แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

เป้าหมายแห่งชีวิต



สมเด็จ : ท่านทั้งหลาย การดำเนินชีวิตนั้น

ชีวิตคนเราเกิดมาในโลกมนุษย์นี้สั้นนัก เราเกิดมาเพื่อมาใช้กรรม ต่างคนต่างมีกรรม ต่างคนต่างมาเสวยกรรม แล้วมีกรรมพัวพัน จึงได้มานั่งอยู่ด้วยกัน

ฉะนั้น เราจะทำยังไงว่า กาลเวลาที่สั้นนัก ที่มาอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเราอยู่อย่างมีความสุข


ความสุข นั้น ก็ได้บอกกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ความสุขอยู่ที่ใจ ความสุขไม่ใช่อยู่ที่โลกภายนอก เราจะทำยังไงที่จะทำให้ใจของเราสะอาด สงบ สันติ นี่คือสิ่งสำคัญ

การจะมีความสุขไม่ใช่มีเงินร้อยล้าน พันล้าน
การจะมีความสุขไม่ใช่มีบ้านใหญ่โตรโหฐาน
การจะมีความสุขไม่ใช่จะมีเครื่องแต่งตัวดีๆ


สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติ และขณะนี้ เราติดสิ่งสมมติบัญญัติทั้งสิ้น

ท่านต้องวางเป้าหมายแห่งชีวิตไว้ ก่อนอื่น ท่านต้องถามตัวท่านก่อนว่า ชีวิตท่านต้องการอะไรเป็นเป้าหมายแรกก่อน ถ้าท่านบอก ชีวิตต้องการมีความสุข ท่านก็ต้องตั้งคำถามว่า เราจะทำยังไงให้ปลดภาระสังคมให้เบาบางลง แล้วเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าชีวิตยังอยากจะเป็นใหญ่ อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี อยากไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตท่านก็จะมีแต่ความทุกข์

ท่านจะมีชีวิตที่สุขที่สุด นั่นคือท่านจะต้องมีหลักปฏิบัติ คือ

หนึ่ง เราอย่าไปคิดเหมือนเขา คือเราอย่าไปมองคนอื่นที่ฐานะสูงกว่าเรา ให้มองคนที่ฐานะต่ำกว่าเขา


สอง ชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ตายแล้วเหลือแต่ความดีและความชั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทาเท่านั้น

ชีวิตคนเรา ก็ได้บอกกับท่านหลายๆ ครั้งแล้วว่า ไม่ต้องคิดมาก วาสนาเก่าท่านมี ดวงขึ้น จังหวะให้ มันสำเร็จของมันเอง นี่คือชีวิต และทุกๆ ชีวิตเหมือนกัน มันมีทางเดินของมันเอง ตามวิบากกรรมของมันเอง

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปคิดมาก สิ่งที่ผ่านไปนั้น ดีก็ดี ชั่วก็ชั่ว ไม่สามารถกลับคืนได้ ชีวิตตั้งต้นกันใหม่ สิ่งที่แล้วมา เราต้องทิ้งไป เขาเรียก

อดีต คือ ความฝัน
ปัจจุบัน คือ การต่อสู้
อนาคต คือ ความหวัง แต่อย่าหลง


ถ้าท่านใช้คตินี้แล้ว ท่านจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าท่านดิ้นรนอะไรมากมาย ในบางสิ่งที่ไม่สมควรคิด ไปคิดจนฟุ้งซ่านอะไรอย่างงี้ มันจะไม่มีความสุข

เขาถึงได้บอกว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่กายพร้อมกับใจ ตนทำดีย่อมมีสุข ตนทำชั่วย่อมมีทุกข์

เจริญพร


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

การเป็นพุทธมามกะ


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : หลวงพ่อโตครับ การที่นับถือศาสนาพุทธ จะให้รู้ซึ้งถึงธรรมนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : จะรู้ซึ้งถึงธรรม ท่านจะต้องประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะใช่ไหม

คุณจิ้นตง : ใช่ครับ

สมเด็จ : ท่านประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ท่านจะต้องศึกษาให้รู้แจ้งในศีลบริสุทธิ์ แล้วท่านต้องปฏิบัติตามในธรรม ในศีล สมาธิ ปัญญา ให้แข็งแกร่งให้ถ่องแท้ ก็คือท่านต้องถามตัวเองว่า

เวลานี้ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริงหรืออย่างไร
ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านมีความโกรธมากขนาดไหน
ท่านมีความพยาบาทมนุษย์ด้วยกันหรือไม่
ท่านมีความโลภขนาดไหน


หลักของพระพุทธศาสนาก็คือ พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่อย่างสันโดษ กินง่ายนอนง่าย เจรจาง่าย ไม่มีการพยาบาท รู้จักอภัยทานเป็นหลัก คนนั้นๆ ก็คือ พุทธมามกะที่แท้จริง

ถ้าคนนั้นไม่มีหลักอย่างนี้แล้ว ก็อย่าอวดตนว่าเป็นพุทธมามกะ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้คนมีความพยาบาท ความพยาบาททำให้โลกวุ่นวายทุกวันนี้ ก็เพราะตัวพยาบาทกับตัวโลภ จึงทำให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์ คือผู้ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจ สั่งมนุษย์ผู้ที่ไม่มีอำนาจทำลายมนุษย์ฝ่ายตรงกันข้าม

สิ่งเหล่านี้ก็คือว่า ท่านจะเป็นพุทธมามกะ

๑. ท่านจะต้องรู้จักสันโดษ


๒. ท่านจะต้องรู้จักช่างมัน


๓. ท่านจะต้องรู้จักมีเมตตา


สามประการนี้ถ่องแท้ ท่านจะเป็นพุทธมามกะที่แท้จริง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

4.png



ตอนที่ ๑

สงสารสัตวโลก


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : ขอนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครับ กระผมมีเรื่องที่จะถามหลวงพ่อ เรื่องของพุทธทำนายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมจะอ่านใฟ้ฟังนะครับ...


พระพุทธพจน์ทำนาย


(คัดลอกจาก ศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน)

คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน

แปลได้ดังนี้

สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตวโลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ ศิษย์ผู้อันสนิทสนมพากเพียรพยาบาลว่า

ดูกรอานนท์ สัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมา ล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลาย จนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี

เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒๕๐๐) ปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หินถูกสาปให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมาก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ

แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมาจากสัตว์ป่าอำมหิต

ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ

ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม มาเคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยม เชื่อถือถ้อยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอ ย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบ ไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดจากลูกโคกเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อแสนหนึ่ง มาปล่อยไข้เป็นไฟผลาญ

เมื่อศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) เคยเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียน ข่มเหง อิจฉาพยาบาท และไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมา จะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

“หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิโหคะหะคะเน” ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศีรษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตวโลกเป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคสลาย


เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะ ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไป เพราะพวกมิจฉาทิฐิจะต้องดับสิ้นไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุง บำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะต้องอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป

การงานของมนุษย์ จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในความอุปถัมภ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น “ยุคศรีวิไล” พระมหาเถระโพธิสัตว์จะเกิดในสมัยของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอ ปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยง แม้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ ยังสัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันผู้มีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่ง ยำเกรงบิดามารดา รู้จักคุณท่านผู้มีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคะตา อิติ โพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโส จะ เต นะโม

รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี : เรื่องพุทธทำนายนี้ ผู้ที่จะศึกษารู้ในเรื่องนี้ จะศึกษามาจากในด้านพระสูตร

ทีนี้ ในการทำนายในครั้งนี้ ไม่ใช่ที่ราชคฤห์ ไม่ใช่เชตวัน แต่การทำนายครั้งนี้ อยู่ใกล้ ณ เมืองกุสินารา ฉะนั้นก็ค้านกับตำราปัจจุบัน ก็คือ เมื่อองค์สมณโคดมได้เดินทางมาถึงใกล้เมืองกุสินารา ในภาวการณ์ที่จะปรินิพพานในกรุงกุสินารานั้น เพราะได้ฉันอาหาร ณ บ้านนายจุนทะ หลังจากฉันอาหารแล้ว ก็เกิดอาการปั่นป่วน ก็ได้บอกกับพระอานนท์ว่า

อานนท์ เรานี้จะไม่พ้นในการทิ้งสังขารแล้ว เวลาแห่งการปรินิพพานของเราใกล้มาแล้ว อานนท์ เราจะเร่งรีบเดินทาง เพื่อให้ถึงชานเมืองกุสินารา จะได้เข้าไปประกาศให้เหล่ากษัตริย์ในแคว้นนั้น ให้เตรียมการที่จะทำการเผาผลาญสรีระของเรา เมื่อเราปรินิพพานแล้ว

ในกาลครั้งนั้น พระอานนท์ยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ยังติดในรส ติดในรูป ติดในเสียงองค์สมณโคดมอยู่ ก็ร้องห่มร้องไห้ว่า ถ้าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว อะไรจะเป็นตัวแทนของพระองค์เล่า

องค์สมณโคดมก็บอกว่า พระธรรมที่ตถาคตแสดงมาทั่วแคว้นนั้นแล จะเป็นครูที่ดีของเรา พระอานนท์นั้นยังไม่คลายโศก ท่านก็เดินไปร้องไห้ไป


องค์สมณโคดมจึงตรัสว่า อานนท์เอ๋ย การโศกาเป็นผู้แพ้จึงหลั่งน้ำพระเนตร พสุธาไม่ช่วยเจ้า การหลุดพ้นอยู่ที่ตนปฏิบัติให้ถึงซึ้งในจิต ไม่ใช่ร้อง ตถาคตไม่มีกลับ” นี่คือวิธีการของนักปราชญ์นักแสดงพุทธพจน์ เขาเรียกว่า หลักปรัชญา ย่อมที่จะไม่ต้องแสดงถึงในความแจ่มแจ้งแห่งอรรถาธิบายแบบนิยาย

การศึกษาธรรมะให้แท้จริง พระกัสสปะจะบอกว่า “สาวกข้าทั้งหลาย เจ้าจงดูเบื้องหน้าข้านั้นแหละพระโพธิสัตว์” ก็คือ ภูเขา

ภูเขานั้นนิ่ง นี่คือการสอนธรรมะในยุคนั้น


ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย องค์สมณโคดมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเร่งให้อานนท์รีบๆ เข้าฌานญาณ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ในขณะนั้น ก็ได้กล่าวพุทธพจน์ว่า “หลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานนั้น หลังจากนั้น ความปั่นป่วนในโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น พุทธศาสนาจะบินเหนือจากชมพูทวีป หลังจากตถาคตสิ้นไปแล้ว ๑๐๐ ปี” ก็เป็นความจริงในยุคนั้น

ทำไมองค์สมณโคดมจึงสามารถพยาการณ์ล่วงหน้า รู้แจ้งแทงตลอดเป็นเวลาพันๆ ปี ก็เพราะว่า องค์สมณโคดมนั้น เป็นผู้ที่เรียกว่า เป็นพุทธะแห่งยุค พุทธะแห่งยุคย่อมสะสมเจโตปริยญาณอย่างแข็งแกร่ง เจโตปริยญาณขององค์สมณโคดมนั้น เหนือกว่าอรหันต์ ๓ เท่า จึงสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นพันๆ ปี


pngegg.5.3.1.png




ยุค ๑๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : เมื่อองค์สมณโคดมทิ้งขันธ์จากโลกมนุษย์สู่โลกวิญญาณแล้วนั้น หลังจากนั้น ๑๐๐ ปี ศาสนาพุทธได้แตกแยกออกเป็น ๓๒ นิกาย ความปั่นป่วนไม่รู้จะเชื่ออะไรเป็นหลัก ก็เกิดขึ้นในชมพูทวีปในยุคนั้น จนพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐ ปี ค่อยมาเกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เจริญขึ้นในขณะนั้น

pngegg.5.3.2.png




ยุค ๒๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “ศาสนาตถาคตดำเนินไปสิ้นสุดสมัยพระเจ้าอโศก ศาสนาของตถาคตจะสิ้นสูญจากชมพูทวีปไปเจริญสู่ตะวันออก” คือเดินทางเข้ามาเจริญในแคว้นธิเบตมาทางสุวรรณภูมิ ผ่านทางแหลมมลายู

ทำไมศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป แต่หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปไม่ถึง ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธทำไมต้องสูญสลายจากอินเดียเล่า ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย และเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองในยุคก่อนพุทธกาล

เหตุไฉน จึงทำให้ชาวชมพูทวีปไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธ หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธกลับมาโผล่ขึ้นทางลังกา พม่า ขอม สยาม จีน และธิเบต ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นวิบากกรรมของเขา เรียกว่า ถึงภาวะแห่งความวิบากในจุดหนึ่ง มันจำเป็นต้องปล่อยตามภาวะกรรมนั้นๆ

pngegg.5.3.3.png




ยุค ๒๕๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๐๐ ปี จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมจากศีลธรรมประจำใจ ในขณะนั้น ก็จะเกิดกลียุคทั่วพิภพไปจนกว่าพุทธกาลจะถึง ๓๐๐๐ ปี ในระหว่างที่เกิดกลียุคนั้น ก็จะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มาช่วยผดุงศาสนา เมื่อหลังพุทธกาล ๒๕๐๐ ปีไปแล้ว”

พระโพธิสัตว์องค์นั้น ในขณะนี้มนุษย์ให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่ทันการ เพราะต้องใช้เวลาแห่งการเติบโตของกายเนื้อ มติโลกวิญญาณจึงได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะดำเนินการในการผดุงศาสนาขึ้น

เรื่องนี้ ถ้าท่านเป็นนักศาสนาแท้จริงแล้ว ท่านจะเข้าใจว่า พวกคริสตัง คริสเตียน เขาจะมีคัมภีร์ไบเบิล ในคัมภีร์ตอนหนึ่ง มีคำพยากรณ์ว่า เมื่อระยะหนึ่งแห่งคริสตกาลล่วงไปแล้ว อาตมาคิดว่าคงมีระบุว่า จะมีสำนักหนึ่งเกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งพระเจ้าลงมาทำงาน และถ้าท่านค้นคว้าเข้าไปในตำราอิสลาม ในคัมภีร์อัลกุรอาน ก็จะมีการพยากรณ์ถึงการที่พระเจ้ามาทำงานในพื้นภาคนี้

ทีนี้ ในภาวะนั้นก็เรียกว่า สัตวโลกทั้งหลายอยู่ในสภาพการณ์ที่จะต้องรับกรรมวิบากตามพุทธทำนาย หลายเรื่องที่อาตมาไม่อยากจะเทศน์มาก แล้วในการที่เขาพยากรณ์ที่อ่านมาเมื่อตะกี้นี้ บางตอนก็เป็นอรรถกถาจารย์ขยายความต่อเติมให้ดีขึ้น


เพราะฉะนั้น ในพุทธทำนายก็คือว่า เมื่อเลยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเสื่อม คนดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน คนไร้สัตย์มีอำนาจ คนมีสัตย์ต้องอยู่ป่า

ในภาวะเหตุการณ์ทั้งหลายที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็กำลังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ อาตมาก็มาทำงาน เพื่อที่จะช่วยผดุงเกี่ยวกับงานนี้ ซึ่งงานที่สำนักปู่สวรรค์จะทำนั้น เป็นงานระดับโลก ระดับประเทศ ไม่ใช่ระดับชาวบ้าน


ถ้าระดับชาวบ้านก็แค่มารักษาโรค แค่มาเทศน์ธรรมดา เวลานี้เขาก็เทศน์กันเยอะแยะ อาจารย์เยอะแยะ อาจารย์มากกว่าขอทานในยุคนี้ และการมารักษาโรคธรรมดาแค่นี้ เทวดาสักองค์หนึ่งก็ลงมารักษาได้ ไม่ต้องถึงขั้นขรัวโตลงมาทำงานหรอก ไม่ต้องถึงขั้นพระโพธิสัตว์ลงมาทำงานหรอก

p6.png




โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญ


สมเด็จ : ส่วนในเรื่องที่ว่า โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญนั้น ก็ในขณะนี้ มนุษย์ได้สร้างสิ่งที่ไปดวงจันทร์ คือโลกเรานี้ มันมีแกนของโลก แล้วการที่ท่านสร้างในเหล็กทั้งหลาย (ยานอวกาศ) ที่ยิงไปสู่ดวงจันทร์นั้น มันเป็นการกระทบกระเทือนระหว่างรัศมีของนภากาศ ทำลายเมฆหมอกฝนที่จะตกต้องตามฤดูกาล

และตอนที่ (ยานอวกาศ) จะกลับมาสู่โลก ชนผิดทางก็เหล็กสลาย ชนถูกทางก็เกิดการกระเทือน เมื่อกระเทือนมากๆ แกนของโลกมันก็ไม่มั่นคง ก็เรียกว่า มนุษย์ขณะนี้กำลังสร้างวัตถุ เพื่อทำลายมนุษย์กันเอง

มนุษย์ทั้งหลาย ท่านอย่าโง่เลย วัตถุที่ท่านสร้างยิงออกไปนอกโลกนั่นน่ะ ท่านจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางถึงในจุดที่ท่านต้องการ สู้ท่านหันกลับมาค้นจิตในจิต ค้นกายในกายดีกว่า สมาธิอำนาจฌาน จะทำให้ท่านเรียกว่า ลัดนิ้วมือเดียว เที่ยวทั่วพิภพจักรวาลได้

แค่ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงนรกโลกได้
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงพรหมโลก
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์ พระจันทร์


p5.png




ทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์


สมเด็จ : แม้ท่านสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ไปในที่นั้นได้ ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้ในที่นั้นให้เป็นประโยชน์ เพราะว่า

๑. อากาศบนดวงจันทร์กับอากาศบนโลกมนุษย์ไม่เหมือนกัน

๒. บนดวงจันทร์มีทะเลเพลิง ท่านยังไม่ได้เข้าไป เกิดวันไหนท่านกะว่าตรงนั้นเป็นน้ำ เมื่อนั้นแหละ ท่านจะส่งสิ่งวัตถุ ส่งมนุษย์เข้าไปเผาผลาญในทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์

สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมานั้น ท่านต้องใช้ปัจจัยเท่าไหร่ ท่านต้องใช้เหล็กกล้าชั้นหนึ่งของโลกมนุษย์ ท่านต้องใช้ใยสังเคราะห์ชั้นหนึ่งมาเป็นเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ที่จะไป ท่านจะต้องลงทุนเป็นพันๆ ล้าน แต่ไปถึง ท่านยังไม่มีความสำเร็จในการที่จะจัดตั้งสถานีอยู่บนนั้นได้โดยเร็ว เพราะว่า ดวงจันทร์นั้นอาศัยการโคจรของจักรวาลนี้ แต่ว่าได้รับรังสีรัศมีของอีกจักรวาลหนึ่ง

อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วว่า จักรวาลทั่วพิภพนี้ ไม่ใช่ว่ามีดวงอาทิตย์ดวงเดียว จักรวาลที่ท่านค้นพบนี้ เป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบของสิ่งธรรมชาติในพิภพ ดวงอาทิตย์ในพิภพมีอยู่ ๓๔ ดวง และในการดึงดูดของกระแสคลื่นของดวงดาว อยู่ในภาวะต้องอาศัยแกนแม่เหล็กไหลในการยึดตน เพื่อโคจรตามภาวะในนภากาศ


เพราะเหตุนี้ ถ้าท่านพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากๆ ยิงไปดวงจันทร์มากๆ ภายใน ๓ ปีนี้ ความสั่นสะเทือนก็จะทำให้เกิดความแห้งแล้งในพิภพ ไม่ถึง ๒๐ ปี ความอดอยากก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ภาวะที่มนุษย์จะกินมนุษย์ก็จะเกิดเร็วเข้า

ฉะนั้น สิ่งทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์มาเข้าใจ รู้ถึงว่าจักรวาลนี้ ยังมีสิ่งลี้ลับเหนือท่าน ท่านจะไปเที่ยวที่ดาวอังคาร ท่านไม่ต้องไปด้วยวัตถุ ท่านไปด้วยจิตวิญญาณได้ โดยท่านหันกลับมาศึกษากรรมฐานวิปัสสนาตามแนวของโคตมะซิ

p4.png




ทำงานเพื่ออนาคต ปี พ.ศ.๓๐๐๐


สมเด็จ : ฉะนั้น ในเหตุการณ์ทั้งหลาย คำพยากรณ์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ฆ่ามนุษย์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง

พระพุทธองค์มีเจโตปริยญาณเหนือกว่าสรรพวิญญาณในโลกมนุษย์ จึงสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเวลาพันๆ ปี แล้วเรื่องศาสนาพุทธนี้เป็นเรื่องใหญ่ คือ

หลังจากพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๑๗๐๐ ปี การปฏิบัติตามแนวอันแท้จริงขององค์โคตมะมีน้อยมาก จึงไม่มีการเหาะเหินเดินอากาศของมนุษย์เกิดขึ้น คือไม่มีผู้ปฏิบัติให้ถูกหลักของกรรมฐานวิปัสสนา พอมาถึงอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ยุคนี้ ยิ่งร้ายใหญ่ อ่านตำรา ๒ เล่ม ก็ประกาศตนเป็นอาจารย์ แล้วก็เที่ยวค้านในสิ่งลี้ลับ สิ่งมหัศจรรย์ที่ตัวเองทำไม่ได้

อาจารย์สอนวิปัสสนาขณะนี้ ไปดูแล้วท่านจะสังเวช ก็คือว่า ให้ลูกศิษย์นั่งตามนี้นะ ต้องว่าตามนี้นะ เดี๋ยวอาจารย์ไปดูดยาก่อน ให้ลูกศิษย์นั่งไป อาจารย์ไปเคี้ยวหมากก่อน นี่คืออาจารย์ที่สอนวิปัสสนาในยุคนี้

ฉะนั้น การจะปฏิบัติถึงขั้นเอกัคตาจิต ถึงขั้นฌานญาณ เหาะเหินเดินอากาศ จึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวผู้สอนก็ไม่ถึง ตัวผู้เรียนก็ไม่ถึง เล่นวิปัสสนึก เวลานี้ก็นึกกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ในการมาทำงานของอาตมา อาตมาก็บอกแล้วว่า ขรัวโตถ้าจะทำงาน งานเล็กไม่ทำ ต้องทำงานใหญ่ และในการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ ก็ไม่ใช่ทำงานเพื่อยุคปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ทำงานเพื่อยุคอีกยุคหนึ่ง เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้น สำนักปู่สวรรค์จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในกลุ่มชนในยุคนั้นได้ศึกษา

คุณจิ้นตง : แล้วเรื่องคาถานี่เล่าครับ ที่ว่าทุกๆ บ้านจะต้องเขียนติดไว้แล้วท่องบ่นจะพ้นภัย เป็นจริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ :  คาถานี้เป็นอรรถาธิบาย เป็นการสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยของผู้มีศีล เพราะฉะนั้น ถ้าคาถานี้ติดอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วผู้นั้นไม่เป็นอะไร เอ็งก็ติดคาถาแล้วไปเที่ยวปล้นคน ดูซิว่าจะเป็นอะไรไหม

คุณจิ้นตง : เขาให้สวดทุกวันด้วยครับ สวดทุกเช้า

สมเด็จ : เพราะว่าในการสวด การสาธยายมนต์นั้น เป็นการพูดถึงพุทธพจน์ พูดถึงในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นมงคล เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณ ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็เป็นการเตือนใจ เป็นการให้เรามีเมตตา เป็นการให้เราประพฤติปฏิบัติจิตให้ถ่องแท้ ให้เข้าซึ้งถึงธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คาถาทั้งหลาย ถ้าแปลอรรถพยัญชนะออกมาแล้ว ก็เป็นธรรมล้วนๆ นั่นเอง ไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ท่านปฏิบัติเอง

แบบบางคนบอกว่า คาถาชินปัญชรของอาตมาสวดแล้วดี เพราะว่าบารมีของผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ เป็นอริยบุคคลมาคุ้มครองเรา ไม่แน่เสมอไป คือ สิ่งสำคัญ ท่านต้องปฏิบัติดีด้วย ไม่ใช่สวดคาถาชินปัญชรแล้วรวย ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไร กินอิ่มแล้วนอนลูบพุง แล้วสวดคาถาชินปัญชร ดูซิว่าจะรวยไหม

ทุกอย่างมันอยู่ที่กรรม การกระทำ สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากมายแล้วว่า มนุษย์นั้นก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ด้วย วาสนาเก่ามี ๑ ดวงขึ้น ๑ จังหวะให้ ๑

ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เทพพรหมก็อนุโมทนา ดลจิตดลใจให้ท่านมีสติปัญญา ปฏิบัติตนในสิ่งที่ชอบ มีสมองที่แจ่มใสในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง เมื่อนั้นการสัมมาอาชีวะของท่านก็ดีขึ้นได้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



ความเพ่งพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้

ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เพ่งพินิจ  

ผู้ใดมีความเพ่งพินิจทั้งปัญญา

ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด
เราจะต้องเอาตนเข้าไปพัวพันกับสิ่งนั้น
และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น
แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น
ค่อยลงความเห็น


png2.png



ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต

ผู้ใดปฏิบัติธรรม   ผู้นั้นรู้เอง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

สวดพระคาถาชินปัญชรเพิ่มปุ๋ยใจ



ปุ๋ยใจนั้น สำคัญอย่างไร



เหตุที่มนุษย์นั้นวุ่นวาย ก็เพราะมีปุ๋ยกายมากเกินไป ลืมใส่ปุ๋ยใจ เมื่อบำรุงร่างกายมาก ด้านจิตใจไม่ได้บำรุง พูดอย่างสมัยใหม่ว่า มนุษย์พัฒนาแต่ร่างกาย แต่ไม่ได้พัฒนาจิตใจ

หันมาหาปุ๋ยใจให้กับตัวเองบ้าง ด้วยการสวดพระคาถาชินปัญชร ทำจิตให้สงบ ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น แล้วโลกมนุษย์นี้ จะอยู่กันอย่างสงบ สันติสุข
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

หลักธรรมะชีวิตประจำวัน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพรชัย สุวรรณชื่น : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เราจะมีหลักปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อละกิเลส ในเรื่องความโลภเห็นแก่ตัว จะปฏิบัติได้ด้วยวิธีใดครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ หลักที่ท่านจะปฏิบัติธรรมไม่ให้ตัวโลภะต่อตัวท่านนั้น

ขั้นแรก ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า วันหนึ่ง ท่านต้องการกินข้าวกี่ชาม นี่เป็นจุดแรก

จุดที่ ๒  เมื่อท่านรู้ว่า ท่านต้องการกินข้าวกี่ชามแล้ว ชีวิตของท่าน ฝากอยู่กับสังคมหรือไม่

จุดที่ ๓  เมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ท่านต้องการอะไรมากไปกว่านี้


จุดที่ ๔  สิ่งที่ท่านต้องการ เมื่อมีอยู่แล้ว ท่านรู้จัก “พอ” หรือไม่

เพราะเหตุใดเล่า ก็คือว่ามนุษย์ทุกวันนี้

๑. ไม่พยายามเข้าซึ้งถึงว่า สังขารเรานี้เกิดขึ้นมาได้นั้น เพราะปฏิกูลบำรุงปฏิกูล เพื่อให้ขันธ์นี้อยู่ อยู่เพื่อใช้กรรมตามวาระ ตามภาวะ

๒. ไม่คิดถึงว่า ความตายกำลังก้าวเข้ามาหาเราทุกๆ วินาที ในการสับเปลี่ยนของพระอาทิตย์และพระจันทน์ เพราะว่า วันหนึ่งๆ ผ่านไป ชีวิตท่านแก่ลงไปทุกวัน วันหนึ่งๆ ผ่านไป เด็กโตขึ้นมาทุกวัน เด็กผู้หญิงวันหนึ่งโต ๒ เมล็ดข้าวเปลือก เด็กผู้ชายวันหนึ่งโต ๑ เมล็ดข้าวเปลือก ถูกหรือผิดไม่รู้ ต้องถามศาสตราจารย์ชีววิทยา (ดร.คลุ้ม วัชโรบล)

ทีนี้ ภาวะทั้งหลาย เมื่อท่านกินอิ่ม ท่านมีปัจจัย ๔ พร้อม ท่านเพียงพอในปัจจัย ๔ ที่ท่านมีอยู่หรือไม่

ทีนี้ ในการที่ท่านไม่เพียงพอ เพราะว่า ท่านฝากชีวิตการเป็นอยู่ของท่านไว้กับสังคม โดยไม่ยอมพิจารณาว่า สังขารเรานี้ แท้ที่จริงต้องการเพียงสิ่งปกปิดธรรมดา เมื่อปกปิดแล้ว มันก็อยู่รอดตามภาวะ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนตามภาวะตามกรรมของมนุษย์พวกที่ทะเยอทะยานในวัตถุนิยมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

เพราะฉะนั้นก็คือว่า การที่จะไม่ให้มีตัวโลภเข้ามา เราจะต้องรู้จักตัว “พอ” คือ พอกิน พออยู่ พอใช้ สามพอย่อมมีสุข

แล้วพิจารณาถึงความตายเป็นสรณะ ว่าโลกไปนั้น ถึงมีเงิน ๑๐ ล้าน เมื่อตายไป อีแปะหนึ่งจะคาบไปหายมบาลก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น สร้างความดีไว้กับสังคม ตายไปแล้วเหลือแต่ชื่อให้คนวิจารณ์ในรุ่นหลังดีกว่า

ฉะนั้น ถ้าทุกคนใช้หลักอันนี้เป็นสรณะ ในการพิจารณาชีวิตประจำวัน ก็ย่อมที่จะเป็นประตูอันหนึ่งที่จะป้องกันตัวโลภ ที่เข้าตัวท่านได้ พอจะเข้าใจไหม

คุณพรชัย : เข้าใจครับ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

นิ่งเสียโพธิสัตว์


(วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณขีด : กระผมได้เคยฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จ ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า หลวงปู่ทวดหรือพระภิกษุปู ได้ไปพบพระมุนี ๒ องค์สนทนากัน องค์หนึ่งถามอีกองค์หนึ่งว่า “ท่านนี้หรือ ที่ชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรม” พระมุนีองค์ที่ถูกถามก็นิ่ง แต่อาการนิ่งนั้นแทนคำตอบ เมื่อพระภิกษุปูได้ฟังเช่นนั้น ในสัญชาตญาณของบุรุษอาชาไนย ท่านก็เลยคิดได้ดีทีเดียวว่า “การนิ่ง” จะต้องมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้ กระผมฟังแล้วก็มาคิดดูว่า “ความนิ่ง” นี่ น่าจะมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่จริงๆ เหมือนกัน เพราะว่าเปรียบอย่างน้ำในภาชนะที่นิ่งก็ย่อมมองเห็นธรรมชาติต่างๆ ถ้าเรามองลงไปในน้ำ แต่ถ้าหากน้ำนั้นสั่นคลอนหรือว่ามีคลื่น เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นเงาของธรรมชาตินั้นๆ ได้ เพราะฉะนั้น กระผมจึงคิดว่า การนิ่งของจิตนี่ จะต้องมีธาตุรู้เจือปนอยู่ในความนิ่ง เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

สมเด็จ : เขาเรียกว่า การนิ่งของกระแสจิต จะทำให้ท่านรู้ความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ นั่นคือ ธาตุทั้ง ๔ เสมออยู่ฌานญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องรู้ เมื่อสำเร็จญาณฌานแล้ว นิ่งของเขานั่นแหละ เขาจะรู้สรรพสิ่งที่จะเข้ามากระทบ

ดั่งเช่น ในพุทธกาลครั้งหนึ่ง มีสาวกขององค์โคตมะ ๒ องค์ องค์หนึ่งสำเร็จอรหันต์ อีกองค์หนึ่งยังไม่สำเร็จอะไร ทั้งสองได้เดินทางจากแคว้นมคธไปแคว้นพาราณสี องค์หนึ่งนั้นเป็นลูกศิษย์ องค์ที่สำเร็จเป็นอาจารย์ ก็ให้องค์ที่เป็นลูกศิษย์ถือบาตร จีวร และสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ โดยให้เดินหลัง


ลูกศิษย์ที่เดินตามหลังนั้น บางกระแสจิตก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เรานี้ควรจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะโปรดสัตวโลกให้พ้นทุกข์จากไฟอเวจี อาจารย์ที่เดินนำหน้าอยู่ที่นั้น รู้กระแสจิตของลูกศิษย์ด้วยความนิ่ง ก็ได้นำบาตรและสัมภาระที่จำเป็นนั้นมาถือ และให้ลูกศิษย์เดินนำหน้า

ลูกศิษย์เดินนำหน้าไปพักหนึ่ง ก็คิดว่าการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นแสนจะลำบาก แสนจะอดอยาก ไม่เป็นดีกว่า เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ดีกว่า อาจารย์ที่เดินอยู่ข้างหลังก็รู้กระแสจิต ก็ได้เอาบาตร จีวร และสัมภาระให้ลูกศิษย์ถือ แล้วให้เดินตามหลัง ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งลูกศิษย์เกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุใด เดี๋ยวให้กระผมเดินนำหน้าท่าน เดี๋ยวให้กระผมเดินตามหลังท่าน เดี๋ยวท่านก็ถือของเอง เดี๋ยวท่านให้กระผมถือ อาจารย์มีเหตุผลอะไรหรือ

อาจารย์ก็ได้อธิบายว่า เมื่อขณะจิตท่านคิดเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ท่านมีความปรารถนาแห่งความแรงกล้าเหนือเรา เราจึงยกย่องท่านให้เดินหน้า เราเป็นคนเดินตาม ถือของแทนท่าน แต่เมื่อท่านได้ย้อนกระแสจิตกลับมาเพื่อสำเร็จเป็นอรหันต์นั้น เราถือว่าท่านก็เท่ากับเรา เราจึงให้ท่านเดินตามหลัง และถือของแทนเรา

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่สำเร็จด้านกระแสจิตของฌานญาณแล้ว ความนิ่งของเขาแหล่ เป็นการกระทบกระแสจิตของมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้ามาหา เข้ามาพัวพัน ท่านจะเห็นว่า ท่านจะเข้าหาหลวงปู่นั้น หลวงปู่จะไม่พูดมาก แต่รู้ว่าท่านต้องการอะไร จะช่วยเท่าที่จะทำได้

สิ่งเหล่านี้ ท่านทั้งหลาย การพูดมากเป็นการเสียพลังมาก เสียพลังมากก็มีความฟุ้งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

ถ้าจะพูดในด้านปรมัตถธรรมแล้วไซร้ อาตมาคิดว่า ท่านไม่ต้องศึกษาธรรมะอะไรมากมายหรอก นักธรรมตรีท่านอ่านให้จบ แล้วท่านทิ้งตำรานั้น หันมาปฏิบัติจิต ธรรมชาติแห่งความรู้แท้นั้นแหละ จะเข้าซึ้งถึงธรรมะอันแท้จริง แต่ทุกวันนี้ สังคมปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้น สังคมปัจจุบันจะต้องว่า ฉันนี่สำเร็จปรมัตถธรรม โดยมีคนเซ็นรับรอง เขาเรียกว่า มีประกาศนียบัตรรับรองกันเยอะแยะ กลายเป็นว่า ปรมัตถธรรมอยู่ที่กระดาษอวดกัน

คุณขีด : ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันว่า ในความนิ่งมีธาตุรู้อย่างยิ่ง อย่างที่ผมคิด เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ได้ใช้ธาตุรู้เป็นทางค้นคว้า เพื่อไปสู่มรรคผลใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างความนิ่งสู่แดนนิพพาน ถ้าท่านไม่นิ่ง ท่านจะยิ่งฟุ้ง ถ้าท่านฟุ้งมาก ท่านย่อมห่างธรรมมาก เพราะการพูดเป็นสมมติบัญญัติ ถ้าท่านยึดสมมติบัญญัติเป็นหลัก ท่านไม่มีทางสำเร็จ คำด่าเป็นสมมติที่จับตัวไม่ได้ คำชมก็เป็นสมมติที่จับตัวตนไม่ได้


เพราะฉะนั้น ผู้รู้เขาจึงใช้กระแสจิต เรียกว่า รู้ด้วยธรรมชาติ นิ่งต่อนิ่ง คุยกันแล้วรู้กันเอง และความนิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ท่านก็ต้องพยายามบ่มในสมาธิวิปัสสนา ให้ถึงจุดแห่งเอกะอย่างจริงจัง แล้วนั่นแหล่ ท่านจะถึงธาตุแท้ความรู้อันบริสุทธิ์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

เทพพรหมผ่านร่างมนุษย์


(วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เหลี่ยว : ลูกขอกราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกมีความสงสัย เรื่องการเข้าทรงครับ และคนทรงนี่ จะต้องมีบุญมีบาป หรือว่ามีอุปนิสัยอย่างไรครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ ผู้ที่จะเป็นร่างทรงของวิญญาณของพวกรุกขเทวดา พวกผีเปรต อสุรกาย เหล่านี้ เรียกว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกรรมวิบากในอกุศลที่ตนสร้างมา จึงได้ถูกการจองล้างจองผลาญของเหล่าวิญญาณที่ยังไม่เข้าซึ้งถึงธรรม ส่วนการที่จะเป็นร่างทรงของผู้สำเร็จเทพพรหมชั้นสูงนั้น คือ

๑. บุคคลนั้นจะต้องมีกรรมพัวพันกับวิญญาณนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติเป็นหลายชาติ

๒. บุคคลนั้นจะต้องมีศีลธรรม และมีคุณธรรมประจำใจ

๓. จะต้องเป็นผู้ที่เทพพรหมนั้นๆ ต้องการมาทำงานด้วย จึงจะเป็นสื่อในการที่จะให้เทพพรหมลงมาทำงานในโลกมนุษย์ได้

ถ้าพูดถึงว่า มีบุญหรือมีบาปนั้น ท่านจงดูเอาเอง อย่างร่างทรงที่อาตมายืมร่างมาทำงานนี้ เขาบอกว่า เขามีกรรม จึงต้องมาให้อาตมาใช้งาน ทั้งวันจะต้องขลุกอยู่แต่ในห้อง บางครั้งจะต้องไปอยู่ในป่า แล้วก็กิน ๒ มื้อ

แล้วในเรื่องการเล่นการทรงนั้น อาตมาอยากจะเตือนว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเล่นเลย สมมติท่านพยายามส่งกระแสจิตถึงเทพพรหมชั้นสูงที่เขาไม่ได้อยากมาทำงาน และถ้าระหว่างนั้น เขากำลังเข้าฌานอยู่ ท่านก็ย่อมมีบาปในการที่จะให้เทพพรหมนั้นมาประทับท่าน

การเข้าทรงนั้น ไม่ใช่จะทรงได้ทุกองค์ ขึ้นอยู่กับว่า วิญญาณนั้นกับท่านมีความพัวพันกันหรือไม่ กระแสจิตท่านปฏิบัติสะอาดเพียงพอหรือไม่ ที่จะให้เทพพรหมเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างท่าน นี่เป็นความจริงของคำว่า ความสัมพันธ์แบบลูกโซ่ในกฎแห่งสังสารวัฏ ไม่ใช่พอคิดจะทรง องค์นี้เข้าแล้ว เดี๋ยวไม่เอาละ องค์นี้ไม่ชอบ ทรงสมเด็จโตนี่ มาทีไรชอบด่า หาองค์ที่พูดดีๆ พูดเพราะๆ มาดีกว่า ก็กลายเป็นว่า เทพพรหมเป็นเครื่องเล่นของท่านน่ะซิ

สิ่งเหล่านี้อาตมาขอบอกว่า ถ้าท่านจะเล่นกับวิญญาณ ท่านต้องคิดให้ดีก่อนว่า ท่านพร้อมที่จะให้วิญญาณใช้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า ท่านพร้อมเสมอหรือยัง ที่จะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้าอย่างเทพพรหมชั้นสูงนั้น เขาต้องเกี่ยวพันกับท่าน เขาถึงจะมา ไม่ใช่ท่านคิดจะเชิญให้มาก็มา อย่างเวลานี้มีเยอะแยะ ท่านลองไปดูซิ เชิญสมเด็จโต ๒ บาทก็มา บุหรี่มวนหนึ่งก็มา หมากคำหนึ่งก็มา สมเด็จนี้ไม่มีค่าเลยหรือ

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ท่านต้องพิจารณา ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาในโลกมนุษย์นั้น ตลอดเวลาจะเป็นเวลากี่โมงกี่ยาม นานแค่ไหนก็แล้วแต่ แม้แต่น้ำหยดเดียวของมนุษย์ก็ไม่ต้องการ และจะมีพลังแห่งสติสัมปชัญญะพร้อมอยู่เสมอ ที่จะรับทราบเรื่องราวจากท่านที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระแสจิต


เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องปฏิบัติเองให้ถึงอัปปนาสมาธิ เข้าสู่ในกระแสฌานญาณแล้วนั่นแหล่ ท่านจึงจะมาคุยถึงเรื่องเทวดา พรหม ค่อยรู้เรื่องหน่อย ในสภาวการณ์ของสังคมในกลียุคนี้ ถ้าท่านไม่หมั่นทำสมาธิให้จิตสงบแล้ว อาตมากล้าบอกว่า สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ในไม่ช้าจะเกิดจิตไม่ดี เกิดเป็นโรคประสาทกันเยอะแยะ

ฉะนั้น ท่านควรสงบจิตให้นิ่งเสียบ้าง ท่านจะไม่ถูกโรคประสาทกิน ทั้งนี้และทั้งนั้น อาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากแล้ว ถ้าท่านทำจริง ขอให้ท่านตีอริยสัจสี่ให้แตกกระจายจริงๆ ให้ถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างถ่องแท้แล้ว ท่านย่อมถึงธรรม ย่อมรู้ธรรมชาติ ย่อมรู้ศาสนา


คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์เจ้าขา ดิฉันสงสัยเจ้าค่ะ ว่าเทพพรหมเขาก็มีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ทำไมเขาต้องมาเข้าทรงคนโน้นคนนี้ คงเป็นเทพที่ไม่ดีใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าเทพที่ดีแล้ว ก็คงไม่ต้องมาขอเข้าใคร

สมเด็จ : คือไม่เสมอไป เทพบางองค์เขาผิด เขารู้ผิดแล้วก็อยากจะประพฤติตนบำเพ็ญเข้าสู่ในทางดี ซึ่งย่อมเป็นที่สรรเสริญของมนุษย์และเทพพรหม เขาก็อาจจะมาขอยืมร่างมนุษย์เพื่อสร้างบารมี โดยการมารักษาโรค เป็นการบำบัดทุกข์ทางกายให้มนุษย์ เพราะในการรักษาโรคธรรมดานั้น เทพธรรมดาเขาก็มีกระแสอำนาจจิตที่จะรักษาได้

ถ้าเทพอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า เทพเห็นแก่กิน ก็ชอบจะมาอาศัยร่างมนุษย์ เพื่อกินของของมนุษย์ตะพึดตะพือ ถ้ามึงมีหัวหมูมา กูก็ให้สามตัวไป นี่คือเทพอีกจำพวกหนึ่ง เป็นพวกรุกขเทวดา ที่ถูกเขารุออกจากเทวโลก เป็นเทพที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่สำนึกในบาปบุญ

และอีกจำพวกหนึ่งคือ เทพพรหมชั้นสูงที่จะมาทำงาน โดยมีอุดมการณ์และมีนโยบาย นั่นก็อีกชนิดหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ยาก เขาจะไม่มาขอเข้าทั่วไปกับทุกคน

คุณชุบชีพ : แล้วร่างทรงของสมเด็จล่ะเจ้าคะ เมื่อกี้สมเด็จบอกว่า มีกรรม แต่ดิฉันว่า กรรมที่ต้องมารับใช้เทพพรหมนี้ ก็ต้องมีกุศลกรรมซิเจ้าคะ มิใช่อกุศลกรรม เพราะเป็นการสร้างบารมี

สมเด็จ : คือว่า ทำในสิ่งที่ดีก็ย่อมเป็นการดีทั้งนั้น แต่ทีนี้ในด้านของคำว่า ในส่วนตัว ในกายเนื้อนั้น เขาก็ร้องขึ้นไปสู่โลกวิญญาณเรื่อยๆ ว่า

กินก็ไม่เป็นเวลา นอนก็ไม่เป็นเวลา นั่งก็ไม่เป็นเวลา แล้วไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองเลย แล้วท่านก็จะทำงานไปเรื่อยๆ แล้งงานนี้มันจะไปได้อย่างไร ซึ่งก็ยังไม่มีลูกมือที่ดีมาร่วมมือ

ก็ด้วยเหตุว่า เรียกว่า เขามีกรรมพัวพันกับอาตมา มีกรรมพัวพันกับหลวงปู่ มีกรรมพัวพันกับท้าวมหาพรหมชินนะในอดีตชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นวิญญาณที่เขาส่งลงมาเกิด เพื่อทำงานในชิ้นนี้ เกี่ยวกับงานของโลกวิญญาณ

แต่สภาวการณ์แห่งการยังเป็นปุถุชน ย่อมมีความน้อยใจ เขาก็ชอบจุดธูปร้องเรียนไปเรื่อยว่า ไหนว่าสมเด็จโตมีเมตตาจิต บอกว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ แล้วทำไมมาเบียดเบียนเขาเล่า อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะอาตมาถือว่า อาตมาเบียดเบียนคนหนึ่งคน อาตมาจะช่วยสัตวโลกได้อีกแยะ

คุณชุบชีพ : ถ้าหากว่า คนทรงเขาคิดกลับใหม่ว่า ที่สมเด็จโตมาใช้ร่างนี่ ก็เพราะเป็นคู่บารมีกัน ก็ไม่น่าน้อยใจนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : ก็เพราะอารมณ์ของการเป็นเด็ก ย่อมมีการขึ้นลงเป็นธรรมดา เรียกว่า เป็นมนุษย์อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ที่ยังไม่เลยวัยกลางคนนั้น บางครั้งก็เกิดความไม่แน่นอน

คุณประสิทธ์ อ่อนน้อม : ขอกราบนมัสการหลวงปู่ครับ กระผมอยากทราบว่า ตอนที่เทพพรหมจะเข้าร่าง สัมผัสร่างมนุษย์นี่เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : ตอนที่เทพพรหมจะมาใช้ร่างท่านนั้น ในขณะจิตที่ท่านเกิดความจุก เกิดความแน่น หรือเรียกว่า หน้ามืดในขณะนั้นแหล่ กระแสจิตของเทพพรหมนั้นจะเข้าตีกระแสจิตของท่าน คือตีจิตวิญญาณท่านออกไปทางหนึ่ง คือใช้พลังงานของเทพพรหม

อย่างอาตมามาเข้านี่ วิญญาณทิพย์ของร่างทรง จะออกไปอยู่ข้างๆ ของร่างนี้ แล้วเทวดากลุ่มหนึ่งจะล้อมเอาไว้ในบารมี และสายใยแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ยังไม่ขาด เรียกว่า สับเปลี่ยนในฉับพลัน เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

แดนพรหมโลก


(วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๓)



DSC00434.jpg



ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ หัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น



อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : อยากจะขอเรียนถาม เรื่องพระพรหมเจ้าค่ะ คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ที่ได้ยินชื่อว่า ผู้พิชิตมารทุกทิศนั้น ท่านบำเพ็ญบารมีอะไรมาเจ้าคะ

สมเด็จ :
ในเรื่องของพรหมโลกนี้ มันเป็นเรื่องยาว อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แล้วว่า เทพพรหมนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร แต่พรหมที่มีตบะแข็ง พรหมที่มีอาวุโส พรหมที่มีตำแหน่งในพรหมโลกนั้น มีอยู่ไม่กี่องค์เท่านั้น

ทีนี้ อย่างองค์พระพรหมชินนะนี้ เป็นผู้พร้อมทุกอย่าง คือในสภาวการณ์เขาเรียกว่า เป็นผู้สำเร็จสมัยองค์สมณโคดม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพรหมที่ไม่ขึ้นต่อพรหมโลก เขาเรียกว่า เป็นพรหมเอกเทศในพรหมโลก มีตำแหน่งหัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น เป็นผู้ที่มีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า เขาเรียกว่า เดินไปไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่ กายนั้นแสงเหมือนพระอาทิตย์ จิตใจงามเหมือนพระจันทร์ คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดเหมือนหยกขาว

ในที่ประชุมของพรหมโลกเห็นว่า พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมเกเร พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมที่จะให้มนุษย์ติดสินบน ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม และเป็นผู้รอบรู้สรรพสิ่ง เป็นเจ้าพิธีการของโลกวิญญาณ

เมื่อสมัยอาตมามีสังขาร อาตมาจะสร้างพระผงอิทธิเจแปดหมื่นสี่พันองค์ครั้งสุดท้าย อาตมาก็คิดว่า จะทำอย่างไรจะสร้างให้พระขลัง ให้คนเล่าลือว่า พระขรัวโตนี้เหนียว ดีเด่น เมตตามหานิยม ในการปลุกเสกนั้น ท่านอย่าลืมว่า วัตถุนั้นเพียงแต่เป็นวัตถุธรรม วัตถุนั้นจะขลังได้ต่อเมื่อพลังจิตของผู้ปลุกเสกเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ก่อนนี้อาตมาก็คือว่า แค่มีศีลบริสุทธิ์ก็ปลุกเสกได้ขลัง

ต่อเมื่อวันหนึ่ง องค์ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ได้ปรากฏในนิมิตให้อาตมาเห็น อาตมาก็บอกว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เทพธรรมดา ต้องเป็นพรหมแน่ๆ อาตมาก็ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมีอะไรบ้างไหมที่จะสอนขรัวโตนี้ ขรัวโตยินดีได้รับการวิจารณ์ และคำสอนของท่านทั้งหลายที่จะมาสอนให้ขรัวโตหลุดพ้น บรรลุในหลักแห่งอริยสัจสี่อันแท้จริงขององค์สมณโคดม

พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ก็ได้แนะวิธีการปลุกเสก วิธีการตั้งให้ถูกทิศเทวบัญญัติ มันยังมีความซ่อนเร้นของความลี้ลับของความอัศจรรย์อยู่เหนือความจริง ถือว่าการปลุกเสกพระนั้น ถ้าตั้งไม่ตรงทิศของเทวบัญญัติแล้วไซร้ เทวดาจะมาน้อย ต่อให้ท่านชุมนุมเทวดาขนาดไหน และสภาวะจิตจะต้องสะอาด

pngegg.5.3.1.png



ตำแหน่งผู้พิชิตมาร



สานุศิษย์ : แล้วที่เห็นองค์พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ท่านถือคทา แล้วก็เท้าขวาเหยียบเต่า เท้าซ้ายเหยียบพญานาค อันนี้หมายความกระไรครับ

สมเด็จ : ที่มือขวาที่ถือนั้นเขาเรียกว่า คทาพรหม คทาพรหมอันนี้สร้างในโลกมนุษย์ที่ยังใช้ไม่ได้ คทาพรหมของท่าน ก็คือเป็นจามจุรีทิพย์ของพรหมโลก หัวนั้นมีแสงพุ่งออกมาเป็นรัศมี เท้าขวาเหยียบเต่านั้นหมายความว่า พาหนะประจำตำแหน่ง คือตอนจะออกรบ เขาเรียกว่า จะพิชิตมาร


คือหมายความว่า พรหมโลกเกิดยุ่งก็ดี เทวโลกเกิดยุ่งก็ดี ยมโลกเกิดยุ่งก็ดี อันนี้ต้องไปอ่านกัณฑ์เปิดโลกที่อาตมาเทศน์เอาไว้แล้ว มารโลกเกิดมาหาเรื่องมาก เขาช่วยกันไม่ได้ เขาก็ต้องเชิญองค์พรหมชินนะ

พระพรหมชินนะจะออกศึกไล่ถึงประตูบ้าน เขาก็มีพาหนะ พาหนะเหล่านี้เป็นวิญญาณทิพย์ และเป็นวิญญาณที่จำศีล ที่จะเตรียมตัวเกิดเป็นพระสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรยด้วย ที่เศียรของพระพรหมชินนะนั้น มีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทองด้วย แต่ที่นี่เขาทำ เขาเรียกว่า ทำแบบจริงจังไม่ได้

คือเป็นรูปพระพรหมรูปงามละ ที่เรียกว่า เทวดาผู้หญิงหลง พรหมผู้หญิงที่อยู่ชั้นฝึก ยังไม่ถึงชั้นที่ ๕ พรหมชั้นที่ ๖ ก็ยังติดกาเม ก็ยังหลง แต่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ใดถูกแม้แต่เท้าพระพรหมชินนะ ผู้นั้นต้องถูกสาปลงมาเกิด เพราะว่าเป็นพรหมที่เกลียดสตรีเพศ


วิมานสร้างด้วยแก้วมรกต ภายในปูด้วยเพชร เป็นถนนในวิมาน นอนบรรทมด้วยสิงห์ ไม่ชอบพูดกับใคร หมดธุระเข้าห้องปิดประตู เขาเรียกว่า ไม่ล่อเพลงยาว ชอบล่อเพลงสั้น

สานุศิษย์ : แล้วพญานาคล่ะครับ ที่ท่านเหยียบพญานาค เหยียบเต่า

สมเด็จ : พญานาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ เขาเรียกว่า ผู้เหยียบสมุทร เต่านั้นถือว่าเป็นสัตว์บก หมายความว่า ทั้งบกทั้งน้ำอยู่ในตีนข้า

pngegg.5.3.2.png



ผู้นำพรหมโลก



สานุศิษย์ : อยากทราบว่า ท้าวมหาพรหมนั้น มีทั้งหมดกี่องค์ด้วยกันครับ

สมเด็จ : ท้าวมหาพรหมของโลกวิญญาณนั้น มีหลายองค์ คือ

๑. ท้าวจตุรพรหม
๒. ท้าวอัปราพรหม
๓. ท้าวมหาพรหมสามวิจิตร
๔. ท้าวมหาพรหมสามภพ


นี่คือ ผู้รับบัญญัติ เขาเรียกว่า เป็นผู้นำพรหมโลก แล้วต่อมา มีท้าวมหาพรหมประกาศิต ท้าวมหาพรหมอีกตั้งเยอะแยะ
ท้าวมหาพรหมสามวิจิตรเพิ่งมาโลกมนุษย์ ครั้งนี้ก็มาปลุกเสกตะกรุดของสำนักปู่สวรรค์ แล้วก็มีพระพรหมที่ไม่ขึ้นอยู่กับพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ นี้คือ พรหมผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในพรหมโลก และพรหมที่ไม่มีหน้าที่ อาตมาก็บอกไปแล้วว่า มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

สานุศิษย์ : องค์พระพรหมเมศวร คือใครคะ

สมเด็จ : คืออยู่ในหลักของการบัญญัติของพรหมโลก บรมพรหมเมศวรนี้ ถ้าว่าตามหลักแล้ว เดิมทีเป็นพระพรหมที่ประจำทิศบูรพา ต่อมาคล้อยตามอารมณ์มนุษย์ ก็ต้องปิ๋วจากหน้าที่ เวลานี้ถูกสั่งจำศีลสมาบัติอยู่อีก ๓ กัป ถึงจะให้ออกจากสมาบัติ คือคล้อยตามอารมณ์มนุษย์มากเกินไป จึงไม่นับอยู่ในพรหมโลกเวลานี้

เพราะฉะนั้น ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ จึงเป็นพรหมที่ฉลาด เรียกว่า กูไม่พูดกับมึงดีที่สุด เพราะว่ามนุษย์นี่ มันจะเอาแต่ได้อย่างเดียว มันไม่ยอมรับรู้กฎแห่งกรรม มันไม่รับรู้หลักแห่งความจริง

สานุศิษย์ : ที่เรียกว่า องค์ตรีเนตรบรมครูนั่น คือใคร

สมเด็จ : ตรีเนตรนั่น มันแค่เทวทูต เชื่อมต่อระหว่างพรหมโลกกับเทวโลก เราจะปฏิบัติจิต เราก็อย่าไปวุ่นวายเรื่องพรหมให้มาก วุ่นมาก เดี๋ยวมันจะบ้า เราควรจะฝึกพลังของเราให้มาก แล้วใช้พลังของเรานั้นศึกษา และเราต้องตั้งตนอยู่ในศีลแห่งความบริสุทธิ์ เมื่อตั้งตนอยู่ในศีลบริสุทธิ์แล้ว พลังแห่งการประทานของเทพพรหมย่อมให้มาเอง โดยไม่ต้องไปอ้อนวอน

สานุศิษย์ : อยากทราบว่า วิญญาณเมื่อดับไปนี้ จะปฏิบัติการสิ่งใดครับ จึงจะได้ไปเป็นเทพพรหม ไปเป็นพรหม

สมเด็จ : อันนี้อยู่ที่ว่า ระหว่างที่อยู่ในโลกมนุษย์นั้น เขามีกรรมแห่งกุศล อกุศลขนาดไหน ถ้ามีอกุศลน้อยก็ไปอยู่ในเทวโลก ไปอยู่เทวโลกบำเพ็ญได้ดีก็ไปอยู่พรหมโลก แต่จะผ่านพรหมโลกต้องผ่านอาตมาอบรมก่อน จึงจะขึ้นสู่พรหมโลก แล้วพรหมโลกยังแบ่งออกเป็นรูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น กึ่งพรหมกึ่งเทวะ พรหมลูกฟัก แล้วก็พรหมสุทธาวาส มันมีเรื่องอีกเยอะแยะ อธิบายเป็นวันๆ ก็อธิบายไม่จบหรอก แค่เรื่องพรหมโลก

ฉะนั้น เวลานี้มา ก็เอาแค่ว่า เวลานี้เรามีทุกข์อะไร เราจะขจัดทุกข์ใจนั้นอย่างไร เราจะช่วยมนุษย์ได้ในรูปใด เราอย่าไปรู้เรื่องเขา เรียกว่า อยู่บ้านตัวเอง แล้วชอบไปรู้เรื่องบ้านของคนอื่น

สานุศิษย์ : คืออยากรู้ เพราะว่าได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาครับ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรสนใจบ้าง

สมเด็จ : อันนี้ บำเพ็ญจิตให้ถึงเอกัคตาจิต แล้วจะรู้สรรพสิ่งในสิ่งนี้ ดีกว่าที่คนเขาจะมาเล่าให้ฟังอีก

สานุศิษย์ : วันนี้จะถามหลวงพ่อไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ ให้โอกาสแก่สานุศิษย์คนอื่นต่อไป

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

โลกวิญญาณมาทำงาน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อสมเด็จครับ เรื่องที่สำนักอี้ ที่สิงคโปร์ เขาส่งผู้แทนมาที่สำนักนี้ หลวงพ่อทราบเรื่องหรือยังครับ

สมเด็จ : เขายังไม่ได้ติดต่ออาตมานี่

ศ.ดร.คลุ้ม : เขามาติดต่อกับเจ้าสำนักแล้ว แต่ไม่ทราบว่า หลวงพ่อทราบเรื่องนี้หรือเปล่าครับ แหล่งที่เขาอยู่ที่สิงคโปร์นั่น เขาก็ทำงานคล้ายแบบเรานี้ จุดประสงค์คือร่วมทำงานกับศาสนาต่างๆ เพื่อความสันติสุขของโลกเหมือนกัน คล้ายๆ กับแนวของเรานี่แหละครับ แล้วสำนักเขารู้สึกจะมีอะไรคล้ายๆ กับเราหลายอย่างครับ

สมเด็จ : เป็นสำนักของวิญญาณพวกเทพ พวกนี้เขาพวกเทพมาทำงาน ฉะนั้น เขาจึงต้องมาประสานกับเรา เวลานี้ พวกวิญญาณเขาจะมาทำงานตามจุดต่างๆ ของโลก แล้วเป็นการเปิดเผยให้มนุษย์รู้ในอนาคต จะได้รู้ว่าในขณะนี้ สังคมของมนุษย์อยู่ในยุคของกลียุค เป็นภาวะที่จะต้องร้อนถึงพระเจ้าและเทพเจ้ามาทำงานกัน เพื่อชี้จุดแห่งความจริงให้มนุษย์รู้ซึ้งในความมีศีลธรรม เพื่อคลายทิฐิแห่งการยึดตน เมื่อนั้นสันติสุขย่อมเกิดขึ้น

ภาวะแห่งความร้อนทั้งหลายเกิดจากมนุษย์ ที่เป็นผู้นำในโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ไม่หันเข้ามาพิจารณาตัวเอง จึงเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทีนี้ ในสภาวการณ์เหล่านี้ เราจะไปโทษเขาเหล่านั้นที่ไม่หันมาศึกษาตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นไปตามกุศลที่เขาสร้างมา แต่ภาวะแห่งสันดานก็ย่อมจะถึงวาระแห่งการวิบากของเขา ฉันใดก็ฉันนั้น

เสมือนหนึ่งในภาวการณ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูติขึ้นในกรุงกบิลพัสดุ์ นักพยากรณ์ทั้งหลายได้ทำนายว่า กุมารน้อยนี้จะต้องเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระเจ้าสุทโธทนะมีความแน่วแน่ที่จะให้กุมารน้อยเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาจักรพรรดิแห่งชมพูทวีป จึงจัดให้เจ้าชายอยู่อย่างสุข โดยหาพระนางยโสธรามาให้เป็นมเหสี

เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างปราสาท ๓ ฤดูกาลขึ้น ที่เชิงเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากภูเขาหิมาลัย มีปราสาทฤดูร้อนอยู่ริมแม่น้ำโรหิณี ปราสาทฤดูหนาวสร้างอยู่เชิงเขาหิมาลัย ในฤดูหนาวจะได้ชมหิมะปกคลุมยอดหิมาลัย เป็นแสงประกายแวววาวน่าดู ราวกับจำลองสวรรค์มาอยู่ในปราสาทนั้น ทั้งยังแวดล้อมด้วยเหล่านารีที่คัดเลือกอย่างสวยงามจากเมืองต่างๆ ห้อมล้อม ให้เจ้าชายสิทธัตถะนั้นไม่รู้จักคำว่า เปลี่ยนแปลงและร่วงโรย

แต่ด้วยอนุสัยแห่งการบำเพ็ญมาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น ถึงกาละสัญชาตญาณเดิมที่จะสร้างความดีในการโกยสัตวโลก พระองค์ทรงเหม่อมองไปสู่หุบเขาหิมาลัย ซึ่งในยุคนั้น ชาวชมพูทวีปเชื่อกันอย่างแน่นอนว่า บนยอดเขาหิมาลัยนั้น มีดินแดนแห่งหนึ่ง หุบเขาช่องหนึ่ง ที่เรียกว่า ป่าหิมพานต์ ป่าหิมพานต์นั้นจะต้องเป็นที่สถิตของพระเจ้าและเทพเจ้าชั้นสูง

ภาวะทั้งๆ ที่แวดล้อมด้วยนางสนม แวดล้อมด้วยพระนางยโสธรา เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย พระองค์ก็สามารถนั่งสมาธิในท่ามกลางหมู่นารีได้ ซึ่งสร้างความสังเวชและไม่สมพระทัยให้แก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ภาวะกรรมวิบากของแต่ละคน แต่ละหมู่ แต่ละพวก สร้างมาไม่เหมือนกัน

pngegg.5.3.1.png



เหล่าปีศาจครองเมือง



สมเด็จ : ทีนี้ในภาวะแห่งโลกขณะนี้ คืออยู่ในภาวะแห่งเหล่าปีศาจทั้งหลายขึ้นมาเกิดในจุดต่างๆ แห่งโลกมนุษย์ และลืมสัจจะที่ให้ไว้ว่า จะมาสร้างความดี ด้วยมีสันดานแห่งความชั่ว จึงผุดขึ้นมาในขณะนี้ จึงร้อนถึงพระเจ้าและเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต้องมาช่วยยับยั้ง

แห่งภาวะที่เรียกว่า ทะเลจะกลายเป็นเลือด ด้วยการถือทิฐิในกลุ่มผู้นำของโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่เรียกว่า รวมกันขึ้นในโลกมนุษย์ว่าเป็นองค์การแห่งศูนย์รวมของชาติมนุษย์ในขณะนี้

เหตุการณ์ทั้งหลายก็อาจจะคลี่คลายสู่ในการที่เรียกว่า ร้อนจากทวีปแห่งแหลมสุวรรณภูมิสู่ทวีปยุโรปตะวันตกก็ได้ แต่ภาวะมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ เมื่อไม่รู้จักคำว่าพอ ก็ย่อมมีความวุ่นวายต่อไป อย่างไม่มียุติ


เพราะฉะนั้น สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ คือเพื่อชี้จุดบอดให้มนุษย์ทั้งหลายหยุด แล้วพิจารณาตน เพื่อคลายทิฐิสู่ในการไม่ตกในอบายภูมิมากเกินไป

pngegg.5.3.2.png



อุดมการณ์ช่วยโลกมนุษย์



เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เราต้องช่วยกัน และท่านทั้งหลาย การทำความดีย่อมลำบาก แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงยึดมั่นว่า

ทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อบุคคล

สัตวโลกในภาวะนี้กำลังถูกครอบงำของความศิวิไลซ์ที่สมมติสร้างขึ้นนี้ จึงทำให้เกิดประหัตประหารในสงครามเศรษฐกิจก็ดี สงครามแย่งมนุษย์ก็ดี สงครามค้าอาวุธก็ดี สิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจถึงกฎแห่งความจริงของอนัตตา หรือกฎแห่งความจริงของธรรมชาติ


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่า แผนงานของอาตมาที่จะช่วยมนุษย์ในยุคนี้ อาตมาจะพยายามดำเนินงานตามอุดมการณ์ที่อาตมาร่างขึ้นมา แต่ทั้งนี้ ก็ต้องเชิญชวนมนุษย์ที่ปรารถนาสันติสุขแก่มนุษยชาติ เสียสละเวลาร่วมทำงานกันอย่างจริงจัง จึงจะสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จได้

อุดมการณ์ ๑๐ ประการ ของสำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ให้สานุศิษย์ยึดมั่นคือ

๑. ช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้ชนทุกชั้น
๒. ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง
๓. ทำลายความเชื่อที่งมงายหลงเข้าใจผิด
๔. ผดุงความเป็นธรรมของสังคม
๕. เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสันติภาพเป็นสรณะ
๖. ส่งเสริมศาสนาให้ดีขึ้นทุกวิถีทาง
๗. ยินดีอุปถัมภ์นักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่หวังพระนิพพาน
๘. ร่วมมือกับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์
๙. ส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมเข้าสู่จิตใจเยาวชน
๑๐. ยืนยันโลกหน้ามีจริง เพื่อไม่ให้มนุษย์ที่ทำบาปมากขึ้น


อุดมการณ์ดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยมนุษย์ร่วมกันช่วยดำเนินงาน งานนั้นจึงสำเร็จ

เราทำงานเพื่อความจริง เราทำงานเพื่อความดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวคำสรรเสริญนินทา แต่ขอให้ทุกคนยึดมั่นในหลักการ คือ

๑. มีเมตตาต่อศัตรู
๒. มีความบริสุทธิ์ต่อส่วนรวม
๓. มีสัจจะต่องาน
๔. มีขันติต่อคำสรรเสริญและนินทา


เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะถึงหลักชัยแห่งการที่เรียกว่า อยู่อย่างไม่เสียชาติเกิด และทุกคนที่ร่วมทำงานกับอาตมานี้ ทุกคนย่อมได้กุศล เงินเดือนนั้น อาตมาไม่มีจ้าง อันนี้ต้องไปคิดกันที่โลกวิญญาณ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 03:46 , Processed in 0.053466 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.