แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

วิธีทำบุญโดยไม่ให้พระได้บาป


(วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : การถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ควรปฏิบัติอย่างไร

สมเด็จ : พูดถึงในเรื่องการทำบุญ ต้องเข้าใจว่า ฆราวาสก็มีส่วนทำให้พระตกนรก เพราะอะไรเล่า

เพราะว่า พระภิกษุนั้น ลูกตถาคตต้องไม่มีการสะสม ทีนี้เมื่อท่านถวายผ้าเข้าไปมากๆ พระท่านก็รับไว้ แล้วไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็เก็บๆ ตั้งๆ ๆ ใส่ตู้ไว้ บางทีก็มีแมลงตัวเล็กๆ หรือแมลงสาบแทะเสียหาย อันนี้ถือว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทางโลกวิญญาณเขาถือว่า เป็นการทำลายเศรษฐกิจ บาปนั้นก็ตกอยู่กับพระสงฆ์

ท่านควรใช้วิธีการว่า สมมติว่า ท่านจะถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ เพื่ออุทิศกุศลให้นาย ก สมมติว่าผ้านั้นราคา ๘๐๐ ท่านก็ถวายเป็นเงินไป โดยเขียนว่า ปัจจัยนี้ถวายเป็นค่าจีวร สบง เพื่ออุทิศให้นาย ก อะไร ก็ว่าไป แล้วเงินนั้น พระท่านก็จะได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกต่อไป

เพราะการเป็นพระนั้น ต้องไม่มีการสะสมใดๆ ทั้งสิ้น ท่านต้องพยายามให้พระสงฆ์มีจีวร สบง ให้น้อยที่สุด อย่าให้มีมาก มากแล้วเท่ากับเราไปสร้างบาปให้กับพระ โดยไม่รู้ตัว

ฉะนั้น ถ้าท่านจะทำบุญแล้วให้ได้บุญ ไม่ใช่ทำบุญแล้วได้บาป คือทำให้พระต้องตกนรก ก็ขอให้ท่านใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือระบุวัตถุประสงค์ที่ท่านจะถวาย แล้วถวายเป็นเงิน เป็นปัจจัยไป วิธีนี้ท่านจะได้กุศลมาก แล้วพระก็จะได้ไม่ตกนรกด้วย


pngegg.5.3.1.png




พระยักยอกเงินวัด ตกนรกขุมไหน


สานุศิษย์ : ถ้าพระโกงเงินวัด ยักยอกเงินวัด จะต้องตกนรกขุมไหนครับ

สมเด็จ : ไม่ต้องพูดถึงยักยอกเงิน หรือโกงเงินหรอก เพราะพระนั้น แม้เอาเงินของใครแม้เพียงบาทเดียว ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาต ก็ขาดจากการเป็นพระแล้ว หรือถ้ามีโยมปวารณา พระจะขออะไรจากโยมปวารณาก็จะต้องรู้ฐานะโยมปวารณาด้วย ไม่ใช่ขอแล้วโยมปวารณาต้องเดือดร้อน

เมื่อครั้งพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นมีเรื่องขึ้นมาว่า มีพระภิกษุองค์หนึ่ง ในขณะนั้นพระเจ้ากรุงพาราณสีได้ปวารณาไว้ ในขณะที่ไปเยี่ยม บอกว่า ถ้าท่านต้องการอะไรก็มาเอาได้ ยินดีอุปัฏฐาก พระก็รับทราบ พอเข้าพรรษาพระนั้นก็ไปตัดไม้ในป่า ขนไม้ในคลังมาตอกใหญ่ สร้างกุฏิถาวรใหญ่โต โดยถือว่าพระเจ้าแผ่นดินอนุญาตไว้แล้ว

พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติวินัยออกมาว่า สิ่งของใครราคาเกินหนึ่งมาสก ถ้าได้มาโดยเจ้าของไม่ได้อนุญาต ผู้นั้นขาดจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ทันที

เพราะการไปเอาของในคลังโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิด เท่ากับเป็นการขโมย และถึงแม้มีโยมปวารณาไว้ คือยอมให้ด้วยความเต็มใจ ให้ภิกษุเรียกร้องขอเอาได้ก็ตาม เมื่อภิกษุจะขออะไร จะต้องรู้ฐานะของโยมปวารณาด้วย ขอแล้วจะต้องไม่ทำให้โยมปวารณาเดือดร้อน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

วิธีการช่วยบิดามารดาให้พ้นจากนรกอเวจี



สานุศิษย์ : จะมีหลักปฏิบัติอย่างไร ในการช่วยบิดามารดาที่สิ้นชีวิตไปแล้วให้พ้นจากนรกอเวจี

สมเด็จ : จงจำเอาไว้ ทุกอย่างที่เราสร้างในโลกมนุษย์ จะไปคิดกันในโลกวิญญาณ เมื่อเราเป็นบุตรแห่งการที่มีความกตัญญู เราจะทำบุญให้บิดามารดาในปรภพ ท่านไม่ต้องไปทำอะไรมาก คือ ท่านนั่งปฏิบัติจิตแห่งการจะระลึกถึงพระพุทธคุณก็ดี พระธรรมคุณ พระสังฆคุณก็ดี สักครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นแล้ว จงตั้งจิตให้แน่วแน่ แผ่เมตตา

บารมีแห่งการปฏิบัติของตนนี้ไปสู่ปรภพ เพื่อบิดาหรือมารดาก็ดี ผลแห่งบุญในกระแสแห่งการถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนี้แหล่ จะช่วยผู้ที่ตกอยู่ในนรกอเวจีนี้ขึ้นสูงจากนรกได้ ยิ่งกว่าการทำทานอะไรทั้งสิ้น เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติเพื่อช่วยเข้าใจไหม

สานุศิษย์ : ครับ แล้วบารมีพระศรีอริยเมตไตรยจะช่วยไม่ได้เชียวหรือครับ

สมเด็จ : ในภาวะอันนี้ต้องเข้าใจว่า องค์ศรีอริยเมตไตรยไม่มีจุดแห่งการที่จะมาช่วยเรื่องของวิญญาณเหล่านี้ เพราะว่า องค์ศรีอริยเมตไตรยกำลังเตรียมตนที่จะมารับช่วงศาสนา สืบต่อจากองค์สมณโคดม กระแสจิตย่อมไม่มีว่างสำหรับผู้ที่จะบูชาทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราปฏิบัติทางนี้แล้ว เราต้องเข้าใจ ถ้าท่านอยากจะให้วิญญาณทั้งหลายหลุดพ้น ท่านจงบูชาพระโพธิสัตว์แห่งยุคซิ

สานุศิษย์ : องค์ศรีอริยมุนีใช่ไหมครับ

สมเด็จ : องค์ศรีอริยมุนีนั่น เตรียมตัวมาเป็นสาวก เพราะฉะนั้นไปคิด สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นเพื่อโกยสัตวโลก แต่จะโกยได้ขนาดไหนนั้น จะต้องแล้วแต่มนุษย์

สานุศิษย์ : พระโพธิสัตว์แห่งยุคนี่องค์ไหนแน่ครับ พระศรีอริยเมตไตรย หรือ หลวงปู่ทวด

สมเด็จ : นี่เขาเรียกว่า กรรมยังบังอยู่ ก็อาตมาพูดไปสองครั้งแล้วนี่

อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวดไงล่ะ

สานุศิษย์ : อ้อ พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

การปฏิบัติตนสู่พุทธะ


(วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมขอกราบถามปัญหาว่า เมื่ออยู่ในเพศฆราวาสนี่ จะปฏิบัติตัดอาสวกิเลสได้อย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ ในหลักแห่งการปฏิบัติตนให้สิ้นอาสวกิเลสนั้นแหล่ ในสภาวะที่เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติไปสู่การสิ้นอาสวกิเลสได้ แต่ถ้าการครองเรือนแล้ว อาตมาคิดว่า จะไปสู่โลกุตระนั้นยาก เพราะมันจะมีลูกโซ่แห่งการพัวพัน แต่ถ้าอยู่ในเพศนักบวช จะปฏิบัติได้ง่ายกว่า

สานุศิษย์ : แล้วถ้าฆราวาสนั้นเป็นคนโสดล่ะครับ จะมีทางบรรลุอริยมรรคอริยผลหรือไม่ครับ

สมเด็จ : อันนี้ อยู่ที่บุญบารมีของแต่ละบุคคลที่สะสมมา

สานุศิษย์ : เมื่ออยู่ในเพศสมณะ ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรครับ จึงจะสมเป็นเพศสมณะที่แท้จริง

สมเด็จ : การที่จะปฏิบัติตนให้สมกับการเป็นพระ ก็คือ ปฏิบัติในหลักแห่งการว่า

หนึ่ง  พยายามปฏิบัติให้ฉันทะในเอกะอย่างสม่ำเสมอ


สอง  อย่าสะสมในวัตถุที่เขาสร้างมาให้

เพราะเราบวชนั้น บวชเพื่อละ ไม่ใช่บวชเพื่อลาภยศ แต่ว่านักบุญในยุคนี้ทุกวันนี้ เป็นนักบวชที่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เพราะว่าตอนที่บวชก็รับกับอาจารย์ว่า ข้าฯ ทิ้งแล้วซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เหตุไฉนบวชในยุคนี้จึงยังติดอยู่เล่า อาตมาไม่อยากเทศน์ และอาตมาไม่อยากถอยเข้าอนุสติฌาน ดูการกระทำที่เลวร้ายของมนุษย์แห่งกลียุคนี้ เพราะการเป็นนักบวช มีผ้ากาสาวพัสตร์ครอง มีข้าวกินเพื่อปฏิบัติจิตก็พอแล้ว ยังต้องการอะไรอีก


สานุศิษย์ : ถ้ามนุษย์ปรารถนาที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า จะปฏิบัติตนอย่างไรครับ

สมเด็จ : วิธีการที่จะปฏิบัติตนไปสู่การสำเร็จแห่งพุทธะนั้น เช่น การเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี การเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จในแดนพรหมก็ดี หรือการเป็นพระพุทธเจ้าที่สำเร็จจากโลกมนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าเป็นพุทธะแห่งยุค การบำเพ็ญไปสู่การเป็นพุทธะแห่งยุคนั้น ระหว่างเป็นมนุษย์จะต้องปฏิบัติดังนี้

๑. ต้องฉันทะและมีสัจจะในการบำเพ็ญ


๒. จะต้องพยายามอธิษฐานบารมีของตน


๓. จะต้องแสวงในศีล สมาธิ ให้มาก
เพื่อบรรลุแห่งปัญญาวิมุติ

พระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น เรียกว่าเป็นกัปๆ กัลป์ๆ จึงจะมีองค์หนึ่ง แต่ถ้าบำเพ็ญตนไปสู่พรหมโลกแล้ว ไม่ต้องบำเพ็ญมาก ขณะจิตตอนสิ้นจากการเป็นมนุษย์ อารมณ์ของท่านอยู่ในตติยฌานสามแล้ว สภาวะจิตแห่งวิญญาณย่อมจะสู่พรหมโลก คืออาตมาชอบคนซัก และคนซักนั้นต้องปฏิบัติ

สานุศิษย์ : ตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้ได้ครับ

สมเด็จ : การปฏิบัติทางจิตนั้น จะต้องจำไว้ว่า เราอย่าตั้งอุปทานแห่งความหวังสูงส่ง พยายามอย่ายุ่งกับทางโลก และการที่จะได้ฌานญาณนั้น อย่าตั้งอุปทานแห่งความอยาก คือว่ายุคนี้ เกจิอาจารย์ชอบสอนให้คนยึดอารมณ์ ยึดกันจนฟุ้งกันไปใหญ่
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

พระไตรปิฎกคือแนวทาง การปฏิบัติคือทางหลุดพ้น


(วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : ที่เสด็จพ่อบอกว่า พระไตรปิฎกนั้นคนแต่งเติมเอง ถ้าเช่นนั้น เราจะเอาอะไรเป็นแนวทางล่ะเพคะ เพราะพระพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว และก่อนเสด็จสู่ปรินิพพานก็ได้มีรับสั่งบอกไว้ว่า พระธรรมวินัยนี้แหละ จะเป็นสิ่งแทนตัวตถาคต หมายความว่า ให้พวกเรานับถือพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยนี้ได้แก่พระไตรปิฎก และถ้าเราไม่นับถือพระไตรปิฎกแล้ว เราจะมีอะไรเป็นแนวทางดำเนินไป

สมเด็จ : แนวทางที่ทำ คือ ให้ท่านอ่านบทกรรมฐานให้ถ่องแท้ แล้ววางพิจารณาในกรรมฐาน แล้วทำให้เกิดฌานญาณในด้านวิปัสสนานั้น และเหนือสรรพสิ่งในโลกพระไตรปิฎก

องค์สมณโคดมเพียงแต่วางพื้นฐานแห่งพระวินัยไว้เป็นแนวทาง ท่านจะหลุดพ้นต้องอยู่ที่ท่านต้องทำเอง จึงจะหลุดพ้น บางคนเขาบอกว่าพระคาถาชินปัญชรของสมเด็จโต ถ้าสวดมากๆ แล้วก็จะเป็นเศรษฐี ถ้าอย่างนั้นท่านไม่ต้องทำอะไร ปิดประตูนั่งสวดคาถาชินปัญชร แล้งเงินมันก็บินเข้ามาหาเองหรือ

ให้เชื่อในกฎแห่งเหตุผล ในปฏิบัติในการทำตน แล้วท่านจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสรณะ ย่อมเหนือกว่าที่ท่านจะเทิดทูนพระไตรปิฎก

คุณหญิงระเบียบ : สมาธิ ปัญญา ก็อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่นอกพระไตรปิฎก

สมเด็จ : อาตมา เมื่อตะกี้ก็ได้เทศน์ไปแล้ว หมายความว่า พระไตรปิฎกนั้นเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ใช่ให้ยึดหมด อาตมาบอกแล้วว่า อาตมารับรองเพียงแปดพันสี่ร้อย ไม่รับรองถึงแปดหมื่นสี่พัน ก็บอกมาเช่นนั้นตั้งนานแล้ว

ไม่ใช่ว่าให้โยนพระไตรปิฎกเข้ากองขยะ แล้วเอาเท้าเขี่ยเข้าไป อาตมาไม่ได้สอนเช่นนั้น ให้อ่านเป็นพื้นฐาน แล้ววาง แล้วทำ นั่นแหละ เทวดา พรหม และแม้กระทั่งแต่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ

เมื่ออ่านแล้ว อย่าเกาะตำรา ถ้าเห็นผู้อื่นปฏิบัติแตกต่างออกไป ก็อย่าเพิ่งแย้งว่า “คุณแสดงอย่างนี้ไม่ได้ หนังสือเล่มนี้เขาว่าอย่างนี้”


ท่านต้องอย่าลืมว่า หนังสือพระไตรปิฎกในสยามนั้น แปลมาตั้งกี่ภาษา กว่าจะมาเป็นภาษาสยาม คำพูดบางคำแปลตรงตัวไม่ได้ เพราะว่ามันปรับแห่งธรรมชาติไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อาจารย์ที่แปลก็ต่อเติมกิเลสของตนลงไปบ้าง แต่ก็มีส่วนที่เป็นพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ว่าเลือนลางจากพระไตรปิฎกไปหมด

อาตมาพูดอย่างนี้ตั้งแต่มีสังขาร จนถึงปัจจุบันเหลือแต่วิญญาณก็ยังยืนยันคำพูดเดิม

เมื่ออาตมาอยู่วัดระฆังฯ รัชกาลที่ ๔ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจอมอยู่หัว) จะสัมมนาพระไตรปิฎกทีไร อาตมาก็บอกว่า “เจ้าประคุณมหาบพิตร เชิญไปจัดการเองเถิด อาตมาไม่เล่นด้วย” เพราะว่าเรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เรายังไม่ได้เป็นพุทธะแห่งยุค เราจะไปสัมมนาพุทธพจน์ได้อย่างไร ไม่เหมือนอาจารย์สมัยนี้ พออ่านตำราสามเล่ม เป็นอาจารย์ใหญ่ พออ่านตำราห้าเล่ม ชำระพระไตรปิฎก

ผลสุดท้าย พวกชำระพระไตรปิฎกสึกกันเป็นแถว เพราะว่าความอาถรรพณ์ในนั้นมันมี ไม่รู้พุทธพจน์อันแท้จริงก็เอาออกเสีย ใส่พุทธพจน์เก๊เข้าไป อาถรรพณ์จึงเล่นงานพวกเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระไตรปิฎก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

ผู้กล่าวอ้างพระพุทธเจ้ามีบาป


(วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๐)



นายณัฐพร อุชชิน : หลวงพ่อครับ คือผมฟังเทศน์ของหลวงพ่อ ที่ว่าผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ จะเป็นอาจารย์หรือพระก็ดี มักจะกล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้ววจีกรรมอันนี้จะใช้บาปอย่างไรครับ

สมเด็จ : วจีกรรม อันนี้ มนุษย์ที่กล่าวนั้นต้องใช้ในโลกวิญญาณ เพราะสันดานมนุษย์ปัจจุบันนี้มันเต็มทน เช่น มนุษย์ตัวเล็ก มันต้องอ้างว่า ฉันนี่มีเจ้านาย มีผู้ใหญ่ มนุษย์ที่เป็นอาจารย์สอนจะต้องชอบอ้างพระพุทธเจ้า และอาตมาอยากจะถามอาจารย์สอนทั้งหลายว่า ท่านได้ยินหรือว่า คำพูดเหล่านี้องค์สมณโคดมเป็นผู้พูด

เพราะฉะนั้น หลักที่อาตมาจะให้นักสอนทั้งหลาย ที่ว่าตายแล้วจะไม่ให้ตกนรกหนักหน่อย ก็ให้ว่า ฉันนี่แหละ หรือว่า อาตมานี่แหละ ว่าตามตำราที่เขาว่ามา ตำราเล่มนี้มันว่าอย่างนี้นะ นั่นน่ะกรรมอันนี้มันจะตกนรกน้อยหน่อย  ไอ้พวกที่ชอบอ้างว่า คำนี้เป็นคำพูดขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แหม เทศน์กันจนหวานหยดย้อย เขาจดกันไม่ทัน

หลักขององค์สมณโคดมวางไว้ว่า สิ่งใดเราไม่เห็น เราอย่าเพิ่งเชื่อ แต่เราต้องเข้าไปค้น แล้วพิจารณาด้วยเหตุผล แล้วค่อยเชื่อ นั่นแหละคือสาวกของตถาคต เพราะฉะนั้น สิ่งใด คำพูดใด เราไม่ได้ยินจากองค์สมณโคดม เราอย่าอ้างชื่อองค์สมณโคดม นั่นแหละคือสาวกขององค์สมณโคดม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

การเป็นพระที่ดี


(วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๒)



พระสงบ จิตธรรม : กราบนมัสการหลวงพ่อสมเด็จ กระผมจะเดินทางธุดงค์ไปจังหวัดมหาสารคามครับ

สมเด็จ : ในการเดินทางไปในที่ใดๆ ก็แล้วแต่ จุดสำคัญของคำว่าพระภิกษุสงฆ์นั้น การเป็นภิกษุสงฆ์ไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนห่มผ้าเหลืองเท่านั้น สิ่งที่จะต้องละในสิ่งแรก ก็คือ การติดในเรื่องหมากพลู ในเรื่องของยาเสพติด สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะต้องละ

เพราะอะไรเล่า เพราะการที่เราจะเรียกว่าเป็นพระนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นง่าย ปุถุชนเข้ามาห่มผ้าเหลืองก็เพื่อบำเพ็ญ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เข้าสู่การเป็นสงฆ์ก็เพื่อการเป็นอริยสงฆ์ และการเป็นมนุษย์นั้น ต้องรู้จักคำว่า “พอ” ในเรื่องของวัตถุ ถ้ามนุษย์เรายังไม่รู้จักตัว “พอ” เขาเรียกว่า แบกขันธ์ ๕ ไว้ทูนหัว ย่อมหนัก ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ ทิ้งเสีย ย่อมไม่หนัก

เพราะอะไรเล่า เพราะว่าทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมเป็นของอนัตตา ชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งสมมติ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะต้องเริ่มฝึกและพยายามฝึก เพราะว่า เราต้องคิดว่า อายุขัยของเรานั้น ทุกๆ วัน ร่วงโรยสู่ห้วงเหวแห่งความตาย ทุกๆ วัน คำว่า “ตาย” มาคอยอยู่กับเรา

ฉะนั้น ถ้ามนุษย์จะบวชก็ควรคำนึงในข้อนี้ ไม่ใช่เอาผ้าเหลืองมาห่มไว้เพื่อหาความสุขทางโลก

และในการเป็นพระที่จะออกธุดงค์นั้น เป็นกฎวินัยที่องค์สมณโคดมวางไว้ ตั้งแต่การสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องออกธุดงค์เพื่อเผยแผ่สอนคน ทีนี้ ในการที่จะสอนคนนั้น สิ่งแรกที่ติดในสิ่งเล็กๆ ถ้าเราไม่ละ เราย่อมที่จะสอนให้คนเชื่อถือไม่ได้

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเขาเบื่อคนห่มผ้าเหลือง เพราะส่วนมากคนห่มผ้าเหลืองก็ปฏิบัติตัวคล้ายๆ ฆราวาส และในการบวช คำว่า “ผ้ากาสาวพัสตร์” มาถึงยุคนี้ ไม่รู้เรียกผ้าอะไร ถ้าจะบวชตามรอยองค์สมณโคดมที่ถูกต้องแล้ว จีวรจะต้องเอาจากผ้าตราสัง เอามาย้อมแก่นขนุนให้เป็นสีฝาดเพื่อห่มครองตน ไม่ใช่แบบในยุคนี้ พระมีเตารีด รีดผ้าเหลืองให้เงาวับ สิ่งเหล่านี้แหล่ ทำให้คนเห็นแล้วหมดความนับถือ เพราะพระสงฆ์ไม่เข้าซึ้งถึงการเป็นพระสงฆ์

ฉะนั้น เราควรปรับปรุงสงฆ์ให้เป็นสงฆ์ที่ดีในยุคนี้ และพระสงฆ์ที่จะออกไปโปรดสัตว์สั่งสอนคนนั้น จะต้องเป็นสงฆ์ที่ละทิ้งในสิ่งแห่งการติดทั้งหลาย เช่น ยาเสพติด บุหรี่ หมากพลู ควรจะละให้ได้ก่อน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

กฎแห่งกรรม


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์เจ้าขา พูดถึงกุศล อกุศล กรรมอดีต กรรมอนาคต หรือกรรมปัจจุบันนี้ อยากจะเรียนถามอีกสักข้อเถอะเจ้าค่ะ

คือ มีผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้หนึ่ง ท่านได้โกงเงินหลวง ต่อมาถูกจับได้ ดิฉันรู้จักท่านผู้นี้เจ้าค่ะ เป็นถึงคุณพระ ตอนที่ท่านโกงนั้น ดิฉันยังเล็กอยู่ พอถูกจับได้ ก็ถูกถอดบรรดาศักดิ์ ท่านเลยแกล้งทำเป็นบ้า แต่ต่อมาเกิดบ้าจริงๆ

อันนี้ละเจ้าค่ะ ดิฉันอยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า กรรมอันนี้เป็นกรรมในอดีตชาติส่งผลมา หรือว่าโกงเขาแล้วกรรมทันตาเห็น เกิดบ้าขึ้นมาจริงๆ แล้วในอนาคตชาติต้องไปรับกรรมอีกไหมเจ้าคะ คือตามธรรมดาเขาก็แกล้งทำเป็นบ้าอยู่แล้ว โดยสร้างรูปบ้าขึ้นมา ไม่ต้องการรูปดี

ตามหลักอภิธรรมแล้ว อนาคตชาติจะต้องเจอจะต้องบ้าจริงๆ แต่นี่เกิดบ้าจริงในปัจจุบันชาติ แล้วในภพหน้าโน้น รูปบ้ามันจะเกิดติดมาอีกไหมเจ้าคะ?

สมเด็จ : อันนี้ต้องดูตอนที่จะสิ้นจากโลกมนุษย์ นี่คือจุดสำคัญ ตอนที่จิตวิญญาณจะถอดออกจากขันธ์ ในขณะนั้นอารมณ์แห่งความบ้านั้น จะตรึงตลอดหรือไม่ ถ้าตรึงตลอด ไปปรภพก็ต้องไปเสวยกรรมนี้ แล้วก็ในอนาคตภพก็อาจจะเป็นบ้า

ทีนี้ อารมณ์แห่งความบ้านั้น ท่านอย่าลืม คนดีก็ดี คนบ้าก็ดี เวลาจะตาย อารมณ์นั้นเปลี่ยน เขาเรียกว่า วาระสุดท้ายแห่งจิตวิญญาณจะถอดออกจากขันธ์

เพราะฉะนั้น ในเรื่องที่มนุษย์ผู้นี้โกง เรียกว่า กรรมวิบากในอดีตส่งมา ปัจจุบันเสริมเข้ามาหนุน ก็ทำให้บ้าได้ในปัจจุบัน แล้วก็มีความกลัว ความกลัวนี้แหละ จะทำให้มนุษย์บ้า

พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ท่านสร้างทั้งที่ลับและที่แจ้ง ท่านย่อมได้รับฉันใด ความบริสุทธิ์ท่านสร้างทั้งที่ลับและที่แจ้ง ท่านก็ย่อมได้รับฉันนั้น

อย่างมนุษย์ผู้นี้ เรียกว่าหัวโกง แล้วทำแกล้งบ้า ภาวะแห่งความกลัวในมโนภาพที่หลอกหลอนตนนั้นแหละ ส่งเสริมให้บ้าจริงๆ ขึ้นมา เรียกว่า พลังงานในสภาพปั้นขึ้นมาสมกับที่ต้องการบ้า

ทีนี้ว่า จะส่งผลไปในอนาคตชาติหรือไม่ ต้องดูในวาระจิตวิญญาณจะสิ้นจากโลกมนุษย์

คุณชุบชีพ : ถ้าอย่างนั้นจะค้านกับหลักอภิธรรมไหมเจ้าคะ ที่ว่าถ้าสร้างกัมมชรูปแล้ว จะต้องไปเจอรูปอันไม่งาม

สมเด็จ : รูปอันไม่งามนั้น หมายความว่า ในปรภพ อกุศลในปรภพต้องไปเสวย ท่านอย่าลืม ระหว่างเป็นวิญญาณต้องเสวยกรรมอันหนึ่ง ซึ่งอาตมาบอกแล้วว่า เอาเรื่องโลกนั้นมาคุยกันกับโลกนี้มันเปรียบกันยาก ระหว่างเป็นวิญญาณต้องเสวยในรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งหลังจากเสวยกรรมวิบากอันนั้นแล้ว วิญญาณนี้จะอิสระ

เปรียบง่ายๆ เอาอย่างนี้ ขณะนี้อาตมาอยู่ที่รูปพรหม เรียกว่าจะบำเพ็ญไปที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าอาตมาเกิดหลง ไม่บำเพ็ญ แล้วก็เกิดติดแม่นกแก้ว ซักกันไปซักกันมาอยู่เรื่อย มาคุยกันเรื่อยๆ ฌานญาณไม่ทำ พลัดจิตเริ่มตกๆ ๆ พลังแห่งการตกนี้แหล่ เมื่อถึงคราววิบาก เรียกว่าหมดอายุขัยในพรหมโลก วิญญาณนี้ต้องเป็นวิญญาณอิสระ พอเป็นวิญญาณอิสระ จะต้องหากรรมพัวพันที่มีภพ ที่จะเกิดในโลกมนุษย์

เรื่องกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า คนเข้าใจมาที่นี่ เขาจะศรัทธา ถ้าไม่เข้าใจมาที่นี่ เขาไม่ศรัทธา เพราะอะไรเล่า มาถึงถามเรื่องหมอดู สมเด็จก็ไม่ดู หลวงปู่ก็ไม่พูด

เพราะว่าสมัยอาตมามีชีวิตอยู่วัดระฆังฯ เล่นในโหราศาสตร์ เทียบในดวงดาว ก็เรียกว่า มีส่วนเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไปอยู่โลกวิญญาณแล้ว ได้รู้ว่า โอ...ไอ้กรรมวิบากนี่ มันเหนือดวงดาว เพราะฉะนั้น จะดูแบบเดาสุ่มไม่ได้ เดาไม่ได้ สำหรับคนๆ หนึ่งที่กรรมวิบากมันถี่ยิบ เรียกว่า อนิจจังของกรรมวิบากของกรรม เราจึงไม่ใช้หลักพยากรณ์ ในระหว่างการมาใช้ร่างมนุษย์ทำงานในครั้งนี้ คือ เราไปอยู่ในโลกนั้นแล้ว เรารู้เรื่องว่ากรรมวิบากมันเป็นอย่างไร มันเป็นลูกโซ่แห่งการพัวพันแบบไหน

เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ขัด อันนี้ไปเสวยในรูปภพ ในปรภพจากอนาคต นี่มันเรื่องอีกไกล อีกช่วงหนึ่ง เข้าใจหรือยัง


คุณชุบชีพ : ก็แสดงว่า คนที่บ้านั้น ถ้าตอนเวลาเขาดับจิต เขาหายบ้า ถ้าจิตเขาเป็นกุศล เขาไปสู่ภพใหม่ รูปที่เขาสร้างไว้เป็นกัมมชรูปนั้น ก็ไม่ได้ตามไปใช่ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ไม่ เพราะว่าพลังกระแสมันอ่อน วิ่งไปไม่ทัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

การต่ออายุขัย


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณชุบชีพ นกแก้ว : ดิฉันมีความสงสัย อยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า ผู้ที่ถวายทานไปแล้ว จะได้อายุยืน มีวรรณะสวยงาม มีความสุข และเกิดพลัง คำว่าอายุยืนนี้ จะต่ออายุกันได้ไหมเจ้าคะ

สมมติว่า นาย ก ทำกรรมไว้ เช่น เบียดเบียนสัตว์ ก็ต้องเป็นคนขี้โรค และฆ่าสัตว์ก็เป็นคนอายุสั้น แต่เมื่อเขาไปถวายทานแล้ว เขาจะต่ออายุขัยได้ไหมเจ้าคะ แล้ว พร ๔ อย่าง คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ นี้ จะได้ในปัจจุบันชาติหรืออนาคตชาติ แต่ถ้าหากว่าได้ในปัจจุบันชาตินี้ สงสัยว่าจะค้านกับกฎแห่งกรรมกระมั่งคะ?

สมเด็จ : เสียงนกแก้ว      แจ้วแจ้ว       ถามธรรมะ
            ว่าวรรณะ           สี่นั้น            เป็นอย่างไร
            การทำบุญ         ได้บุญ          ปัจจุบัน
            อนาคต             ค้านกัน         ไม่ถึงไซร้
            จิตนิ่ง                ฟังเอย

คือ หลักแห่งคำว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ นี้ เขาเรียกว่า เป็นการให้ศีลให้พรตามภาวะกรรมแห่งการทำบุญของคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นจะได้หรือไม่ อันนี้เป็นปัญหาเรื่องใหญ่ ส่วนการต่ออายุนั้น จะต่อได้หรือไม่ อันนี้อาตมาจะอรรถาธิบายให้ฟัง

หนึ่ง  ถ้าบุคคลนั้นถึงอายุขัย สิ้นแห่งความเป็นอยู่ของภพของตนที่เสวยชาติเป็นมนุษย์แล้ว เรียกว่า หมดอายุ ต่อให้พระพุทธเจ้าก็มาต่อให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านที่หลงการต่ออายุ เอาเงินไปกินขนมดีกว่า

สอง  แต่ถ้าอายุนั้น เป็นการที่เรียกว่า “ตายเทียม” หมายความว่า ท่านมีอกุศลวิบากขนาดหนัก ที่จะทำให้ท่าน จิตวิญญาณจะต้องถอดออกจากขันธ์ปัจจุบัน อันนี้ช่วยได้ ช่วยได้อย่างไรเล่า ช่วยได้โดยเรียกว่า ต้องเทพพรหมช่วยท่าน

ถ้าศึกษาในหลักพระสูตร ท่านศึกษาในหลักพระอภิธรรม ท่านย่อมรู้ว่า อายุของเทพพรหมนั้นเป็นพันๆ ปี คือเขาจะเอาอายุของเขานี่แหละ เสริมให้กับท่าน

อย่างในขณะนี้ สำนักปู่สวรรค์ เดือนมิถุนายนจะทำการต่ออายุให้กับบุคคลคนหนึ่ง คือ เจ้าคลุ้ม เพราะในเดือนสิงหาคม มันจะมีกรรมวิบากขนาดหนัก ที่เรียกตามภาษาชาวบ้าน “ดวงดับ” ในฐานะที่เอาจริงกับงานของโลกวิญญาณ อาตมาก็บอกแล้วว่า ท่านทำงานกับสำนักปู่สวรรค์นั้น เงินเดือนไปคิดกันที่โลกวิญญาณ เพราะว่าอาตมาไม่มีจะจ่ายให้ในโลกมนุษย์


แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้วไซร้ วิญญาณย่อมจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย ในด้านที่เรียกว่า ส่งดอกเบี้ยคืน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอยู่ในอกุศลกรรมวิบาก แต่ยังไม่หมดอายุขัยตามภาวะกรรม เทพพรหมชั้นสูงสามารถช่วยท่านได้ นี่เรื่องอายุ

ในเรื่องของวรรณะ วรรณะ หมายความว่า กรรมวิบากในอกุศลและกุศลในอดีตชาติส่งท่านมาสู่ในปัจจุบันชาติ ที่ท่านจะมาเกิดในวรรณะใด ตระกูลใด ฉะนั้น การให้ศีลให้พรวรรณะนี้ หมายความว่า ผลอันนี้จะสนองท่านได้ ต่อเมื่อในอนาคต ในปรภพ ในอนาคตชาติ

สุขะ ในตัวนี้หมายความว่า ถ้ามนุษย์เรามีจิตใจแห่งความเบิกบาน ไม่มีความวิตก ไม่มีความทุกข์แล้ว ก็ย่อมที่จะเกิดพละกำลังได้ ในร่างกายสมบูรณ์ขึ้น

นี้คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์บ้าในด้านคำดี เขาเรียกว่า ชอบให้คนพูดดี พระก็เลยประดิษฐ์คำพูดมาให้ว่า “โยมเอ๋ย โยมนั้นถวายสิ่งนี้ให้แก่อาตมา อาตมาขอให้โยมนั้น มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ เต็มด้วยอานิสงส์ ธนสมบัติ” แม่นั่นยิ้มแฉ่งเลย

ครั้งหนึ่ง อาตมา รับนิมนต์เจ้าหมื่นพิทักษ์ราช นิมนต์สมเด็จโตไปเลี้ยงฉันเพล ฉันเสร็จแล้วสมเด็จโตให้พรว่า “โยมเอ๋ยโยม วันนี้ถวายข้าวปลาให้สมเด็จโตกิน เพราะฉะนั้น ก็ขอให้พ่อของโยมตายก่อนโยม” มันหน้าบึ้งเลย นี่เราให้พรแบบสัจจะ พ่อมึงต้องตายก่อนมึง ดีกว่ามึงตายก่อนพ่อ มันฟังไม่รู้เรื่อง


เพราะฉะนั้นในสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า มนุษย์ยังติดสมมติบัญญัติ ภาวะแห่งการติดสมมติบัญญัตินั้นแหล่ เขาจึงร่างหลักคำพูดโวหารเพื่อให้มนุษย์ฟังแล้วเคลิ้ม

ทีนี้ สิ่งเหล่านี้ท่านจะได้หรือไม่ อยู่ที่ท่านทำ ท่านทำกุศล กุศลย่อมที่จะสนองท่านเอง แล้วผู้ที่ให้พรนั้น มีพลังเพียงพอหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ท่านเชื่อกฎแห่งสสารพลังงานหรือไม่ ถ้าท่านเชื่อกฎแห่งสสารพลังงาน น้ำระเหยขึ้นไปเป็นไอน้ำ ไอน้ำตกมาเป็นฝน นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ง่ายๆ


ก็คือ กรรม กุศล อกุศล ย่อมที่จะเกิดวิบากแก่ท่านไม่ภพนี้ก็ภพหน้า นี่เป็นหลักแห่งสัจธรรม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร


(วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พ.ท.สอน นิยมโชค : กระผมสงสัยปัญหาธรรมดา เกี่ยวกับการกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร เราจะกรวดเวลาไหน ใส่บาตรแล้วกรวด หรือว่าเราต้องรอ จนกระทั่งพระฉันเสร็จเสียก่อน

สมเด็จ : ไม่จำเป็นเวลาไหน เมื่อเราใส่เสร็จจะกรวดก็ได้ เราลืมไป คืนนี้จะนอนกรวดก็ได้ เราลืมไป เข้าห้องส้วมกรวดก็ได้

พ.ท.สอน : ทีนี้เขาบอกว่า ถ้ากรวดช้านี่ อาหารจะบูดเสียหมด เดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรจะไม่ได้อาหารที่ดี

สมเด็จ : เจ้ากรรมนายเวรเขาเสวยในอาหารทิพย์ เขาไม่ใช่เสวยอาหารที่เราใส่บาตรเข้าไป แล้วมันจะบูดยังไง

พ.ท.สอน : ทีนี้ ในการเจ็บป่วยนี่ เราจะใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวร เราจะทำยังไงจึงจะถึงเจ้ากรรมนายเวรโดยสะดวกที่สุดครับ

สมเด็จ : จะให้ถึงสะดวกที่สุดก็คือ ก่อนเราจะกรวดน้ำ เราทำสมาธิ แล้วแต่จิตทำได้สักสิบนาที หรือสิบห้านาที หรือว่าครึ่งชั่วโมง แล้วให้จิตนั้นว่างจากสรรพสิ่งได้หรือไม่ เราต้องถามตัวเราก่อน ว่างจากสรรพสิ่งได้ แล้วเราใช้เจตนาแห่งความแน่วแน่ อธิษฐานบารมีให้ถึงเจ้ากรรมนายเวร อาตมารับรองว่า จะหายได้เร็ว

ทีนี้ มนุษย์ทุกวันนี้มันไม่ทำ แล้วเอาแต่ถาม ถามแล้วไม่รู้จะถามไปทำอะไร

พ.ท.สอน : ฉะนั้น ในการกรวดน้ำนี่ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : เอ็งเอาน้ำมาให้กูกินยังอร่อยกว่า คือนั่นเขาเรียกว่า คนที่ไม่เข้าซึ้งถึงคำว่า พุทธศาสนาคืออะไร ก็ทำให้ศาสนามันกลายจนไม่รู้เป็นศาสนาอะไร เข้าใจไหม คือในหลักแห่งการบวช บวชไม่ใช่บวชเพื่อให้เรียนเป็นมหาเท่านั้น บวชไม่ใช่เพื่อหวังตำแหน่งเจ้าคุณเท่านั้น แต่บวชเพื่อให้ตัวเองนั้น ละออกจากสรรพสิ่งในกิเลส เพื่อบำเพ็ญตนให้รู้ในองค์ฌาน เข้าซึ้งถึงธรรม

การเป็นพระอรหันต์ มีหน้าที่ปลดทุกข์ การเป็นพระอริยสงฆ์นั้น มีหน้าที่เป็นไปรษณีย์ไถ่กรรมให้กับเหล่ามนุษย์ เช่น พวกมนุษย์เขามาทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน

ถ้าในยุคสมัยองค์สมณโคดมแล้ว เขาจะรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้ ระหว่างเขาเอาอาหารลงใส่บาตรนั้น ขณะนั้นกระแสจิตเขาอธิษฐานอะไร แล้วเมื่อพระอรหันต์องค์นั้น กลับมาถึงวิหารเชตวัน ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรีบทำตามกระแสจิตของวิญญาณทั้งหลายที่มา คนที่มาใส่บาตรกี่คน เราจะต้องทำตามจิตนั้นให้เขาเสร็จ แล้วถึงมาบำเพ็ญฌานของตน นั่นคือในยุคนั้น

เพราะฉะนั้น ทำไมจึงบอกว่า ทำบุญในยุคนั้นได้เนื้อนาบุญ และได้ผล ทุกวันนี้ บางคนก็อาศัยผ้าเหลืองเพื่อเป็นโจรก็มี เพราะฉะนั้น ในการทำบุญก็เรียกว่า ดูการกระทำ เราถือว่าทำบุญนี้ เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เพื่อให้เราไม่เป็นบุคคลตระหนี่ เป็นคนที่เรียกว่า มีการเสียสละ ให้ใจเบิกบาน


เราก็ถือว่า ถ้าพระสงฆ์ไม่ถึง เราก็ใช้หลักแห่งการกระทำของเราให้มันถึง ก็คือ เราจะต้องส่งเสริมด้วยบารมี แห่งการอธิษฐานของเราด้วย เพื่อไปเสริมให้บุญนั้นสำเร็จมรรคผล

พ.ท.สอน : อีกนิดหนึ่งครับ คือมีบางท่านกล่าวว่า ในการกรวดน้ำนี่ ถ้าหากว่าเรากรวดน้ำให้แก่เจ้าสมุห์บัญชี หรือผู้ที่เป็นผู้จด อะไรนี่เสียก่อน แล้วฝากให้เขาจะไปถึงเร็ว อย่างนี้จะเป็นความจริงไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้ก็เป็นการให้สินบนยมบาล เพราะฉะนั้น ยมบาลต้องถูกเตะตูดให้มาเกิดในโลกมนุษย์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

แผ่เมตตาให้ศัตรูอโหสิกรรม


(วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : ขอกราบเรียนถาม วิธีแผ่เมตตาให้แก่ศัตรูจะปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : เจริญพร คือในหลักแห่งความจริงของการแผ่เมตตานั้น เป็นการชำระจิตของเรา ให้เป็นมิตรกับสรรพวิญญาณทั้งหลาย ที่มีอยู่ในพิภพนี้ และในสภาวการณ์ เราจะใช้บทแผ่เมตตาบทใดบทหนึ่งก็ได้ แต่จุดสำคัญ ต้องอย่าลืมว่า บทแผ่เมตตาของที่นี่ เป็นบทที่แผ่ทั้งสามโลกสี่โลก ครอบจักรวาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลังจากเราสวดมนต์ใดๆ หรือประกอบกุศลใดๆ ก็แล้วแต่ เราแผ่เมตตาบทนั้น แล้วก็ระบุชื่อถึงผู้นั้น ขอให้กุศลผลบุญที่เราสร้างนี้ ขอให้ผู้นั้นจงได้รับตามสภาวการณ์แห่งกรรมวิบาก ซึ่งเราเป็นมนุษย์ด้วยกัน เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต่างคนต่างมีกรรม ต่างคนต่างมีภาวะต้องมาเสวยกรรมวิบาก ต่างกรรมต่างวาระ เราจะมาเป็นศัตรูกันเพื่ออะไรเล่า อันนี้เราก็แผ่ไปเรื่อยๆ ผู้ที่คิดร้ายต่อเรา มันก็อาจจะร้อนไปเอง

นี่คือหลัก เรียกว่า อาวุธอันร้ายกาจขององค์สมณโคดม ก็คือ การใช้หลักเมตตาจิต


pngegg.5.3.1.png




บทแผ่เมตตา


พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นรกโลก มารโลก ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงมีแต่ความสบายจิตสบายใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยพิบัติทั้งหลายนั้นเทอญ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 11:14 , Processed in 0.117757 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.