แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๓

ทำความดีมนุษย์ไม่รู้ เทพพรหมรับรู้


(วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์ลัดดา : หลวงพ่อสมเด็จเจ้าคะ คุณพ่อของลูกเสียเมื่อวานนี้ ลูกอยากจะขอบารมีว่า กุศลทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกบำเพ็ญ ให้ส่งไปถึงพ่อด้วยเจ้าค่ะ

สมเด็จ : คือกุศลทั้งหลายเราก็สร้าง ทีนี้ในสภาวการณ์ทั้งหลาย การเสียใจเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ภาวะของมนุษย์จำเป็นที่จะต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามวาระ ในการตายนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่า คนเราสังขารและอายุถึงคราวหมดตามกรรมวิบาก

มนุษย์เรามีกรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราก็เรียกว่า เมื่อเรามีอุดมการณ์ที่จะทำงานช่วยส่วนรวม เราก็ตั้งเข็มทิศในการที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ต่อไป ในการทำงานศาสนาให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษา กุศลทั้งหลายนั้น จะช่วยวิญญาณผู้ตายให้สู่สุคติ

คนเรานั้น “ทำความดี” ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการยกย่องจากคนว่า เราทำความดี มนุษย์หมู่หนึ่งอาจจะไม่เข้าใจในความดีของเรา แต่เทพพรหมย่อมรับรู้ในการกระทำของมนุษย์ที่มีเจตนาที่จะสร้างกุศล

ขอให้ท่านทั้งหลายยึดมั่นในกฎแห่งกรรมเป็นสรณะ แล้วท่านย่อมที่จะไม่ต้องทุกข์ มนุษย์เราเมื่อถึงวาระแห่งการสิ้นนั้นแหล่ การเสียใจก็ดี การอะไรก็ดี ย่อมที่จะช่วยให้วิญญาณนั้นกลับคืนสู่การเป็นมนุษย์ไม่ได้


เราควรตั้งจิตตั้งใจอธิษฐานบารมีที่เราสร้างนั้น เพื่อช่วยให้วิญญาณนั้นอยู่สุขในปรภพ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๒

สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง


(วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ คำที่เขียนอยู่บนหน้าพระตำหนัก ที่เขียนว่า “สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง” กระผมขอกราบถามว่า “สามเมา” นี่ หมายถึงอะไรครับ

สมเด็จ : มนุษย์เราเมาลาภ ก็ย่อมเสื่อมลาภ มนุษย์เราเมาโกรธ ก็จะต้องเกิดเหตุ เมาหลงก็ต้องพินาศ เพราะฉะนั้น โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายใน ๓ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มีในตัวท่าน ถ้าท่านตกอยู่ในห้วงของจุดใดจุดหนึ่ง ท่านก็ย่อมที่จะไม่มีทางหลุดพ้นสู่การที่จะเรียกว่า “รู้” ในความบริสุทธิ์ของสัจจะ แห่งความละทิฐิของอัตตา

สิ่งเหล่านี้ก็คือว่า ถ้าท่านหลงอยู่ในสามเมา เขาเรียกว่า พญามารภายในกาย ท่านตามไม่ทัน คือ โลภ โกรธ หลง


โลภ โกรธ หลง นี้ พร้อมที่จะทำลายท่าน เมื่อสติท่านเผลอ เมื่อนั้นเขาย่อมแทรกเข้าไปในตัวท่านโดยท่านไม่รู้ ท่านไม่ทันเตรียมพร้อม คือเรียกว่า ท่านมีช่องว่างเมื่อไหร่ เขาก็จะแทรกตอนนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจะละไม่ให้โลภ โกรธ หลง นี้ ครอบท่านได้ ท่านก็จะต้องพยายามใช้ในการทำสมาธิภาวนา
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๑

เมตตาสูตรสยบมาร



(วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



ม.ล.โอภาส ชุมสาย : ลูกมีปัญหาถามนิดหนึ่งเพคะ ขณะที่ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานถวายพระพุทธเจ้า มีวิญญาณแม่นางตะเคียนมากวนอยู่ตลอดเวลา ลูกร้องไห้อยู่ในพระกรรมฐาน เพราะทำไม่ได้ เพราะเขาเอามือแหย่มาเรื่อย ลูกก็ร้องไห้บอกว่า วิญญาณสถิตยุติธรรมไม่มีแล้วหรือในโลกนี้ อยู่ที่ไหน คนจะปฏิบัติพระกรรมฐานถวายพระพุทธเจ้าก็มาแกล้งอยู่อย่างนี้

พอลูกเอนกายลงนอนก็มาแกล้ง เพื่อจะให้ปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ครบ ๗ วัน ตามที่ลูกได้ตั้งใจไว้ ลูกก็ได้พยายามทำไปเรื่อย ร้องไห้ไปเรื่อย ก็ปรากฏว่าวิญญาณเทพองค์หนึ่ง ปรากฏร่างที่หัวเตียงนอน ท่านบอกว่า “ปฏิบัติไปเถอะ” ตั้งแต่ตอนนั้นก็ปฏิบัติได้อีก ๑ วัน ก็ครบเพคะ ลูกอยากทราบว่า วิญญาณของผู้ที่ชื่อเทพเทวาเป็นใครเพคะที่มาช่วย

สมเด็จ : คือในการบำเพ็ญนั้น การปฏิบัติจิตนี้ยิ่งมีมารผจญเป็นสิ่งธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้ามารผจญเราในกายในกายนี้ ถ้าท่านชาญฉลาด ท่านไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาช่วย ท่านจงปฏิบัติด้วยการแผ่เมตตา ในกระแสแห่งเมตตาจิตนี้แหล่ ที่จะช่วยให้ผู้ที่รังควานเรานั้นได้สยบลง ในหลักของเมตตาสูตร เขาเรียกว่า เมตตาธรรมนั้นสามารถทำให้คนชั่วเลิกชั่วได้

ทีนี้ ในภาวะที่ไม่เข้าซึ้งถึงในสัจจะอันนี้ ก็ได้ทำการเรียกร้องเทพเทพารักษ์ให้มาช่วย เทพารักษ์องค์ที่มาช่วยเรานี้ เป็นเทพประจำทิศบูรพา ซึ่งส่วนมากเป็นการที่จะคอยช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองมนุษย์ที่จะปฏิบัติในทางดี ในทางจิต เพื่อจะได้ไปสู่ในทางดี


เพราะฉะนั้น ในการแห่งการที่เราปฏิบัตินี้ ในภาวการณ์เขาเรียกว่า คือ มีผู้แกล้งก็คือมาร ในเรื่องของกายในกาย มีผู้ส่งเสริมก็คือมีเทพมาช่วย อันนี้ก็ถือว่า เรียกว่าดวงเรานี้ ในภาวะเขาเรียกว่า มีเทพอุปถัมภ์ เจ้าก็เป็นหมอดูใช่ไหมล่ะ มาสอบกับอาตมาหน่อย อาตมานี่หมอดูเก่าวัดระฆังฯ

ม.ล.โอภาส ชุมสาย : ลูกขอมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระคุณเจ้า ลูกก็ต้องขอให้พระคุณเจ้าช่วยประทานสรรพวิทยาให้ลูกดูหมอได้แม่นๆ เพคะ

สมเด็จ : ทีนี้ ในการดูหมอ ตำราหลักการในโหราศาสตร์นั้น ในการวิบากของฟ้า ของดวงดาวนพเคราะห์ก็ดีนั้น หรือของดวงดาวแห่งจักรวาลนั้น เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกระแสคลื่นในการสู่พลังของมนุษย์ เพราะฉะนั้น โหราศาสตร์ที่เขาทำนายกัน เชื่อได้อย่างมากที่สุดไม่เกิน ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ครึ่งต่อครึ่ง

ส่วนมากวิถีการแห่งการครองตนในการเป็นอยู่ จะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมของตนวิบาก เพราะฉะนั้น ในการทำนายในเรื่องสำคัญนั้น คือ เรื่องคอขาดบาดตายนั้น ควรทำนายโดยการแบ่งรับแบ่งสู้ ตามบทอาชีพหมอ (ที่ประชุมหัวเราะ)

ม.ล.โอภาส : ลูกรู้สึกว่าเป็นพระคุณอย่างสูง แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะทูลถามสมเด็จท่านแล้ว เอาไว้ให้ผู้อื่นได้กราบถามบ้าง ขอกราบลาพระคุณเจ้าเท่านี้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๐

ธรรมชาติเดินไปสู่การสลายของพุทธะ



อาจารย์ชุบชีพ :
สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ สมมติว่าการปฏิบัตินี่ เราจะจ้องอริยะละ นี่กลายเป็นโลภะไปแล้ว เพ่งๆ ไปแล้วมันไม่ทันใจ โมหะ มันเกิดอีกแล้ว ทีนี้ พอไปเห็นอะไร ไปติดนิมิตเข้ามา มันก็หลง ไอ้โมหะมันก็เข้ามากิน มันสลับซับซ้อน อย่างนี้มันจะไปถึงได้อย่างไรเจ้าคะ อริยมรรค อริยผล นี่น่ะ

สมเด็จ : อริยมรรค อริยผล ถึงได้ ต่อเมื่อท่านไม่หลงมรรค ไม่หลงผล ไม่ยึดไม่ยึดผล ก็คือว่า

วันหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมานี่ ข้านี้ยังไม่ตาย ข้านี้ยังไม่ตาย สิ่งที่ดีข้าต้องทำ สมาธิข้าต้องนั่ง พยายามให้จิตนิ่ง

หลักแห่งพระพุทธศาสนามีจุดอยู่ว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ในพระวิหารเชตวัน พระอานนท์เถระได้เข้าทูลถามองค์โคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าน้อยนี้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ตามรอยยุคลบาทอยู่ทุกเมื่อ เหตุไฉน ข้าน้อยฝึกในด้านฌานญาณจึงไม่ได้ ในการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ฌานไม่เกิด ปัญญาไม่ขึ้น เพราะเหตุใดเล่า”

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เอนกายอยู่ ณ ใต้ต้นรัง ก็ได้ตอบว่า

“อานนท์เอ๋ย การฟังธรรมให้ถึงธรรม ตั้งมั่นธรรม จิตจดจ่อจนไม่จดจ่อคือจดจ่อ จิตเพ่งจนไม่เพ่งคือเพ่ง การรู้จนไม่รู้คือรู้ เพราะฉะนั้น อานนท์ เจ้าอย่าหลง อย่ายึด อย่าจดจ่อ อย่าถึง ไปในธรรม”

คือ การหวังตั้งปณิธานให้ถึงเร็ว ย่อมไม่ถึง วางจิตเฉยๆ ให้นิ่งๆ จิตนี้ยิ้ม เอกัคตาจิตขึ้นสู่ธรรม ประภัสสรแห่งธรรมเกิดขึ้นเอง ปัญญาวิมุตติอาศัยธรรมแห่งอาสวะ อาสวะเกิดขึ้นต้องอาศัยฌาน ฌานเกิดขึ้นต้องอาศัยการนั่ง การนั่งต้องกระทำด้วยความว่าง


หมายความว่า ถ้าเราไปยึดมันก็ไม่ถึง ถ้าเราไม่ยึดอาจจะถึงโดยเราไม่รู้ตัว เพราะว่าอันนี้ เขาเรียกว่า ทำไปเรื่อยๆ เคลื่อนคล้อยตามธรรม ธรรมชาติเดินไปสู่การสลายของพุทธะ ถึงพุทธะ ทิ้งพุทธะ วางให้นิ่งถึงปัญญาหยั่งรู้สรรพสัตว์ เข้าใจไหม

อาจารย์ชุบชีพ : เข้าใจเจ้าค่ะ คือได้กับตัวดิฉันเจ้าค่ะ ดิฉันเคยปฏิบัติ ดิฉันเข้าใจแล้วที่สมเด็จอาจารย์พูดนี่ เข้าใจ หมายความว่า ไม่ให้มุ่งหวัง ถ้ามุ่งหวังแล้วมันจะไม่เจอ คือหมายความว่า มันมีทางอยู่ก็ให้เดินตามทาง ถึงเมื่อไหร่ แล้วแต่เหตุและปัจจัย

ดิฉันเคยปฏิบัติ สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ดิฉันเป็นลูกศิษย์วัดมหาธาตุ ดิฉันปฏิบัติวันนั้น ดิฉันนั่งได้ ๔ ชั่วโมง แหมรู้สึกแจ่มใส ลืมตาก็มองไม่เห็นคุณชุบชีพเจ้าค่ะ มันมีแต่นาม รูปไม่มี แหมแจ่มใสจริงๆ แจ่มใสมากมายทีเดียว พอออกแล้วก็ปีติเหลือเกิน ไม่ต้องกินไม่ต้องนอน มันมีปีติ ไม่ง่วง ดิฉันก็เลยมานึกว่า อ้อ คือหมายความว่า เรานี่ไม่หวังนี่ มันได้ แล้วพอมาหวังที่จะเอาอย่างนั้นอีก ทำแทบตาย ไม่เจอเลย

แล้วดิฉันก็เลยนึกเอาเอง วิจารณ์ในใจว่า แหม ที่พวกนั้นเขาคุยกันนะที่เขาว่า เขาได้มรรค ผล นิพพาน มันอย่างนี้เองนะ มาจับเอาตรงนี้เอง ดิฉันว่า โธ่ อย่างนี้ก็เข้าใจผิด หมิ่นพระปัญญาคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาหลายแสน หลายล้านชาติ จึงได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่นั่ง ๔ ชั่วโมง บรรลุนิพพาน นี่หมิ่นพระปัญญาคุณพระพุทธเจ้าใช่ไหม สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ

สมเด็จ : เพราะว่าในขณะนั้น เขาเรียกว่า กระแสจิต ธาตุทั้ง ๔ เพียงแต่นิ่ง เมื่อกระแสจิตแห่งธาตุทั้ง ๔ นิ่ง อายตนะภายในจิตวิญญาณรวมกันได้ มันเกิดปีติเอง ยังไม่ถึงนิพพานหรอก

อาจารย์ชุบชีพ : นั่นซิเจ้าคะ ดิฉันได้สติว่า แหมพวกนี้หลงว่าไปนิพพานไปสวรรค์กัน

สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ เป็นอันว่าพอใจดิฉันแล้ว สรุปลงก็คือว่า ไม่ให้ยึด ไม่ให้เกาะ ไม่ให้ถือมั่น ปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ มันได้เอง ชาตินี้ไม่ได้ ชาติโน้นๆๆๆ ไปก็ได้เอง

สมเด็จ : เมื่อคราวองค์สมณโคดมจะทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์ อานนท์ได้ยืนเกาะ ร้องไห้ พระพุทธองค์ได้มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า

“อานนท์เอ๋ย ถ้าเจ้าติดตถาคต เจ้าไม่ถึงตถาคต อานนท์เอ๋ย เจ้าจะเศร้าโศกเพื่ออะไรเล่า การเป็นนักพรตสิ้นแล้วซึ่งความร้องไห้ การเป็นนักพรตสิ้นแล้วซึ่งความหัวเราะ เพราะฉะนั้น อานนท์ เจ้าจงเร่งจิตเข้า เร่งจิตเข้า นั่นแหละ วาระนั้นจะถึงธรรม”

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

ชาตินี้สร้างแต่บุญจะมีโอกาสพลาดไหม



อาจารย์ชุบชีพ : อ้า สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ไม่ทราบว่าจะยกตัวอย่างใคร ดิฉันขอเรียนถาม เอาตัวดิฉันนี่เป็นตัวอย่าง ก็อย่างดิฉันนี่ เกิดมาชาตินี้ ไม่ได้สร้างบาปอะไรมากมาย ดิฉันก็เจียมตัวว่า ดิฉันเป็นลูกกำพร้า ก็คงพรากลูกนกฉกลูกกา ชาตินี้ดิฉันไม่ได้ทำบาปมากหรอก สร้างแต่บุญๆ อย่างนี้


อยากจะเรียนถามว่า เราอาจจะพลาดได้ไหมเจ้าคะ สร้างแต่กุศลอย่างนี้น่ะ เมื่อครั้งมรณกาล เราอาจจะพลาดได้ไหม คือหมายความว่า ดิฉันก็สร้างกุศลอยู่เสมอๆ แต่ว่าถ้าคนเราจะต้องปฏิบัติธรรมขั้นอริยบุคคลเบื้องต่ำ ก็คือโสดา จึงไม่ไปสู่อบาย เป็นหวังได้ ก็ดิฉันนี้ไม่มีหวังจะเป็นโสดา ดิฉันก็เชื่อว่า ดิฉันไม่สามารถปฏิบัติได้ แต่ดิฉันเห็นว่า เทวดาเกะกะนี่ เขาเป็นยังไง เขาถึงตายไปเป็นเทวดา อย่างคุณชุบชีพนี่ จะเป็นเทวดาได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือว่า กุศลนี่ บำเพ็ญแล้วก็หมั่นสร้างอันนี้ ต้องสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว เขาไปคิดกันในโลกทิพย์ ในโลกวิญญาณ แล้วจะรู้ว่ากุศลเรามากขนาดไหน ก็ไปเป็นเทพธิดา ไปเป็นนางฟ้า เพราะฉะนั้น อันนี้อยู่ที่กุศลของเราที่สร้างให้ตลอดถึงตอนเวลาแห่งการมรณภาพ แล้วขณะนั้นกระแสจิตวิญญาณจะพุ่งตรงไหน ตอนนั้นแหละ จะรู้ด้วยตน

pngegg.5.3.1.png



กรรมของตนตามล่า อดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต


อาจารย์ชุบชีพ : ที่สมเด็จอาจารย์พูดน่ะ ดิฉันเข้าใจค่ะอย่างนั้นน่ะ แต่ดิฉันจะทราบได้อย่างไร มรณกาลนี่ ชาตินี้ดิฉันไม่ได้ทำบาป ทำบุญเสมอ เผยแผ่ธรรมะ คือให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง แต่ทีนี้อดีตชาติ ดิฉันไม่ทราบว่าทำกรรมอะไรไว้น่ะซิเจ้าคะ กลัวเดี๋ยวจะพลาดตกกระไดลงดิ่งไปอบาย

สมเด็จ : ทีนี้ก็ไปสู่ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่า กุศลในปัจจุบันชาตินี้ ถ้าเรามีความดี ก็ไปสู่ในการเป็นเทพก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ เมื่อถึงคราวมรณกาล

ทีนี้ พูดถึงในเรื่องของกุศลวิบาก กุศลวิบากนี้ ถ้าเราอยู่ในเทวโลกบำเพ็ญๆๆ เพื่อจะไปสู่การเป็นพรหมชั้นสูง เพื่อที่จะไปสู่การเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เพื่อที่จะไปสู่การเป็นพรหมสุทธาวาส เพื่อที่ไปเป็นโสดาปัตติมรรค อริยบุคคลในโลกวิญญาณ อนาคามี เข้าสู่แดนอรหันต์ ในขณะบำเพ็ญอยู่นั้น เราสร้างแต่ความดี ตั้งแต่ชาตินี้ถึงเทวโลก เราก็ยังบำเพ็ญความดี ทีนี้เขาเรียกว่า กรรมของตนตามล่าอดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต

ทีนี้ ในภาวการณ์นั้นแหล่ พรหมบางองค์ ทำไมต้องลงมาเกิดเป็นปลาไหล พรหมบางองค์ ทำไมต้องลงมาเกิดเป็นช้าง แล้วก็พรหมบางองค์ ทำไมต้องมาเสวยวิบากในโลกมนุษย์ก่อน แล้วจึงจะเข้าสู่จุดแห่งความปรารถนาของตน เพราะว่า กุศลในอดีตนี้ยังตามไม่ทัน

โลกวิญญาณเขาถือแค่สามชาติ อดีตชาติก่อนเกิดเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเข้าสู่อนาคตชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราตายจากโลกมนุษย์ในปัจจุบันชาติ กุศลอันนี้ เขาจะคิดแค่อดีตชาติที่หนึ่ง ที่ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไร ชุบชีพ หรืออะไรน่ะ แล้วก็จะขึ้นไปเทวโลก เขาก็จะคิดบัญชีนี้ ขณะนี้จะเสวยทิพย์ในชาติแห่งอดีตถึงปัจจุบัน บวกแล้วมีความดีเท่านี้

pngegg.5.3.2.png



การเสวยกรรมวิบาก


ทีนี้ ระหว่างที่เราเสวยความดีนั้นแหละ แล้วเรากำลังทำความดีอยู่นั้น อดีตชาติเป็นสิบๆ ชาติ เป็นร้อยๆ ชาติ กรรมอันนั้นตามมา ตามมาถึงระหว่างการเสวยทิพย์อยู่ในเทวโลก เขาจะยื่นหมายแห่งกรรมวิบากอันนี้มาว่า บัดนี้ กรรมอันนี้เจ้าหนี้ทวงมาแล้ว

ในเทวโลกชั้นที่ ๖ เขาจะมีศาลาลูกขุน นี่เล่าเรื่องเทวดาหน่อย ศาลาลูกขุนจะมีการไกล่เกลี่ยว่า บัดนี้ วิญญาณนี้กำลังประกอบความดีอยู่ในเทวโลกขณะนี้ และต้องการที่จะเอากุศล พูดง่ายๆ ปัจจัยนี้ใช้ให้ในครั้งนี้เป็นเท่านี้ ท่านจะอโหสิกรรมให้หรือไม่

ถ้าวิญญาณหรือว่ากรรมวิบาก เจ้ากรรมนายเวรในอดีตไม่ยอมอโหสิกรรม เราจำเป็นที่จะต้องจุติลงมาสู่มนุษยโลก หรือว่าไปสู่ภูมิใดภูมิหนึ่งอีก เมื่อเข้าสู่มนุษยโลก ก็ต้องเข้าสู่หลักแห่งวัฏฏะอีก เมื่อตกอยู่ในวัฏฏะบำเพ็ญดี ก็ใช้ในชาตินี้ แล้วขึ้นไปสู่เทวโลกอีก

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมวิบากแห่งการเสวยของแต่ละบุคคล ที่นี้เป็นสำนักของโลกวิญญาณ รู้เรื่องรายละเอียดของการถี่ยิบของกรรมมาก ฉะนั้นจึงไม่พูดเลี่ยง แบบบางคนมาหาหลวงปู่ บอกถามตั้งนาน ท่านพูดสองคำ ความถี่ยิบของกรรมนั้น กระแสกรรมของแต่ละคนนั้น เป็นเรื่องละเอียดมาก เรื่องเฉพาะคนๆ เดียวจะให้อธิบายหมด ห้องนี้ทั้งห้องยังไม่พอเก็บเป็นตำรา

เพราะฉะนั้น นี่คือชี้จุดว่ากรรมวิบากมันเป็นอย่างนี้ ขณะที่เราขึ้นไปเทวโลกเสวยกรรมอยู่ อดีตชาติก่อนเป็นมนุษย์นี้ กรรมนั้นดีปัจจุบันนี้สิ้นจากโลกมนุษย์ไปสู่เทวดา กรรมนั้นก็ยังดี แต่เกิดมีอกุศลกรรมในอดีตหลายชาติตามมา เขาจะยื่นมาเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเป็นวิบากของกรรมแต่ละคนต่างกรรมต่างวาระต่างคนต่างเหตุผล เพราะฉะนั้น จะรู้แน่ก็เมื่ออยู่เทวโลก อยู่พรหมโลก อยู่โลกวิญญาณแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : นี่แหละเจ้าค่ะ พวกที่ไม่ได้เรียนพุทธศาสนา เขามาฟังแล้ว เข้าไม่เชื่อหรอก ทำดีตั้งเป็นก่ายเป็นกอง แล้วก็ต้องไปสู่นรกสู่อบาย ทำผิดนิดเดียว เขาไม่รู้ถึงอดีตชาติ ตั้งร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โน้น ว่าไอ้กรรมนั้นมันหนุนส่งขึ้นมา เอาละเจ้าค่ะสมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ในพระพุทธศาสนานี้ มันไม่ได้ปฏิบัติกันง่ายๆ เลยนะเจ้าคะ

สมเด็จ :
มันเป็นเรื่องละเอียด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

พระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว ทำไมต้องชุมนุมเทวดา



อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์จำลูกศิษย์ได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : มาอีกแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : มาอีกแล้ว (หัวเราะ) แหม น้อยใจเจ้าค่ะ พอลูกสาวมา ไม่มองหน้าลูกศิษย์เชียว ขอตัดพ้อต่อว่าหน่อยเถอะ

สมเด็จ : แล้วมึงเป็นอาจารย์สอนธรรมะยังไงวะ

อาจารย์ชุบชีพ : โธ่ ก็ดิฉันบอกแล้วว่า ยังไม่ใช่พระอรหันต์นี่เจ้าคะ น้อยใจเจ้าค่ะ ไม่อิจฉาหรอก อาจารย์คุณหญิงระเบียบก็เป็นอาจารย์ดิฉัน แต่แหม พอลูกสาวมา คุยกับลูกสาว ไม่มองหน้าลูกศิษย์ สมเด็จอาจารย์เจ้าขา วันนี้จะเรียนถามเจ้าค่ะ อย่าดุนะเจ้าคะ

อาจารย์ชุบชีพ : เรียนถามอย่างนี้เจ้าค่ะ ถามธรรมะก่อนนะเจ้าคะ เวลาทำบุญกันนี่เจ้าค่ะ มีการสวดพระปริตร เอาเทวดามาเกี่ยวข้องทำไมเจ้าคะ ต้องเชิญเทวดามาทำไมเจ้าคะ เรานับถือพระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว ยิ่งใหญ่แล้ว ต้องเชิญเทวดาทำไมเจ้าคะ ขึ้น สัคเค กาเม น่ะ เชิญมาทำไมเจ้าคะ

สมเด็จ : ปัญหานี้น่าคิดนะ

อาจารย์ชุบชีพ : นั่นซิ ก็ในคำสอนก็สอนให้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ แล้วเวลาจะทำบุญทำทาน ต้องไปเชิญเทวดา ชุมนุมเทวดา เทวดาไม่ได้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เอามาทำไมเจ้าคะ

สมเด็จ : เอ็งเทศน์จบหรือยัง ตาอาตมาเทศน์บ้าง...

คือในปัญหาที่เรื่องการชุมนุมเทพ หรือการชุมนุมพรหม ในการที่จะให้มารับทราบ ในหลักการในเรื่องการสร้างบุญกุศลนี้ ท่านต้องศึกษาให้เข้าซึ้งถึงจุดแห่งความจริงของศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการที่เราเคารพในหลักการแห่งองค์สมณโคดม ผู้ซึ่งถือว่าเป็นผู้ประเสริฐสุดยอดแห่งบรมศาสดาของศาสนานั้น

ในการทำบุญทำทานนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มารับทราบในเรื่องของบุญทาน เพราะว่าผู้ที่เป็นพุทธะแห่งยุคก็ดี ผู้ที่เป็นอรหันต์ก็ดี เขาเรียกว่า สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส ในการที่จะเกี่ยวข้องกับทางโลก

ทีนี้ ในภาวการณ์ในเรื่องที่จะให้ชุมนุมเทวดานั้น จุดมุ่งหมายก็คือว่า ท่านเชื่อว่า ท่านตายแล้วจะต้องไปเสวยกรรมในปรภพหรือไม่ ในการที่จะต้องไปเสวยกรรมในปรภพนั้นแหล่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักแห่งการว่า ให้มีพยานในการทำความดี เพื่อที่จะได้ไปคิด บวก ลบ คูณ หาร ในการทำความชั่วความดีของท่านในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ในการที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ ท่านศึกษาในพระไตรปิฎก ท่านจะเห็นว่า เทพพรหมจะต้องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในการที่พระพุทธเจ้าจะออกโปรดสัตว์ เทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ในครั้งแรกก็ดี ในการตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ดี เพราะว่ามารกับพรหมกับเทพนี้ เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องมารโลก เทวโลก พรหมโลกนี้ เขาเรียกว่า โลกของวิญญาณนี่มีก่อนยุคพุทธกาล

เพราะฉะนั้น ในการที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ก็คือ ให้มาเป็นสักขีพยานในการทำความดีของมนุษย์แต่ละคน เพื่อป่าวร้องในการอนุโมทนาเข้าสู่ในบัญชีทิพย์แห่งห้องเก็บกรรมของแต่ละคน เพราะทุกคนจะต้องมีห้องเก็บกรรมของตนอยู่ในโลกวิญญาณ เขาเรียก ศูนย์รวมกรรม


เพราะฉะนั้น ในขณะกระแสคลื่นแห่งการทำความดี ที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ เพื่อให้เทวดามาเป็นสักขีพยานในความดี เพื่อให้เข้าสู่ในบัญชีทิพย์ เมื่อถึงคราวตายจากโลกมนุษย์นี้ ไปเสวยกรรมวิบากนั้น จะได้คิดบัญชีนั้นได้ถูกต้องถ่องแท้

เขาเรียกว่า ดุลกรรมแห่งบัญชีชั่วกับบัญชีดีนั้นมากน้อยเท่าใด ฉะนั้น ถ้าเราทำบุญ เราเชิญพระพุทธเจ้ามาเป็นประธานในการสร้างกุศลของเรา พระพุทธเจ้าย่อมไม่มาเป็นสิ่งแน่นอน เพราะว่าพระพุทธเจ้าแห่งยุคไม่ข้องกับโลกแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : อ้อ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ เราเคารพพระพุทธเจ้าว่าสูงสุดแล้ว แต่ก็ต้องชุมนุมเทวดาก็เพื่อเป็นพยานในการที่ปฏิบัติความดี เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ

ทีนี้ ยังสงสัยต่อไปอีกว่า เวลาที่ทำกรรมฐานนะเจ้าคะ พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ตนนี่ให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง แต่ทำไมอนุสติ ๑๐ น่ะ จึงมีเทวดาเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้เอาเทวดามาเป็นอารมณ์ จะไม่ค้านกับคำสอนหรือเจ้าคะ ที่ว่าให้ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง คือที่ปฏิบัตินี่ ตัวก็ต้องของตัวเองซิ เอาพยาน เอาเทวดามาเกี่ยวข้องทำไม เทวดาจะช่วยอะไรได้ ก็พระพุทธเจ้าสอนแล้วนี่ว่า ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ก็ต้องปฏิบัติด้วยตนซิเจ้าคะ


สมเด็จ : คือในปัญหาอันนี้ มันเข้าสู่ในหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อสู่จุดแห่งความหลุดพ้น ทีนี้ ในการที่ใช้อนุสติ ๑๐ นี้ เพราะเหตุใดเล่า เพราะว่าจิตของมนุษย์นี้ เมื่อปฏิสนธิแห่งพืชพันธุ์ในการเป็นมนุษย์ในการสืบต่อในด้านของสังคม ในการสืบต่อในด้านเกี่ยวพันกับมนุษย์ย่อมมีความฟุ้งซ่านของกระแสจิตไม่เท่ากัน

กระแสจิตไม่เหมือนกัน เขาเรียก นานาจิตตัง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน การที่ตนแหล่เป็นที่พึ่งแห่งตน ก็คือว่า ตนจะต้องกำจัดตนให้เหนือตน ทีนี้ในการกำจัดตนให้เหนือตนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีอุบายแห่งการกระทำ

ทีนี้ ถ้ากระแสจิตของตนไม่แข็งแกร่ง ไม่ซาบซึ้งในเรื่องของความหลุดพ้น เขาเรียกมีโมหจริตแห่งความติดความสวย อย่างมึงยังต้องใส่สายสร้อย

อาจารย์ชุบชีพ : (หัวเราะ) ก็ดิฉันยังเป็นปุถุชนนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : เพราะฉะนั้น ในเมื่อภาวการณ์แห่งการติดความสวยนี้ เมื่อรู้กระแสจิตอันนี้ ขั้นแรกที่จะรวบรวมกระแสจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านจนเกินไปก็คือ เอาเทวานุสติเป็นสรณะ เพราะว่าเทพบุตร เทพธิดาในกายทิพย์นี้ย่อมมีความงามเหนือมนุษย์ ให้เข้าสู่ในจุดหลง เพื่อรวมให้จิตนิ่ง

อันนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติในเรื่องเอาเทวตานุสติเข้ามาสู่ในการปฏิบัติวิปัสสนา นี่คือ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ยุคต่อมา ต่อเติมแต่งเสริม เอ้า ตอบแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ

เดี๋ยวหลวงพ่อเจ้าคะ อ้า ประทานโทษ เดี๋ยว เรียกผิด ต้องเรียกสมเด็จอาจารย์ ที่ว่าดิฉันยังแต่งตัวใส่สายสร้อย ดิฉันแต่งเพื่อบำรุงหัวใจเจ้าค่ะ คือว่าแต่งสวยงามแล้วสบายใจ

สมเด็จ : ก็เพราะว่ายังมีตัวโมหจริต คือในเรื่องความสวยความงาม เพราะฉะนั้น อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ยุคต่อมา เขาก็อนุโลมตามโมหจริตของมนุษย์

อาจารย์ชุบชีพ : ถึงได้มีเทวานุสติเข้ามาแทรก เอาละเจ้าค่ะ เป็นอันว่า ไม่ข้องใจแล้ว มีอีกเจ้าค่ะ เกี่ยวกับเทวดาอีกนั่นแหละ

สมเด็จ : ว่ามา

pngegg.5.3.1.png



รุกขเทวดา


อาจารย์ชุบชีพ : เทวดานี่รักพระพุทธเจ้า แล้วเทวดานี่ต้องมีเทวธรรม ต้องมีใจเป็นกุศลธรรม ดิฉันอยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า ทำไมเทวดาพวกนี้ชอบรังแกคนโน้น คนนี้ คนนั้น ให้วุ่นวายไปหมด ไปแกล้งเขาต่างๆ นานา เขาต้องมีเครื่องเซ่น เครื่องสังเวยมาละก็ชอบอกชอบใจ บางทีก็กินเครื่องเสวยเขาเปล่าๆ ช่วยอะไรไม่ได้

แม้ที่สุดสมัยพุทธกาล ที่พระไปทำวิปัสสนากรรมฐานที่ในป่าน่ะ เทวดาก็มาแกล้ง เรื่องอะไรเจ้าคะ เทวดานี่มีคุณธรรมสูง ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับมนุษย์เขาเป็นนักเป็นหนา มันเรื่องอะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : วันนี้ฟังอาจารย์พระสูตรบรรยายหน่อย

คือว่าในเรื่องเทวดานี้ ไม่งั้นทำไมจึงมีว่“รุกขเทวดา” เพราะว่า เทวดาเหล่านี้ไร้ศีลธรรม เทวดาบางจำพวกเลวยิ่งกว่ามนุษย์ ซึ่งเราศึกษาอยู่ ก็พวกเทพ เขาเรียกว่า เทพชั้นจาตุมหาราชิกาเหล่านี้ หรือว่าเทพที่ข้องอยู่ในกามคุณ เสพกามเป็นสรณะ

ทีนี้ เทพเหล่านี้ ทางโลกวิญญาณเขาถือว่าเป็นเทพชั้นต่ำ เมื่อเทพชั้นต่ำถูกการตักเตือนในโลกวิญญาณ ไม่ปฏิบัติตาม ก็รุออกจากเทวโลก เขาจึงตั้งชื่อว่าเป็น “รุกขเทวดา” ก็คือ เทวดาที่ถูกไล่ออกจากแผ่นดินของเทพ รุออกมา เขาเรียกว่า รุออกจากบ้านไป


เพราะฉะนั้น ในพวกนี้ส่วนมากก็คือพวกที่ไม่มีศีลธรรม ทีนี้ในการที่ไม่มีศีลธรรม ทำไมเทวโลกจึงไม่จัดการ นี่ต้องเข้าสู่ปัญหาธรรม เพราะเหตุใด ทำไมเทวโลกจึงไม่จัดการ การที่จะไปเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพบุตรก็ดี การที่จะเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพธิดาก็ดี การที่จะไปเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพแห่งสมมติ ในการเป็นเจ้าที่เจ้าทางก็ดี

เขาเหล่านี้ส่วนมากล้วนแต่มีกุศลวิบากในการส่งเสริมตน เมื่อมีกุศลวิบากในการส่งเสริมตนในการไปเสวยทิพยอำนาจ เขาเรียกว่า ทิพยกุศล นั้น กุศลอันนี้ยังไม่หมดอายุแห่งการเป็นเทพ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเนรเทศออกจากเทวโลก

เมื่อเนรเทศออกจากเทวโลกแล้วไซร้ เทวดาบางองค์เกิดมีความสำนึกผิด ก็จะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกอีก การจะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกได้ก็โดยการขออาศัยชื่อ เพื่อสร้างบารมี การจะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกได้โดยการขออาศัยชื่อ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ หรือว่าเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี แต่พวกนี้เขาก็ยังมีศีลธรรม ก่อนที่เขาจะยืมใช้ชื่อ เขาจะขออนุญาตก่อน

เช่น เขาจะมาขอยืมใช้ชื่ออาตมา บอกว่า ท่านโต บัดนี้ข้าน้อยรู้ซึ้งในการทำผิด ข้าน้อยจะกลับตนสู่เทวโลก ทีนี้ การจะกลับตนสู่เทวโลกนี้ จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญตามกฎของเทวะ กฎของเทวะก็คือ มาสร้างบารมีในโลกมนุษย์

ถ้าบอกว่า ข้าน้อยนี้ชื่อนายเปี๊ยกมา ย่อมไม่มีใครรู้จัก ข้าน้อยนี้จะขอยืมชื่อท่านโต เพื่อในการสร้างบารมีได้ไหม อาตมาก็บอกเจริญพร แม้แต่มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน อาตมายังคิดจะช่วย แล้วผู้ที่จะทำความดีนั้น อาตมาส่งเสริม เพราะฉะนั้น อาตมาอนุญาตให้ใช้ชื่อได้

ทีนี้ มันมีในสันดานแห่งการเป็นเทพนั้นหยาบ มาถึงก็ หลวงพ่อโตมาโว้ย ต้องกินหมากอย่างดี ต้องเอาน้ำเมืองนอก น้ำเมืองในกินไม่ได้ ก็ล่อกันไปใหญ่ ล่อกันสักพักหนึ่ง ทีนี้เหลิง พวกนี้เขาเรียกว่า เทวดาเหลิงอำนาจ พอเหลิง กุศลที่สร้างจากการเป็นเทพก็หมดสิ้นจากเทวโลก


ทีนี้เทวทูตเขาจัดการละ เขาก็ส่งเทวทูตมาตามวิญญาณนี้ เพื่อไปใช้กรรม วิญญาณเทพบางตนมีฤทธิ์เดชมาก เมื่อมีฤทธิ์เดชมาก เทวทูตจะจับฉับพลันในการดึงวิญญาณนั้นเข้าสู่เทวโลก ก็ต้องส่งเทวทูตเป็นหลายๆ องค์ รวมกันขับไล่ เพื่อที่จะให้จนมุม

วิญญาณเทวดาบางองค์ก็หนีๆๆ หนีจนมุมเหมือนกัน ขณะนั้นเห็นท้องหมู ท้องหมา ท้องแมว ท้องไก่ ท้องเป็ด กำลังปฏิสนธิฟักเป็นตัวตน ก็มุดเข้าไปเกิดเป็นไก่ เป็นหมา เป็นแมว นี่คือ การหนีจากเทวโลกกลับกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่คือเรื่องพิสดารของเทวดา

pngegg.5.3.2.png



เทวดามิจฉาทิฐิ


อาจารย์ชุบชีพ :
นั่นนะซิ เลยมาเข้ารอย โห้ดิฉันเรียนถามสมเด็จอาจารย์อีกแล้วละเจ้าค่ะ คือดิฉันประหลาดใจ คนที่มีคุณธรรมสูง เขาก็เรียกว่า เทวดา คือเรียกว่า เทพโดยสมมติ ดิฉันอยากจะทราบว่า เทวดาที่เกะกะเกเรนี้ มาเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไรเจ้าคะ ชาติก่อนเขาเป็นใคร ทำไมจึงมาปฏิสนธิเป็นเทวดาที่เกเรอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ

สมเด็จ :
เพราะว่า เดิมทีเขาจะต้องวิวัฒนาการมาจากการเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย มาสู่การเป็นมนุษย์ แล้วจากการเป็นมนุษย์นี้ บำเพ็ญกุศลมากก็ไปสู่เทวโลก หรือพรหมโลก

ทีนี้พวกที่ยังเป็นเทพที่มีกายหยาบ พรหมที่ยังมีกายหยาบ ก็เหลิงระเริงในอำนาจแห่งกุศลนั้นจนลืมตน ลืมตนก็กลายเป็นว่าเหลิงไป เหลิงตนก็นำความฉิบหายเข้าสู่เขา เมื่อเขาถูกขับออกมาจากเทวโลกแล้ว อำนาจแห่งโมหกิเลสนั้นยังครอบงำ เลยกลายเป็นเทวดาเกิดความแค้นขึ้นมา ก็คือรังควานถ่ายความแค้นนี้สู่มนุษย์

เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเสมือนหนึ่งมนุษย์ที่มีทิฐิมานะในอกุศลทิฐิ คล้ายๆ ว่า ฉันนี่แหละจะเอาชนะ ไม่ชนะก็เกิดความแค้นเป็นปองร้าย เดิมที เริ่มแรกเขาจะต้องบำเพ็ญจากการเป็นมนุษย์ที่มีจิตบริสุทธิ์ ทีนี้กระแสจิตของเทพ ของพรหมที่ไม่ได้บำเพ็ญสู่ในชั้นสูง หรือว่าเข้าสู่อาสวักขยญาณแล้วไซร้ ย่อมมีการสูงขึ้นตกลง เสมือนหนึ่งมนุษย์เรียกว่า กระแสจิตเปลี่ยนทุกวินาที

แบบเราซึ่งกำลังเป็นมนุษย์ในขณะนี้ บางทีตื่นเช้า ก็คือว่าจะไปโน่นดี วันนี้บางทีก็คือว่า จะมาหาอาจารย์สมเด็จที่นี่ดีไหม อีกใจหนึ่งก็ว่า เอ๊ะ ไม่ดี เราไปเที่ยวดีไหม แต่งตัวให้มันงามๆ หน่อย อีกใจหนึ่งว่า ไม่เอา ไม่ไปดีกว่าวะ นี่เขาเรียกว่า ค้านกันอยู่ในใจ

อาจารย์ชุบชีพ : คือว่าสองฝ่ายโต้ตอบกันอย่างนี้ แล้วแต่ฝ่ายต่ำฝ่ายสูง ใครจะสูงกว่ากัน ถ้ากุศลจิตสูง กุศลฉุดมาหาสมเด็จอาจารย์ได้

สมเด็จ : ก็อยู่ขณะนั้น เรามีสติควบคุมอายตนะมากเพียงพอหรือไม่ เสมือนหนึ่ง เทวดามีสติควบคุมรู้สำนึกผิดหรือไม่
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

มุสาในทางที่ชอบ



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ สมมติว่าเรารับศีลห้าแล้ว เราเกิดเผลอไปทำให้ศีลขาดไป ถือร้ายแรงหรือเปล่าครับ  

สมเด็จ : อันนี้ขาดในหลักของคำว่า ไม่มีสติสัมปชัญญะพร้อม

ทีนี้ ก็ต้องดูว่า กรรมแห่งความเผลอนั้นเป็นกรรมอะไร ถ้าเผลออย่างธรรมดา เขาเรียกว่า กรรมนั้นเป็นกรรมบาง ก็เป็นการอโหสิกรรมไปในตัว แต่ถ้ากรรมนั้นหนัก เกิดไปรับศีลออกจากโบสถ์ ถ้าเป็นผู้ชายก็บอกว่า เฮ้ย ไปกินเหล้ากันโว้ย อันนี้ไม่ใช่เรียกเผลอ หรือว่ารับศีลออกมาแล้วเกิดไปฆ่าสัตว์ หรือว่าไปฆ่าคนตาย ภาวะนี้เขาถือว่าเป็นกรรมหนัก เพราะฉะนั้น อันนี้จะให้รู้ว่าผิดขนาดไหน ต้องดูในภาวะนั้นๆ ว่า กระทำอะไรเป็นกรรมในความเผลอ


สานุศิษย์ : มิได้ครับ สมเด็จพ่อ คือสมมติว่า เรารับศีลออกมาแล้วนี่ เราจำเป็นต้องพูดเท็จบางอย่าง คือเราไม่อยากให้คนนั้นเสียใจ อันนี้เราจะผิดศีลหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : อันนี้ถ้าว่าตามหลักของอาตมาแล้ว ไม่ผิดศีล เพราะอะไรเล่า คำว่า มุสาวาจา นี้ คือมุสาในสิ่งที่เป็นสิ่งร้ายต่อคนอื่น เป็นสิ่งร้ายต่อส่วนรวม และร้ายต่อตัวเอง ทีนี้ ในการมุสาเพื่อให้คนอื่นดีกันแล้ว เขาถือว่ามุสาในทางที่ชอบ ไม่ผิด

สมมติว่า คนหนึ่งด่าอีกคนหนึ่งให้เราฟัง เราเจอไอ้คนนี้ สมมติว่าเราเป็นคนกลาง เราเป็นทูต ไอ้คนนี้มาถามว่า ไอ้นั่นเขาว่าอย่างไร เราบอกว่าไอ้นั่นเขาชม มันก็ไม่มีเรื่องไป ถ้าเราไปใส่ไฟบอกว่า เขาด่ามึง ก็ต้องออกไปท้าตีต่อยกัน นี่ก็ผิดนะ

เพราะฉะนั้น ในหลักแห่งความมุสานั้น คือว่ามุสานั้น ถ้ามุสาในสิ่งที่ชอบ เพื่อความสันติของส่วนรวม เพื่อความสันติของตัวเอง เรียกว่าไม่ใช่การสันติเอาตัวรอด แล้วคนอื่นฉิบหายนั้นไม่ได้ เมื่อมุสาแล้ว ส่วนรวมก็ไม่เสีย ส่วนตัวก็ไม่ตาย อันนี้ถือว่า ไม่ผิดศีล


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

คนเกิดมาไม่ครบอาการ ๓๒



สานุศิษย์ : บางคนเกิดมาได้รับความไม่เสมอภาคทางธรรมชาติ ร่างกาย จิตใจ ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ

สมเด็จ : อันนี้เพราะว่ากรรมวิบากในอดีต มันมีสองอย่าง เจตนากรรมกับไม่เจตนากรรม เจตนากรรมก็คือหมายความว่า เมื่อเกิดมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ สัมมาอาชีวะตนไม่ดีเพียงพอ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเลี้ยงชีพในทางทุจริตก็ดี หาเลี้ยงชีพในการฆ่าสัตว์ก็ดี เช่น ผู้ที่ขายหมู ขายนานไปก็จะมีเงินเพียงพอที่จะเลิกอาชีพนี้ ไม่เลิก เพราะว่าอาชีพทำกำไรดี กินจนพุงพลุ้ยอะไรก็ว่ากันไป

ทีนี้ พลังนั้นแหละ กรรมที่เขาสร้าง ท่านอย่าลืม หมูบางตัวเป็นพรหมที่ผิดกฎในพรหมโลกต้องลงมาเกิด ปลาไหลบางตัวเคยเป็นเทพพรหม เพราะอะไร เพราะเขาเหล่านี้ถือว่า การเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าสติคุมอารมณ์แห่งอายตนะไม่เพียงพอ จะกลับสู่โลกวิญญาณยาก


เพราะฉะนั้น ถ้ามติที่ประชุมว่าฉันมีกรรมอย่างนี้ ต้องไปใช้กรรมชนิดนี้ คือ โลกวิญญาณเขามีมติว่า แล้วแต่ผู้ที่จะเสวยกรรมมีเจตนาจะไปเสวยกรรมในลักษณะไหน ในเมื่อเป็นพรหม เป็นเทพชั้นสูง ย่อมรู้กาลเทศะในการรับผิดชอบตน ก็มาเกิดในสิ่งเหล่านี้

ถ้าเราเกิดไปฆ่าสัตว์เหล่านี้เข้าด้วยเจตนา เจตนากรรมนั้น ถ้าสัตว์นั้นมีพลังแห่งความอาฆาต อันนี้เขาจะตามสนองในอีกทุกๆ ชาติ จนกว่าพลังแห่งการจองเวรจองกรรมจะสลาย

ความแน่วแน่แห่งการอาฆาตจองเวรอันนี้ เมื่อกรรมถึงวาระ จะทำให้มนุษย์ผู้นี้มีอาการ ๓๒ ไม่ครบถ้วน เพราะในกรรมวิบากที่เรียกว่า วิญญาณอาฆาต


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

ดูเหมือนว่าเวรกรรมไม่สนองคนชั่ว



(วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : เกล้ากระผมอยากทราบว่า คนชั่ว ทำไมผลกรรมไม่สนองทันตาเห็น

สมเด็จ : คือว่าหลักปัจจัตตังของธรรมชาติ เรียกว่ามนุษย์นี่ เกิดเป็นคนเพราะมีภพชาติแห่งการสืบต่อ ต่อเนื่องถี่ยิบยิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น การที่เราเห็นขณะนั้นว่า ทำไมเขาทำชั่วแล้วเขาเสวยกรรมดี เพราะอะไร เพราะว่ากุศลในอดีตเขาส่งอยู่ปัจจุบัน ทีนี้ คนเราทุกวันนี้มันดูกันแค่เปลือกนอก ไม่ได้ดูให้ถึงเปลือกภายใน

ถ้าท่านดูเปลือกภายในแล้วไซร้ ท่านจะต้องอยู่ใกล้ เมื่อถึงวาระบุคคลที่สร้างความชั่ว ในขณะก่อนที่จิตวิญญาณของเขาก่อนที่จะหลุดจากร่างแห่งการเป็นมนุษย์นี้แหล่ ขณะนั้นอารมณ์แห่งความหวาดหวั่นของการที่จะพบเหล่าวิญญาณ ยมทูต เทวทูต พรหมทูต มาผจญนั้น


ขณะนั้นถ้าทำความชั่วมาก เช่น ฆ่าคนมามาก ก็จะมีวิญญาณหลอกหลอนของเหล่าทหารที่เขาสั่งฆ่านั้น จะมาหลอกหลอนเขาในขณะนั้น คือว่าเราไม่ได้ดูตอนตาย เราดูตอนเป็นเท่านั้น เราก็เชื่อว่าคนๆ นั้น สร้างความชั่วแล้วมีความดี

ทีนี้ กฎของโลกวิญญาณ เขาทรงไว้ด้วยความยุติธรรมของธรรมชาติ ธรรมชาติในวัฏฏะนี้ เขาส่งผลถี่ยิบตามภาวะกรรม ถ้ากรรมในอดีตเขาสร้างมาดี ภาวะในปัจจุบันนี้ เขาหลงงมงายไปกับสิ่งชั่ว แต่ว่าทำไมจึงมีดีอยู่นั้น ก็เพราะว่า


กุศลในอดีตเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น เคยเป็นหมู หมา แมว อะไรก็แล้วแต่ ค่อยๆ วิวัฒนาการมาเป็นคน จำศีลภาวนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ภูมินี้ เพื่อบำเพ็ญตนสืบต่อไปสู่เทวโลกหรือพรหมโลก แห่งเทวภูมิ พรหมภูมิ นั้นๆ

ทีนี้ เรียกว่า ขึ้นมาถึงโลกมนุษย์นี้ เขาถือว่าโลกมนุษย์นี้เป็นโลกสื่อกลางของโลกวิญญาณ โลกมนุษย์นี้เป็นโลกที่สกปรกที่สุด ผู้ที่จะชนะอารมณ์แห่งนรกสวรรค์ ๓๓ ชั้น แล้วไซร้ ต้องสามารถขึ้นมาเอาความสำเร็จญาณฌานในโลกมนุษย์นี้


ถ้าผู้นั้นสามารถบำเพ็ญถึงเทวโลก พรหมโลก บำเพ็ญขึ้นสู่ในการเป็นพระพรหมสุทธาวาส เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้นั้นจะได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้มีภาวะแห่งสติสัมปชัญญะพร้อมเสมอ ที่ไม่คล้อยตามโลก นั่นคือหลักแห่งความจริงในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เราจะว่าคนทำชั่วแล้วได้ดีเสมอไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่จริง เพราะเราไม่ได้ติดตามคนชั่วถึงวาระแห่งมรณกาล แห่งการทิ้งสังขารของเขา เข้าใจไหม คือดูแค่เห็นว่าเขาแต่งตัวโก้ๆ หรือว่าดูแค่นั้น มันต้องดูตอนเวลามันจะตาย จะปรากฏสัญชาตญาณแห่งความจริงในขณะนั้น


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

บวชเพื่ออะไร



สานุศิษย์ : จะถามเรื่องบวชค่ะ เรื่องการบวชชีนี่จะต้องปฏิบัติอย่างไร

สมเด็จ : คือการบวชนี่ ถ้าเราบวชด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ทั้งกายและใจแล้วไซร้ ย่อมที่จะถึงในเรื่องของความสุข ถ้าเราบวชแล้วเรียกว่า บวชแต่กาย ใจไม่บวช อย่าไปบวชดีกว่า ทำลายผ้าเหลือง พระทุกวันนี้น่ะ เขาว่าศีล ๒๒๗ เอ็งไปเชื่อมัน ศีลและสัตย์ในพระสงฆ์ในยุคนี้หายาก

ในสภาวการณ์บวชนี้ เขาเรียกว่า บวชเพื่ออะไร บวชในการเพื่อให้ชำระจิต ถ้าเราจะฝึกตามแนวพุทธพจน์ขององค์สมณโคดมก็จะเห็นว่า เรานี้รู้ว่าโลกนี้เป็นสิ่งร้อน โลกนี้เป็นสิ่งเทียม ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของปลอม เราต้องการความสุขอันแท้จริง ความสุขอันแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ความสุขอันแท้จริงนั้นอยู่ที่กายในกาย กายในกายอันนี้แหล่ที่องค์สมณโคดมเรียกว่า “พุทธะแห่งกายใจ”


สภาวการณ์เขาเรียกว่า ท่านจะพบตัวท่าน ท่านจะรู้จักตัวท่าน เมื่อท่านค้นพบตัวอาตมัน อาตมันตัวนี้หมายความว่า สิ่งนี้อธิบายด้วยภาษาไม่ได้ ในขณะที่องค์สมณโคดมจุติมาในดินแดนชมพูทวีป ในขณะนั้นชมพูทวีปเต็มไปด้วยเหล่าลัทธิฮินดู เหล่าลัทธิพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์อยู่ในศาสนาแห่งความเสื่อมที่ไม่มีระเบียบวินัย แบ่งเป็นหมู่ เป็นคณะ

องค์สมณโคดมก็ได้ทำการศึกษาในเหล่านี้ กับอาฬารดาบสและอุทกดาบส เพื่อจะศึกษาว่า สิ่งที่จะหลุดพ้นนั้นคืออะไร สิ่งที่พบในการศึกษากับอาจารย์นั้น แค่ได้ฌานชั้นสูง ทีนี้ในฌานชั้นสูงนี้ ไม่ใช่บรมสัทธรรมแห่งการหลุดพ้น เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมจึงหาวิธีการในการทำตนฝึกใหม่ เพื่อชำระจิตให้อยู่ในภาวะแห่งการรู้ในความบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ทีนี้ ในการบวชนี้ ถ้าเราบวชอย่างรู้แนวทางและปฏิบัติจิต การบวชนั้นก็เป็นการดี ถ้าบวชอย่างไม่รู้แนวทาง บวชตามชาวบ้าน บวชเพื่อให้เขาเรียกเป็นเจ้าคุณ บวชเพื่อศาสนา บวชเพื่อที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ ชิงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส หรือบวชเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าชีก็ดี อย่าไปบวชดีกว่า

สานุศิษย์ : ถ้าเราทำจิตให้แน่วแน่ก็เหมือนกับการบวชใช่ไหมคะ

สมเด็จ : ถ้าเราปฏิบัติจิตดี มนุษย์จำเอาไว้ ถ้าไม่มีศีลก็ต้องมีสัตย์ ไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ หมายังดีกว่า เพราะฉะนั้น การบวชนี้เป็นการสมมติในการห่มผ้าเหลือง เพื่อให้เห็นว่า นี่เป็นกรอบแห่งการเป็นพระเท่านั้น หรือว่าเป็นกรอบแห่งการเป็นชีเท่านั้น ถ้าใจมันไม่บวชแล้ว ห่มผ้าแล้วมันก็ไม่ดี ถ้าท่านบวชใจ ท่านก็จะถึงธรรมอันแท้จริง เมื่อท่านควบคุมสติสัมปชัญญะของท่านอยู่

ทีนี้ ในการบวชก็เพื่อว่าเอาผ้ากาสาวพัสตร์เป็นการสมมติเป็นชีเป็นสงฆ์ เพื่อคุมตัวให้มีสติไม่คล้อยไปตามทางโลกเท่านั้นเอง เพราะว่าถ้าอยู่ในเพศฆราวาสแล้ว อารมณ์หลงกายเนื้อพาไปในสิ่งต่างๆ ได้ โดยไม่มีสิ่งเตือนใจ

ฉะนั้น ในการบวชนี้ก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ เพื่อบังคับตนว่า เรานี้เป็นนักพรต ทีนี้เราจะเป็นนักพรตอย่างไม่มีความหวังในเรื่องของทางโลกแบบทุกวันนี้แล้ว เราก็เป็นนักพรตแบบบวชใจดีกว่าบวชกาย

สานุศิษย์ : ดิฉันก็ให้สัจจะกับพระไว้แล้ว คือใจเราพร้อมแล้ว แต่ภาระก็ยังมี แต่ก็จะทำตามสัจจะ เพราะใจเราสมัครไว้แล้ว

สมเด็จ : เราก็บวชตามสัจจะซิ อาตมาก็บอกแล้วว่า มนุษย์เราถ้าไม่มีศีล ก็ต้องมีสัตย์ ถ้าไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ หมายังดีกว่า

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 04:46 , Processed in 0.065513 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.