร เราก็ช่วยคลายทุกข์ให้ ทีนี้ จะปรึกษาอะไร ก็ค่อยชี้แนววิธีการทำงานไปเรื่อยๆ เป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์เอาไว้มากๆ


คนเราเขาเรียกว่า มีคนมาก หมู่มาก งานมันก็เดิน ถ้าคนไม่มาก หมู่ไม่มาก งานมันก็ไม่เดิน ทีนี้ ในคนหมู่มาก ถ้าเกิดการทำอะไรผิดพลาดขึ้น เราเป็นผู้นำ เราก็ต้องยอมรับผิดเสียเอง ต้องโทษตัวเราเอง ไม่ใช่บริวารผิด

แบบที่อาตมาปกครองวัดระฆังฯ อยู่นั้น อาตมาปกครองแหวกแนวกว่าเขา มีอยู่วันหนึ่ง เณรสององค์ไปเล่นเตะตะกร้อกัน อาตมาก็เอาผ้าคลุมหน้าไปดูเขาอยู่ด้วย เขาตบมือ เราก็ตบด้วย เขาหัวเราะ เราก็หัวเราะด้วย เขาเต้น เราก็เต้น ทีนี้ เตะไปเตะมา มันไม่เตะตะกร้อกันแล้ว มันจะเตะกันเอง จะทำยังไง มันจะเตะกันจริงๆ

อาตมาก็เข้าไป ถอดผ้าคลุมหน้าออกให้รู้ว่าเป็นใคร เข้าไปถึงก็กราบตีนมันทั้งสององค์ บอกว่า พ่อเจ้าประคุณ พ่อเณรเอ๋ย ท่านสององค์นี้เก่งเหลือเกิน กินข้าวชาวบ้าน ห่มผ้าเหลือง แล้วก็มาเตะตะกร้อกัน ยังไม่พอ มึงยังจะเตะกันเองอีก นี่เป็นความผิดของอาตมาที่ปกครองพวกมึงไม่ดี


อุตส่าห์ปลูกกุฏิให้พวกมึงอยู่ เพื่อให้มาเตะตะกร้อกันหรือ ทีแรกอาตมาเข้าไป มันไม่รู้ คิดว่าคนแก่นี่มาขวางทาง พอมันเห็น บอก อ้าวสมเด็จ อาตมาก็ยกมือบอก ฉันนี้ไม่สู้ท่านหรอก มันก็เลยเลิกรากัน

ทีนี้ ในวิธีการแห่งการตัดสินนั้น เราจะต้องมีเหตุมีผล และเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ พระลูกวัดทุกคนมันก็เคารพเรา เมื่อเคารพเรา พอจะทำอะไรมันก็ง่าย มนุษย์เรานี่เขาเรียกว่า ทำให้เขาศรัทธาเรา ทำให้เขาเคารพเรา งานทุกอย่างมันก็จะทำไปได้

ทีนี้ พูดถึงการจะสร้างวัด อาตมาก็เรียกชาวบ้านมา พูดให้เขาฟังว่า การสร้างปูชนียสถานไว้เป็นที่สักการบูชาของมนุษย์นั้น จะได้อานิสงส์อย่างใด เราก็เอาพระสูตรว่าเข้าไป เข้าใจไหม

คุณจีรวัฒน์ :
ครับ แล้วที่หลวงพ่อสร้างพระนอนนี้ มีความหมายอย่างไรหรือเปล่าครับ เพราะผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติหลวงพ่อ เขาเขียนว่า หลวงพ่อหัดนั่งที่จังหวัดอ่างทอง จึงสร้างพระนั่งไว้ หลวงพ่อหัดยืนที่บางขุนพรหม จึงสร้างพระยืนไว้ แล้วพระองค์นี้ หลวงพ่อสร้างไว้มีความหมายอะไรหรือครับ

สมเด็จ : คือ ประวัติที่มันเขียนๆ กันนั้น เรียกว่า คนเขียนมันจะรู้ดีไปกว่ากูหรือ ในการที่อาตมาสร้างพระต่างๆ นั้น อาตมามีสัจบารมีแห่งการอธิษฐาน ว่าสิ่งนี้จะทำ ต้องทำให้สำเร็จ

ในการสร้างพระนอนนั้น อาตมาไปเห็นว่า สภาพภูมิประเทศในสถานที่นั้นเหมาะสมที่จะสร้างองค์สมมติขององค์สมณโคดมแห่งการนอน และการที่สร้างให้มันโตนั้น ก็เพราะเพื่อให้มันสมชื่อว่า ท่านโต ที่จริงอาตมาตัวเล็ก สมัยหนุ่มๆ อาตมาหล่อนะ ทีนี้ เราชื่อโต ก็ต้องสร้างให้มันสมชื่อ “โต” เท่านั้นเอง


แล้วในการสร้างพระนั่ง พระนอน พระยืน อะไรก็แล้วแต่ มันขึ้นอยู่กับชัยภูมิประเทศ อาตมายึดมั่นในชัยภูมิของประเทศเป็นสำคัญว่า ปูชนียสถานสร้างขึ้นมาแล้ว จะเหมาะสมกับชัยภูมิไหม จะเป็นที่สง่าของสถานที่ไหม จะดึงดูดมนุษย์เข้ามาไหม มีแค่นี้เอง แล้วนี่เอ็งจะบวชใช่ไหม

คุณจีรวัฒน์ : ใช่ ครับ

สมเด็จ : ในสภาวะแห่งการที่จะบวชนั้น เราต้องเข้าใจว่า เราบวชเพื่ออะไร ถ้าเราจะบวชเพื่อการศึกษาให้จิตสงบนั้น เช้าบิณฑบาตเสร็จ เราก็หัด เดิน นั่ง เดิน นั่ง แล้วก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิต คือต้องอย่าลืมว่า การกินข้าวในบาตรนั่นน่ะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบาตร


เพราะอะไรเล่า เพราะผู้ที่ทำบุญนั้น ล้วนแต่มีเจตนาอันแรงกล้า ถ้าเราไม่แผ่เมตตาจิตสนองเจตนาของเขา บาปทั้งหลายก็ดี ที่เขาสะเดาะเคราะห์ก็ดี ที่เขาอธิษฐานก็ดี ก็จะตกอยู่กับผู้กินทั้งนั้น

ฉะนั้น จะเห็นว่า บางคนทำไมห่มผ้าเหลืองแล้วกลายเป็นไม่ดีไป เพราะผู้ที่ทำบุญมา เขาเจตนาที่จะแผ่ในกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่เขามีอยู่ เราซึ่งเป็นฝ่ายบรรพชิต เราต้องแผ่เมตตาจิตให้เขา เพราะเขาถือว่า บรรพชิตจะสะอาดกว่าการเป็นฆราวาส ย่อมที่จะแผ่กุศลถึงพวกกายทิพย์ได้เร็ว

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

ชาวคริสต์ใส่บาตรสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ มีศาสนิกชนต้องการความสว่างจากเจ้าประคุณสมเด็จ ได้เขียนถามมาว่า ธรรมะคืออะไร การดับทุกข์ต้องดับที่ไหน กราบขอคำอธิบายครับ

สมเด็จ :

ธรรมะแท้        อยู่ทั่วพิภพ       จักรวาล
ธรรมชาติ        เข้าใกล้ไกล      ถ่องแท้ตน
อายตนะ         ที่เข้ามา           สู่กายใน
สมุฏฐาน         ก็คือใจ            เป็นใหญ่หนึ่ง
ท่านทั้งหลาย   เกิดทุกข์ยาก     เพราะยึดมั่น อุปาทาน
ดับขันธ์หนึ่ง     อุปาทาน          สลายทั่ว
ให้ถ่องแท้       ถึงอริย             สัจสี่เอย
ทุกข์สมุทัย      นิโรธมรรค        เป็นหลักธรรม
ที่ไหนเกิด       ดับที่นั่น           สมุฏฐาน
ต้นเหตุนำ       ให้สลาย          ไม่มีทุกข์

เพราะการที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะว่าเราชอบนำตัวเราไปฝากกับสังคม เราไม่เอาตัวเราอยู่กับตัวเราและทำในเรื่องของเรา มันจึงวุ่นวาย เช่น พระสมัยนี้บางคน พอเห็นเขาเป็นชั้นราช เราก็จะต้องเป็นชั้นเทพ เราเป็นแค่สิบโท เราต้องเป็นสิบเอกกับเขาบ้าง แล้วเราก็จะต้องเป็นนายร้อย ก็วิ่งพล่าน เพื่อให้ได้พัด ให้เขาเรียกเป็นเจ้าคุณ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อให้อยู่อย่างวิเวก พระพุทธเจ้าสอนให้บวชเพื่อประพฤติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อเอาตนอยู่สันโดษ ให้ถึงหลักแห่งฌานญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักพระพุทธศาสนา ให้ถ่องแท้ในเรื่องกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ สังขารในสังขาร


อย่างคนในสมัยนี้ที่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นฆราวาสหนุ่มๆ ก็จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เมียคนอื่นสวย เมียเราไม่สวย ก็เกิดทุกข์ ฝ่ายสาวก็ไปยึดเรื่องผัว ผัวคนอื่นหล่อ ผัวเราไม่หล่อ ก็เกิดทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น

การที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะมนุษย์เอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่น ถ้ามนุษย์เอาชีวิตฝากอยู่กับตัวเอง อย่างสมเด็จโตนี้ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์ แต่ว่าเมื่อไม่มีชีวิตกลับมีทุกข์ คือมาห่วงพวกเอ็ง ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะอะไรเล่า

เพราะว่า การมีชีวิตของอาตมาสมัยนั้น หนึ่ง บิณฑบาตเป็นหลักที่จะต้องทำ หาอาหารเลี้ยงชีพ ตามหลักพุทธพจน์ ไม่ว่าในวังจะส่งมาหรือไม่ส่ง เราจะต้องออกบิณฑบาต แล้วใครให้อะไรมาต้องกินทั้งนั้น คือว่าเป็นพระไปเลือกไม่ได้ แต่พระสมัยนี้ต้องบอกว่า โยม ฉันจะกินแกงเป็ด แกงไก่ แกงอะไรว่ากันไป นี่ผิดหลัก

ครั้งหนึ่งไปบิณฑบาต จากพรานนกเข้าสู่บางกรวย พายเรือไป ขณะนั้นคณะมิชชันนารีเขากำลังประกาศศาสนาอยู่ บาทหลวงที่นั่นเกิดใจดีใส่บาตร เขาก็ไม่เข้าใจการเป็นพระ นึกว่าพระคงไปหุงต้มเอง ก็อุตส่าห์เอาข้าวสารมาใส่หนึ่งกระป๋อง แล้วก็เอาหมูสามชั้นสดๆ มาใส่หนึ่งแผ่น อาตมาก็รับไว้ในบาตร กลับมาก็ต้องมานั่งเคี้ยวข้าวสารกับเคี้ยวหมูสามชั้น


ทีนี้ ในวังเขาก็สั่งให้คนมาส่งปิ่นโต มาถึงบอกว่า นี่เอ็งมาช้า กูกำลังกินอยู่เห็นหรือเปล่านี่ เขาบอกสมเด็จโต วันนี้ทำไมนั่งเคี้ยวข้าวดิบแล้วก็กินกับหมูสามชั้น กลับไปในวังบอกว่า สมเด็จโตใกล้จะบ้าแล้ว ไม่รู้ยังไง นั่งเคี้ยวเอาๆ แล้วก็บ่นว่ากลืนลำบาก ต้องเสกน้ำมนต์กลืนตามลงไปด้วย

ทางวังเขาก็ส่งคนมาถามอาตมา เราก็บอกว่า อ้าว วันนี้เป็นวันนิมิตดี โชคดีที่ชาวคริสต์ใส่บาตรให้เรา เราเป็นพระ ใครใส่อะไรให้ เราก็ต้องกิน พอวันนั้นกินเสร็จ ตอนบ่ายขี้ไหลเลย

คุณพินิจ : ครับ ก็ได้ความรู้จากเจ้าประคุณสมเด็จ เรื่องฉันของดิบๆ แต่พวกลูกศิษย์นี่ เห็นท่าจะไม่ไหวครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

พระเครื่องของสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : กระผมมีปัญหาจะถามเรื่องหนึ่งครับ คือสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีขันธ์อยู่นั้น ได้สร้างพระสมเด็จด้วยผงอิทธิเจ แล้วก็เนื้อผงนั้นปรากฏว่า มีความงดงามอย่างมากเหลือเกิน จนกระทั่งในสมัยนี้ แม้จะมีความก้าวหน้าในทางวิทยาการใดๆ ก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะสร้างเนื้อพระสมเด็จให้งามเหมือนสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จสร้างไว้ เมื่อสมัยโน้นได้

จึงอยากจะกราบเรียนถามว่า เจ้าประคุณสมเด็จใช้เนื้ออะไรบ้าง ที่ผสมเป็นเนื้อพระในครั้งกระนั้น ขอความรู้ในเรื่องนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : ไอ้นี่จะมาล้วงความลับนี่

คุณพินิจ : ลูกศิษย์มีความสนใจครับผม

สมเด็จ : คือว่าในการสร้างพระสมัยอาตมา มันมีหลายๆ แบบ หลายๆ อย่างที่รวบรวมแล้วก็ทำ แต่ถ้าว่าตามความจริงแล้ว มันเปราะ แล้วก็ไม่ทนหรอก คือใช้น้ำเต้าอิ้วมาก แล้วเมื่อเวลากินข้าว
คือเมื่อฉันไปฉันมา ถ้าอุปทานเกิดขึ้นว่าอร่อยปุ๊บ จะต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างๆ ขากถุยออกมาในวงคน ฉะนั้น พวกเจ้าขุนมูลนาย เวลาเขานิมนต์ฉัน เขาไม่ค่อยจะนิมนต์สมเด็จโตเข้าฉัน คือเป็นคนที่กินอย่างไม่มีมารยาท

ขากถุยๆ เพราะว่านี่ต้องเอาไปทำพระ เพราะพระนี่กินแล้ว มีรสอร่อยไม่ได้ ไม่ว่ามึงจะมีคนมากคนน้อย ในวังในอะไร กูขากฉิบหายหมด ก็รวบรวมไว้ นี่เป็น ผงพิเศษ จากปากของคนที่เคี้ยวๆ อยู่

ข้อที่สอง  กล้วยหอม
ข้อที่สาม  ขมิ้น
ข้อที่สี่     พวกที่เรียกว่า ปูน ปูนหมาก
ข้อที่ห้า   ทรายละเอียด
ข้อที่หก   ปูนขาว ที่เรียกว่า บดด้วยการเก็บพวกเปลือกหอยมา
ข้อที่เจ็ด  ชานอ้อย


พวกเหล่านี้ เอามารวมๆ กัน แล้วก็ต้องร่อนๆ ให้เนื้อมันกลืนกัน มันก็เรียกว่าสวยงามดี ที่สวยงามมากนั้น เกิดจากขมิ้นกับเปลือกกล้วยหอม ส่วนมากที่ทำให้งาม ยิ่งถูยิ่งมัน

คุณพินิจ : เอ๊ะ เดี๋ยวนี้พยายามทำอย่างนั้น ทำไมไม่เหมือน ไม่เหมือนสมัยสมเด็จ

สมเด็จ : สมัยนี้เขาทำ เขาไม่มีเคล็ดลับนี่

คุณพินิจ : ครับผม ทีนี้ เคล็ดลับพอจะบอกได้บ้างหรือไม่ครับผม

สมเด็จ : เคล็ดลับก็คือ ต้องทำด้วยจิตบริสุทธิ์ กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ แล้วก็ทำอย่างจิตปลอดโปร่ง แล้วก็ไม่ใช่กดทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพัน คือบางทีวันหนึ่งยังกดพระไม่ได้สิบองค์หรอก เพราะว่าต้องปลอดโปร่ง และต้องสวดไป ทำไป แล้วก็ผสมน้ำไป แล้วก็ทำด้วยความแน่วแน่ ทำด้วยความสะอาด มันก็เลยขลังได้ อย่างสมัยนี้ เขาทำกันวันหนึ่ง พันองค์ หมื่นองค์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

การปลุกเสกพระเครื่อง


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระเครื่ององค์นี้ มีผงของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อยู่ในนี้ใช่ไหมฮะ

สมเด็จ : อันนี้ใช่ แต่ที่อาตมาทำด้วยมือ ในยุคนี้หายาก สมัยนั้นอาตมาสร้างไว้ในโบสถ์ ไม่มีใครเอา ต้องขอร้องให้เขาเอาไป จนเวลานี้มีคนต้องการ อย่างเวลานี้สร้างอะไรๆ ก็ไม่มีคนเอา จนต่อไปอาตมาไม่มา จึงจะมีคนรู้คุณค่า

คือ เรื่องสร้างพระของอาตมานี่ ก็ได้อธิบายไว้เยอะแล้ว อาตมาสร้างไม่กี่ครั้งหรอก แล้วก็ครั้งสุดท้าย สร้างด้วยคาถาชินปัญชร แปดหมื่นสี่พันองค์ นั่นน่ะ ครั้งสุดท้าย แล้วองค์ไหนสวยน่ะ ยิ่งไม่ใช่ของอาตมา

เพราะอะไร เราต้องใช้สมองในการเป็นมนุษย์วินิจฉัย ของนี้มันสร้างถึงปัจจุบันก็ร้อยกว่าปีแล้วนะ แล้วก็ในสมัยนั้น อาตมาไม่ได้ทำเพื่อความสวย อาตมาทำเพื่อความขลังนะ แล้วสิ่งที่ผสมก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขาทำ มีเปลือกกล้วยหอม ข้าวที่ฉันเหลือเวลาที่เขานิมนต์ไปฉัน แล้วก็ตำว่าน ตำหญ้าอะไร แล้วก็ผสมด้วยน้ำมันดิน น้ำมันเต้าอิ๊วอะไร พอมันถึง ๔๐ ปี มันจะกะเทาะเป็นลาย แล้วมันจะต้องเป็นผงผุย เข้าใจหรือยัง

สานุศิษย์ : หลวงพ่อช่วยดู รูปหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นปูนปลาสเตอร์ ได้มาจากพระประแดง เขาบอกเข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้วครับ

สมเด็จ : คือในยุคนี้น่ะ พวกเกจิอาจารย์ก็เท่ากับพวกเล่นละคร แล้ววัดต่างๆ มันก็ชอบขายตัวละคร ก็นิมนต์เหล่าเกจิอาจารย์ในยุคนี้มาปลุกเสกเป็นพุทธคุณกัน ออกวัดนี้ไปวัดนั้น ออกจากวัดนั้นไปวัดนี้ ผลสุดท้ายก็เหนื่อย ไปถึงเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ไปนั่งหลับอยู่ในนั้น เรียกว่านั่งนอนอยู่ในพิธีนั่นน่ะ แล้วมันจะขลังได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในการนี้เรียกว่า เขาขายชื่อ ขายวัด มันเป็นเรื่องที่มนุษย์มันไม่ใช่สมองพิจารณา แล้วอาจารย์ที่เก่งอย่างอาตมานี่ ไม่เคยเหยียบออกจากวัดระฆังฯ เลย มีใครนิมนต์ในเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง บอก กูทำของกูเองโว้ย ก็ค่อยๆ เสกไป

เพราะว่า การปลุกเสกสิ่งนี้จะต้องใช้

หนึ่ง ใช้พุทธานุภาพแห่งความจริง


สอง จะต้องใช้พลังจิตของเราที่เป็นสมาธิ


สาม จะต้องรักษาศีล แห่งกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จึงจะสามารถลงเป็นพลังอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

ห้อยพระเครื่องทำไม


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พระเมี้ยน : หลวงพ่อสมเด็จครับ เมื่อสมัยหลวงพ่อยังมีสังขารอยู่เคยเอาพระไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพนัญเชิงราชวรวิหาร จังหวัดอยุธยา บ้างไหมครับ

สมเด็จ : เคยเอาไปให้เขาบ้าง แต่ไม่มาก คือเรื่องพระนี่ ท่านอย่าไปยึดมาก พระมันก็ดีทั้งนั้นแหละ การที่ให้มีพระห้อยคอ ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้ระลึกถึงพุทธานุภาพ ในฐานะที่เราเป็นพุทธสาวก เพื่อให้เราระลึกถึงว่า พระพุทธองค์เป็นพระบรมศาสดาตัวอย่าง ที่จะให้มนุษย์เรานี้ปฏิบัติตาม

ทีนี้ ถ้าจะพูดถึงว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดพลังอำนาจแห่งความขลังหรือไม่นั้น คือขึ้นอยู่กับเกจิอาจารย์ที่ทำ มีพลังจิตขนาดไหน มีศีลขนาดไหน เป็นส่วนประกอบ และผู้ที่ใช้พระเครื่องนั้น จะต้องตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ เพราะว่า กรรมวิบากของมนุษย์ ของตนเองนั้นแหล่ เป็นสิ่งที่จะส่งเสริม ซึ่งอาตมาก็ได้เคยเทศน์ให้คติไว้ว่า

“จงใช้ปัญญาของตนทำมาหากิน อย่าหวังพระท่านจะช่วยเราได้ทุกกรณี” เพราะบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องพึ่งตัวท่านเอง แต่บางอย่างมันก็เกี่ยวกับอกุศลกรรมวิบากของท่านหนัก ในกรณีเช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้นยาก เพราะว่าภาวะแห่งกรรมวิบากนั้น จะต้องเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ


pngegg.5.3.1.png




ขรัวโตรักษาคำพูด


พระเมี้ยน : ตกลงที่วัดพนัญเชิงนั่น เป็นพระของเก่าที่หลวงพ่อเอาไปไว้ที่นั้นใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ของมันก็ดีทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้ไปฝังที่นั่น ตอนนั้นเอาไป ๓๐ กว่าองค์ เอาไปให้เขา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง ดูเหมือนชื่อหลวงพ่อไข่ หรืออะไรนี่ ที่อาตมาไป

เขานิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่วัดพนัญเชิง ทีนี้ อาตมาก็ลืมๆ ไป พอดีเวลาจะทุ่มหนึ่งแล้ว ก็เอ๊ะ นี่มันมีรายการเทศน์ที่วัดพนัญเชิงนี่ ก็ระดมลูกวัดบอกว่า ไม่ได้ สมเด็จโตรักษาคำพูด เมื่อเขานิมนต์วันนี้ เราจะต้องไปถึงอโยธยาวันนี้ ก็พายเรือไปกัน พอดีน้ำลง ไม่ต้องทวนกระแสน้ำมากก็ไว พายกันไปถึงที่นั่นก็เกือบสว่างละ แต่ว่าเรายึดหลักว่า พระอาทิตย์ขึ้น จึงจะนับวันใหม่ พวกญาติโยมที่มาฟังสมเด็จเทศน์ แต่ผิดหวังกลับไปแล้ว

อาตมาไปถึงก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย มีคนฟังไม่มีคนฟัง เราต้องเทศน์ เพราะว่าเรานัดเขาวันนี้ เทศน์เสร็จ เขาก็ยังไม่รู้ว่าเรามา เราก็นอนอยู่กับธรรมาสน์นั่นแหละ พอตื่นเช้า เจ้าอาวาสก็เดินขึ้นมา เอ๊ะ กลุ่มคนมาจากไหน อ้าว สมเด็จ มาเมื่อไหร่ล่ะ ก็นิมนต์มาเทศน์บอกว่า เทศน์แล้ว เทศน์ที่ไหน ก็ตอนเทศน์เอ็งไปนอนกันนี่ เพราะว่าลืมไป ก็ไปเรียกชาวบ้านมาฟังเทศน์ใหม่

เทศน์เสร็จ ตอนนั้นก็พอดีมีพระอยู่ ๓๕ องค์ ไม่ได้ให้หวยนะ พวกนี้มันชอบตีหวย ก็ให้เขาไป แล้วตอนนั้นพระของอาตมายังไม่ดัง ตอนสร้างแปดหมื่นสี่พันองค์ ก็ซ่อนไว้ที่เพดานวัดระฆังฯ บ้าง แล้วก็บางแห่ง ที่วัดพลับนี่ก็มี เพราะมาฝึกการทำพระกับอาจารย์ เขาเรียกอาจารย์ไก่เถื่อน ที่เป็นคนสอนการทำพระให้อาตมา และที่สร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์นี่ สวดด้วยคาถาชินปัญชร


สร้างแล้วมันก็แยะ พอวันพระ วันถืออุโบสถทีหนึ่ง ก็ต้องขอร้องชาวบ้านว่า ช่วยกันเอาไปเลย เอาไปบ้าน เก็บไว้ให้ดีนะ ต้องขอร้องให้เขาเอาไปนะ เพราะในโบสถ์มันเต็มไปนี่ บางคนก็เอาไปทิ้งๆ ขวางๆ บ้าง บางคนก็เอาไปไว้ตั้งบูชาบ้าง เพราะฉะนั้น พระที่อาตมาสร้างนะ มาถึงเวลานี้ มันเหลือน้อยเต็มที เรื่องมันร้อยกว่าปีมาแล้ว ในยุคนั้น อาตมาไม่ใช่เป็นอาจารย์ชื่อดังในเรื่องการสร้างพระเครื่องหรอก

ยุคศิวิไลซ์นี้ คนชอบความโกหก คนก็เลยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา พระกรุโน้นดี นี้ดี มันก็กลายเป็นเรื่องที่เขานับถือกัน ที่จริงพระทุกอย่างดีทั้งนั้น เราบูชาให้ถึงตัวองค์พระ ไม่ใช่บูชาเพื่ออะไร เขาเรียกว่า บูชาไม่ใช่ติด ท่านไหว้พระพุทธเจ้า ก็ไหว้คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ท่านไหว้ขรัวโต ก็เพราะนับถือความบ้าๆ บอๆ ของขรัวโต ไม่ใช่ว่าให้ท่านติด เข้าใจไหม


pngegg.5.3.2.png




พระเครื่องไม่ช่วยคนชั่ว


สมเด็จ : พระเครื่องที่อาตมาสร้าง อาตมาไม่ได้บอกว่าให้มันเหนียว ส่วนมากอาตมาสวดแต่ทางเมตตา ทีนี้ ภาวะแห่งอานุภาพแห่งเมตตาจิตของอาตมา อาจจะเป็นพลังเข้าไปในวัตถุนั้นได้ เขาเรียกว่า พลังของจิตที่เข้าไปสู่ในสิ่งเหล่านั้น ก็คือให้ทุกคนมีความเมตตาต่อเรา

ทีนี้ ในการที่บางคนมีพระเครื่องของอาตมาแล้วก็ไปเป็นโจร แล้วเขาก็ฆ่าไม่ตาย อันนี้อาตมาขอแถลงว่า นั่นเป็นวิบากกรรมของเขาที่ยังไม่ถึงวาระแห่งการตาย แล้วท่านจะเห็นว่า โจรบางคนห้อยพระเป็นพวงๆ ทำไมต้องตายเล่า พระย่อมไม่เข้ากับคนชั่ว พระย่อมรักษาความจริง

ความจริงเป็นสิ่งแน่นอนและคงทนต่อการพิสูจน์ พระพุทธองค์สอนให้เราละแห่งจิตในความยึดตน ละในทิฐิ ในโลภะ โทสะ โมหะ ให้มันค่อยๆ น้อย จากกายในกายของเรา เมื่อน้อยลงไปมากๆ เราไม่มีอุปทานในความยึดอะไรมาก เราไม่ต้องดิ้นรนมาก ความเบิกบานก็ย่อมเกิดขึ้นมาก


ภาวะนั้นแหล่ จะช่วยให้กายเนื้อท่านแข็งแรงไปพร้อมกับกายใน เพราะท่านไม่มีความยึดใดๆ เป็นหลักแห่งความจริงจังมากเกินไป

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 04:33 , Processed in 0.062992 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.