แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

สร้างพระนอนที่จังหวัดเพชรบุรี


(วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



คุณจีรวัฒน์ : หลวงพ่อครับ ผมได้ไปนมัสการพระนอนองค์ใหญ่ที่วัดหนึ่ง ใกล้ๆ ตัวจังหวัดเพชรบุรีครับ มีองค์สมมติหลวงพ่อกับพระคาถาชินปัญชรตั้งบูชาอยู่ด้วย และมีคำประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อ กระผมอยากทราบว่า สมัยหลวงพ่อมีสังขารอยู่นั้น หลวงพ่อได้เกี่ยวข้องกับวัดนี้อย่างไรครับ

สมเด็จ : เมื่อสมัยอาตมามีสังขารอยู่นั้น อาตมาได้เคยเดินทางไปจำพรรษา ณ สถานที่นั้น แล้วได้สร้างพระองค์นี้ขึ้น และการที่อาตมาจะสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่า ปัจจัยนั้นมันหาง่าย ถ้ารู้จักหา เงินนั้นเป็นสิ่งสมมติ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเรารู้จักเข้าไปเอา

หลักการที่จะเข้าไปเอาเงินก็ดี เอาดินก็ดี เอาปูน เอาทรายก็ดี มันมีหลักอยู่ง่ายนิดเดียว คือ เราต้องมีมนุษยสัมพันธ์ และต้องเข้าใจว่า การที่เราเป็นนักบวชจะบำเพ็ญเป็นผู้ทำงานศาสนานั้น คาถาที่จะต้องท่องขึ้นใจ ก็คือ พระเจ้าคือคนรับใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนรับใช้เรา คือจะต้องขึ้นใจว่า พระเจ้านั้นคือคนใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าจะมาใช้มนุษย์

เมื่อเราถ่องแท้อันนี้แล้ว เราก็ปฏิบัติจิตให้ถึงเจโตปริยญาณ พอที่จะหยั่งรู้จิตใจมนุษย์แล้ว เราเข้าไปคุยกับมนุษย์คนนี้ได้ ว่ามนุษย์คนนี้ต้องการอะไร มีทุกข์อะไร เราก็ช่วยคลายทุกข์ให้ ทีนี้ จะปรึกษาอะไร ก็ค่อยชี้แนววิธีการทำงานไปเรื่อยๆ เป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์เอาไว้มากๆ


คนเราเขาเรียกว่า มีคนมาก หมู่มาก งานมันก็เดิน ถ้าคนไม่มาก หมู่ไม่มาก งานมันก็ไม่เดิน ทีนี้ ในคนหมู่มาก ถ้าเกิดการทำอะไรผิดพลาดขึ้น เราเป็นผู้นำ เราก็ต้องยอมรับผิดเสียเอง ต้องโทษตัวเราเอง ไม่ใช่บริวารผิด

แบบที่อาตมาปกครองวัดระฆังฯ อยู่นั้น อาตมาปกครองแหวกแนวกว่าเขา มีอยู่วันหนึ่ง เณรสององค์ไปเล่นเตะตะกร้อกัน อาตมาก็เอาผ้าคลุมหน้าไปดูเขาอยู่ด้วย เขาตบมือ เราก็ตบด้วย เขาหัวเราะ เราก็หัวเราะด้วย เขาเต้น เราก็เต้น ทีนี้ เตะไปเตะมา มันไม่เตะตะกร้อกันแล้ว มันจะเตะกันเอง จะทำยังไง มันจะเตะกันจริงๆ

อาตมาก็เข้าไป ถอดผ้าคลุมหน้าออกให้รู้ว่าเป็นใคร เข้าไปถึงก็กราบตีนมันทั้งสององค์ บอกว่า พ่อเจ้าประคุณ พ่อเณรเอ๋ย ท่านสององค์นี้เก่งเหลือเกิน กินข้าวชาวบ้าน ห่มผ้าเหลือง แล้วก็มาเตะตะกร้อกัน ยังไม่พอ มึงยังจะเตะกันเองอีก นี่เป็นความผิดของอาตมาที่ปกครองพวกมึงไม่ดี


อุตส่าห์ปลูกกุฏิให้พวกมึงอยู่ เพื่อให้มาเตะตะกร้อกันหรือ ทีแรกอาตมาเข้าไป มันไม่รู้ คิดว่าคนแก่นี่มาขวางทาง พอมันเห็น บอก อ้าวสมเด็จ อาตมาก็ยกมือบอก ฉันนี้ไม่สู้ท่านหรอก มันก็เลยเลิกรากัน

ทีนี้ ในวิธีการแห่งการตัดสินนั้น เราจะต้องมีเหตุมีผล และเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ พระลูกวัดทุกคนมันก็เคารพเรา เมื่อเคารพเรา พอจะทำอะไรมันก็ง่าย มนุษย์เรานี่เขาเรียกว่า ทำให้เขาศรัทธาเรา ทำให้เขาเคารพเรา งานทุกอย่างมันก็จะทำไปได้

ทีนี้ พูดถึงการจะสร้างวัด อาตมาก็เรียกชาวบ้านมา พูดให้เขาฟังว่า การสร้างปูชนียสถานไว้เป็นที่สักการบูชาของมนุษย์นั้น จะได้อานิสงส์อย่างใด เราก็เอาพระสูตรว่าเข้าไป เข้าใจไหม

คุณจีรวัฒน์ :
ครับ แล้วที่หลวงพ่อสร้างพระนอนนี้ มีความหมายอย่างไรหรือเปล่าครับ เพราะผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติหลวงพ่อ เขาเขียนว่า หลวงพ่อหัดนั่งที่จังหวัดอ่างทอง จึงสร้างพระนั่งไว้ หลวงพ่อหัดยืนที่บางขุนพรหม จึงสร้างพระยืนไว้ แล้วพระองค์นี้ หลวงพ่อสร้างไว้มีความหมายอะไรหรือครับ

สมเด็จ : คือ ประวัติที่มันเขียนๆ กันนั้น เรียกว่า คนเขียนมันจะรู้ดีไปกว่ากูหรือ ในการที่อาตมาสร้างพระต่างๆ นั้น อาตมามีสัจบารมีแห่งการอธิษฐาน ว่าสิ่งนี้จะทำ ต้องทำให้สำเร็จ

ในการสร้างพระนอนนั้น อาตมาไปเห็นว่า สภาพภูมิประเทศในสถานที่นั้นเหมาะสมที่จะสร้างองค์สมมติขององค์สมณโคดมแห่งการนอน และการที่สร้างให้มันโตนั้น ก็เพราะเพื่อให้มันสมชื่อว่า ท่านโต ที่จริงอาตมาตัวเล็ก สมัยหนุ่มๆ อาตมาหล่อนะ ทีนี้ เราชื่อโต ก็ต้องสร้างให้มันสมชื่อ “โต” เท่านั้นเอง


แล้วในการสร้างพระนั่ง พระนอน พระยืน อะไรก็แล้วแต่ มันขึ้นอยู่กับชัยภูมิประเทศ อาตมายึดมั่นในชัยภูมิของประเทศเป็นสำคัญว่า ปูชนียสถานสร้างขึ้นมาแล้ว จะเหมาะสมกับชัยภูมิไหม จะเป็นที่สง่าของสถานที่ไหม จะดึงดูดมนุษย์เข้ามาไหม มีแค่นี้เอง แล้วนี่เอ็งจะบวชใช่ไหม

คุณจีรวัฒน์ : ใช่ ครับ

สมเด็จ : ในสภาวะแห่งการที่จะบวชนั้น เราต้องเข้าใจว่า เราบวชเพื่ออะไร ถ้าเราจะบวชเพื่อการศึกษาให้จิตสงบนั้น เช้าบิณฑบาตเสร็จ เราก็หัด เดิน นั่ง เดิน นั่ง แล้วก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิต คือต้องอย่าลืมว่า การกินข้าวในบาตรนั่นน่ะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบาตร


เพราะอะไรเล่า เพราะผู้ที่ทำบุญนั้น ล้วนแต่มีเจตนาอันแรงกล้า ถ้าเราไม่แผ่เมตตาจิตสนองเจตนาของเขา บาปทั้งหลายก็ดี ที่เขาสะเดาะเคราะห์ก็ดี ที่เขาอธิษฐานก็ดี ก็จะตกอยู่กับผู้กินทั้งนั้น

ฉะนั้น จะเห็นว่า บางคนทำไมห่มผ้าเหลืองแล้วกลายเป็นไม่ดีไป เพราะผู้ที่ทำบุญมา เขาเจตนาที่จะแผ่ในกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่เขามีอยู่ เราซึ่งเป็นฝ่ายบรรพชิต เราต้องแผ่เมตตาจิตให้เขา เพราะเขาถือว่า บรรพชิตจะสะอาดกว่าการเป็นฆราวาส ย่อมที่จะแผ่กุศลถึงพวกกายทิพย์ได้เร็ว

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

วิธีอ่านตำราให้จำแม่น


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขารอยู่ เขาเรียกว่า อาตมานี่เป็นนักอ่านที่หาตัวจับยาก ทีนี้ ท่านจะเป็นนักเรียนท่านจะอ่านให้จำได้ ท่านจะทำอย่างไร นี่เผยเคล็ดลับให้หน่อย

ก่อนท่านจะอ่านตำรา ท่านต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาด แล้วท่านจะต้องวางสรรพสิ่ง แล้วทำสมาธิสัก ๑๕-๒๐ นาที จึงดูตำรา

ถ้าตำราที่ท่านไม่เคยอ่าน ท่านต้องอ่านเร็วๆ อ่านรู้ใจความเป็นครั้งที่ ๑ อ่านครั้งที่ ๒ อ่านจำ ครั้งที่ ๓ อ่านท่อง แล้วทีนี้อ่านคล่อง รับรองสอบได้ที่ ๑ เรื่อย


เพราะอาตมาสมัยนั้นอ่านแบบนี้ แล้วจะอ่านนี่ ท่านจะต้องอาบน้ำตอนเช้า เช่น ตอนตี ๕ ไม่ก็ตอนตื่นนอนแล้ว ก็ตื่นตอนตี ๓ ตี ๒ รุ่งอรุณ อะไรนี่ สมองปลอดโปร่งดี อาตมาอ่านจนสังฆราชบอกว่า เอ็งไปอ่านกับพระประธานในโบสถ์ดีกว่านะ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

หลักการอยู่ให้อายุยืน


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขาร ทำไมอาตมาอายุ ๗๙ แล้ว ยังแข็งแรง พวกลูกขุนเอย ลูกหลวงเอย เขาบอก ไอ้ลูกพ่อแม่สั่งสอนไม่ไหว เอาไปฝากสมเด็จโตสั่งสอนดีกว่า สามสี่คนมาอยู่วัดระฆังฯ มันก็เกี่ยงกัน ไม่ยอมตักน้ำอาบกันละ ปล่อยให้โอ่งมันแห้ง


อาตมาก็บอกว่า เจริญพร พ่อคุณ แม่คุณ พ่อลูกขุนลูกนาย ตักน้ำอาบไม่ได้หรอก ไอ้โตนี่ตักให้พวกเอ็งอาบเอง อายุ ๗๙ ต้องหิ้วน้ำทุกวัน ๒ ตุ่มนะ หิ้วให้พวกมัน แทนที่มันจะบอกว่า สงสารขรัวโตหิ้วแล้วเหนื่อยแฮะ มันกลับบอกว่า เออ...ดีเว้ย สมเด็จโตตักน้ำให้เราอาบ สบายไปเลย นี่มนุษย์มันอย่างนี้

ทีนี้ ทำไมอาตมาจึงแข็งแรง เพราะว่า อาตมาสมัยยังมีสังขารอยู่นั้น อาตมาไม่ยึดอดีต อยู่แค่ปัจจุบันว่า ขณะนี้ เรายังไม่สิ้นจากโลกมนุษย์ ตาลืมขึ้นมา เราจะทำอย่างไรให้ไม่เบียดเบียนตัวเรา แล้วไม่เบียดเบียนคนอื่น และจะทำอย่างไรเพื่อความสงบสุขของคนอื่น


ถ้าท่านมีคติธรรมอันนี้ประจำใจแล้ว ท่านยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะบำรุงกาย ก็คือว่า เจตนาแห่งความบริสุทธิ์แห่งความดีของท่านนี้แหล่ จะส่งเสริมให้ขันธ์ท่านสบายดีขึ้น เรียกว่าแก่ช้า ดีกว่าท่านจะไปประแป้ง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

พระบรมสารีริกธาตุจะประชุมพร้อมกันเมื่อปี พ.ศ.๕๐๐๐



อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : ลูกขอทราบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบห้าพันปีแล้ว พระพุทธองค์จะรวมพระบรมสารีริกธาตุ และจะมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย ลูกขอทราบรายละเอียดเจ้าค่ะ

สมเด็จ : หมายความว่า เมื่อครบห้าพันปี ศาสนาของพระองค์จะสลายพร้อมโลก พระองค์ก็จะแสดงอภินิหาร ปาฏิหาริย์ อัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็สลายธาตุ

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะรวมพระบรมสารีริกธาตุอย่างไรเจ้าคะ เพราะเวลานี้ไปอยู่เมืองโน้นนิด เมืองนี้หน่อย

สมเด็จ : ด้วยอำนาจแห่งอภิญญา อำนาจแห่งอภิญญาย่อมที่จะทำได้ แต่จะครบถ้วนอาการ ๓๒ หรือไม่นั้น นั่นคือเรื่องอนาคต ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งอะไรแน่นอน ปรารถนาได้ แต่ท่านอย่ายึด

อาตมาจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ จงยึดมั่นคติว่า

อดีต      คือความฝัน
ปัจจุบัน  คือการต่อสู้
อนาคต  คือความหวัง แต่อย่าหลง


หลงฉิบหาย เพราะอะไร แบบไอ้หนุ่มหวังอีหนูมากเกินไป อีหนูมีผัวใหม่ ไอ้หนุ่มอกแตกตาย นี่คือหวังมากเกินไป ฉะนั้น เราหวังเอาไว้พอประมาณ อย่าให้มันมาก แล้วมันก็จะไม่แย่ แล้วอดีต เราก็อย่าไปยึดมัน อดีตผ่านไปแล้ว กู่ยังไงมันก็กลับมาไม่ได้ ให้เราตั้งสติพร้อมอยู่ว่า ปัจจุบันนี้เราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุด

อาจารย์ลัดดา : ประทานโทษ ลูกขอถาม การที่พระพุทธองค์จะเสด็จมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้ายนั้น จะมาในรูปกายเนื้อ หรือว่าวิญญาณเจ้าคะ

สมเด็จ : เสียงกัมปนาททั่วจักรวาล แต่ไม่เห็นตัว


pngegg.5.3.1.png




ไบเบิล


อาจารย์ลัดดา : จะมาทางภูมิประเทศไทย หรือว่าทางอินเดียเจ้าคะ

สมเด็จ : อินเดีย ยอดเขาคิชฌกูฏ ท่านศึกษาประวัติคัมภีร์ไบเบิลหรือเปล่า ศึกษาเรื่องโมเสสค้นพบบัญญัติ ๑๐ ประการหรือเปล่า ขณะนั้นพระองค์หนึ่ง ใช้เสียงกัมปนาทออกจากในถ้ำ และโมเสสได้ยกเป็นพระเจ้า

อาจารย์ลัดดา : แล้วที่พระเยซูบอกว่า ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนั้น คือไบเบิลเจ้าคะ เพราะว่าพระเยซูท่านยังไม่มา แล้วไบเบิลมาได้อย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ไบเบิลมีก่อนพระเยซู

อาจารย์ลัดดา : ของชาติไหนเจ้าคะ ศาสนาไหน

สมเด็จ : คือว่าศาสนาในโลกนี้ ท่านศึกษาในหลักของปรัชญา ในขณะนั้นศาสนาโซโลมอนเป็นหลัก พระเจ้าโซโลมอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งในโลกอาหรับ ได้ทรงเขียนคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมา ต้นตระกูลคือโซโลมอน


หลังจากนั้น โมเสสได้ศึกษาคัมภีร์โซโลมอนในไบเบิล แปลเป็นคัมภีร์ไบเบิล และโมเสสได้รับพรจากพระองค์หนึ่ง ในบัญญัติ ๑๐ ประการนี้ จึงเพิ่มเข้าไปในไบเบิล เพราะฉะนั้น คริสต์ศาสนาจะมีไบเบิลยุคเก่า และไบเบิลยุคกลาง แล้วค่อยมาแตกเป็นโปรเตสแตนท์ คริสตัง คริสเตียน นี่อีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น ไบเบิล ต้นตระกูลก็คือ โซโลมอน เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง นับถือพระอาทิตย์ ท่านต้องศึกษาประวัติอาหรับก่อน แล้วค่อยมาศึกษาประวัติของคัมภีร์ไบเบิล แล้วจะซึ้งกว่านี้ อันนี้ต้องใช้เวลานาน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

5.png



ตอนที่ ๑

ปราชญ์แห่งสยาม


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ก่อนอื่น วันนี้อาตมาจะเทศน์ให้เหล่าสาธุชนทั้งหลายที่เดินทางมาวันนี้ จากทางเหนือก็มีทางอีสานก็มี

ในยุคอาตมามีสังขารนั้น อาตมายังไม่เคยไปทางศรีสะเกษ ทางเชียงใหม่ มีไหมคนมาจากศรีสะเกษ มาจากเชียงใหม่ อาตมาบุญน้อยไม่ได้เหยียบ เคยไปอย่างมากแค่เมืองกำแพงเพชร ได้เคยผ่านเมืองพิจิตรในยุคโบราณกาลนั้น พิจิตรถือว่าเป็นเมืองหลวง เมืองเชียงใหม่นั้น เรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งความรุ่งเรืองในสมัยนั้น

ในสภาพการณ์วิวัฒนาการของบ้านเมือง ยุคหนึ่งชาวสยามร่นจากล้านนาไทย ในอาณาจักรน่านเจ้า ได้เคยมาตั้งเมืองหลวง ณ เชียงตุง หลังจากนั้นก็เข้าสู่เชียงใหม่ ถ้าว่าตามหลักก็คือ ชาวสยามที่เราเรียกว่าไทยน้อยนั้น ร่นมาจากทางเหนือ ส่วนทางใต้นั้น ล้วนแต่เป็นชาวแขกมลายูอยู่มาก

ทีนี้มาพูดถึงว่า ทำไมอาตมาจึงไปกำแพงเพชร เพราะพื้นเพเดิมของอาตมานั้น บรรพบุรุษเป็นชาวกำแพงเพชร และได้มาอยู่อโยธยาในยุคนั้น แล้วก็มาพัวพันในเรื่องจักรีวงศ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเล่ากันสิบวันสิบคืนไม่จบ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ท่านทั้งหลาย ท่านคงเคยได้ยินชื่อสมเด็จโต วัดระฆังฯ มานาน แต่ท่านไม่เคยพบตัว ในขณะนี้ ท่านมาสำนักปู่สวรรค์ก็ยังไม่ได้พบตัว พบแต่วิญญาณ ในเรื่องวิญญาณนี้แหล่ ท่านก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าองค์สมณโคดมสอนมนุษย์เราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เราต้องศึกษา เราต้องปฏิบัติ เราต้องค้นเข้าไป แล้วค่อยลงความเห็นว่า จริง ไม่จริง ใช่ ไม่ใช่

ท่านทั้งหลาย ท่านมาสู่การเป็นพุทธมามกะนั้น เพื่ออะไรเล่า การที่เรานับถือศาสนาพุทธนั้น เรามีจุดมุ่งหมายก็คือ ให้ตนพ้นทุกข์ ภาวะแห่งการที่จะให้ตนพ้นทุกข์นั้นแหล่ ท่านต้องพยายามฝึกให้รู้จักตนเป็นสรณะ เพราะอะไรเล่า


เพราะว่า มนุษย์เรา ถ้าไม่มีการพิจารณาตัวเอง คอยแต่พิจารณาความผิดของผู้อื่น คอยจับผิดความผิดของผู้อื่น ไม่จับความผิดของตัวเอง มนุษย์ผู้นั้น ย่อมไม่มีทางพ้นทุกข์จากสังสารวัฏ เพราะว่าจิตของท่านหมกมุ่นอยู่แต่อารมณ์ภายนอก ไม่ปฏิบัติอารมณ์ภายใน แล้วท่านจะถึงหลักแห่งการแท้จริงของพุทธะได้อย่างไรเล่า

เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายได้เดินทางมาสู่เมืองหลวงในขณะนี้ และได้มาสำนักปู่สวรรค์ อาตมาทั้งๆ ที่ไม่มีสังขาร ต้องการมาทำงานในโลกมนุษย์ครั้งนี้ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายเพียงแค่เทศน์แค่นี้


อาตมามีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในงานเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ในงานเกี่ยวกับศาสนาอันแท้จริง ให้มนุษย์รู้ซึ้งถึงกฎแห่งกรรม รู้ซึ้งถึงความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่ง จึงได้ทำการตั้งสำนักขึ้น แต่สภาพการณ์จะโปรดสัตวโลกให้เข้าซึ้งถึงศาสนาอันแท้จริงนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับลูกมือ ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย

ท่านอย่าลืม ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่าด่วนลงความเห็น ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่ายึดพระไตรปิฎกจนแน่นหนา เพราะว่า อาตมาก็เคยเทศน์แล้วว่า พระไตรปิฎกนี้ถึงปัจจุบันสองพันกว่าปี และจากภาษาหลายภาษา กว่าจะแปลเป็นภาษาสยามที่เราอ่าน อารมณ์ของอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ย่อมมีการต่อเติมบิดพลิ้วพุทธพจน์ได้บ้าง


pngegg.5.3.1.png




การเป็นชาวพุทธที่ดี


การเป็นชาวพุทธที่ดีนั้น ท่านจะปฏิบัติอย่างไรเล่า คือ ท่านต้องพยายามถือศีล ๕ อย่าให้หลุดจากกายของท่าน

ศีล ๕ นี้ มีอยู่ในธรรมชาติของโลก แล้วท่านจะต้องถือให้ดี ถ้าท่านถือไม่ดี กิเลสแห่งความเมา ของโทสะ โมหะ โลภะ เข้าครอบงำแล้วไซร้ เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะไม่ถึงศีล เมื่อท่านไม่ถึงศีล ท่านย่อมไม่ถึงธรรม เมื่อท่านไม่ถึงธรรม ท่านย่อมไม่มีปัญญาแห่งความรู้อันวิมุตติ รู้วิมุตติอันนี้ จะต้องปฏิบัติด้วยการรู้จักกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ นี้เป็นธรรมะขั้นสูง

ทีนี้ ท่านอย่าเพิ่งท้อถอยในธรรมะขั้นสูง คือท่านพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และพยายามทำสมาธิให้แจ้งจากอาสวกิเลสไม่มากก็น้อย เมื่อนั่นแหล่ ท่านจะค่อยรู้กฎแห่งอนัตตา ท่านจะรู้กฎการเป็นพระพุทธศาสนาอันแท้จริง


ท่านทั้งหลาย ท่านควรจะปลื้มปีติที่ท่านเกิดเป็นชาวสยาม เพราะชาวสยามที่แท้จริง ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ชาวสยามขณะนี้ เป็นผู้นำศาสนาพุทธโลก แม้จะเป็นเพียงแค่เปลือกพุทธก็ยังดีกว่าประเทศอื่น และท่านจงปลื้มใจว่า ท่านอยู่ในแดนสยามอันเป็นแหล่งสุดท้ายที่มีศาสนาพุทธ เราจะต้องช่วยกันผดุงศาสนาพุทธไว้เป็นศาสนาสากลของโลก

จุดมุ่งหมายของสมเด็จโตที่มาทำงานในครั้งนี้คือ ต้องการให้มนุษย์เข้าซึ้งถึงศาสนา ยึดหลักการเป็นพุทธะ ถึงแห่งการสิ้นอาสวะ ให้มนุษย์ทั่วโลกรู้จักพระพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกัน

pngegg.5.3.2.png




จุดไต้สลายพลังกบฏ


สมเด็จ : อาตมาจะเล่าประวัติให้ฟัง

เมื่อพระจอมเกล้า ร.๔ ใกล้สวรรคต ได้เรียกอาตมาเข้าไปปรึกษาในวังว่า ขรัวโต คือ ร.๔ คุยกับอาตมา ไม่เคยเรียกสมเด็จหรอก เรียกขรัวโต

ขรัวโต บัลลังก์ข้านี้ฝากอยู่กับท่าน กุมารยังน้อยนัก อายุเพียง ๑๕ ชันษา ถ้าข้าสิ้นไป ขรัวโตจะต้องช่วยกุมบังเหียนในเบื้องหลัง

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร มหาบพิตรไม่ต้องวิตกกังวลหรอก ตราบใดขรัวโตยังอยู่ ตราบนั้นราชวงศ์จักรีนี้ ใครทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยขรัวโตก็จะเป็นขงเบ้งแห่งสยาม

หลังจากนั้นไม่นาน พระจอมเกล้า ร.๔ ได้สวรรคต เจ้าปิยะขึ้นครองราชย์ อายุ ๑๕ ชันษา มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้นพระยาศรีสุริยวงศ์วางแผนยึดอำนาจ ใช้เวลาวางแผนเป็นปี มิใช่เป็นเดือน ก็มีผู้ที่จงรักภักดีต่อราชบังลังก์ คือนายน้อย กับ นายจันทร์ นายน้อยก็พยายามเอาข่าวมาบอกขรัวโต นายจันทร์ก็พยายามฟังข่าวมารายงานขรัวโต

อาตมาก็บอกแล้วว่า ถ้าสมเด็จโตเป็นคนสุภาพ สมเด็จโตก็คงไม่ถกจีวรแจวเรือจ้าง และสมเด็จโตก็คงไม่เอาลิงตั้งไว้หัวเรือต้อนรับพระเจ้าแผ่นดิน วันหนึ่ง นายจันทร์ก็มาบอกว่า นี่พระเดชพระคุณอาจารย์ เขาจะเอาแน่แล้วนะ


อาตมาก็บอกว่า ไอ้จันทร์มึงเฉยไว้ ยังไม่ถึงเวลากูแสดง ปล่อยมันก่อน มันก็ประชุมกัน ในขณะนั้นประชุมกันก็คือว่า จะฆ่าสมเด็จโตก่อนที่จะยึดอำนาจ หรือว่าจะฆ่าเจ้า ร.๕ ก่อน แล้วค่อยมาทำลายสมเด็จโต ปัญหาในที่ประชุมของเหล่าคิดยึดอำนาจ ในขณะนั้นตัดสินอะไรไม่ได้

เพราะว่าในขณะนั้น ถ้าฆ่าสมเด็จโตแล้ว จลาจลจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยสมเด็จโตแห่งวัดระฆังฯ ก็มีเสน่ห์มากเพียงพอ ที่มีทั้งสาวแก่แม่หม้ายติดกันแยะ ติดอะไร ติดการเทศน์ ไม่ใช่ติดอยากจะเอาไปเป็นผัวหรอก

ทีนี้ เราก็ดูเหตุการณ์ว่า ขณะนี้กำลังมีการประชุมนายพล เอาละถึงคราวขรัวโตแสดงละ ไอ้จันทร์จุดไต้ และมึงเดินตามหลังนะ กูจะเข้าวัง ถ้าตำรวจวังไม่ให้เข้า มึงกระทืบเลยนะ กูเข้าเอง ก็จุดไต้เข้าไปที่ประชุมเสนาบดี

ในขณะนั้น กำลังถกกันหน้าดำหน้าแดง มีชื่อไอ้โต อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตมาแล้วโว้ย มีเรื่องอะไรวะ พระยาศรีสุริยวงศ์หน้าซีด บอกว่า พระเดชพระคุณ ไม่มีอะไรหรอก กำลังคุยกันถึงคุณงามความดีของท่าน นี่ฟังเอา มนุษย์พวกนี้มันใจเย็นนะ

อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตนี่มันมีดีที่ไหนวะ ตั้งแต่พระจอมเกล้า ร.๔ ยังไม่สิ้น เถรสมาคมก็มีแต่คิดจะสึกสมเด็จโตอยู่เรื่อย เขาก็บอกไม่มีอะไร อยากจะคุยถึงความดีความชอบ คุยถึงคุณความดีของท่านพระเดชพระคุณ

อาตมาก็บอกว่า ขอประทานโทษ ท่านพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้กระแสข่าวว่า ท่านนี้คิดกบฏต่อจักรีวงศ์จริงหรือไม่ ในขณะนั้นที่ประชุมเสนาบดีซึมกันหมด เหงื่อแต่ละเม็ดโตยิ่งกว่าเม็ดมะขาม อาตมาพูดต่อไปว่า อาตมาเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ถ้าท่านว่าไม่จริง ท่านจงเดินกับข้านี้ ไปสู่โบสถ์วัดพระแก้ว สาบานต่อหน้าพระเดี๋ยวนี้ นี่คือเบื้องหลังในขณะนั้น

อาตมาจึงบอกว่า ท่านจงวางแผนให้ละเอียดกว่านี้ แล้วค่อยมาโค่นสมเด็จโต แต่สมเด็จโตไม่มีการพยาบาทใคร สมเด็จโตสงสาร เพราะว่ากรรมที่เขาสร้างนั้น จะเป็นวิบากกับเขาเอง พวกที่ร่วมเป็นขบวนการ ยมโลกได้ตีตราออกมาแล้ว

ทุกอย่าง การเป็นคน ท่านไม่ต้องวิตกสิ่งใดๆ ขอให้ท่านมีหลักขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา ท่านมี ๔ ประการนี้ ประจำใจแล้ว รับรองท่านตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

ขันติ จะทำอย่างไรจึงเป็นผู้มีขันติ


๑. อย่าตื่นตูมข่าวที่เขาลือ

๒. อย่าเชื่อคนที่เรานับถือมาแล้ว

๓. พิจารณากระแสข่าวที่มาพัวพันตัวเราว่า เป็นไปได้หรือไม่ แล้วคำนวณด้วยเหตุผลว่า เรื่องเป็นอย่างไร แล้ววินิจฉัยว่า เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างไร นี่คือ ขันติ

สัจจะ เราต้องยึดมั่นว่า ตราบใดที่ข้าเป็นชาวพุทธ ตราบนั้นข้าจะไม่ทำชั่ว ข้าจะตาย ยินดีพลีชีพเพื่อศาสนา เพื่อความดี

บริสุทธิ์ เรายึดมั่นความบริสุทธิ์ เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์เพื่อมวลชน เพื่อส่วนรวม เพื่อหมู่คณะ หรือเพื่อครอบครัว ย่อมได้รับการคุ้มครองจากเทพพรหม ที่มีอยู่มากในโลกนี้

เมตตา จงเมตตาแม้แต่ผู้ที่คิดร้ายต่อท่าน ท่านจงแผ่เมตตาให้เขาเถิด แล้วกระแสจิตของเขาจะกลับดีเอง


pngegg.5.3.3.png




สมเด็จโตตบหน้าผู้หญิง


สมเด็จ : วันหนึ่ง เป็นวันพระถืออุโบสถ อาตมาลงทำวัตรเย็นอยู่ ก็มีพวกที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา มาถือศีลกัน มานอนกันในโบสถ์

ในขณะนั้น ก็มีหญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง อายุราว ๕๐ กว่าแล้ว ก็คุยกันกับเหล่าผู้ที่มาถืออุโบสถว่า ฉันนี่น่ะ สำเร็จอนาคามีจ้ะ บอกว่าฉันนี่สำเร็จอนาคามี แล้วก็เคี้ยวหมากหยับๆ ไอ้เราก็กำลังไหว้พระอยู่ พอไหว้พระเสร็จ อาตมาก็หันมา แล้วบอกว่า ไหน อยากจะขอดูหน้าอนาคามีหน่อยซิ

แม่นั่นหันมา พอหันมา อาตมาก็เอามือตบหน้าไปทันที ร้องไห้โฮเลย อาตมาบอกว่า นี่มันอนาคาบ้าแล้ว เพราะอนาคามีตัดแล้วซึ่งสังโยชน์แห่งความยินดียินร้าย เพราะฉะนั้น ศีลแห่งอนาคามีนั้น ไม่ใช่มาพูดเล่น ถ้าบอกว่า เวลานี้ฉันมาถือศีล ๘ ก็พูดกันได้ อย่าไปคุยถึงอนาคามี เรื่องมีแค่นี้เอง

แต่ท่านอย่าลืม ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา และเหม็นยิ่งกว่าขี้วัว จากปากหนึ่งลือไปอีกปากหนึ่ง กลายเป็นอะไรรู้หรือเปล่า กลายเป็นว่า สมเด็จโตปล้ำผู้หญิงในโบสถ์

ทีนี้ เถรมหาสมาคมก็หาเรื่องจะสึกอาตมาอยู่แล้ว ก็ประชุมกันใหญ่ให้สมเด็จโตชี้แจง อาตมาก็บอกว่า พระเดชพระคุณสังฆราช ท่านผู้เป็นอริยบุคคลในที่ประชุมนี้ ท่านเชื่อหรือ ว่าอาตมานี้จะปล้ำผู้หญิงในโบสถ์ ปล้ำเพื่ออะไร สังขารอาตมานี้ ๗๐ กว่าแล้ว เดินยังไม่ค่อยไหวเลย จะเตะปี๊บดังได้ยังไงวะ

เพราะฉะนั้น ท่านจะพิจารณา และพิจารณาถึงความดีที่อาตมาทำมาบ้าง อาตมาตบหน้าแม่นั่นจริง แต่การตบนั้น อาตมาไม่มีโมหจริตในการครอบงำ ไม่มีโทสจริตในการครอบงำ ไม่มีโลภจริตในการครอบงำ ก็คือ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด เป็นการตบเพื่อทดสอบว่า บุคคลนี้สำเร็จอนาคามีหรือไม่ ถ้าเป็นบุคคลที่สำเร็จอนาคามีจริงไซร้ อาตมานี่ละจะกราบเขาทั้งๆ ผ้าเหลือง

เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า การเป็นพระนั้นไม่ใช่อยู่ที่ผ้า ฉะนั้นอาตมภาพนี้ ก็ไม่ใช่เป็นผู้สำเร็จ จึงอยากจะรู้ เสาะหาอาจารย์ที่สำเร็จอนาคามี ที่ตบนั่นเป็นการทดสอบอารมณ์ ถ้าจะผิด ก็ผิดแค่เรียกว่าอาบัติ ในด้านใช้กายเนื้อแตะต้องสตรี เพราะฉะนั้น อันนี้ปลงอาบัติได้

เมื่อเถรสมาคมรับการชี้แจงของอาตมาแล้ว ก็ไม่มีอะไร เชิญพระเดชพระคุณสมเด็จโตกลับ


p4.png




สมเด็จโตสร้างพระ


สมเด็จ : อาตมาสมัยมีสังขาร ก็เชื่อในเรื่องวิญญาณอยู่แล้ว อาตมาเข้าฌานสมาบัติ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ก็ได้นิมิตมาสอน วิธีการสร้างพระยังไงจึงสวย จึงขลัง ได้สร้างครั้งสุดท้าย ก็ได้ค้นพบคาถาชินปัญชร เป็นการปลุกเสกครั้งสุดท้าย แปดหมื่นสี่พันองค์

ในการสร้างพระของอาตมานั้น มันไม่มีอะไรหรอก เกิดจากว่าในยุคนั้น ชาวบ้าน ถ้าพูดถึงคนถึงศีลธรรมจริงๆ แล้ว มีการทำเพื่อศาสนาจริงๆ แล้ว ในยุคนั้น ไม่ใช่อาตมาจะว่าคนยุคนี้ไม่ดีนะ คนในยุคนั้นมาช่วยกันบูรณะวัดก็ดี มาช่วยกันทำอะไรให้ในโบสถ์วัดระฆังฯ ไม่มีการเรียกปัจจัย เมื่อไม่มีการเรียกปัจจัย อาตมาก็คิดไปคิดมาว่า เราจะตอบแทนเขาอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ได้มาร่วมทำงานกับขรัวโตครั้งหนึ่ง จึงได้คิดสร้างพระขึ้นมาแจก


ส่วนในการสร้างพระให้เจ้า ร.๕ นั่น อีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็เรื่องเจ้า ร.๕ นี้ เรื่องแยะ ทำไมเจ้า ร.๕ จึงส่งราชโอรสไปเรียนรัสเซียบ้าง เยอรมันบ้าง นั่นใครวางแผน สมเด็จโตนี่แหละ วางแผนเพื่อให้สยามอยู่รอด แต่เราไม่อยากพูดมาก เพราะว่าเราทำงานปิดทองก้นพระ

p5.png




เจดีย์ขี้ยา


ทีนี้ อาตมาในสมัยนั้น เขาเรียกว่ามีเสน่ห์มาก อาตมาจะทำอะไร อาตมาใช้กะละมังตีมันไปเรื่อย แจวเรือตีกะละมังบ้าง จากคลองบางกอกน้อยไปบางกรวย ใครจะช่วยทำบุญกับสมเด็จโตก็มา จนเขารายงานเข้าไปในวัง

พระจอมเกล้า ร.๔ ก็เรียกไปสอบ บอกว่า เหตุไฉนขรัวโตจึงทำอย่างนี้ อาตมาจึงบอกว่า เจริญมหาบพิตร สมเด็จอย่างอาตมานี้มันจนนะ ระฆังก็ไม่มีเงินซื้อ จึงใช้กะละมังตีแทนระฆัง เขาบอกว่า แล้วของในวังที่เอาไปถวายท่านน่ะ หายไปไหนหมด

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร ที่จริงน่ะ เสียดายมาก ว่าพระเจ้าแผ่นดินประทานโน่น ประทานนี่ให้ แต่ว่าชีวิตมนุษย์นั้น เสียดายยิ่งกว่านี้ เพราะทุกอย่างที่ถวายไป อยู่ร้านเจ๊กหมด

ท่านก็บอกว่า เหตุไฉนท่านจึงชอบไปขายร้านเจ๊กเล่า ก็ตอบว่า ถ้ามหาบพิตรมาเป็นแบบอาตมาแล้ว มหาบพิตรก็จะรู้สึกว่าลำบากขนาดไหน ทั้งๆ ที่กุฏิอาตมานี้ พยายามทำให้มันเหม็นที่สุด จีวรนี้ใส่มันเป็นเดือนไม่ยอมซัก เพื่อให้คนที่มาคุยมันจะได้หนีเร็วๆ แต่มันก็ยังตื้อกันเต็มกุฏิ จนเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้ ไม่ไว้ตัวเลย ในกุฏิมีแต่พวกขี้ยา

อาตมาก็บอกว่า ก็เจดีย์ขี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไรเล่า ไม่ใช่เหล่าขี้ยาหรือเพราะพวกเหล่าขี้ยาเขามาหาอาตมา ไม่มีเงินซื้อยา อาตมาก็ให้เงินไปซื้อยาก่อน แล้วก็ว่าพวกเอ็ง อาตมาขอบิณฑบาตอย่างหนึ่งนะ ขอบิณฑบาตเรื่องการเสพยา สมัยนั้นเขาใช้ยาตั้ง สักเดือนนึงนะ แล้วข้าจะสร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์ เขาบอกตกลง

อาตมาก็ไปขุดหลุมไว้หลังกุฏิ แล้วให้เขาโยนเงินที่จะไปเสพยานั้นใส่ลงไป จนรวมเงินมาสร้างได้ จนเขาลือกันว่า สมเด็จโตแสดงอภินิหารอยู่หลังกุฏิ หยิบเงินขึ้นมาสร้างเจดีย์ได้

p6.png




เป็นพระต้องละกามคุณ


บางที ตีหนึ่งตีสอง ก็มีคนมาเคาะประตูบอก สมเด็จๆ เมียผมจะออกลูก ผมไม่มีตังค์ครับ ต้องเอาให้มันไป แล้วนั่น พวกลูกศิษย์วัดไปก่อเรื่องราว อ้าว เราต้องไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอให้ เพื่อไม่ให้สตรีด่างพร้อย มันต้องใช้เงินทั้งนั้น

แล้วอาตมานี้ไม่ค่อยมีเงิน ไปไหนมีสตางค์ไม่เกิน ๘ สตางค์ อย่างมากที่สุดก็ ๘๐ สตางค์ อาตมาสิ้นมรณภาพไปแล้ว เขาไปค้นในกุฏิทั่วไป มีจีวรเก่าๆ อยู่ ๒ ผืน มีเศษสตางค์อยู่ ๕ สตางค์

เพราะฉะนั้น เราเป็นสาวกตถาคต เราจงอย่ายึด ทุกอย่างจงละ เพื่อในการให้ถึงแห่งความหลุดพ้นในกิเลส ในกามตัณหา เมื่อนั้นท่านจะเป็นสาวกที่ดี ผ้าเหลืองก็จะไม่ร้อน ถ้าท่านเป็นพระ ท่านสะสมวัตถุมาก ความร้อนก็ยิ่งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

และทำไมองค์สมณโคดมจึงบัญญัติให้ฉัน ๒ มื้อเล่า เพราะว่ามนุษย์เรานี้ เป็นสิ่งธรรมดา เมื่อท้องอิ่ม หัวถึงหมอน มโนภาพเรื่องกามคุณย่อมเกิดขึ้น องค์สมณโคดมนี้เป็นนักปราชญ์ที่เข้าซึ้ง รู้จักถึงชีวิตการเป็นคน จึงวางกฎให้ฉัน ๒ มื้อ


เพื่อให้มื้อเย็นนี้ เป็นการกระวนกระวายถึงเรื่องท้อง จะได้ไม่คิดเรื่อง กามตัณหา นี่คือหลักความจริง นี่คือการเป็นยอดคนขององค์สมณโคดม ที่เราทั้งหลายนับถืออยู่นี้

p7.png




ศาสนาพุทธจะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี หรือไม่


พระครูบุญทอง : กระผมอยากจะถามหลวงพ่อสมเด็จ เกี่ยวกับศาสนาพุทธของเรา จะเจริญถึง ๕๐๐๐ ปี ดังคำทำนายหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว เหตุนี้แหล่ สำนักปู่สวรรค์จึงได้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ไหนๆ เทศน์แล้ว ก็ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ศาสนาพุทธอยู่แดนสยามถึง ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้นจะเกิดกลียุคขนาดหนักในโลกมนุษย์ ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่เสื่อมอยู่ในขณะนั้น

แต่ท่านก็ควรยินดีว่า ถ้าท่านช่วยกันดำรงจรรโลงสำนักปู่สวรรค์นี้ ให้ยืนยาวไปถึงในยุคนั้น เมื่อพุทธศาสนา ๓๐๐๐ ปี มติโลกวิญญาณจะส่งพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาในโลกมนุษย์ และมาสำเร็จในสำนักปู่สวรรค์ เพื่อมาช่วยกู้ศาสนาในขณะนั้น

ถ้าทัน รอด ก็จะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี ถ้าไม่ทัน ไม่รอด ก็จะไม่ถึง ๕๐๐๐ ปี และอาจจะไปเจริญในเมืองอื่น เพราะว่า ปณิธานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละยุค แต่ละองค์นั้น ย่อมมีความปรารถนาอันแข็งแกร่ง และย่อมมีอธิษฐานบารมีแน่วแน่

ฉะนั้น บารมีแห่งการอธิษฐานของพระองค์ พระองค์ต้องพยายามทุกวิถีทาง อาตมาจึงบอกว่า ถ้าท่านไม่เข้าซึ้งศาสนา ท่านจะเข้าใจว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าเข้าแดนนิพพาน (หมายเหตุ ข้อนี้ขัดกับนักพระไตรปิฎก เพราะถือว่านิพพานแล้วเข้าสู่สุญตา ฉะนั้น ขอให้ท่านอ่านเอาไว้เพื่อพิจารณาเท่านั้น)


ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าแดนนิพพาน แต่มาโลกมนุษย์ไม่ได้ เพราะพระองค์มีปณิธาน ในเรื่องที่จะให้ศาสนาของพระองค์อยู่ได้ถึง ๕๐๐๐ ปี

อย่างวิญญาณอาตมาในขณะนี้ ทั้งๆ ที่เหล่าเทพพรหม แม้แต่พรหมที่สิ้นไปใหม่ๆ ที่พวกเจ้าคงรู้จักกันดี คือ เจ้าคุณนรรัตน์ ก็บอกว่า นี่ท่านโต อย่าไปยุ่งกับมนุษย์ให้มันมากนักเลย ผมนี้ สมัยมีสังขารอยู่ ผมยังปิดกุฏิอยู่วัดเทพศิรินทร์ ทั้งๆ ที่ผมมีคนนับถือมาก ผมยังไม่ทำเลย แล้วท่านโตพ้นจากขี้มาแล้ว ทำไมจึงไปยุ่งกับขี้อยู่เรื่อย อาตมาก็บอกว่า สมเด็จโตนี้ ชอบเล่นกับขี้ ก็เพราะว่า

๑. พระที่อาตมาสร้างเอาไว้ในสมัยนั้น มันเจ้ากรรมเกิดเฮี้ยนขึ้นมา


๒. เวลานี้มาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์อยู่ ก็มีคนศรัทธามากเหมือนกัน


เพราะฉะนั้น มีคนศรัทธาแห่งการที่มีกรรมพัวพันนี้แหล่ จึงยังตัดไม่ขาด จึงต้องมาเล่นกับขี้เรื่อยๆ จนกว่าวันไหนจะถูกขี้อุดตันก็มาไม่ได้

ทีนี้ ศาสนาพุทธในขณะนี้ อยู่ในภาวะกลางกลียุค ก็ต้องอาศัยเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นสาวกตถาคตให้ช่วยกันจรรโลงศาสนา เมื่อท่านกลับเชียงใหม่ ทุกวิถีทางให้พระสงฆ์ของเรา อย่าไปยึดนิกาย ให้ถือเป็นพุทธสาวก นี่เป็นเรื่องสำคัญ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



เมื่อมนุษย์ในโลกสวดมนต์

พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า

จะดลบันดาลให้เกิดสติและปัญญา

สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ

ให้กลายเป็นสันติสุขได้


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



การเป็นคน

ระหว่างเสวยสุข   อย่าหลงสุข

ระหว่างเสวยทุกข์   อย่าหนีทุกข์


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

S__31309826.1.jpg


ตอนที่ ๑๗

ใบโพธิสัตว์



เทวะประจำใบโพธิสัตว์


สำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างสันติสุข พ้นจากโรคาพยาธิ และการทำงานเหล่านี้ เมื่อองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ท่านเสด็จมาโปรดสัตว์ มีมนุษย์ได้ขอให้หลวงปู่ช่วยแก้ทุกข์ทางฆราวาสวิสัย อันเป็นการไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องควบคุมอารมณ์ของท่าน จะเกี่ยวข้องทางโลกมากนักไม่ได้

องค์อมรินทร์จึงถวายเทวดาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยสร้างใบโพธิสัตว์ขึ้น ผู้อัญเชิญใบโพธิสัตว์ไปบูชา ย่อมมีเทวดา ๑ องค์ ติดตามคุ้มครอง เมื่อมนุษย์อธิษฐานขอเทวดา ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ ท่านก็รายงานหลวงปู่ หลวงปู่ก็พิจารณาและสั่งการช่วยเหลือต่อไป ซึ่งไม่เหนือกฎแห่งกรรม

pngegg.5.3.1.png




บูชาเทวะใบโพธิ์มีแต่คุณไม่มีโทษ


(วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สานุศิษย์ : คือหลังจากไฟไหม้แล้วนี่ ผมไม่ได้บูชาใบโพธิสัตว์เป็นเวลาหลายเดือนเลยครับ แล้วเวลานี้ ผมกลับมาบูชาใหม่ ใบโพธิสัตว์ยังมีเทวดาอยู่ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ย่อมมีอยู่เสมอ เทวะที่กำหนดมานั้น เป็นการกำหนดมาทำงานกับโลกมนุษย์โดยเฉพาะ และในการบูชานั้น โลกวิญญาณเขาทรงไว้ด้วยความยุติธรรม เขาไม่มีการลงโทษหรอก ไอ้พวกที่ลงโทษ มันพวกบ้าๆ บอๆ

คือ ในสภาวะผู้สำเร็จนั้น ทรงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม ว่าการปฏิบัติ มนุษย์มีภารกิจอันใดที่ปฏิบัติไม่ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เชิญใบโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องมีอุปาทานแห่งความกลัว ว่าไม่ได้บูชาแล้วจะได้โทษ และการบูชานั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง ใช้หลักแห่งกระแสจิต


ธรรมะอันแท้จริง คือ จิตถึงก็ถึง ให้บูชาด้วยจิตและวิญญาณ ไม่ใช่บูชาด้วยวัตถุ เกิดจากพวกเกจิอาจารย์ทั้งหลายรุ่นหลังๆ ได้ทำกัน ซึ่งเป็นการทำลายวิถีการอันบริสุทธิ์ขององค์สมณโคดม

ฉะนั้น การตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ ก็เพื่อขัดเกลาในหลักแห่งการที่มนุษย์ยึดมั่นในวัตถุ ให้พยายามวิวัฒนาการตนไปสู่หลักแห่งความบริสุทธิ์ของจิต เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : เข้าใจครับ


สมเด็จ :  “ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นถึงธรรม ผู้นั้นก็รู้ว่าธรรมคืออะไร” เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลก เราควรจะ ควรมีสติปฏิบัติตน คือ

๑. การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ควรมีสติสัมปชัญญะพร้อมคุ้มตน


๒. อย่าตื่นตูมในการกล่าวของการฟังมาใดๆ ทั้งสิ้น


๓. เมื่อรับฟังแล้ว เราพิจารณาไตร่ตรอง แล้วค่อยเชื่อ ว่าสิ่งนี้จริง สิ่งนั้นไม่จริง


ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด เราจะต้องเอาตนไปพัวพันกับสิ่งนั้น และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น ค่อยลงความเห็น

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สอนอยู่ เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้แต่อาตมานี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าหลักความพิจารณาของธรรมชาติมันมีกฎของมันอยู่ และอาตมาก็เดินตามรอยองค์สมณโคดม


คือว่า องค์สมณโคดมไม่มีการผูกขาดในธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งยอดเยี่ยมของธรรมชาติ ที่ผู้ที่เป็นคนแห่งการมาใช้กรรมในการมีสังขารอยู่นี้ จิตและวิญญาณมาใช้กรรมมาสะสมกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมในปัจจุบันชาติ คือหลักอันนี่แหล่ จึงยืนอยู่แห่งการศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ และทุกวันนี้เป็นจุดแห่งการที่มนุษย์ยุคนี้ สนใจหลักแห่งความจริงของศาสนาพุทธ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

เทพพรหมทำผิดกฎ


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

ข้าหลวงสุทิน วิวัฒนะ : เมื่อตะกี้นี้ เทพที่คุยกับหลวงปู่นั้น อยากทราบว่าแปลความหมายว่าอย่างไรครับ ขอให้หลวงพ่อช่วยแปลด้วย

สมเด็จ : เป็นเทพองค์หนึ่ง คือเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ขณะนี้สำนึกตัว จะขอเข้าอยู่พรหมโลกอย่างเก่า

ในสภาวะเมื่อรู้ว่า โลกวิญญาณได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ โดยการดำเนินงานแห่งองค์พระโพธิสัตว์แห่งสยาม ผู้ที่จะสืบต่อพระพุทธศาสนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย ก็คือ มนุษย์ในยุคปัจจุบันให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้มาทำการโปรดสัตว์ อยู่ ณ สำนักปู่สวรรค์นี้

สภาวะบารมีของพระโพธิสัตว์ย่อมสามารถที่จะแผ่พลังช่วยได้ทุกรูปทุกนาม ตั้งแต่พรหม เทพ ยม จนถึงมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็ได้มาปรึกษาว่า ให้หลวงปู่นำเข้าสู่ที่ประชุมของโลกวิญญาณ โดยที่เขาจะใช้ร่างนี้เป็นร่างเป็นสื่อในการทำงาน เพื่อใช้กรรมวิบากนั้น

ในจุดสำคัญ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ว่า อาตมามานี้ หลวงปู่มานี้ มาด้วยอาสวักขยญาณ การมาด้วยอาสวักขยญาณนั้นคือ การไม่รับรู้ในสิ่งใดๆ ของมนุษย์ นอกจากมนุษย์นั้นจะส่งกระแสจิตเข้ามา เพราะอะไร เพราะการมาโลกมนุษย์นี้ เสี่ยงต่อการเกิด


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์ที่หนาไปด้วยกิเลสทั้งนั้น เรียกว่า มีแต่อยากจะเอาอย่างเดียว ไม่ยอมให้คนอื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางอย่าง บางคนไปหาเทพพรหมนั้น เทพพรหมบอกว่า สิ่งนี้ช่วยไม่ได้ ต้องเป็นไปตามภาวะกรรม มันก็อ้อนวอนอยู่นั้น

ทีนี้ พวกเทวดานี่มันเผลอ แต่ขรัวโตไม่เผลอง่ายๆ มันก็ยอมช่วย เมื่อยอมลงไป โลกวิญญาณเขามีมติ เขารู้ด้วยทิพยอำนาจ ทุกคนอยู่ด้วยความจริง ไม่มีการโกหกได้ ในที่ประชุมก็รู้ว่า อ้อ...เทพองค์นี้ได้บังอาจทำเกินขอบเขต ก็คือ เป็นพระไม่รักษาตนอยู่ในศีลห้าบริสุทธิ์ เที่ยวบอกชาวบ้านว่ารักษาศีล ๒๒๗ โลกวิญญาณเขามีกฎ กรรมอันนี้ย่อมวิบากเข้าสู่บุคคลที่ช่วย

เพราะฉะนั้น เขารู้ว่าบารมีพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อ สะสมมาเป็นเวลานานกัปๆ กัลป์ๆ ในการอธิษฐานจิตนี้ ในสภาวการณ์ซึ่งได้มาพบเวลานี้ ก็สามารถที่จะช่วยในการเจรจาสันติ เพื่อในการผ่อนโทษของเขา ก็คือยินยอมให้เขามาใช้ร่างนี้ เพื่อถ่ายกรรมวิบากนั้น นี่คือแปลย่อๆ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

จิตนิ่งเหนือจิต


(วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์อุษา พลารชุน : กราบเรียนถามหลวงพ่อโต ได้โปรดกรุณาอธิบายว่า การที่จะปฏิบัติตน ที่เรียกว่า ทำให้จิตว่างนั้น จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ในหลักแห่งความจริงของการปฏิบัติตนให้อยู่ในจุดของสุญตานั้น ในภาวการณ์ ต้องพิจารณาความฉันทะของตนเป็นใหญ่ ตราบใดที่เรายังข้องอยู่กับโลก ญาณแห่งอาสวะนั้น จะเกิดสู่จิตของเรายาก

ซึ่งองค์สมณโคดมก็ได้วางหลักในการปฏิบัติในจุดแห่งการเพ่งกสิณ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ติดอยู่ในรูป ก็ให้เอาอสุภกสิณเป็นการพิจารณา ให้รู้แจ้งความเป็นอยู่ของการเป็นคนว่า สังขารนี้เป็นสิ่งปรุงแต่งของธรรมชาติของวัตถุในโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้น ที่จะต้องไปเสวยกรรมวิบากของการเป็นคน

ทีนี้ ในหลักแห่งการที่จะปฏิบัติจิตให้อยู่ในจุดของสุญตานั้นแหล่ ในหลักของขั้นแรกของการเป็นคน ก็คือ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในสัมมาอาชีวะที่ชอบ เมื่อภาวะสัมมาอาชีวะชอบแล้วไซร้ ก็อย่าข้องกับโลกมาก เพราะอะไรเล่า

ถ้าท่านยังตกอยู่ในการที่เรียกว่า กลัวเขานินทา หรือว่ามีจิตเบิกบานตามคำสรรเสริญของเหล่ามนุษย์แล้วไซร้ ตราบนั้น อาตมากล้าพูดว่า ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะปฏิบัติจิตสู่หลักแห่งความว่างได้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าจิตที่อยู่ในเอกัคตา จิตนั้นจะต้องเหนือคำนินทา และเหนือคำสรรเสริญ คือจิตนิ่งเป็นหนึ่งในเอกะประภัสสร วิมุตติสู่นิพพาน

อาจารย์อุษา : ความหมายของคำว่า ไม่ยินดียินร้ายในคำสรรเสริญนินทา คืออย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ เราตั้งตน เรียกว่า พยายามปฏิบัติตนอย่าข้องอยู่ในกาม และปฏิบัติอยู่ในการนิ่งในสรรเสริญของตัวตน จิตไม่ข้องเกี่ยวในความพยาบาท พูดง่ายๆ เขาว่าเรา เราก็เฉย เขาสรรเสริญเรา เราก็นิ่ง คือ

พยายามทำตนอยู่ในหลักของคำว่า สี่งที่ฉันทำ สิ่งที่ฉันปฏิบัติ ไม่ผิดมนุษยธรรม ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจรรยาของชาวโลกมนุษย์ที่สมมติแล้วไซร้ เมื่อเราพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เราจงทำตามนั้น

แล้วจิตเราอย่าวอกแวกตามอารมณ์ คือในโลกนี้สิ่งที่ร้ายที่สุด คือ ลม ไฟ ท่านสามารถเห็น น้ำ ท่านสามารถเห็น ดิน ท่านสามารถเห็น แต่ลม ท่านไม่สามารถเห็นเป็นตัวตน สงครามล้างมนุษย์เกิดขึ้น เพราะลมปากมนุษย์ มนุษย์ผู้หนึ่งอยู่ดีๆ จะอับจน ก็เพราะลมปากมนุษย์ทำลายกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะปฏิบัติตนให้สงบ คือ “วางตนเหนือตน” รู้จักคำนี้ไหม

การวางตนเหนือตน คือ จิตวิญญาณของเราจะต้องเหนืออารมณ์ อารมณ์คือตน อารมณ์สัมผัสกับอายตนะทั้งภายในและภายนอก จิตเราจะต้องมีสมาธิ ตามรู้อารมณ์ แล้วก็เหนือคน

สานุศิษย์ : ความหมายก็คือ อยู่ในลักษณะสงบเสมอใช่ไหมครับ

สมเด็จ : คือ มันไม่ใช่ฝืน หลักแห่งความจริงในโลกนี้ ไม่มีอะไรฝืนหลักธรรมะ คือว่าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมกับมีสมาธิหรือไม่ อย่างบางคนฝึกสมาธิ แต่พอถึงเวลา มันมีอะไรไม่รู้ยาวๆ ควักขึ้นมาสูบปูดๆ นี่หรือฝึกสมาธิ

คือ ยังไม่สามารถเอาชนะสิ่งต้องการภายนอกแล้วไซร้ หลักของความเหนือตน ย่อมไม่เกิด เราจะต้องถามตัวเองว่า เมื่อจะสูบสิ่งที่เป็นของติด ถ้าฉันไม่สูบแล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล

สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล ก็คือ เมื่อท้องหิวตามธรรมชาติ ท้องนี้ต้องอาศัยวัตถุของโลก เพื่อบำรุงให้ขันธ์นี้อยู่ อันนี้เราจำเป็นต้องบำรุง คือในเรื่องการปฏิบัติของขันธ์ก็ดี เรื่องสิ่งแวดล้อมของธรรมะทั้งหลายก็ดี อาตมาเทศน์ไว้ที่นี่แยะแล้ว แต่มนุษย์ผู้ทำงานไม่ได้รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ จึงต้องมาย้อนกันอยู่อย่างนี้


pngegg.5.3.1.png




การเผยแผ่สัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์


สมเด็จ :  จงจำเอาไว้ว่า เทพเจ้าก็ดี วิญญาณชั้นสูงก็ดี ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในโลกวิญญาณ ต่างคนต่างมีงานทำ การมาโลกมนุษย์ครั้งนี้ ในการมาตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ เป็นการลงมติของโลกวิญญาณว่า

พระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคสืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรยนั้น สำเร็จจากกรุงสยาม คือพระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) กำลังปฏิบัติตนในการช่วยโลกมนุษย์ให้พ้นจากไฟนรกอเวจีแห่งการเผาผลาญโลก จึงสั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ขึ้น

เมื่อสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นแล้ว หลักของหลวงปู่ก็คือ “นิ่งเสียโพธิสัตว์” ภาวะแห่งความนิ่งแล้วไซร้ จะเผยแผ่หลักสัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ได้อย่างไรเล่า สามโลกจึงขอให้อาตมามาช่วยงานในครั้งนี้

เพราะฉะนั้น จงจำเอาไว้ว่า ในการมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์นี้ อาตมาเป็นผู้รับเชิญให้มาช่วยดำเนินการ ฉะนั้นในภาวะบางอย่างที่ต้องมาทำซ้ำๆ ซากๆ ซึ่งมันไม่ตรงกับอุปนิสัยของอาตมาเลย ตั้งแต่ก่อนทิ้งสังขารแล้ว
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

ลองของมาก เทวดาอาจลงโทษ


(วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



คุณวิษณุ รัตนโมรานนท์ : เมื่อเช้านี้ มีคนมาบอกว่า เอาปืนไปยิงตะกรุดของสำนักนี้ ๗ นัด ไม่เข้า แต่พอยิงนัดที่ ๘ เข้านั้น ทำไมถึงยิงเข้าครับหลวงพ่อ

สมเด็จ :
เรื่องนี้ ขอเตือนเหล่านักลองทั้งหลายว่า การที่วิญญาณสร้างของสิ่งเหล่านี้ขึ้นมานั้น ไม่มีเจตนาสร้างเพื่อความเหนียว แต่สร้างในหลักของความแคล้วคลาดด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ

ในการลองนั้น ต้องเข้าใจว่า มีเจตนาที่จะยิงให้ถูกจนได้ ความแคล้วคลาดกับการยืนอยู่นิ่งไม่เหมือนกัน การเป็นคน ย่อมมีการหนีและไล่ เพราะฉะนั้น ขอเตือนพวกนักลองทั้งหลายให้พึงสังวรไว้ว่า ถ้าลองมากเกินไป เทวดาอาจจะลงโทษเอาได้

เรื่องเครื่องรางของขลังนี้ ถ้าว่าตามกฎแห่งความจริงแล้ว พลังแห่งสัจจะของผู้สำเร็จองค์ใดก็ตาม ที่ได้ตั้งกระแสจิตในสิ่งนั้น ก็เพียงให้ความคุ้มครอง ส่วนการที่จะหลีกเลี่ยงหรือแคล้วคลาดนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมของตัวเองเป็นใหญ่

และข้อนี้จงจำเอาไว้ว่า สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักเผยแผ่สัจธรรม ไม่ใช่สำนักที่มาสอนให้มนุษย์ยึดในด้านวัตถุ แต่ในการสร้างวัตถุครั้งนี้ เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์นั้นมีน้อย จึงจำเป็นต้องสร้างวัตถุ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ายุคนี้นักบุญส่วนมาก เป็นนักบุญที่เอาการทำบุญบังหน้า เพื่อชื่อเสียงของตนก็ดี เพื่อกอบโกยผลประโยชน์อีกด้านหนึ่งก็ดี จะหานักบุญอย่างสมัยที่อาตมาอยู่วัดระฆังฯ นั้นยาก

อย่างในยุคนั้น อาตมาจะสร้างกุฏิแดงก็ดี ชาวบ้านเขามาสร้างให้ เอาปัจจัยให้เขา เขาไม่ยอมรับปัจจัยนั้นแหล่ อาตมาก็ได้เรียนวิธีการสร้างพระสมเด็จมาจากสังฆราชไก่เถื่อนที่วัดพลับ แล้วได้สร้างพระผงรุ่นแรกขึ้น อาตมาสร้างขึ้นเพียง ๓๕ องค์ เท่านั้น ได้แจกจ่ายให้เหล่านายช่างทั้งหลายที่มาช่วยสร้างกุฏิในครั้งนั้น ด้วยเห็นว่า มนุษย์เหล่านั้นมีใจบริสุทธิ์ที่ช่วยสร้างวัตถุ เพื่อจรรโลงพุทธศาสนา

สำหรับบทสวดต่างๆ ในพิธีการที่อาตมาสวดนั้น ล้วนแต่ใช้ธรรมานุภาพ เพื่อความแคล้วคลาด และมหาเมตตาจิต

pngegg.5.3.1.png




อยู่ยงคงกระพันแล้วมักเหลิง


สมเด็จ : ทีนี้ ในยุคต่อมา เขาเอาไปใช้ในเรื่องของความเหนียว ความขลัง อาตมาจะบอกให้ว่า ที่เหนียวนั้น เพราะกรรมดีของเขายังช่วยอยู่ จงจำเอาไว้ว่า พระเถระที่เดินตามรอยองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เขาจะไม่สร้างสิ่งที่ทำให้คนผยอง

และจงจำเอาไว้อีกว่า ถ้าลองกันมาก จะไม่ได้ดีตามที่คิด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าวิญญาณย่อมรู้ดีกว่ามนุษย์ มนุษย์เรานี้ เมื่อรู้ว่ามีของเหนียวแล้ว ใจมันเหลิง เมื่อใจเหลิงมาก อารมณ์แห่งความชั่วโดยไม่รู้ตัว เพราะนึกว่าตัวนั้นอยู่ยงคงกระพัน

ตามหลักแห่งความจริงแล้ว มนุษย์เราทุกคน ขันธ์นี้เป็นของโลก ต้องสลายตามสภาวะของโลก การอยู่ยงคงกระพันนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกิเลส ทำให้ตนหลงอยู่ในวัตถุ เมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งการเป็นคนแล้ว คือหมดอายุขัย ยมทูตจะลากไปสู่ยมโลก เสวยกรรมวิบากที่ตนสร้างขึ้น

เมื่อถึงวาระนั้น แม้แต่องค์สมณโคดมก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามหลักแห่งความจริงของธรรมชาติ หรือตามกฎอนัตตา คือ ผู้ใดสร้างกรรมขึ้น ผู้นั้นต้องได้รับ และทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมเคลื่อนไปสู่ความสลายของอนิจจัง และทุกอย่างที่ก่อเหตุมีผลในบั้นปลาย

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย พึงสังวรในข้อนี้ การมาของอาตมาในครั้งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้คนเหลิงในความขลัง แต่มาสอนให้คนละทิฐิมานะในความโลภ โกรธ หลง พยายามทุกวิถีทางที่จะสอนให้ทุกๆ คน ละในการยึดตน ยึดสิ่งของ เพราะว่า ถ้าจิตของเรามีความยึด ย่อมมีความทุกข์ คำว่า “อยากได้” ทำให้โลกปั่นป่วน


pngegg.5.3.2.png




ทิ้งสุข ทิ้งทุกข์ ย่อมสงบ


สมเด็จ : ทุกวันนี้โลกปั่นป่วน เพราะมนุษย์ที่ครองเมืองอยากได้โน่นอยากได้นี่ จึงทำให้มนุษย์ที่ร่วมเกิดพลอยลำบากไปด้วย องค์สมณโคดมได้ทิ้งการเป็นจักรพรรดิที่เกรียงไกรแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มาเป็นธรรมราชาแห่งวิหารเชตวัน

ฉะนั้น จึงขอเตือนมนุษย์ทั้งหลายว่า ระหว่างการเป็นคน ระหว่างเสวยสุข อย่าหลงสุข ระหว่างเสวยทุกข์ อย่าหนีทุกข์ เพราะว่า การมีสุขหรือมีทุกข์นั้น ขึ้นอยู่กับตน ถ้าทำดีย่อมมีสุข แต่ถ้าทำชั่วย่อมมีทุกข์ สุขหรือทุกย์อยู่ที่กายพร้อมด้วยใจ เมื่อเรายึดย่อมมีทุกข์ เมื่อเราทิ้งสุขและทิ้งทุกข์ จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คือ ความสงบ

pngegg.5.3.3.png




หันมามองตน


สมเด็จ : ธรรมะในโลกนี้ ล้วนสอนให้คนยึดในหลักของความสงบ ถ้าอยู่ในสังคม ให้ยึดในหลักของความเมตตา ถ้าทุกคนมีความเมตตาต่อกันและกัน ทุกคนมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ทุกคนเข้าใจคำว่า การเป็นคนแตกต่างกัน เพราะเกิดมาต่างกรรมต่างวาระ เมื่อทุกคนเข้าซึ้งถึงหลักของอนัตตา เมื่อนั้นสังคมนั้นย่อมมีสุข

ทุกวันนี้ สังคมแต่ละชั้นแต่ละมนุษย์แต่ละคนปั่นป่วน เพราะมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่พยายามพิจารณาตัวเอง แต่พยายามพิจารณาคนอื่น พูดง่ายๆ ก็คือ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่พยายามมองตัวเองก่อน ชอบมองคนอื่น ไม่อยู่อย่างสันโดษ เมื่อไม่อยู่อย่างสันโดษ ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้น


สภาวะทั้งหลายอยู่ในกฎของความจริง คือ เราต้องตาย เราจะทำอย่างไร จึงจะอยู่เหนือความตาย ก็โดยการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา ให้ตนหลุดพ้นจากภพชาติในกฎของวัฏฏะ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-1 00:03 , Processed in 0.094551 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.