แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

การบวชตามรอยองค์สมณโคดม


(วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : พระบวชแล้วควรสึกหรือไม่ครับ

สมเด็จ : คือในสภาพการณ์ เราต้องเข้าซึ้งถึงก่อนว่า องค์สมณโคดมบวชเพื่ออะไร

องค์สมณโคดมบวชนั้น ได้เข้าซึ้งถ่องแท้ถึงวิถีการของการเป็นสัตวโลก ถึงการเสวยกรรมวิบากของการเป็นมนุษย์ การเป็นสัตว์ การเป็นอะไรก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งอนิจจังไม่เที่ยง เคลื่อนไปสู่ความสลายของกรรมนั้นๆ เมื่อภาวการณ์ถ่องแท้ในหลักแห่งความจริง จึงได้เกิดการเรียกว่ารู้ทันของอารมณ์ จึงได้สละเพศแห่งการจะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต มาสู่การเป็นพระธรรมราชา

ฉะนั้น พระบรมศาสดาจารย์แห่งยุค ไม่เคยบัญญัติว่าบวชแล้วสึก ถ้าบวชแล้วสึกแล้วไซร้ อรหันต์ย่อมไม่เกิดขึ้น พระอริยเจ้าย่อมไม่มีสืบต่อจนถึงยุคปัจจุบันนี้

เพราะฉะนั้น การที่เอาชายผ้าเหลืองมาเป็นกฎของประเพณี ซึ่งว่าตามหลักของความจริงของกรรมวิบากแล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะอะไร เพราะก่อนที่จะบวชนั้น ท่านต้องพิจารณาดีแล้ว ถ่องแท้แล้วถึงการอยู่ครองเรือน ถ่องแท้แล้วถึงการมีห่วง ว่าตนนั้นจะสละจากบ่วง พูดง่ายๆ โลกกับธรรมเดินไปคู่ โลกพยายามสร้างสิ่งที่ไกลจากความจริง แต่ธรรมพยายามสอนให้รับรู้ความจริง ให้เข้าไปหาความจริง แต่ทุกวันนี้ การบวชกลายเป็นหลักของการบวชตามประเพณี

ท่านอย่าลืม ท่านบวชแล้วสึก เสียเวลาทั้งผู้บวช และผู้ที่ต้องไปเป็นสักขีพยานในการนั้นๆ และเป็นการเสียเศรษฐกิจ บาตรซื้อมาใช้ไม่เท่าไหร่ก็ทิ้ง บาตรทิ้งเป็นร้อยๆ ซื้อจีวรมาห่มยังไม่ทันอุ่น จีวรนั้นทิ้ง ถ้าว่าตามกฎของความประหยัดแล้ว ถือว่าไม่ตั้งตนอยู่ในความประหยัดของทางโลก ของของโลกสลายอยู่กับโลก เราก็ต้องรักษาให้โลก

การห่มผ้าเหลือง บางคนห่มเพียงให้เขารู้ว่าฉันเป็นพระเท่านั้น จิตใจไม่ได้เป็นพระเลย ก็ย่อมนำความเสื่อมมาสู่เหล่าสาวกที่ชื่อว่าพระสงฆ์

อาตมาสมัยมีสังขารอยู่ อาตมาก็เคยปรารภเรื่องนี้กับเหล่าผู้นำศาสนาในยุคนั้นว่า

เราควรจะจัดในระบบการบวชใจก่อน คือท่านจะบวชกี่วันนั้น ท่านไม่ต้องไปโกนหัวหรอก ท่านมานั่งเรียนในหลักของการสวดมนต์ ท่านมาฝึกจิตของท่านให้สงบ อาตมาคิดว่ามีอานิสงส์กว่า

ทีนี้ ในหลักอันนี้ ตั้งแต่ในสมัยนั้นถึงสมัยนี้ คนเขาก็ไม่ยอมเอา และอีกอย่างหนึ่ง ผู้นำศาสนาทั้งหลายมักจะถือการบวชนี้ เป็นการหาปัจจัยเข้าวัด พูดง่ายๆ เอาผ้าเหลืองเป็นการหาปัจจัยเข้าบำรุงวัด หรือบำรุงผู้นำศาสนานั้นๆ

คือในสภาพความจริงแล้ว ถ้าเราจะบวชแบบองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เราจะต้องบวชตามรอยองค์สมณโคดมที่วางไว้ ในหลักการปฏิบัติให้ถึงจุดแห่งการที่ว่า

ผู้ใดถึงธรรม    ผู้นั้นถึงตถาคต
ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต


แต่หลักพุทธพจน์อันนี้ เวลานี้ถูกเหล่าผู้นำทั้งหลาย ตั้งแต่สมัยอาตมามีสังขารอยู่ก็คือ พยายามหลอกชาวบ้านให้บวชเพื่อไปสวรรค์ บวชเพื่อส่งบุญให้บิดามารดา บวชเพื่อว่าผ่านการบวชแล้วสาวจะได้รักหรือว่าบวชเพื่อเบียดสาว เพื่อหาสีกาเป็นภรรยา ซึ่งเป็นวิถีการไม่ตรงตามเจตนาแห่งความต้องการของเหล่าอรหันต์ก็ดี ของเหล่าผู้สำเร็จก็ดี ของเหล่าพระพุทธเจ้าก็ดี เข้าใจไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

เตือนเหล่านักเทศน์ธรรมะ


(วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : การเผยแผ่ธรรมะ การที่จะไปสอนอะไรก็แล้วแต่ อาตมาอยากจะขอเตือนท่านนักเทศน์ยุคนี้ว่า

ขณะนี้สิ่งที่เราสอน เราสอนตามทฤษฎี ตามตำราที่เราอ่านมา จะเป็นมหากี่ประโยคก็เรื่องของเรา แต่เราควรสอนว่า สิ่งนี้เราว่าตามตำรานี้ แล้วก็เรายังไม่ได้ทำ ทีนี้จะจริงหรือไม่จริง ถึงไม่ถึง ก็ขอให้ท่านวินิจฉัยเอง อย่าพยายามสอนแบบที่บางคนชอบตู่พระพุทธองค์ คือว่าพระพุทธเจ้ามีรับสั่งว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้ามีรับสั่งว่าอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้คือมนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ทำ

ถ้าว่าตามหลักในสังคมขณะนี้ สังคมแห่งการเป็นครู ศาสนาพุทธล้วนแต่คัมภีร์เปล่า ถ้าไม่ล้วนแต่คัมภีร์เปล่า ในเรื่องอำนาจฌานญาณก็จะต้องมีคนฝึกได้ ปรากฏให้คนเห็นได้

เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ท่านก็จะต้องทดลองทำในสิ่งนั้น ถ้าว่าตามหลักแล้ว ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ สิ่งที่พระองค์จะเทศน์ออกมานั้น สิ่งนั้นพระองค์จะต้องทดลองทำได้แล้วจึงพูด แต่ว่านักสอนยุคนี้ไม่ได้ตามรอยตถาคตเช่นนั้น ก็คือว่า จำ ท่อง แบบนกแก้วนกขุนทอง แล้วก็มาพูด แล้วก็ไม่ยอมทำ

ฉะนั้น สภาวะเช่นนี้ ศาสนาพุทธจึงเพียงเป็นปรัชญาแขนงหนึ่ง ที่เขาเรียนไว้เพื่อการโต้เถียงกัน ไม่ได้เรียนไว้เพื่อปฏิบัติถึงธรรม จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด น่าสังเวช จึงทำให้ในหลายๆ อย่างในวิชาของพระพุทธองค์ ไม่สามารถปรากฏในยุคปัจจุบัน

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ขอมอบให้พวกนักบวชไปพิจารณา ว่าจะทำอย่างไร จึงจะให้พระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์เป็นอมตะอย่างจริงจัง ไม่ใช่ตายด้านแบบปัจจุบัน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

อธิษฐานบารมีช่วยให้เกิดปัญญา


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ขอประทานบารมีหลวงพ่อ ขอประทานให้เกิดปัญญาครับ  

สมเด็จ : การทำให้เกิดปัญญามีหลักก็คือ พยายามทำสมาธิ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสรณะ ถ้าสมาธิฟุ้งซ่านก็ดี หรือกระแสจิตไม่รวมก็ดี อันนี้ต้องใช้อธิษฐานบารมี การใช้อธิษฐานบารมีก็คือว่า จงอธิษฐานระหว่างก่อนนั่งสมาธิว่า

“เมื่อในกรรมดีที่ข้านี้เคยสร้างในอดีตชาติ ขอให้จงนำผลนั้นมาส่งในปัจจุบันชาติ เมื่อในกรรมดีที่ข้านี้จะเสวยในอนาคตชาติ ขอให้กรรมนั้นจงมาสนองช่วยให้ข้าหลุดพ้นในปัจจุบันชาติ”

นี่คือการใช้อธิษฐานบารมีช่วย แล้วพยายามใช้หลักความเมตตาเข้าข่ม เมื่อนั้นสติย่อมจะไม่เผอเรอ เขาเรียกว่ามีสมาธิ การมีสมาธิย่อมมีปัญญา ทำอะไรย่อมสุขุม ผู้ที่ทำอะไรฟุ้งซ่าน ผู้ที่ทำอะไรเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ผู้นั้นคือไม่มีสมาธิ หลงตน ยึดตน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

วิธีเรียนหนังสือให้เก่ง


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ ลูกอยากทราบว่า มีวิธีอย่างไรทำให้เรียนเก่ง

สมเด็จ : คือการที่จะให้เรียนเก่ง การที่จะให้ทำอะไรเก่งนั้น ท่านต้องปลูกในความฉันทะของตนให้เกิดขึ้นเป็นสรณะ ในระหว่างการที่จะท่องตำรานั้น จะต้องวางหมดทุกสิ่งสรรพสิ่ง ในการนัดหมาย นัดแนะ การไปไหนกับเพื่อนฝูงหรือการนัดแนะในการที่จะไปเที่ยวไหนกับแม่หญิงหรือพ่อชายทั้งหลายก็ดี

เพราะฉะนั้น จุดสำคัญทั้งหลายก็คือ การที่จะให้กระแสแห่งตำราเข้าสู่สมองได้ ก็ต่อเมื่อระหว่างอ่านตำรานั้น ท่านจะต้องไม่มีอุปสรรคในการตะขิดตะขวงใจในสิ่งใดๆ เมื่อนั้นท่านจะเรียนดีและคล่องดี คือต้องปลูกความฉันทะในตำรานั้นๆ แล้วก็จะต้องวางในการนัดแนะผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องทิ้งหมดทั้งความสุข ความทุกข์ จดจ่อสมาธิอยู่ในตำรานั้น เมื่อนั้นท่านจะเป็นนักอ่านที่ชาญฉลาด และจะเป็นผู้ที่ปรีชาได้

แต่ถ้าท่านคิดว่า ตามเรื่องตามราว ข้าจะอ่านเมื่อไหร่ก็อ่าน ข้าจะตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่น พอใจก็อ่าน ไม่พอใจก็ถีบตำราเสีย เมื่อนั้นท่านก็ย่อมที่จะเป็นนักศึกษาที่ดีไม่ได้ เขาเรียกว่า ชีวิตนี้ท่านจะต้องอยู่ด้วยความมีระเบียบ ต้องมีการควบคุมตัวเอง


เมื่อนั้นท่านจะดำเนินสู่จุดหมายปลายทาง ไปถึงจุดแห่งความสำเร็จไม่มากก็น้อย เพราะว่าเราจะกำหนดชะตาชีวิตของเรา ตามอุปทานแห่งมโนยิทธิของเราไม่ได้ เพราะว่าทุกคนต้องเสวยกรรม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

ธรรมะสำหรับวัยรุ่น อนาคตของชาติ



คุณประพันธ์ อุธะนุต :
ผมอยากจะถามว่า วัยรุ่นจะต้องปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้ถึงซึ่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”

สมเด็จ :
คือธรรมชาติได้แบ่งมนุษย์เป็น ๓ วัย ตอนที่หนึ่ง คือ ตอนวัยศึกษา ตอนเด็กนั้นอย่าไปว่า เพราะว่าตอนวิญญาณปฏิสนธินั่นต้องว่าเพลงยาวกันแล้ว เอาแค่สามตอนในการเกิดเป็นคน

ตอนที่หนึ่ง คือตอนวัยศึกษา ระหว่างแห่งวัยศึกษานี้แหละ เราจะต้องพยายามควบคุมตัวเองว่า เรานี้อยู่ในสถานที่ในการเรียนนี้ เรียนเพื่ออะไร เรียนเพื่ออนาคตแห่งตอนที่สอง เพื่อในการครองคู่ นี่ว่าตามหลักของโลกียะ

ภาวการณ์นี้แหล่ เราจะทำยังไง เราควรพยายามศึกษาในขอบในเขต ในประเพณี เมื่อเราเป็นนักศึกษาแล้วไซร้ เราควรวินิจฉัยใช้สมองในการอ่านตำราว่าสิ่งใดควรเป็นสรณะ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินงาน ตำราใดควรจะอ่านแล้ววาง ตำราสิ่งใดเป็นการปลุกกามารมณ์ให้เราไปทางชั่ว เราก็อย่าไปยุ่งกับมัน

สิ่งสำคัญ เราจะต้องควบคุมสติของเราว่า อย่าเชื่อ อย่าคล้อยตามโลก อย่าเชื่อตามคน อย่าเอนตามลม

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมว่า คนเป็นบัณฑิตเราเข้าใกล้ คนพาลเราห่างไกลแล้วไซร้ เราก็จะเป็นเด็กที่ดีขึ้นมา ในอนาคตกาลชาติของสยามก็จะมีแต่คนดี

ทีนี้ เราจะต้องตั้งมั่นว่า การศึกษานี้เพื่อเป็นหลักในการดำรงชีพ เพื่อสัมมาอาชีวะในการครองเรือน นั่นคือในวัยการครองเรือน สภาวการณ์แห่งวัยครองเรือนนี้แหล่ เพื่อในการที่จะว่าตามสัตวโลก เพื่อต้องการให้มีผู้สืบสกุลต่อ แล้ววัยสุดท้าย ก็คือวัยนักพรต นั่นคือหาความสงบทางจิต

หลักของการเป็นวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนี้ ถ้าเข้าซึ้งในหลักแห่งการว่า เราได้เรียนนี้ พ่อแม่ทุกคนอาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อส่งเสริมให้เราเห็นอนาคตของเรา ให้ในการครองเรือนของเราดี แล้วเราจะได้เป็นที่ชื่นใจของบิดามารดา ญาติโยมโหตุ ไม่ใช่ส่งให้เราไปเป็นคนผลาญ เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กทุกคนมีคติเตือนตนแค่นี้ ก็ย่อมที่จะไม่หลงไปตามแสงสีแห่งศิวิไลซ์ แห่งความโง่เขลาที่เป็นสิ่งจอมปลอม โกหกว่านั่นคือความสุข

เพราะว่ามนุษย์ที่สร้างมนุษย์เหล่านี้ขึ้นมานี้ เป็นมนุษย์เหล่าปีศาจหรือเหล่าอสูรกายที่บำเพ็ญเป็นกัปๆ กัลป์ๆ ได้ขึ้นมาจากนรกโลก เพื่อมาเสวยกรรมแห่งการเป็นมนุษย์ในยุคนี้ ทีนี้ เขาเหล่านี้ไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งความจริงของความสุขอันแท้จริง ก็ได้วางหลักในวิถีการสร้างสิ่งที่เรียกว่า กลัวตาย พยายามสร้างสิ่งจอมปลอมขึ้นมาว่า นี่แหละคือความสุข เพื่ออำพรางความจริงของสัจจะ

เพราะฉะนั้น ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ถ้าเหล่าผู้นำในวงการศึกษาคล้อยตามภาวะแห่งความศิวิไลซ์ ไม่พยายามเอาหลักแห่งศีลแห่งธรรมะเข้าครอบงำในสถาบัน ในสำนัก ในหลักของผู้ที่ศึกษา เยาวชนของชาติก็ย่อมไม่มีศีลธรรมประจำใจ เมื่อมนุษย์ไม่มีศีลธรรมประจำใจ อารมณ์สัตว์ก็เข้าครอบงำ เมื่ออารมณ์สัตว์เข้าครอบงำ ความฉิบหาย ความหายนะ ก็เข้าสู่คนๆ นั้น

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

พระสงฆ์ควรจะวางตัวอย่างไร



สานุศิษย์ : ข่าวหนังสือพิมพ์สมัยนี้ ชอบลงข่าวเกี่ยวกับความเสื่อมเสียของวงการพระสงฆ์นั้น ในยุคนี้พระสงฆ์ควรจะวางตัวอย่างไรครับ จึงจะเหมาะสม

สมเด็จ : ในเรื่องเหล่านี้ ถ้าภิกษุสงฆ์ทุกองค์ปฏิบัติตามวินัย ก็จะไม่มีปัญหา

พระสงฆ์ เมื่อเรื่องภัตตาหารไม่ต้องห่วงแล้ว พระสงฆ์ยังต้องการอะไรอีก และในการวางตัวควรหลีกเลี่ยงการคุยกับสตรี ถ้าจำเป็นต้องคุย ก็อย่ามองหน้า

ในยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้ พระสงฆ์จะทำอย่างไรเล่า ที่จะอยู่ได้อย่างสันโดษ สงบ สันติ

ในการนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงวางหลักการให้ไว้ว่า พระสงฆ์ไม่ควรไปในที่ที่เขาไม่ได้นิมนต์ และไม่ควรไปในสถานที่ ๕ แห่ง สถานที่ห้าแห่งนั้นคือ

๑. สถานที่หญิงแพศยา อย่างในสมัยนี้ก็มีสถานที่เริงรมย์ต่างๆ เช่น ผับ บาร์ ฯลฯ


๒. สถานที่ของหญิงหม้าย

๓. สถานที่อยู่ของสาวแก่


๔. สถานที่อยู่ของพวกบัณเฑาะก์ หรือพวกกะเทย


๕. ที่พักของภิกษุณี
ในสมัยนี้ก็เป็นที่พักของแม่ชี

สถานที่เหล่านี้ถ้าภิกษุสงฆ์ไป แม้แต่พระอรหันต์ก็จะถูกนินทา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ในสมัยนี้ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับพระสงฆ์เกิดขึ้น เราก็อย่าไปหวั่นไหวว่า พระพุทธศาสนาเสื่อมแล้ว

เราต้องคิดว่า ขณะนี้เมืองไทยมีพระสงฆ์ตั้งสองแสนกว่ารูป แล้วพระทำผิดเพียงไม่กี่รูป ไม่ใช่ว่าจะเสียไปทั้งหมด พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอีกมาก อันนี้เราต้องรู้จักใช้ปัญญา แยกแยะวินิจฉัย

ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ครั้งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านเป็นอรหันต์แล้ว ได้เดินทางไปทางภูเขาหิมาลัยผ่านเข้ามาทางลุมพินีวัน ทางเนปาล ขณะนั้นอากาศหนาวจัด จำเป็นต้องหาที่พักแรมก็เข้าไปสถานที่พักแห่งหนึ่ง


ถ้าในสมัยนี้ก็เรียกว่าโรงแรม แต่เผอิญไม่มีห้องพักว่างเลย เต็มหมด เจ้าของโรงแรมนั้นเป็นผู้หญิง เป็นหญิงหม้าย ก็บอกว่า “พระคุณเจ้า ถ้าไม่รังเกียจก็เชิญเข้ามาพักในห้องเดียวกับฉัน” ท่านพระสารีบุตรก็เข้าไปพักในห้องหญิงนั้น แต่อยู่กันคนละเตียง

หลังจากนั้น ท่านพระสารีบุตรกลับไปวิหารเชตวัน ก็ไปเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติวินัยออกมาว่า ห้ามภิกษุสงฆ์อยู่กับสตรีในที่ลับ พระสารีบุตรถามว่า ทำไมพระองค์จึงทรงบัญญัติวินัยนี้

พระพุทธองค์ทรงตอบว่า ฉันนี้เล็งเห็นการณ์ไกลในอนาคต เธอนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้าในอนาคต ถ้าเกิดเป็นพระปุถุชนเล่า แล้วไปขังอยู่ในห้องเดียวกับสตรี อะไรจะเกิดขึ้น

ฉะนั้น วินัยย่อมตามหลังพระทำผิด เหมือนกฎหมายตามหลังโจร ฉันใดก็ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุสงฆ์ดำเนินตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ตามแนวนี้แล้ว ภิกษุสงฆ์นั้นก็สามารถที่จะครองตนเป็นสมณะได้ตลอดไป แต่ถ้าภิกษุสงฆ์ไม่ดำเนินตามหลักนี้แล้ว ภิกษุสงฆ์นั้นก็ย่อมเกิดปัญหาขึ้นได้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

การทำงานของพระโพธิสัตว์



คุณประเสริฐ สุทธิพิมพ์ : กระผมได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อสมเด็จมาแล้ว โดยมากอ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์ครับ วันนี้ผมได้มาพบ ผมอยากจะถามปัญหาหลวงพ่อสักหน่อยครับ คือว่าการเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นอรหันต์นี้ เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือในสภาวการณ์การเป็นอรหันต์ก็ดี การเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี นิพพานก็ดี สิ่งเหล่านี้ สามคำนี้ พูดง่าย แต่ทำยาก การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะต้องมีกระแสแห่งความเมตตา เขาเรียกว่า มีมหาเมตตา และมหาวิริยะ อารมณ์ของพระโพธิสัตว์ ทุกวิถีทางที่จะทำอย่างไรให้สัตวโลกพ้นทุกข์ อารมณ์ของพระโพธิสัตว์นั้น มีความพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยโปรดสัตว์

อาตมาบอกแล้วว่า สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ในกลางกลียุคเช่นนี้ ก็ต้องการที่จะมาระงับความร้อนในโลกมนุษย์โดยการไม่ต้องใช้อาวุธ แต่จะทำไปถึงจุดหมายปลายทางได้ขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่อมนุษย์ และขึ้นอยู่กับลูกมือ ว่ามีความเข้มแข็งหรือไม่

คือ หนึ่ง การทำงานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านยังมีความอาย ท่านก็จงอย่าทำ แต่ถ้าท่านจะทำ ท่านก็ต้องไม่มีความอาย และต้องพิจารณาแล้วว่า สิ่งนี้สมควรที่จะทำ คือการทำงานสิ่งใดก็แล้วแต่ในโลกนี้ ย่อมที่จะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้เกลียดชังเป็นธรรมดาของโลก ตั้งแต่เปิดโลกแล้ว

ถ้าท่านมีจิตแห่งความเมตตาเป็นสรณะ และมีความยึดมั่นในคติ ๔ ประการ ที่อาตมาเตือนแล้วเตือนอีกว่า เรามีขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา แล้วท่านไม่ต้องกลัว

ถ้าท่านเชื่อว่าเทวดามีจริง เทพพรหมมีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เขาย่อมคุ้มครองท่าน ถ้าท่านทำงานด้วยมีอุดมการณ์ ๔ ประการ คือ ขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะโลกขณะนี้ สังฆมณฑลก็ดี พุทธจักร อาณาจักรก็ดี ไม่มีคนกล้าทำงานอย่างจริงจัง กลัวอำนาจ กลัวอิทธิพล เมื่อท่านยังกลัวอำนาจอิทธิพลแล้วไซร้ ท่านย่อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมไม่ได้ สังคมมนุษย์ก็ไม่มีการที่จะหยุดใช้อาวุธ

ผู้ที่ได้เป็นผู้นำ ก็เพราะคนยอมให้นำ จึงเป็นผู้นำได้ ถ้าคนไม่ให้นำ จะเป็นผู้นำได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าคิด เรามีความบริสุทธิ์ต่อสัตวโลก เราต้องกล้าเดินเข้าไปหา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำฝ่ายใด

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ทุกอย่างอาตมาจะเป็นผู้บุกเอง แต่ยังขาดปัจจัย ขาดมนุษย์ที่จะช่วยร่วมมือ แล้วกาลเวลาก็ไม่คอยท่า วัน เวลา นาที ชั่วโมง ผ่านไปแล้ว ท่านจะเอาเงินล้านซื้อกลับมาไม่ได้แม้แต่หนึ่งนาที เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้น ก็จะดูว่ามนุษย์จะมีความเสียสละขนาดไหน เพื่อช่วยมนุษย์อีกเป็นล้าน

สิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านยังห่วงสมบัติ ท่านก็จะไม่มีสมบัติครอง ท่านห่วงที่ดิน ท่านก็จะไม่มีที่ดินอยู่ แล้วประเทศไทย หรือว่าสยามนี้เป็นเอกราช ไม่เคยตกเป็นทาสใคร ไม่เคยถูกแบ่งแยก แต่ถ้ามาถูกแบ่งแยกต้องตกเป็นทาสในยุคของท่านแล้ว อาตมาขอถามว่า ท่านจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษของท่านได้หรือ สิ่งเหล่านี้ การเสียสละนิดๆ หน่อยๆ ท่านมองข้าม หวง ยึด ก็ขอให้ยึดไปได้ตลอดเถิด

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

N1.JPG


ตอนที่ ๖

เจ้าคุณนรรัตน์



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ มีคนสงสัยว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์แห่งวัดเทพศิรินทร์ ที่ท่านสิ้นไปแล้วนั้น ขณะนี้ท่านไปแดนอรหันต์หรือไปแดนไหน

สมเด็จ : คือในสภาพการณ์ มนุษย์ไม่เข้าใจ อะไรเรียกว่าอรหันต์ อะไรเรียกว่าโพธิสัตว์ อะไรเรียกว่าอริยบุคคล อะไรเรียกว่าพรหม อะไรเรียกเทพ เขาเรียกว่า ตนทำไม่ถึง ทุกอย่างก็ว่าเป็นไปไม่ได้

ในภาวะที่คนมีชื่อเสียงในอดีต หรือว่าคนที่มีเกียรติ มีตำแหน่งเป็นอะไรที่มนุษย์สมมติขึ้นในสังคม พอมาบวช มาปฏิบัติ คนก็สนใจ แต่ถ้าเป็นเด็กชาวนาหรือว่าเด็กสับปะรังเคคิดที่จะทำความดี คนไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมกลียุคเป็นเช่นนี้

ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ได้ทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์แล้วก็ไปอยู่พรหมโลก ในขณะนี้อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วก็พบกับอาตมาบ่อย เรียกว่าในพรหมโลก เป็นเวลาตั้งนานแล้วในศตวรรษนี้ยังไม่เคยได้ต้อนรับพรหมสักองค์หนึ่งจากโลกมนุษย์เลย ก็มีท่านเจ้าคุณนรรัตน์นี่แหละ เขาก็พบอาตมาบ่อย ก็เลยพยายามเตือนอาตมา ห้ามอาตมา บอกว่า

“ท่านโต ท่านนี้พ้นแล้ว ท่านก็เป็นนักปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่มีใครเปรียบท่านได้ สมัยที่ฉันยังมีสังขารอยู่ ฉันไม่ได้มาพบท่านที่มาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์นี้ แต่ฉันก็ได้อ่านในบทความและการทำงานของท่านที่ทำอยู่ แต่ว่าตามหลักแล้ว สัตวโลกปัจจุบันนี้เป็นการยากที่จะโปรดได้


ฉันนี้ สมัยที่ยังมีขันธ์และเป็นข้าเก่าของรัชกาลที่ ๖ มีตำแหน่งเป็นพระยา คนนับหน้าถือตา พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันทั้งพระราชินีก็นับถือฉัน เหตุไฉน ฉันจึงปิดประตูไม่พบมนุษย์เล่า ก็เพราะว่ามนุษย์ในยุคนี้ เลวยิ่งกว่าหมา ท่านโต ท่านพ้นขี้แล้ว ทำไมจึงไปยุ่งกับขี้อีกเล่า” นี่คือคำพูดของพระนรรัตน์ ที่พูดกับอาตมาแทบทุกครั้งที่เจอหน้า

ทีนี้ อาตมาถือว่า ในการมาทำงานครั้งนี้ ขรัวโตเป็นคนที่เชื่อมั่นในความสามารถของตน จึงได้มาทำงานในครั้งนี้ แต่ว่ามนุษย์จะร่วมมือกับอาตมา จะทำงานจริงหรือไม่ และมนุษย์บางคนก็ถือทิฐิ ท่านต้องเข้าใจว่า ในภาวะเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นว่าสำนักปู่สวรรค์ทำความดี เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันมีตัวอิจฉา มีตัวโลภ มีตัวโกรธ กลัวคนอื่นเด่นกว่าตน สิ่งเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในสันดานมนุษย์ในยุคนี้

เพราะฉะนั้น ท่านที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ หรือว่าท่านที่เป็นผู้ที่ห่มผ้าเหลืองแล้ว ในภาวะเช่นนี้ ท่านควรเจริญในด้านเมตตา เจริญในด้านสติ เจริญในด้านวิปัสสนากรรมฐานให้แข็งแกร่ง เพื่อต้อนรับกับเหตุการณ์ในโลกมนุษย์


ซึ่งอาตมาทำอะไร เขาเรียกว่า สมเด็จโตเป็นคนเปิดเผย แต่ขณะนี้โลกมนุษย์เขาไม่ส่งเสริมคนทำความดี เพราะอยู่ในภาวะที่อธรรมครองโลก ไม่ใช่ธรรมครองโลก ทีนี้ธรรมะจะครองโลกได้อย่างไร ก็ต้องใช้ความสุขุมและใช้ปัญญาเข้าใจไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

พระอรหันต์ในยุคปัจจุบันมีหรือไม่



สานุศิษย์ : ผมสงสัยว่าในยุคปัจจุบันนี้ ยังมีผู้ที่สำเร็จเป็นอรหันต์เช่นเดียวกับในสมัยพุทธกาลบ้างหรือเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครสำเร็จเป็นอรหันต์

สมเด็จ : ในขณะนี้อรหันต์เขาไม่มาเดินอยู่ในเมืองหลวง อรหันต์เขาไม่มายุ่งในหมู่คณะ และในอันนี้อาตมาได้ตอบไว้นานแล้วว่า อรหันต์ในยุคนี้มีอยู่เพียง ๕ องค์ ปัจจุบันเหลือแค่ ๓ องค์ และก็อยู่ในป่าลึกที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าไปไม่ได้


เพราะว่า กระแสในการแห่งการเป็นอรหันต์นั้น ถ้ามาใช้การปฏิบัติในปัจจุบันนี่ เขาหาว่าผู้นี้คือคนบ้า เพราะฉะนั้น ในการถึงกระแสอรหันต์ ก็คือว่า ผู้ที่สำเร็จอรหันต์ ความทุจริตประจำใจไม่มีในมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม วจีกรรมพร้อมที่จะเป็นผลต่อมวลมนุษย์ ยินดีที่จะแสดงธรรมเพื่อความหลุดพ้นของสัตวโลก

สานุศิษย์ : สำหรับความนึกคิด ความรู้ของวิญญูชนนี่ จะสามารถทราบได้ไหมว่าองค์ไหน หรือว่าท่านผู้ใดเป็นอรหันต์ มีวิธีสังเกตประการใด

สมเด็จ : ถ้าไม่มีอำนาจฌานญาณแล้วไม่ต้องพูดถึง ไอ้คำว่าวิญญูชนนี่ อย่าใช้กับไอ้โตหน่อยเลย สมัยนี้มึงเรียนดีกรีสองเล่ม มึงก็บอกว่า มึงเป็นวิญญูชน เป็นปัญญาชน ไอ้สิบห้าดีกรี สามสิบสองดีกรีก็ใหญ่แล้ว


ปัญญาชน ก็คือ ต้องมีอำนาจกระแสจิต มีเจโตปริยญาณ จึงสามารถหยั่งรู้กระแสอรหันต์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

การจะสำเร็จในทางธรรมเกี่ยวกับกรรมเก่าหรือไม่


(วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : อยากจะเรียนถามว่า ผู้ที่พยายามปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไม่สำเร็จได้ดวงตาเห็นธรรม จะเกี่ยวด้วยกรรมเก่าหรือไม่

สมเด็จ : คือในปัญหาธรรมะข้อนี้ เราจะต้องแยกแยะให้เป็นหลักของวิชาเป็นขั้นๆ

จุดที่หนึ่ง ท่านต้องรู้จักคำว่า การเป็นชาวพุทธนั้นคืออย่างไร
การเป็นชาวพุทธนั้น ไม่ใช่การยึดมั่นในวัตถุ
การเป็นชาวพุทธนั้น ไม่ใช่อยู่ที่พิธีรีตอง


การเป็นชาวพุทธก็คือว่า พุทธะคือผู้รู้ รู้แจ้งแทงตลอดในกุศล อกุศล รู้ฌาน รู้อรหันต์ รู้ความจริง รู้การเป็นคนว่าอยู่อย่างไร สภาวะระหว่างเป็นคนต้องใช้กรรมตามวาระ กุศลส่งวิบากเกิดเป็นคน

ทีนี้ ในภาวการณ์แห่งการเป็นมนุษย์นั้นแล จุดสำคัญในการปฏิบัติคือว่า ถ้าเรายังเป็นชาวพุทธปุถุชน ชาวพุทธก็ต้องแยกออกไปว่า พุทธโสดาปัตติมรรค พุทธอนาคามี พุทธอรหันต์ พุทธเข้าสู่พุทธะ


เพราะฉะนั้น ระหว่างที่เราเป็นชาวพุทธปุถุชนนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีสัมมาอาชีวะแห่งการเลี้ยงชีพชอบ ทีนี้ในสัมมาแห่งการเลี้ยงชีพชอบนี้แล อำนาจแห่งสมาธิย่อมไม่สงบ เพราะว่าต้องใช้สมองในด้านประสาทแห่งการนึกและคิด แห่งการดำรงตนเพื่ออยู่รอดของคำว่าเกียรติและชื่อเสียงในโลกมนุษย์ที่สมมติ

ทีนี้ผู้จะเข้าซึ้งถึงดวงตาแห่งการเห็นฌาน เห็นญาณนั้น

จุดแรกก็คือว่า ท่านละได้หรือไม่ เป็นจุดสำคัญ ท่านยังยึดว่า ท่านจะต้องเป็นมหาเศรษฐีหรือไม่ ท่านยังยึดว่า ท่านจะต้องเป็นผู้มีเกียรติหรือไม่ ท่านยังยึดว่า ท่านนี้เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์หรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยังทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้วไซร้ ไม่มีทาง

อาตมากล้าพูดว่า การที่จะถึงฌาน ญาณ นั้น ผู้นั้นจะต้องละในสักกายทิฐิแห่งความยึดตน เมื่อละในสักกายทิฐินี้ได้ การเข้าสู่ถึงอำนาจฌานญาณนั้นไม่ขึ้นกับกุศลและอกุศลในอดีตชาติ ขึ้นอยู่กับปัจจุบันชาติ ว่าตนนั้นมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แห่งความแน่วแน่ในการอุตสาหะปฏิบัติธรรมหรือไม่

ทีนี้ เข้าสู่ในปัญหาประเด็นว่าจะเห็นธรรมขั้นไหน ถ้าผู้ที่สำเร็จในโสดาปัตติมรรค ผู้ที่จะสำเร็จเป็นอนาคามี ผู้ที่จะสำเร็จอรหันต์ แต่ยุคนี้ทำยาก พวกเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคำว่ากรรมวิบากในอดีตส่งผลปัจจุบันนี้ว่าจะถึงหรือไม่

เพราะฉะนั้น คำถามนี้อาตมาขอตอบว่า ถ้าท่านจะเอาแต่อำนาจแห่งฌานญาณ ของปฐมฌาน หรือตติยฌานแล้ว อยู่ที่ท่านมีความอุตสาหะวิริยะในการปฏิบัติ ในการละจากการครองเรือนหรือไม่

ถ้าพูดในเรื่อง คำว่าสำเร็จเป็น โสดาปัตติมรรค อนาคามีและอรหันต์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยกฎของกุศลและอกุศลในอดีตชาติเข้ามาพัวพันในปัจจุบันชาติ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 03:48 , Processed in 0.059814 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.