แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

หตุใดครุฑกับนาคจึงไม่ถูกกัน


(วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๓)


สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

พระเชาวน์ ญาณวีโร : เมื่อกี้นี้ กระผมถามหลวงปู่เกี่ยวกับเรื่องของพญานาคที่มาขอบวชในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ก็ไม่ให้บวช ก็เลยมุดแผ่นดินหนีไป ถามว่าแผ่นดินที่พญานาคมุดหนีไปนั้น ตรงนั้นอ่อนหรือแข็ง ทำไมมุดลงไปได้

สมเด็จ : วันนี้ก็มาคุยเรื่องสัตว์ทั้งหลายดูก่อน เพราะเหตุใดจึงมีสกุลพญานาคเกิดขึ้น เพราะเหตุใดจึงมีพญาครุฑเกิดขึ้น

อันนี้ให้ถือว่า การเทศน์ในวันนี้ เป็นการฟังนิยายเล่นๆ สนุกๆ กัน เพราะว่าธรรมะขั้นลึกซึ้งคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็มาคุยในเรื่องนิยายดีกว่า


p4.png




พญานาคสี่สกุล


ในกาลครั้งหนึ่ง เทวดาทั้งหลายได้เกิดการรบกันขึ้น พระพิรุณเข้าข้างพระนารายณ์ รบกันไปจนลืมปล่อยน้ำลงมาโลกมนุษย์ มนุษยโลกเกิดความแห้งแล้งขึ้นทั่วพิภพ มนุษย์จึงร้องเรียนถึงพรหมโลก พรหมโลกได้ประชุมพร้อมกันว่า

ในขณะนี้เทวโลกได้แยกตนออกนอกมติสามโลก ตั้งเป็นเอกเทศ นี่คุยกันเรื่องสนุกๆ ฉะนั้นจะทำอย่างไรเล่า จึงจะให้มีน้ำตกลงมา เพื่อให้มนุษย์ไม่อดตาย เพื่อให้มีชีวิตอยู่ เพื่อในการใช้กรรมต่อไป  พญานาคทั้งสี่สุกลนี้แหล่ ได้อาสาในการดูดน้ำเข้าท้องแล้วพ่นน้ำออกเพื่อช่วยมนุษย์ในยุคนั้น

หลังจากนั้น ก็ได้รับการประทานพรของท้าวมหาพรหม ที่จะมาปลุกเสกในวันวิสาขบูชานี้ คือท้าวมหาพรหมสามวิจิตรแห่งพรหมโลก ผู้ลืมตาที่สามเมื่อไหร่ โลกบรรลัยเมื่อนั้น เวลาที่พึ่งออกจากสมาบัติก็ได้ ประทานพรว่า ให้เหล่านาคสี่สกุลนี้ มีเอกสิทธิ์พิเศษเหนือนาคทั้งหลาย ใครเห็นก็ไม่กล้าทำลายพญานาคสี่สกุล

พญานาคที่บำเพ็ญก็สามารถแปลงเป็นคนได้ เรียกว่า แปลงกายทิพย์นี้กลายเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้ เรียกว่าใช้พลังแห่งการบำเพ็ญมาแล้วเป็นร้อยๆ พันๆ ปี แปลงร่างขึ้นมาหลอกองค์สมณโคดม องค์สมณโคดมก็ได้รู้ด้วยญาณว่า นี่นาคแปลงร่างมาเพื่อขอบวช เมื่อภาวะแห่งการจับได้นั้นแหล่ พญานาคก็ได้แทรกลงดินไป ดินนั้นเป็นดินแข็ง แต่ทำไมนาคมุดลงไปได้ คือนาคมีหงอน ใช้หงอนขุดดินลงไป

พระเชาวน์ : แล้วดินแถวนั้นไม่พังทลายหมดหรือ

สมเด็จ : ดินแถวนั้นก็ได้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างแผ่นดินไหว นาคนั้นก็ได้มุดลงสู่ใต้บาดาล เพื่อจำศีลต่อ

พระเชาวน์ : แล้วแผ่นดินที่พญานาคขุดลงไปนั้น ดินตรงนั้นคงจะไม่เรียบเหมือนเดิม คงจะเป็นหลุมเป็นบ่อไปเลย

สมเด็จ : ในการนั้นก็ได้เกิดเป็นหลุมเป็นบ่อขึ้นมา องค์สมณโคดมก็ได้ใช้ฤทธิ์เดชแห่งเตโชกสิณ ปฐวีกสิณ ทำลายภูเขามาถมดินนั้นให้เรียบ

พระเชาวน์ : พญานาคขุดดินลงไปอย่างนั้น ถ้ามีหลายๆ ตัว แผ่นดินก็ถล่มทลายไปตามๆ กัน

สมเด็จ : ถ้ามีหลายตัวแผ่นดินก็ถล่มทลาย ทีนี้เรียกว่า ผู้มีฤทธิ์ต่อผู้มีฤทธิ์ แต่ในการสำเร็จเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค ย่อมมีฤทธิ์เหนือกว่า ฉะนั้น ในการรวมกระแสฌานญาณทิพย์แห่งองค์สมณโคดม ก็สามารถต้านในการสั่นสะเทือนของแผ่นดินได้

pngegg.5.3.1.png




ปัจจุบันยังมีพญานาคหรือไม่


พระเชาวน์ : แล้วพญานาคนี่ ปัจจุบันยังมีอยู่ไหมครับ

สมเด็จ : ปัจจุบันยังมีอยู่ แต่ไม่มาก และก็ไม่มีฤทธิ์เดชเหมือนในยุคนั้น

พระเชาวน์ : ที่ว่าพญานาคสี่ตระกูล ที่ครุฑไม่กล้ากินน่ะ ชื่ออะไรบ้าง

สมเด็จ : คือ พญานาควิรูปักษ์ และอีกชื่อหนึ่งที่เขาเรียก เป็นภาษาที่เขาตั้งขึ้นในยุคนี้ และในจักรวาล เป็นแฉกสามแฉกตรงกลาง นั่นคือ พญานาคสกุลวิรูปักษ์มาเกิดเป็นงู

พระเชาวน์ : ตราประทับนั้น รอยประทับนั้น มันเป็นรอยบุ๋มลงไปอย่างนั้นหรือ

สมเด็จ : เป็นรอยบุ๋ม

พระเชาวน์ : ไม่ใช่เป็นเพียงลวดลายเฉยๆ นะ

สมเด็จ : ไม่ใช่ เป็นรอยคล้ายๆ รอยประทับ นี่คือได้รับการประทับประทานพร จากท้าวมหาพรหมสามวิจิตร

pngegg.5.3.2.png




ที่อยู่ของพญานาค


พระเชาวน์ : ที่ว่าพญานาคยังมีอยู่นี่ เราจะไปดูได้ที่ไหนครับ

สมเด็จ : ในดินแดนแห่งสยามนี้ ดูเหมือนจะไม่มี ต้องไปโน่น เทือกเขามองโกเลีย

พระเชาวน์ : โอ้โฮ...แล้วที่อยู่ของพญานาค อยู่ที่ไหนครับ

สมเด็จ : ส่วนมากอยู่ใต้บาดาล อยู่ในถ้ำใต้น้ำ

พระเชาวน์ : พญานาคตัวหนึ่งนี่ ยาวสักแค่ไหนครับ


สมเด็จ : พญานาคนี้มีหลายจำพวก ถ้าอยู่เป็นห้าร้อยปี พันปี จะยาวหกวา

พระเชาวน์ : หกวาไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ แล้วเขาว่าพญานาคนี่ มันมีลูกแก้วจริงไหมครับ

สมเด็จ : ไอ้เรื่องนั้น มนุษย์ต่อเติมให้มันเป็นเรื่องอภินิหารเข้าไป

pngegg.5.3.3.png




ทำไมครุฑจึงกินพญานาค


พระเชาวน์ : พญานาคนี่ เขาว่าเป็นอาหารของครุฑจริงหรือครับ

สมเด็จ : อันนี้ต้องเข้าไปสู่ในหลักแห่งศาสนาพราหมณ์ ซึ่งในตำราว่า สัตว์สองสกุลนี้ พญานาคกับพญาครุฑเป็นพี่น้องกัน อาศัยอยู่ในถ้ำหน้าเขาคิชฌกูฏ ทีนี้ พระอาทิตย์จะขี้ม้าทรง ทุกๆ วัน จะมาจบที่หน้าเขาคิชฌกูฏ อันเป็นที่อยู่ของพี่น้องนี้ พญาครุฑก็บอกว่า กายของพระอาทิตย์เป็นสีแดง พญานาคบอกว่า กายของพระอาทิตย์เป็นสีเขียว

ทีนี้ได้โต้กันไปกันมา ก็ได้เกิดการพนันขันต่อกัน พญานาคบอกว่า ถ้าฉันแพ้เธอ ฉันจะให้เธอกินเป็นอาหาร ถ้าเธอแพ้ฉัน เธอจะต้องให้ฉันคล้องคอไปไหนต่อไหน ไม่ต้องเลื้อย ให้พญาครุฑเหาะพาไป ก็ได้ไปดูในที่ใกล้ๆ ปรากฏว่า พระอาทิตย์เป็นสีแดง ขี่ม้าแดงขาว แต่ตัวเป็นสีแดง ก็เป็นอันว่าพญาครุฑชนะ พญานาคก็ได้รักษาสัจจะ พญานาคก็ให้พญาครุฑกินเป็นอาหารตั้งแต่นั้นมา นี่เป็นตำราทางพราหมณ์ เขาว่ากันในยุคนั้น แต่การแห่งความจริงแล้ว เป็นการสาปแห่งคู่แค้นอาฆาตจากโลกวิญญาณ

พระเชาวน์ : พญาครุฑที่กินพญานาคนั่นน่ะ กินหมดทั้งตัว หรือกินบางส่วนของพญานาคครับ

สมเด็จ : อันนี้แล้วแต่ความพอใจ บางทีก็จะกินหัว บางทีก็จะกินตรงกลาง บางทีก็จะกินหาง แล้วแต่เขาเลือก พญาครุฑตัวหนึ่งจะกินพญานาคหมดทั้งตัว แล้วมันจะบินไม่ไหว

พระเชาวน์ : แล้วอาหารของพญานาคนั่นน่ะ กินอะไร

สมเด็จ : พญานาคกินสัตว์เล็กสัตว์น้อย ทั้งปลาทั้งคางคก อะไรทั้งหมดที่เป็นสัตว์

พระเชาวน์ : พญาครุฑโตสักแค่ไหนครับ

สมเด็จ : ก็เทียบเท่าๆ นกอะไรที่ตาโตๆ

พระเชาวน์ : นกเค้าแมวใช่ไหมครับ ตัวแค่นั้นเองน่ะหรือ แล้วไปกินนาคตัวยาวหกวาได้อย่างไร

สมเด็จ : ก็กินบางส่วน อาตมาบอกแล้วว่าไม่ได้กินหมด กินส่วนหัวนิดหนึ่ง กินส่วนหางนิดหนึ่ง กินส่วนกลางนิดหนึ่ง นี่แล้วแต่ความพอใจ ความฉันทะ

พระเชาวน์ :  แล้วจะไปฆ่าพญานาคได้อย่างไร

สมเด็จ : อันนี้ก็เป็นการตกลงกัน ไม่ต้องฆ่า หมายความว่า เธอเห็นฉันที่ไหน เธอเข้ามากินฉันได้เลย ฉันไม่สู้

p5.png




พญาครุฑมีจริงหรือ


พระเชาวน์ : เรียกว่า ยอมให้กินเฉยๆ พญาครุฑนี่รูปร่างลักษณะเหมือนนกอะไรครับ

สมเด็จ : ก็เหมือนนกเค้าแมวยังไงเล่า

พระเชาวน์ : แล้วออกเฉพาะกลางคืน หรือออกทั้งกลางวันกลางคืน

สมเด็จ : ครุฑนี่ไม่เลือก ออกทั้งกลางวันกลางคืน เรื่องครุฑนี่มันเรื่องยาว ครุฑนี่เกิดมากที่ประเทศเกาหลี เป็นต้นตระกูลครุฑเกิด

พระเชาวน์ : ประเทศเกาหลี เวลานี้ยังมีครุฑอีกไหม

สมเด็จ : ก็มีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก และอยู่บนยอดเขา ที่ไม่มีใครขึ้นไป เป็นป่า

พระเชาวน์ : จะหาดูได้ที่ไหนบ้าง ครุฑนี่

สมเด็จ : ในขณะนี้หาดูยาก ต้องไปดูยอดเขาโน้น

พระเชาวน์ : หน้าตาของครุฑเหมือนนกเค้าแมวอย่างนั้นหรือ หรือไม่เหมือน

สมเด็จ : คือตาหน้าพิสดารกว่านกเค้าแมว แต่ตานั้นคล้ายตามนุษย์

พระเชาวน์ : ตายาวๆ ไม่กลม แล้วพูดภาษาคนได้หรือครับ

สมเด็จ : ภาษาคนยังพูดไม่ได้

พระเชาวน์ : เขาว่าครุฑนี่แปลงเป็นคนได้จริงไหม

สมเด็จ : ต้องพวกครุฑจำศีล ใช้พลังจิตบังคับกายทิพย์ อย่าลืม ถ้าหมาแมว ฝึกในการจำศีลเป็นเวลานานๆ ปีได้ แล้วตัวของเขา วิญญาณของเขายินดีบำเพ็ญ มันก็สามารถใช้กายทิพย์แปลงออกมา เป็นรูปร่างของการเป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็ได้ คือ ถ้าสามารถปฏิบัติจิต ในการถอดวิญญาณกับขันธ์นี้ออกได้แล้ว ท่านย่อมสามารถจะทำอะไรก็ได้ โดยเรียกว่า ไม่ผิดกฎของโลกวิญญาณ

พระเชาวน์ : เขาว่าพญานาคแปลงเป็นคนได้จริงหรือ

สมเด็จ : อันนี้ อยู่ที่การบำเพ็ญบารมีของเขาแต่ละตัวๆ จะบำเพ็ญกี่ปี มีความรักษาศีลสมาธิขนาดไหน การกลายเป็นคนก็ใช้กายทิพย์นั่นเอง ไม่ใช่รูปร่างพญานาคนั้นกลายเป็นคน คือ ถอดวิญญาณนั้นออกมา

เอาละ วันนี้คุยกันแต่เรื่องนาค ครุฑ สงสัยงวดนี้ มีครุฑ มีนาค


หมายเหตุ ขอให้ท่านอ่านประกอบเป็นความรู้ อย่าจริงจังยึดมั่นถือมั่นกันนัก แล้วจะสบายใจ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

พญานาค ๔ ตระกูล


(วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณแก่นกล้า สุคันธมาลย์ : หลวงพ่อครับ พญานาค ๔ ตระกูล มีประวัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : พญานาคเกิดจากพวกงู ทีนี้ พญานาค ๔ ตระกูลนั้นน่ะเป็นพญานาคที่ได้รับอำนาจจากพรหมองค์หนึ่ง ทีนี้ ทำไมครุฑกินนาคแล้วไม่กินพญานาค ๔ ตระกูล แล้วทำไมพิษของพญานาค ๔ ตระกูล สามารถเผาแผ่นดินได้ นี่เรื่องยาวนะ

คุณแก่นกล้า : หลวงพ่อครับ พญานาคนี่เหาะได้ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : คือว่าพญานาคนี่ ส่วนมากบำเพ็ญมาจากงูใหญ่ งูเหลือม ถ้าไม่กินสัตว์ กินแต่หญ้า กินแต่ดิน กินแต่น้ำ งูเหลือมนั้นจะบำเพ็ญนาคได้ เมื่องูเหลือมนั้นอยู่ถึง ๕๐๐ ปี จะเริ่มมีหงอน นี่คือกลายเป็นพญานาค

พลังแห่งพญานาคนี้ เขาเรียกบำเพ็ญด้วยฌาน ย่อมที่จะเปล่งรัศมีให้ตัวลอยได้ เปรียบเสมือนหนึ่ง ถ้าท่านถึงจตุตถฌาน ๔ ตติยฌาน ๓ ในอภิญญา ๔ ก็สามารถถอดกายทิพย์ออกมาได้ เนรมิตกายอีกกายหนึ่งนั่งอยู่ข้างนอกได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

ทีนี้ งู ถ้าบำเพ็ญแล้วจะกลายเป็นนาค นาคที่อยู่ใต้บาดาลก็มี นาคที่เป็นวิญญาณก็มี มหาสมุทรแปซิฟิกลึกลงไปสามหมื่นฟุตก็จะมีเมืองนาค มีพวกพญานาคอยู่

ในหลักอันนี้ ทำไมครุฑบางตัวไม่ชอบกินนาคใน ๔ ตระกูล เพราะนาค ๔ ตระกูลนี้ ได้รับอำนาจจากพรหม แล้วทำไมครุฑจึงกินนาค ก็เนื่องจากสมัยหนึ่ง ครุฑกับนาคพนันกัน พญาครุฑบอกว่า พระอาทิตย์ขี่ม้าขาวตัวแดง พญานาคบอกว่า พระอาทิตย์ขี่ม้าขาวตัวเขียว อย่างนี้ต้องเข้าไปดูใกล้ๆ พระอาทิตย์


พญานาคบอกว่า ถ้าฉันแพ้เธอ ฉันจะให้เธอกิน ถ้าพญาครุฑแพ้ฉัน จะทำอย่างไร พญาครุฑก็บอกว่า ถ้าฉันแพ้เธอ ฉันจะให้เธอขี่คอ ให้เธอคล้องคอไปไหนๆ เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า ศิลปะบางอย่างสมัยขอมเก่าจะทำเป็นนาคคล้องคอครุฑ

ทีนี้ก็พนันกันเสร็จเรียบร้อย ตกลงสัญญากัน วันหนึ่งก็เข้าไปใกล้พระอาทิตย์ ไปถึงพญานาคก็แพ้พญาครุฑ พญาครุฑก็บอกว่า กูกำลังหิว ดีนักแล ก็ได้ต้อนจับกินพญานาค จนนาคสิ้นตระกูล ทีนี้ระหว่างกินนาคอยู่นี้ จะไปกินนาค ๔ ตระกูล ก็เลยถูกนาค ๔ ตระกูลกิน


อ้าว ทำไมนาคกลับกินครุฑล่ะ ก็เพราะนาค ๔ ตระกูล เขาบำเพ็ญฌานญาณมา วิรูปักเข เหล่านี้ ก็ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาตกลงสัญญา บอกนาค ๔ ตระกูลนี้ สืบเชื้อสายมาจากอัปราพรหม (พระพรหมที่ไม่มีรูป ย่อมกินไม่ได้) เพราะฉะนั้น นาค ๔ ตระกูลนี้ ห้ามกิน

ฉะนั้น ถ้าพญานาคหรือว่างูที่เกิดจาก ๔ ตระกูลนี้แล้ว ท่านจะเห็นว่า งูเห่า งูเหลือม งูอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสืบเชื้อสาย ๔ ตระกูลนี้มาเกิด ท่านจะสังเกต ที่หัวมีเป็นแฉกสามแฉก สามขีด แล้วจะมีขีดอันหนึ่งลงมาอยู่บนหัว งูพวกนี้มาจาก ๔ ตระกูลที่มาเกิด สำหรับพวกที่จะเข้าป่า ถ้าเจองูเหล่านี้ ท่านจงอย่าทำลาย ถ้าท่านทำลาย ท่านจะมีกรรมวิบากถึง ๗ ชั่วโคตร นี่คือคำที่เขาได้รับพร

คุณแก่นกล้า : หลวงพ่อครับ พวก นก กา เป็ด ไก่ เขาว่าเมื่อก่อนพูดได้ จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : สมัยเริ่มสร้างโลกใหม่ๆ จิตใจเหล่านี้เรียกว่า สะอาด แล้วก็ภาษาที่พูด ก็ไม่ใช่ภาษาในปัจจุบันที่เขาพูดกัน เรียกว่า รู้กัน

ทีนี้ ในขณะนี้ ถ้าท่านจะพูดกับนก กา ไก่ ท่านจะฟังเสียงของนก กา ไก่ เข้าใจ ท่านจะต้องพยายามปฏิบัติจิตให้ถึง จตุตถฌาน ๔ แล้วท่านจะฟังเสียง นก กา ไก่ หมา ได้

อย่างท่านไปไหน หมามันเห่า โฮ้งๆ มันถามว่า มึงมากี่คนเว้ยนี่ ท่านต้องบอกว่า มาสองคนเว้ย เข้าใจไหม แล้วไก่มันบอกว่า เอ้ก อี เอ้ก...นี่ เช้าแล้วนะ ถ้าตอนกลางวัน อีเอ้ก...ฉันหิวแล้ว ข้าวเปลือกอยู่ไหนนะ

เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ เขาเรียกว่า แปรสภาพตามวิบากกรรมของวัฏสงสาร ของกฏแห่งกรรม เพราะฉะนั้น ท่านจะฟังภาษาสัตว์ได้ ต่อเมื่อท่านทำจิตให้ถึงจตุตถฌาน ๔ แล้วไซร้ ท่านแผ่มหาอำนาจแห่งเมตตา ท่านเดินเข้าไปหาเสือ เสือก็ไม่กัดท่าน

หมายเหตุ ขอให้ท่านถือเป็นการอ่านประกอบความรู้ อย่ายึดมากนัก

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

ทำอย่างไรให้สังขารเสื่อมช้า


(วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : เจริญพร

ในหลักแห่งการดำรงตนเพื่อเป็นมนุษย์นี้ ถ้าจะอธิบายตามหลักของโลกวิญญาณแล้ว คือ มนุษย์ก่อนเกิด ยมบาลลงวันตายมาให้แล้ว เมื่อมนุษย์ถึงภาวะสิ้นอายุขัย แม้แต่องค์สมณโคดมก็ช่วยไม่ได้

ทีนี้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ จะอยู่อย่างไรที่จะให้สังขารนี้ผ่องใส ในวิธีการแห่งการรักษาสังขารให้เสื่อมช้า ตามกฎแห่งความจริงของธรรมชาติแล้ว เราต้องรู้จักแบ่งภาระ วางเวลาของตน คือ วันหนึ่งเราจะมีเวลาให้กับการนั่งสมาธิกี่ชั่วโมง ในการชำระจิตของเราให้สิ้นจากความวุ่นวายทางโลก จากการงานที่เราเกี่ยวข้องอยู่

สมมติเราจะตั้งว่า ตอนเช้าเราจะตื่น เราควรจะตื่นตอนไหน ในยามแห่งการทำสมาธิดีที่สุด คือยามรุ่งอรุณ สมมติว่าเราจะนอนแต่หัวค่ำ แล้วตื่นตอนตี ๓ ลุกขึ้นมาทำสมาธิให้จิตนิ่งเสียก่อน ก่อนเดินจงกรมแล้วไซร้ รับรองว่าสังขารนี้จะร่วงโรยด้วยความช้า

สำหรับในวิธีการนั่ง อาตมาก็ได้เทศน์ไว้เยอะแล้ว คือให้หาที่สงบแห่งความวิเวกวังเวง การนั่งให้นั่งตัวตรง นิ้วหัวแม่มือต่อนิ้วหัวแม่มือต้องชนกัน ซึ่งเป็นการรักษาโรคในกายด้วย แต่ตาเนื้อที่อยู่ข้างในนี้ ไม่ใช่หลับนะ ปิดแค่เปลือกตา ตาในมองปกติ ให้ตั้งจิตอยู่กึ่งกลางหน้าผาก ลำตัวตั้งให้ตรง แล้วเราจะใช้อะไรเป็นสรณะเล่า จะใช้พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรือจะใช้อะไรก็แล้วแต่

ถ้านั่งได้วันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วไซร้ ดีกว่าท่านกินยาอายุวัฒนะ กินยาบำรุงเป็นขวดๆ ไหๆ เมื่อสภาวการณ์นั่งถึงหนึ่งชั่วโมง แห่งการปรับธาตุของดิน น้ำ ลม ไฟ ในกายนี้สงบเพียงพอแล้ว สภาพการณ์เพื่อคลายความเครียด ให้ใช้หลักแห่งการเดินจงกรม

pngegg.5.3.1.png




วิธีการเดินจงกรม


ในสภาวการณ์เดินจงกรมนี้ ลำตัวต้องให้ตรง อกผายไหล่ผึ่ง จะต้องให้มือตรงอย่างนี้ (มือขวาซ้อนทับมือซ้าย อยู่ด้านหลัง บริเวณบั้นเอว นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกัน) การที่สัมผัสอย่างนี้ เพื่อให้ธาตุไฟเดินถึงกัน ถ้านิ้วมือห่างไม่จรดกัน ธาตุไฟเดินไม่ถึงกัน จะทำให้จิตใจเสื่อมหรือกายเนื้อเสื่อม อาจทำให้กายทิพย์เสื่อมด้วย

การเดิน ให้ก้าวเท้าซ้ายออกไป สูดลมหายใจเข้าพร้อมกับภาวนา “พุท”ห้ส้นเท้าขวาชิดหัวแม่เท้าซ้าย แล้วก้าวเท้าขวาออกตามไป ให้ส้นเท้าขวาชิดหัวแม่เท้าซ้าย หายใจออกพร้อมกับภาวนา “โธ” สายตารวมเพ่งไปที่หัวแม่เท้าขวา ในการวางเท้านั้น ใช้ปลายเท้าลงก่อน ส้นเท้าลงตาม แล้วเดินช้าๆ ถ้าดีที่สุดให้เดินบนสนามหญ้าที่มีน้ำค้างพรมยามรุ่งอรุณ

pngegg.5.3.2.png




อานิสงส์ของการเดินจงกรม


อานิสงส์ของการเดินจงกรมนี้ จะช่วยปรับธาตุในกายให้เสมอ ผู้ที่เป็นโรคไต เดินจงกรมแล้วจะหาย

ถ้
าทำทุกวันๆ สม่ำเสมอ ปฏิบัติอย่างนี้ไปประมาณ ๓ เดือนสม่ำเสมอ อาตมากล้ารับรองว่า สังขารที่เราเป็นอยู่นี้จะสบายกว่านี้ และดีกว่านี้ ดีกว่าในการเล่นกีฬาใดๆ ทั้งสิ้น
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

การตายระหว่างเป็นจะพ้นทุกข์


(วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมมีข้อสงสัย ในพระโอวาทของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ที่ได้กล่าวเอาไว้หลายตอนว่า "จงพยายามฝึกจิตให้รู้การตายระหว่างเป็น การตายระหว่างเป็นจะพ้นทุกข์ ใครเป็นผู้กุมบังเหียนของโลก ต้องแก้ที่พวกนี้” การตายระหว่างเป็นนี้ หมายความว่าอย่างไรครับ และจะต้องปฏิบัติถึงขั้นไหน และจะแก้ผู้กุมบังเหียนของโลกโดยวิธีใดครับ

สมเด็จ : คือ การตายระหว่างเป็นนั่นแหล่ ถ้าท่านฝึกจิตถึงจตุตถฌานสี่ ท่านสามารถถอดกายทิพย์ออกจากร่างเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องถึงอายุขัย

ถ้าฝึกยังไม่ได้ ก็จงพิจารณากายในกาย ในร่างกายเรานี้ มีอะไรเล่า สังขารนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อท่านกินข้าว กินอาหารก็ติดโน่นติดนี่ ท่านจงพิจารณาว่า สิ่งที่กินลงไปนี้ ในท้องก็มีแต่หนอน ตัวพยาธิ ตัวหยิกๆ อะไร พยายามเอาภาพเหล่านี้ไปอยู่ในจาน ว่านี่ กินเข้าไปก็ไปบำรุงตัวพวกนี้ นี่คือ สำหรับผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็ให้รู้ว่าสังขารนี้ไม่เที่ยง

ทีนี้ สำหรับผู้กุมบังเหียนของโลกนั้น จงจำเอาไว้ว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งปีศาจครองเมือง ยุคแห่งอสุรกายหลุดออกจากนรกโลก ขึ้นมาเสวยความเป็นใหญ่ในโลกมนุษย์ เขาเหล่านั้นไม่ยอมเข้าใจถึงหลักธรรมะ เราจะแก้พวกนี้ก็ต้องพยายามเอาธรรมะไปให้ ให้พวกเขาอ่านเพื่อขัดเกลาจิตใจ คือวิธีการเอาสัจจะเข้าไปสู้กับอธรรม

ฉะนั้น ถ้าคนไหนมาว่าสำนักปู่สวรรค์นี้ยุ่งกับการเมือง ท่านจงตอบเขาว่า สำนักปู่สวรรค์นี้อยู่เหนือการเมือง อยู่เหนือโลก อยู่เหนือธรรม และจงถามเขาว่า คำว่าการเมืองนั้นแปลว่าอะไร การเมืองนั้นเกิดก่อนธรรม หรือว่าธรรมเกิดก่อนการเมือง

สานุศิษย์ : แล้วการตายระหว่างเป็นจะพ้นทุกข์นี่ล่ะครับ

สมเด็จ : มันตอบอยู่แล้วนี่ การตายระหว่างเป็น ตายแล้วก็พ้นทุกข์ คือคนของเรามันทุกข์เพราะมันกลัวตาย มันจึงสร้างเรื่องกลบเกลื่อนให้เป็นสุข ถ้าจะให้รู้คำว่าตายแล้วมันจะไม่มีทุกข์

ให้เข้าถึงคำว่าตายง่ายที่สุด คือตอนอาบน้ำ ให้พิจารณาตัวว่ามีอะไร เมื่อออกจากห้องน้ำต้องสวมใส่สิ่งสมมติของโลก สังขารนี้ต้องทิ้งอยู่กับโลก มีข้าวกินให้ท้องอิ่มก็สุขแล้ว สิ่งสมมติของวัตถุเป็นสิ่งเอาไปไม่ได้ ถ้าคนคิดได้ ตีได้แค่นี้จะมีทุกข์ไหม อาตมาถาม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

การฝึกเตโชกสิณ


(วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณจิ้นตง แซ่เหลี่ยว : หลวงปู่ครับ ผมจะฝึกเตโชกสิณ ควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ ในการที่จะดำเนินด้านคำว่า เล่นเตโชกสิณนี้ ต้องรู้ว่ากสิณนี้ เป็นกสิณแห่งความร้อน คือ ใช้พลังแห่งธาตุไฟ พวกฤษีตาไฟชอบทำกัน ภาวะอันนี้ จะต้องมีสิ่งบำรุงบางอย่างในทางวัตถุ เพื่อช่วยให้ขันธ์นี้ อย่าได้มีการเสื่อมโดยเร็ว ฉะนั้นต้องระวัง

ทีนี้ในการดำเนิน ถ้าท่านรวมในด้านกสิณให้แข็งแกร่งแล้ว พลังในร่างกายย่อมมี เพราะพลังเหล่านี้เกิดจากอำนาจแห่งการสะสมของปราณ

ท่านอย่าลืม พลังในร่างกายมนุษย์นี้ ทุกอย่างที่อัศจรรย์เหนือความเป็นอยู่ของธรรมชาติ คือพลังอำนาจลี้ลับ พลังอำนาจลี้ลับเหล่านี้ ท่านจะสะสมได้ ด้วยการเข้าสมาธิ ท่านสะสมด้วยการเพ่งฌาน ท่านสะสมด้วยการถ่ายปราณ

สำหรับการถ่ายปราณนั้น ท่านต้องหาที่โล่ง และเป็นที่กว้างขวาง ในที่นั้นจะต้องมีต้นไม้มาก จะทำให้ได้ปราณดีเข้าบรรจุในร่างกายมาก เมื่อมีปราณดีบรรจุในร่างกายมาก ร่างกายของท่านก็จะแข็งแกร่ง แล้วมีพลัง อันนี้เป็นสิ่งธรรมดา ฉะนั้น ในด้านการที่จะฝึกเตโชกสิณนี้ จำเป็นที่จะต้องมียาบำรุงในทางโลกช่วย ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยตาจะมืด


คุณจิ้นตง : ใช้ยาบำรุงอะไรครับ

สมเด็จ : เกี่ยวกับประสาทตา ต้องไปถามพวกหมอปัจจุบันช่วยประกอบ ถ้าในสมัยโบราณนั้น เรียกว่า เล่นเตโชกสิณนี้ เขาเล่นร้อน ถ้าท่านจะเพ่งพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ท่านจะต้องกินเลือดงูเห่า ๗ ตัว สามปีท่านสามารถเพ่งคนให้ละลายได้

คุณจิ้นตง : หลวงปู่ครับ เอาแค่ให้มันใกล้สำเร็จก็พอครับ ไม่ต้องไปเพ่งอย่างอื่นให้ละลายหรอกครับ หลวงปู่ช่วยกรุณาแนะนำยาหน่อยครับ

สมเด็จ : ยาธรรมชาติ หาพวกผักบุ้ง แกนหัวปลี แล้วก็พวกหน่อไม้สด แต่มึงเป็นโรคผู้หญิงหรือเปล่าวะ โรคผู้หญิงมึงกินแล้วเดี๋ยวเกิดโรคเว้ย

คุณจิ้นตง : แล้วกินครั้งเดียวหรือครับ

สมเด็จ : ต้องกินไปเรื่อยๆ ซิ เคี้ยวกับเกลือ ๓ ช้อน ทุกๆ เช้า ทุกวัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

คุณความดีของสมาธิ


(วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : สมาธิที่นั่งกันนี่ ปราบกิเลสชนิดไหนได้บ้างเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ในปัญหาเรื่องสมาธินี้ หลักความจริงของพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า

การนำทาง    สู่นิพพาน     ด้วยเหตุตน
ดำรงตน       มีศีลธรรม    ให้มั่นคง
ทำจิตนิ่ง      ให้เอกะ       ประภัสสร
ยิ้มผ่องใส     ปีติเกิด       ปัญญาล้อม

ทีนี้ การทำสมาธิ ไม่ใช่ว่าทำขั้นนี้แล้วจะได้ขั้นไหน คือ เพียงแต่ให้สวดบทสวดมนต์ที่ย่อเพื่อจะให้ปลงขันธ์ ในเรื่องของสิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูลเพื่อให้ขันธ์นี้อยู่ เสร็จแล้วก็จะได้ให้จิตนิ่งสักพักหนึ่ง แต่ในภาวะขณะนี้ ในที่ประชุม ทุกคนก็เรียกว่า จิตไม่นิ่ง บางคนก็คิดถึงบ้าน บางคนก็คิดถึงลูก บางคนก็คิดถึงนั่นคิดถึงนี่ สำหรับพวกหนุ่มสาวก็คิดถึงหนังละคร

เพราะฉะนั้น ที่มานั่งนี้ ก็เพียงแต่ให้สงบชั่วยาม ที่จะได้อะไรมากมายนั้น คือ ก็ได้ขณะจิตที่ได้สวดมนต์ ตั้งใจอยู่ในการยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ได้ขณะจิตที่นิ่งชั่วประเดี๋ยว ที่ยังปรับธาตุไม่เสมอ อันนี้เพียงแต่ให้รู้รสเริ่มต้น แผนการทำสมาธิขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านให้มีความเด็ดเดี่ยว ให้มีความนิ่ง นี่เป็นหลักของศาสนาที่ให้บวชเพื่อละ ไม่ใช่บวชเพื่อยึด ซึ่งเป็นหลักที่พระองค์ทรงสอน

ฉะนั้นจึงขอสรุปว่า ที่นั่งนี่ เพียงแต่ว่านั่งเป็นตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ ก็เรียกว่าวันนี้เอ็งก็ได้สวดกับเขาด้วย กูนึกว่ามึงไม่กล้ามาแล้ว เพราะกลัวขโมยจี้

คุณหญิงระเบียบ : ไม่ได้กลัวขโมยจี้เจ้าค่ะ ขาเจ็บ หลวงพ่อไม่ทราบหรือเจ้าคะ ไม่เห็นไปเหลียวแลเอาใจใส่เลย ขาเจ็บหมดทั้งสองข้าง แล้วต้องไปโรงพยาบาล ไม่เห็นหลวงพ่อจะไปเหลียวแลเลยสักนิดเดียว ลูกจะมาต่อว่าแล้ว

สมเด็จ : คือเหลียวแล ก็เหลียวแลตามภาวะ ทีนี้จะไปนั่งโอ๋กัน มันก็ไม่ไหวเว้ย

คุณหญิงระเบียบ : ไม่ต้องโอ๋เจ้าคะ ไปให้เห็นนิดเดียวก็ยังดี ให้เห็นว่าหลวงพ่อไปเยี่ยม ที่ไม่เหลียวแล หมายถึงไม่ได้ไปเยี่ยมเลย

สมเด็จ : เยี่ยมก็เยี่ยมแบบในๆ ไม่ได้เยี่ยมแบบออกหน้าออกตา

คุณหญิงระเบียบ : เยี่ยมในๆ ก็น่าจะทราบซิเจ้าคะ นี่ลูกไม่ทราบเลย คอยนั่ง คอยดูว่าหลวงพ่อจะมาบ้างไหม ไม่เห็นไปเลย

สมเด็จ : ก็คืนนี้ไปนั่งซิ

คุณหญิงระเบียบ : จะให้หลวงพ่อแสดงเรื่อง แรงอานิสงส์ของสมาธิเจ้าค่ะ เพื่อคนฟังเขาจะได้มีศรัทธาที่จะทำสมาธิ ว่ามีอานิสงส์กำจัดกิเลสนิวรณ์พวกไหนได้บ้าง เพราะทุกวันนี้ พวกเราก็เต็มไปด้วยนิวรณ์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทำสมาธิกันจนกระทั่งจิตนิ่งได้ จะกำจัดนิวรณ์อะไรได้บ้างเจ้าคะ

สมเด็จ :

สมาธิ              เป็นหลัก         ศาสนา
ผู้ทำจริง           ถ่องแท้          ได้ปัญญา
นำตนพ้น          นิวรณ์ห้า        ที่พัวพัน
โลภโกรธหลง   เป็นหลักใหญ่   ของตัณหา
ติดในตา          ติดในรส          เป็นที่ตาม
ภาวะกรรม        ทั้งหลาย         วิบากทั่ว
ตามเรื่องราว     แต่ละคน         ไม่เหมือนกัน
อำนาจจิต        ได้นิ่งดี            นำตนพ้น สังสารวัฏ
ตัดได้เมื่อ        ภาวะกรรม        การทำจิต ให้ดีไป
สมาธิ             นำผ่องใส         สู่ร่างกาย
ทุกวันนี้           มนุษย์ชั่ว         มนุษย์โกง
มนุษย์ชั่ว         มนุษย์โลภ        มนุษย์กัด
กินกันทั่ว         ทั้งแผ่นดิน        ร้อนเป็นไฟ
ภาวะกรรม        ยึดตัวตน          ว่าไม่ได้
ก่อความยุ่ง       ก่อความเหยิง   ทั่วแผ่นดิน
ร้อนทั่วไป        เพราะโลภะ       เข้าครอบงำ
ไม่สันโดษ       ไม่นำตน           อยู่เดียวดาย
บำเพ็ญจิต       ให้นิ่งใส           ละโกรธเอย
ละโกรธได้       ละหลงได้         ละโลภได้
กระแสจิต        พลังกาย           กายในกาย
ซ่อมแซมไป     ทั่วกายเนื้อ       สภาพดี
ร่างกายฟุ้ง       ฉุดขึ้น             กระชากไป
เห็นสาวสาว     เดินตามไป       ด้วยความฟุ้ง
จะลงยังไงไม่รู้เว้ย คือ

อำนาจสมาธินั้น หนึ่ง จะช่วยให้ท่าน ถ้าถึงแห่งความนิ่งของจิตประภัสสร เขาเรียกว่า กระแสธาตุทั้งสี่เสมอแล้วไซร้ ภาวะนั้น ท่านจะพบสุขอันหนึ่ง เขาเรียกว่า สุขภายในกาย เขาเรียกว่า จุติ พลังแห่งการจุตินี้ ทำให้ท่านเกิดแสงสว่างขึ้นในหลักแห่งปัญญา หรือว่าธาตุสี่เสมอ อัปปนาสมาธิขึ้น

อัปปนาสมาธินี้จะเกิดเป็นธาตุทั้งสี่รวมกันเสมอ ในกระแสจิตของท่าน หรือว่าในมันสมองของท่าน คล้ายๆ จะเป็นดวงอาทิตย์ สีเหลืองอ่อนอยู่ใน เรียกว่า หน้าท่านจ้า แล้วกระแสจิตจะเกิดปีติ พลังแห่งปัญญาก็แล่นทั่วไป

คือว่าร่างกายเรา ท่านทั้งหลาย ท่านต้องเข้าใจว่า ท่านเกิดเป็นคนนั้น เพราะว่าท่านมีกรรมในอดีตที่สร้างมาให้ปัจจุบันกรรมที่จะต้องทำ เพื่ออนาคตกรรมไปสู่ปรภพ ก็คือ กรรมในอดีตส่งให้เกิดเป็นคนปัจจุบัน ปัจจุบันการเป็นคน ถ้าเราไม่รู้จักในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ดี ตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิ ไปสู่นรกอเวจี

ทีนี้ ท่านที่เป็นนักศึกษาวิชาสมัยใหม่ ท่านก็นึกว่านรกสวรรค์ไม่มี นึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องขู่กันเล่น ถ้าท่านศึกษาในพระอภิธรรมปิฎก ศึกษาในพระวินัยให้ดี ศึกษาในพระสูตรให้ดี ล้วนแต่มีเรื่องที่พระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับเทวดา มีเรื่องเกี่ยวกับโลกหน้าทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีจริง ต้องอย่าเพิ่งปฏิเสธ คือ ท่านต้องไม่ปฏิเสธในหลักแห่งสสาร พลังงาน การที่ท่านเชื่อว่า ตายแล้วสูญ ท่านก็คือ นักวิทยาศาสตร์อยู่กองขยะ เรียกว่า นักวิทยาสาก ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เพราะว่า การเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เขาจะต้องค้นคว้าไปสู่ในเรื่องของสสารพลังงาน ในเรื่องสสารพลังงาน ก็คือการเข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง คือ โลกวิญญาณแห่งปรภพ


pngegg.5.3.1.png




อำนาจสมาธิรักษาโรค


ทีนี้ ภาวะแห่งการทำสมาธินี้ ถ้าท่านทำได้จิตสงบนิ่งแล้ว โรคต่างๆ ในร่างกายของท่าน ที่เรียกว่า ไม่ใช่ป่วยด้วยโรคแห่งกรรมแล้ว เรากล้าพูดว่า กายเนื้อของท่านสามารถที่จะใช้พลังสมาธิ เผาผลาญเนื้อที่เสียไปด้วยธาตุไฟ

การนิ่งนั้น จะไปซ่อมแซมให้กายเนื้อนี้ให้กระฉับกระเฉง และโรคธรรมดาๆ ของมนุษย์ก็จะหายได้ แต่ถ้าเป็นโรคแห่งกรรมแล้ว โรคแห่งกรรมในอดีต หรือโรคที่เกิดจากวิญญาณพยาบาทเหล่านี้ จะต้องมีการแก้กรรม ดุลกรรม หรือว่าขออโหสิกรรม นี่เป็นเรื่องของโรค

pngegg.5.3.2.png




เข้าฌานสู่อภิญญา


ทีนี้ พลังสมาธิ ถ้าถึงจุดอัปปนาสมาธิแล้ว เข้ามาเล่นทางฌาน ไม่ใช่ทางญาณ ต้องเข้าใจว่า ฌานกับญาณนี่มันคนละตอน ก็มาเล่นทางฌาน มาถึงจตุตถฌาน เล่นอภิญญาสาม แล้วท่านก็จะสามารถติดต่อกับพวกรุกขเทวดาได้ ติดต่อกับเทพพรหมที่พอจะเรียกว่า ขั้นสูงพอประมาณได้ แต่ถ้าเทพพรหมชั้นสูงสุดน่ะ เขาไม่ค่อยให้มนุษย์ส่งกระแสจิตถึง นั่นแหละ ท่านก็จะรู้ว่า สภาพการเป็นอยู่ของวิญญาณเป็นอย่างไร ก็พอจะรู้ว่านรกสวรรค์มีอย่างไร นั่นคือหมายถึงว่า เล่นจตุตถฌานสี่ มาเข้าสู่อภิญญาสาม

ทีนี้ มาสู่วิปัสสนาญาณ เมื่อภาวะท่านสามารถทำวิปัสสนาถึงขั้นเรียกว่า หลุดพ้นจากสังสารวัฏ คือ หลุดพ้นจากกฏแห่งกรรมของวัฏสงสารแล้ว ท่านก็สำเร็จจิตแห่งการเป็นพระอนาคามี หรือโสดาปัตติมรรคขึ้นไป หรือจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ว่าสมัยนี้อรหันต์ในโลกมนุษย์ตามวัดต่างๆ มีอรหันต์กันมาก เรียกว่าหันซ้าย หันขวา หันจะชนกันตาย นั่นเขาเรียกว่าหันกันไป แต่ไม่ใช่หันในด้านนามธรรม

ฉะนั้น คุณความดีของอำนาจสมาธิ ตามที่อาตมาได้ติดต่อกับพระสยามเทวาธิราชก็ดี เจ้าพ่อหลักเมืองก็ดี ก็ว่าในสภาวะขณะนี้ โลกมนุษย์ทุกสิ่งทุกอย่าง น้ำมันก็แพง อะไรๆ ก็แพง ที่มันไปเสียเงินเสียทองกัน เช่น ไปดูหนัง กลับมาก็ติดกิเลส เรามาเล่นกายในกายดีกว่า คือมานั่งสมาธิ เงินก็ไม่ต้องเสีย น้ำมันก็ไม่ต้องใช้ ทำให้ประหยัดด้วย และการจะทำสมาธิให้ได้ผลนั้น

หนึ่ง ท่านจะต้องสันโดษ
สอง ท่านจะต้องไม่มีความกังวล
สาม ท่านจะต้องไม่มีการนัดแนะ


เพราะการมีนัดแนะนั้น จะทำให้นั่งสมาธิไม่ค่อยติด คือมันเกิดความพะวักพะวน เช่นว่า กำลังจะทำสมาธิ นัดอีหนู หรือนัดไอ้หนุ่มไปดูหนัง พอนั่งสมาธิลงไปก็เห็นแต่ว่า เดี๋ยว กำลังจะไปจู่จี๋กันในโรงหนัง มันก็เป็นสมานึกเลย นึกไปนึกมามันก็เลยเป็นสมาธิกรรมกันไป ว่ากันไป

คุณหญิงระเบียบ :  เรื่องอัปปนาสมาธิยังสูงสุดเอื้อม เพียงแต่อุปจารสมาธิก็ให้ได้เสียก่อน แหม หลวงพ่อจะให้ถึงอัปปนาเลย

สมเด็จ : อ้าว ไอ้นั่นตอบสำหรับให้มึงเข้าใจ ไม่อย่างงั้น เดี๋ยวมึงจะซักต่อนี่หว่า กูก็เลยตอบทีเดียวให้หมดเลยเว้ย ทีนี้ ชาวบ้านธรรมดาก็ให้เขาแค่สวดมนต์ ไหว้พระ และรู้จักประหยัด แล้วทำจิตให้นิ่งก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น กันมึงแย้งยังไงล่ะ กูก็ตอบให้มึงหมดเลยซิวะ

คุณหญิงระเบียบ  : แล้วที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ตัณหา เปรียบเสมือนไฟที่ไม่รู้จักอิ่มเชื้อ ไฟน่ะไม่อิ่มเชื้อ ใส่เชื้อเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งลุกยิ่งไหม้ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ อันเชื้อไฟนี้ได้แก่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ :

เชื้อพาไป       มีอยู่ทั่ว          พิภพเอย
พลังเห็น         เข้าสู่             ไฟตัณหา
ไฟตัณหา        ไม่มีตัว          ไม่มีตน
แต่มีกรรม        และพลัง        เป็นที่ส่ง
ภาวะนี้            มีทุกภพ        ทุกหย่อมหญ้า

เชื้อทั้งหลาย    เกิดจากหนึ่ง   อายตนะ
สัมผัสถึง         กายเนื้อ
สอง อุปาทาน   จิตของตน      สร้างมโน
ฉะนั้นแหละ      ไฟทั้งหลาย    มีอยู่ทั่ว ทุกผู้คน
สติเผลอ         ไฟบรรลัย        เข้าครอบงำ
โทสะเข้า        โลภะถอย        โมหะตาม
อยู่ทั่วภพ        อยู่ทั่วคน         ทุกหย่อมหญ้า
การดับไฟ       ไม่มีเชื้อ          ด้วยตัณหา
ทำจิตนิ่ง         เอกะไซร้         พลังหนึ่ง ยิ้มผ่องใส
ตัดไฟชั่ว         อัปรีย์ตาย

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

การปฏิบัติให้จิตเหนือขันธ์


(วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : เจริญพร

ตามหลักแล้ว อาตมาไม่อยากจะเทศน์หรอก เพราะมนุษย์ยุคนี้เป็นมนุษย์ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง

ในสภาวะแห่งการทำงานทุกอย่างนั้น อาตมาก็บอกแล้ว การทำงานมันจะต้องมีรูปงาน และจะต้องมีการวางแผน แล้วต้องวินิจฉัยแผน ถ้าไม่มีแผน งานนั้นก็ต้องล้มเลิก

สำหรับมนุษย์ผู้หนึ่งที่อยู่ที่นี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นนักปฏิบัติ ในภาวะการปฏิบัติจิตนั้น จะต้องอย่ายึดขันธ์ เมื่อเวทนาเกิดขึ้น อย่าถอยเวทนา จึงจะถึงจิตที่แท้จริงของคำว่า “วิมุตติ”

วิมุตติจิตนั้น หมายความว่า จิตสามารถแยกออกจากสังขาร จิตอยู่ในวิญญาณ ต้องแยกออกจากสังขาร เมื่อวิญญาณอยู่เหนือจิต จิตอยู่เหนือสังขารแล้ว อะไรเล่าจะมีคำว่าเจ็บ อะไรเล่าจะมีคำว่าเมื่อย อะไรเล่าจะมีคำว่าปวด

เมื่อจิตแยกไม่ได้ สภาวะแห่งธรรมชาติของขันธ์ที่บ่มมา ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน จากการสอนของบิดามารดาที่เกี่ยวพันกัน สอนบ่มมา ตั้งแต่ปฏิสนธิมาเป็นคน สอนการเดิน การนั่ง การนอน จนเป็นสภาวะที่เรียกว่า ความเคยชิน ซึ่งพุทธะอันแท้จริงนั้น ไม่มีคำว่านั่ง ไม่มีคำว่านอน ไม่มีคำว่ายิ้ม

สภาวะอันเดิม เขาเรียกว่า จิตเดิมแท้สะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ในขันธ์ปัจจุบันนี้ เขาเรียกว่า ความเคยชิน เพราะฉะนั้น การเข้ากรรมฐาน ก็คือ ตัดความเคยชินออกเสีย ให้เหลือจิตนิ่งแห่งความสะอาด คือ วิมุตติจิต ว่ายังไงนักปฏิบัติ

สานุศิษย์ : ถูกแล้วครับ

สมเด็จ : ถูกแล้วครับ ไม่ใช่เมื่อยแล้วก็ถอยซิ

สานุศิษย์ : ทนไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนท่าบ้างครับ

สมเด็จ : ก็อย่ายึดอารมณ์นั้น มันถึงจุด มันสู้ไปเอง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

พลังเหนือมนุษย์



สานุศิษย์ : การจะให้มีพลังเหนือมนุษย์นั้นต้องปฏิบัติตนอย่างไรครับ

สมเด็จ : เพราะอะไรจึงเหนือมนุษย์ ธรรมชาติแห่งความลี้ลับของมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นของคำว่า พุทธะแห่งธรรมชาติของจิตเดิม พลังอันนี้นอนนิ่งอยู่ในอนุสัยแห่งกายเนื้อของมนุษย์ แม้วิญญาณจะปฏิสนธิเปลี่ยนขันธ์ใหม่ พลังลี้ลับอันนี้ก็ยังเป็นธรรมชาติคงทนอยู่ เขาเรียกว่า รู้แห่งบริสุทธิ์จะอยู่คงที่ แม้โลกนี้สลาย

เมื่อเราอยู่ในโลก เราไม่ยึดโลก พลังอันนี้จะนิ่ง ถ้าเราไม่ฟุ้ง เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน พลังอันนี้ช่วยเราได้ เรียกว่า นะจังงัง เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ต้องท่องคาถา นี่แหละเหนือมนุษย์ และรู้จักใช้จิตให้ถูก ไม่ใช้พลังจิตไปในทางที่ผิด มันก็เหนือมนุษย์


การที่ทำให้จิตเสียพลังไปในทางที่ผิด เช่น พวกมึงนั่งเรียนหนังสือกันอยู่ เรียนๆ ไป เห็นอีหนูตรงข้ามมันสวยดี นี่พลังเสียไปในทางที่ผิดแล้ว หรือ อีหนูบอก แหม หนุ่มคนนี้รูปหล่อ น่ารัก นี่ก็พลังเสียไปในทางที่ผิด ความจริงไม่มีคำว่ารัก ไม่มีคำว่าสวย จิตนิ่ง เรากำลังดูตำราในข้อนี้ จิตก็อยู่ในข้อนี้ เมื่อสภาวะอันนั้นผ่านไป ถือว่า คือธรรมชาติอันหนึ่ง ไม่อย่างนั้น อาตมาจะบอกหรือว่า อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือการต่อสู้ อนาคตนั้นคือความหวัง แต่อย่าหลง

การเป็นมนุษย์จะต้องมีจุดมุ่งหมายแห่งการดำรงชีวิต เรียกว่า ตั้งอุปทานแห่งการยึดในอนาคต อดีตที่ผ่านมา อย่าเอามาทวนกระแสเป็นการเสียพลังโดยใช่เหตุ จงอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งตื่นขึ้น ระลึกถึงวันปัจจุบันแห่งการลืมตาดูโลก เราจะใช้พลังไปในทางไหน วันที่ผ่านมานั้น เราจับมันกลับมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อมนุษย์ผู้ใดดำรงพลังอันนี้อยู่ได้ มนุษย์ผู้นั้นจะสอบอะไร เอาตีนเขี่ยมันก็ถูก


ธรรมชาติแห่งการถึงจุดมันมี ธรรมชาติแห่งการสำเร็จมันมี แต่ต้องรู้จักค้น และให้ทุกคนเข้าใจว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นการมาใช้กรรมตามภพชาติ แห่งการพัวพันของแต่ละภพแต่ละชาติ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งสนุก

เพราะฉะนั้น ระหว่างดำรงอยู่ การเป็นมนุษย์นั้นแหล่ จะวางแผนอย่างไรให้หลุดจากมนุษย์ นั่นคือ ผู้ตื่นแล้ว ถ้าพวกที่ยังไม่ตื่น ยังหลงอยู่ในกามคุณ หลงอยู่ในการยึดมั่นในวัตถุ มันก็ย่อมเวียนว่ายอยู่อย่างนี้ วนอยู่อย่างนี้ ไม่มีคำว่าสิ้นภพสิ้นชาติ เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

อยู่อย่างไม่ให้ผ้าเหลืองร้อน


(วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : ในสภาวการณ์ การเป็นพระในยุคนี้ มันยุ่งเหยิง เมื่อเราบวชเป็นพระแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นลูกตถาคตโดยสมบูรณ์ เราจะต้องประพฤติตนให้สมกับเป็นลูกตถาคต เมื่อนั้นการอยู่ในผ้าเหลืองย่อมไม่ร้อน

ในสภาวะการบวชนั้นแหล่ เราต้องเข้าใจว่า บวชเพื่ออะไร การห่มผ้าเหลืองก็เพื่อดำเนินไปสู่การปฏิบัติทางจิต ไม่ใช่ห่มแล้วเที่ยวไปคุยที่นั่นนอนที่นี่ การกระทำเช่นนั้น ย่อมที่จะเป็นเหตุแห่งการครหานินทาของฆราวาส

สำหรับการที่มีเหตุผลเกิดขึ้นอะไรนั่น ทุกอย่างมันมีจุดมุ่งหมายการเริ่มต้นและมีจุดแห่งการสลายของมัน เราต้องรู้จักแก้ไข ไม่ใช่เป็นกระต่ายตื่นตูม จะต้องเป็นผู้มีหลักแห่งสติสัมปชัญญะควบคุมพร้อมให้ปัญญานั้นคงที่ เพื่อวินิจฉัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในเหตุการณ์ใดก็แล้วแต่ ถ้ามนุษย์มีคำว่ากลัวขึ้นต้นแล้ว เหตุการณ์นั้น ถึงแม้จะเป็นฝ่ายดี ก็จะต้องเป็นฝ่ายเสีย เพราะว่าตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว สิ่งที่มนุษย์นั้นไม่ได้ทำผิด มนุษย์นั้นจะไม่ตื่นเต้นจนเกินไป


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอยู่ในผ้าเหลือง อยู่ในผ้ากาสวพัสตร์ ถือว่าเป็นลูกของตถาคต ดำเนินตามรอยองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เราจะต้องมีสัจจะแห่งพลังแห่งการอธิษฐานบารมี สิ่งลี้ลับอำนาจทิพย์ย่อมช่วยผู้ที่ดำรงอยู่ด้วยความประพฤติดี ประพฤติชอบ ธรรมะย่อมชนะอธรรม เข้าใจไหม

พระผิว : เข้าใจครับ ขอโทษครับ หลวงพ่อชื่ออะไรครับ

สมเด็จ : อาตมาก็เคยบอกแล้ว ในการดำเนินงานของอาตมานั้น พูดง่ายๆ เขาเรียกว่า ช่วยคนให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่พ้นผิด และการช่วยเหลือของผู้สำเร็จนั้น ไม่ต้องการให้มนุษย์รู้

พระผิว : กระผมเป็นฝ่ายถูกครับ หลวงพ่อ

สมเด็จ : ในสภาวะ ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกก็อย่าตื่น ตื่นแล้วมันจะเป็นฝ่ายผิด และการเป็นบรรพชิตต้องควบคุมการเดิน การนั่ง การพูด ควรจะรีบปฏิบัติตรวจดูสังขาร แห่งคำว่าขันธ์ห้านั้นเป็นอย่างไร ควรจะควบคุมอารมณ์แห่งจิต เมื่อจิตมีสมาธิแน่วแน่แล้ว โรคประสาทโรคห่าโรคเหวเกิดขึ้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าจิตฟุ้ง ทุกอย่างย่อมไม่มีพลัง เขาเรียกว่า พลังที่เก็บเอาไว้ ควรจะใช้ไปในทางที่ดี อย่าใช้ไปในทางที่ผิด จิตฟุ้ง เพราะวุ่นไปกับโลก

ถ้ามนุษย์ผู้ใดวุ่นกับโลก มนุษย์ผู้นั้นจะดำรงตนอย่างสันติสุขไม่ได้ และมนุษย์ผู้ใดอยู่ในโลกแต่ไม่ยึดโลก มนุษย์ผู้นั้นจะมีพลังเหนือมนุษย์ เข้าใจไหม

พระผิว : เข้าใจครับ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

หลักสูตรของธรรมะไม่มีอะไรมาก


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พระมหาสังวร : หลวงพ่อครับ กระผมกราบขอฟังธรรมจากหลวงพ่อ ขอได้โปรดกรุณาแสดงธรรมเทศนาด้วยครับ

สมเด็จ : อาตมาก็แสดงไว้มากแล้วนี่ คือในหลักการเขาเรียกว่า ธรรมะนั้น ถ้าว่ากันตามกฎของความจริงแล้ว ไม่มีอะไรยุ่งเหยิง ไม่มีอะไรที่น่าจะพูด

หลักของธรรมะ ก็คือ ค้นตัวธรรมชาติของจิต รู้จักความทุกข์และความสุข เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว สภาวการณ์ให้รู้เท่าทันอายตนะ ปฏิบัติจิตให้สิ้นจากกิเลส แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ในหลักของคำเทศนาในพระไตรปิฎก หรือในการแสดงกรรมฐานใดๆ ก็แล้วแต่ ล้วนแต่ให้เข้าสู่ในการค้นตัวสัจจะของธรรมชาติ แห่งการให้จิตนี้อยู่ในจุดแห่งวิมุตติ (ความหลุดพ้น) ทั้งนั้น ในหลักของกรรมฐานที่เขาวางกันมาในพื้นเพใดๆ ก็ดี ก็เป็นแนวทางเพียงพอที่จะปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นได้

เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามอาตมาว่า แสดงธรรมะอะไร อาตมาว่าทุกอย่างไม่เห็นต้องแสดง ในสภาพการณ์ในหลักของธรรมชาติ มันมีให้ศึกษาในกายของแต่ละบุคคล มีให้ศึกษาในความจริงในแต่ละบุคคล ซึ่งในสภาวการณ์นี้แหล่ องค์สมณโคดมจึงได้บอกว่า นานาจิตตัง

สัจจะมีอยู่ทั่วในพิภพ ซึ่งผู้ใดไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปดู ไม่เข้าไปค้น แล้วจะพบสัจจะอะไรเล่า

สัจจะมีในทฤษฎีที่ท่านอ่านเป็นตันๆ หรือ มันไม่ใช่ความจริงเลย นั่นคือ การศึกษาให้ฟุ้ง ศึกษาไว้ชิงดีในการพูด

ฉะนั้น ใครก็แล้วแต่ ถ้าจะมาสำนักปู่สวรรค์มาพูดแล้ว อาตมาบอกตรงๆ ว่า ไม่เคยยินดีต้อนรับนักพูด อาตมาต้อนรับนักทำ ถ้าจะปฏิบัติจิตไปสู่วิมุตติจิตอย่างจริงจัง ไม่ห่วงในทางโลกแล้วไซร้ มาคุยกับอาตมาได้ เพราะว่าหลักธรรมทั้งหลาย ทั้งประวัติศาสตร์ก็ดี ทั้งการเป็นอยู่ของวิญญาณก็ดี ทั้งเรื่องนิทานก็ดี เรื่องเทพพรหมก็ดี อาตมาเทศน์ไว้แยะแล้ว เปิดเผยสิ่งลี้ลับไว้มากเพียงพอ ที่จะเป็นแนวทางการศึกษาได้

pngegg.5.3.1.png





การปฏิบัติธรรมต้องมีสัจจะ


ข้าหลวงสุทิน : ลูกได้เรียนถามถึงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อก็ได้ชี้แจงให้แล้วเมื่อคราวก่อน แต่ลูกก็ยังไม่ได้เข้าสู่การปฏิบัติเลยครับ

สมเด็จ : คือ ในการตั้งสัจจะนั้น ต้องจำไว้ว่า ในการตกลงระหว่างกองทัพมารกับกองทัพธรรม หรือมารโลกกับโลกทางธรรม แต่เวลานี้มารโลก ในโลกมนุษย์กำลังนำ ก็คือ การสร้างวัตถุทำลายธรรมชาติให้ผิดฤดูกาล

ก็มีข้อตกลงอยู่อันหนึ่งว่า บุคคลตั้งจิตในด้านโลกุตระก็ดี บุคคลตั้งใจมุ่งพุทธภูมิก็ดี บุคคลตั้งความแน่วแน่สู่แดนนิพพานก็ดี จะต้องถูกการทดสอบของเหล่ารุกขเทวดา อมรมนุษย์ ผีเปรต อสุรกาย หรือมาร

ฉะนั้น ในสภาวการณ์ที่มีภาระรับผิดชอบ ท่านก็อย่าเพิ่งตั้งในหลักแห่งความสุดยอดของจิตในทางนี้ เพราะว่าการทดสอบของพวกเหล่าวิญญาณก็คือ เขาจะทำทุกวิถีทางให้เราเสื่อมในสัจจะของตน พูดง่ายๆ คือ เราจะก่อ เขาจะทำลาย

เพราะฉะนั้น พวกที่มีภาระผูกพันอยู่ ยังตัดไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปตั้งในจิตแห่งการมุ่งไปสู่โลกุตระ จงมีเวลาแห่งการกระทำที่ว่า เราจะรวมจิตให้นิ่ง ว่างจากกิเลสชั่วขณะหนึ่งเท่าที่จะทำได้ นานเท่าที่จะทำได้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 01:30 , Processed in 0.049183 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.