แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

หลักแห่งการถึงธรรม


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ทั้งนี้และทั้งนั้นท่านทั้งหลาย ท่านมาสู่การเป็นสาวกของตถาคต ท่านมาสู่การเป็นพุทธมามกะนั้น ท่านต้องคิดว่า ท่านได้เกิดในที่ประเสริฐแล้ว ที่ได้เห็นแสงสว่างแห่งธรรมะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ได้ศึกษาในสิ่งที่เรียกว่า พระธรรมที่องค์สมณโคดมทิ้งให้เราศึกษา

ทีนี้ภาวะทั้งหลาย หลักแห่งการถึงธรรมนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่า ท่านอ่านมาก แล้วพูดมาก ท่านจะถึงธรรม

ธรรมะแห่งพุทธะนั้น ท่านจะต้องพยายามปฏิบัติตนให้เข้าสู่การขัดเกลากายในกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์ รู้ถึงธาตุแท้แห่งการเป็นสาวกตถาคต

ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ต้องการพุทธมามกะที่แท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่ารับศีลแบบนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น จะต้องปฏิบัติศีลให้ถึงในหลักแห่งศีลห้า แค่ศีลห้าก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงศีลแปดหรอก เพราะหากท่านเข้าซึ้งถึงศีลห้าอันนี้ ท่านก็ย่อมที่จะมีความสะอาด สุจริตในอารมณ์จิต


ภาวะนั้นแหล่ ท่านก็ย่อมมีความปลื้มปีติของท่านเอง พลังแห่งความปลื้มปีตินี้แหล่ จะช่วยให้ท่านถึงในการเป็นคนดี ถึงการประพฤติดี ถึงการตายดี

pngegg.5.3.1.png




ศาสนาไม่ทำให้คนขี้เกียจ


สมเด็จ : ทุกวันนี้มนุษย์ยุ่งเหยิง ทุกวันนี้โลกยุ่งเหยิง เพราะมนุษย์ทั้งหลายไม่ยอมหันมาค้นตัวเอง ไม่ยอมหันมาศึกษาตัวเอง ชอบเอาแต่ศึกษาค้นหาความผิดของคนอื่น จึงเกิดความยุ่งเหยิงในโลกมนุษย์

แล้วท่านจะถามว่า ศาสนาพุทธทำให้คนขี้เกียจใช่ไหม ที่ชอบให้นั่งสมาธิ จะทำให้ประเทศเราเป็นประเทศที่เรียกว่า ไม่ทันประเทศอื่น คืออันนี้ เป็นสิ่งไม่จริงหรอก ท่านทำสมาธิได้มาก จิตท่านสงบมาก เมื่อจิตท่านสงบมาก ปัญญาท่านย่อมเกิดมาก


นี่เป็นกฎธรรมดาของธรรมชาติที่จะทำให้ท่านถึงการที่เรียกว่า ช่วยเหลือพัฒนาให้ประเทศชาติของท่านเจริญเทียบเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ที่กำลังชิงดีชิงเด่นกันในโลกมนุษย์ขณะนี้ และถ้ามนุษย์ทั่วทั้งโลกรู้จักหยุดการกระทำทั้งหลายแล้ว สันติสุขก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์

pngegg.5.3.2.png




แก่นของศาสนา


สมเด็จ : งานของอาตมานี้ อย่าลืมว่า หลวงปู่ก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่ว่ามาแค่เทศน์แค่นี้ หรือมาแค่รักษาโรคแค่นั้น การรักษาเหล่านี้ เทพพรหมธรรมดาก็มาทำกันได้ ซึ่งท่านก็รู้อยู่ว่ามีเยอะแยะ แต่การมา คือมีหลักการที่จะทำงานปรับปรุงศาสนา ให้ถึงแก่นของศาสนา ไม่ใช่เป็นกระพี้ของศาสนาอย่างในทุกวันนี้

แล้วจะทำอย่างไรเล่า ให้ถึงแก่นของศาสนา ก็ต้องอาศัยมนุษย์ทั้งหลายที่มีความพัวพัน ที่สนใจมาร่วมประกอบการ เรียกว่า สละความสุขแห่งการเห็นแก่ตัวเองออกไป เผยแผ่ธรรมให้เขาเหล่านั้น ละทิ้งทิฐิมานะแห่งการยึดตน ให้หันมาพิจารณาว่า


ชีวิตเราเกิดมาชาติหนึ่งนั้น เราจะต้องเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ทำความเจริญให้แก่ศาสนา ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว ที่ทำลายความสุขส่วนรวม ทำความฉิบหายให้แก่ศาสนา โดยการเอาศาสนาบังหน้า อย่างมนุษย์ทั้งหลายที่มีอยู่มากในเวลานี้ ะนั้น ศาสนาจะเจริญได้ต้องอาศัยท่านเข้าซึ้งถึงคำว่าศาสนา เมื่อนั้นย่อมเจริญในโลกมนุษย์ได้

ทีนี้ จะทำอย่างไรให้เข้าถึงในหลักศาสนาอันแท้จริงได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาแห่งการทำ และพยายามชำระจิต มนุษย์ทั่วโลกทุกคนหยุดความคิด ๕ หรือ ๑๐ นาที ต่อหนึ่งวัน ความร่มเย็นในโลกมนุษย์จะเพิ่มพลังน่าอยู่ขึ้นอีกหนึ่งวัน

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

อย่ายึดชีวิตให้จริงจังมากเกินไป


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขอันแท้จริงก็คือ ท่านต้องวางอุปาทานในสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้รู้ทันในอายตนะแห่งความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ ให้ตามทัน ยิ้มรับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้น

คือ อย่ายึดชีวิตให้จริงจังนัก ถ้าท่านยึดจริงจังเกินไป ท่านมีความกระวนกระวายมาก จิตท่านไม่สงบ ภาวะแห่งจิตท่านไม่สงบ จะทำให้ท่านเกิดความทุรนทุราย เมื่อท่านเกิดความทุรนทุราย ประสาทท่านตึงเครียด ปัญญาย่อมไม่มีทางเกิด

เพราะฉะนั้น ในการที่จะให้ท่านมีปัญญาเกิดก็คือ ท่านจงรับทราบว่า ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพราะท่านมีกรรมของท่านเป็นปัจจัยแห่งสมุฏฐาน ที่ให้ท่านเกิดมาเพื่อใช้กรรมนั้นๆ ตามวิบากของกุศลและอกุศล

ท่านวางจิตให้นิ่งๆ อย่ามีความอุปาทานในความจริงจังกับชีวิตของการเป็นคน ยิ้มต้อนรับทั้งทุกข์และสุข ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่เอาคนอื่นมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบตัวเรา จิตท่านย่อมมีความสงบ ภาวะจิตสงบนี้แหละ จะทำให้ท่านมีสมาธิ ภาวะแห่งสมาธินี้แหล่ จะทำให้ท่านเกิดปัญญาในการพิจารณาว่า

การเป็นคนกอบโกยวัตถุ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เรามีโอกาสที่จะสร้างงานให้กับสังคม เรามีโอกาสที่จะช่วยโปรดสัตวโลกที่ยึดอยู่ในอัตตาทิฐิ ให้ช่วยกันระงับความฟุ้ง เมื่อท่านเข้าถึงภาวะอันนี้ ท่านย่อมเข้าซึ้งคำว่า ศาสนาเป็นอย่างไร
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

การทำงานร่วมกันกับคนหมู่มาก


(วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



อาจารย์ทัศนีย์ บุรุษพัฒน์ : หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ในการปฏิบัติงานร่วมกันหลายๆ คนนี่ บางคนก็ยึดตนเป็นใหญ่ เราจะทำอย่างไร ที่จะขจัดความท้อถอย หรือความรู้สึกที่ว่าความตั้งใจมันลดน้อยลงไปได้บ้าง ลูกกราบขอวิธีแก้ไขค่ะ

สมเด็จ : คือในสภาวการณ์ การทำงานใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีอุปสรรค ทีนี้ ในการที่มนุษย์บางคนยึดตนเป็นใหญ่นั้น เพราะว่ามนุษย์ผู้นั้น ถูกครอบด้วยกิเลสตัณหาแห่งความลืมตน ถ้าเราทำงานในจุดมุ่งหมายแห่งความสุขของส่วนรวมแล้วไซร้ เราจะต้องทำแบบไม่มีอุปาทานแห่งการยึด คือว่า ใครจะใหญ่ก็ให้เขาใหญ่ไป ข้านี้เล็กเสมอ

โลกทุกวันนี้ยุ่งเหยิง เพราะมนุษย์แต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละเหล่า แต่ละชาติ ไม่พิจารณาในการปลงสังขารของตน ให้ไม่ยึดตน จึงทำให้อลเวงในโลกมนุษย์ ไม่มีวันสิ้นสุด แห่งการแก่งแย่งของลัทธิก็ดี การชิงดีในศาสนาก็ดี การชิงดีในการงานก็ดี

ฉะนั้น ในการทำงานนี้ เราต้องถือว่า เราทำด้วยเจตนาแห่งความแน่วแน่ของอุดมการณ์ ที่เราจะต้องทำ และในหมู่ผู้ร่วมงานนั้น บุคคลที่ยึดตนเป็นใหญ่ เราถือว่าบุคคลนั้นไม่ถึงการเป็นคน และตัวเราเองก็อย่าเป็นบุคคลที่ถูกเขาประณามว่า ไม่ถึงการเป็นคนด้วย คือ วางจิตให้นิ่ง ให้เฉย ให้สงบ แล้วทำอย่างมีสติพร้อม ย่อมไม่มีความท้อถอย

ถ้าเราเกิดความท้อถอย อาตมาก็เคยบอกแล้วว่า ท่านจงตั้งมโนยิทธิแห่งการคิดถึงการทำงานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี องค์พระเยซูก็ดี องค์มะหะหมัดก็ดี เขาเหล่านี้ ระหว่างที่ประกาศสัจจะในโลกมนุษย์ เต็มไปด้วยการขัดขวางของเจ้าลัทธิต่างๆ ปัญหาในหมู่คณะ ผู้ร่วมงานที่ชิงดีชิงเด่น


เช่น พระพุทธองค์ถูกการผจญของเทวทัต พระเยซูถูกกษัตริย์แห่งอาหรับตรึงกาเขน พระมะหะหมัดต้องถูกไล่ออกจากซาอุดีอาระเบีย เขาเหล่านี้ล้วนแต่เจอบุคคลที่ร่วมงานยึดตนเป็นใหญ่

ในการทำงานในคนหมู่มาก องค์สมณโคดมก็บอกแล้วว่า “นานาจิตตัง” เมื่อบุคคลที่ร่วมงานทั้งหลายยังไม่สำเร็จอรหันต์ คำว่าขัดแย้งขัดขวาง ย่อมมีในหมู่คณะนั้นๆ เป็นของธรรมดา

ปัญหาอยู่ที่ว่า เราเสนอตนเข้ามารับใช้มนุษย์ด้วยกันแล้วไซร้ เรามีความแน่วแน่แห่งมโนยิทธิของตนว่า ข้านี้ยินดีพลีชีพเพื่อผลสำเร็จของงาน


เมื่อเรามีสัจจะแห่งความแน่วแน่ในสิ่งนี้แล้ว เราต้องไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ไม่ฟังเสียงนก เสียงกา เสียงครหานินทา หรือสรรเสริญ เมื่อนั้น ผู้นั้นก็จะทำในสิ่งใดๆ สำเร็จลุล่วงตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ ในทางปรารถนาในทางที่ดี
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

ทำอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด


(วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา : ผมอยากจะถามหลวงพ่อว่า การกระทำอะไร จึงจะเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่โลกของเรา

สมเด็จ : จะให้อธิบายในแง่ของวัตถุ หรือในแง่ของจิตใจ ต้องตั้งประเด็นขึ้นมาก่อน

ดร.อาจอง : อะไรที่จะเป็นประโยชน์ที่สุด ในแง่ไหนก็ได้ครับ

สมเด็จ : คือ ถ้าในการแห่งการเป็นอยู่ของการเป็นมนุษย์แล้วไซร้ เขาเรียกว่า ประโยชน์ทั้งหลาย ถ้าท่านยังติดคำว่ามีประโยชน์ ท่านก็ยังไม่เข้าซึ้งถึงคำว่าไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งสมมติแห่งการชิงดีชิงเด่นของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่ตั้งกันขึ้นมา

แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ ให้ทุกๆ คนรู้จักตัวเอง ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวโลภ ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวโกรธ ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวหลง ทุกๆ คนมีสติสัมปชัญญะพร้อมเสมอในการปฏิบัติตนว่า ตนเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เพราะว่ามีกรรมในอดีตส่งผล นำตนให้มาเกิดในปัจจุบัน เพื่อในการใช้กรรม

เมื่อทุกคนเข้าซึ้งถึงสัจจะอันนี้แล้ว โลกมนุษย์นี้จะเป็นโลกที่ผ่องใส โลกมนุษย์นี้จะเป็นโลกที่แสนจะให้ประโยชน์แก่คนในดวงดาวอื่น ที่เขาอาจจะมาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์เราด้วย

แต่ทุกวันนี้ ที่โลกมนุษย์ไม่มีความดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อเหล่าดวงดาวทั้งหลาย เพราะมนุษย์ลืมตน มนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง มนุษย์พยายามคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด มนุษย์พยายามสร้างในความเจริญทางวัตถุ เพื่อเอามาเข่นฆ่ากัน ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากแล้ว

การที่โลกวิญญาณสั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ ก็เพื่อจะมาให้มนุษย์ทั้งหลายรู้จักตัวเอง เมื่อมนุษย์รู้จักตัวเอง ก็ย่อมที่จะทิ้งทิฐิมานะแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงลงได้ เมื่อนั้นสันติสุขของโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น วิญญาณก็จะได้ไปสู่สุคติในเทวโลก พรหมโลก บอกตรงๆ เวลานี้ นรกโลกไม่มีที่จะเก็บวิญญาณแล้ว วิญญาณเก่าที่เสวยกรรมยังไม่ทันปล่อยมาเกิด วิญญาณใหม่ก็ไปเป็นฝูงๆ

ดร.อาจอง : ผมอยากจะถามว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้รู้จักตัวเองดีขึ้นครับ ผมเองก็ได้ฝึกสมาธิมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่รู้จักตัวเองดีเลยครับ

สมเด็จ : คือในการที่จะฝึกตนให้รู้จักตัวเองดีขึ้นนี้ ท่านต้องวางจิตให้นิ่ง ให้ว่างจากสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วมาพิจารณาว่า กายนี้ประกอบด้วยอะไร เมื่อท่านรู้ว่ากายนี้ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นการรวมของอสุภะแล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านจะเกิดความคิดว่า อ๋อ นี่หรือคือตัวตนแห่งกายเนื้อ กายเนื้อจะต้องมีสิ่งลี้ลับซ่อนเร้นอยู่ นั่นคือ ท่านต้องวางจิตให้เฉย พิจารณาในอารมณ์ เพ่งในกายในกาย

ในการเพ่งเข้าสู่กายในกายนี้ ให้วางจิตไว้ที่นี้ (กึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว) ตั้งให้อยู่ตรงกลาง ตาในอย่าหลับ ตาในต้องลืม ลืม ลืมตาให้คล่อง กายทิพย์ของท่านอยู่ตรงนี้ (บริเวณท้ายทอย) กายทิพย์และจิตวิญญาณจะมารวมตรงนี้ (กึ่งกลางหน้าผาก) แล้วระหว่างนั่งนี่ เคยเกิดแสงวูบๆ ขึ้นมาหรือยัง

ดร.อาจอง : เคยมีครับ แต่เสร็จแล้วพยายามดับไม่ให้มันเกิด

สมเด็จ : สภาพการณ์อันนี้เขาเรียกว่า ยังไม่เข้าซึ้งถึงจุดแห่งความจริงของวิปัสสนา คือในพลังแห่งการรวมแสงนี้ ให้รวมเป็นวงกลมขึ้นมาก่อน โดยไม่ใช่รวมด้วยอุปาทาน การเกิดแสงนี้เพราะจิตนิ่ง ธาตุทั้งสี่เสมอ ภาวะธาตุทั้งสี่เสมอ พลังแห่งกายทิพย์จะรวม เข้าใจหรือยัง

ดร.อาจอง : ถ้าเผื่อเกิดแสง ให้พยายามรวมไว้เป็นวงกลมหรือครับ

สมเด็จ : รวมเป็นวงกลม แต่ไม่ใช่รวมด้วยอุปาทานนะ ขั้นแรก ถ้าจิตเรายังหมอง วงกลมนี้จะไม่ใสเหมือนลูกแก้ว การฝึกฌานญาณมันอยู่ตรงจุดนี้ แต่ทุกวันนี้ เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สอนในหลักวิปัสสนาได้หลงทางไปอย่างใหญ่หลวง ที่เราจะดึงกลับนั้นยาก

สมมติท่านจะปลูกบ้าน ท่านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางรากฐานให้มันแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับการฝึกวิปัสสนา ถ้าท่านไม่วางจุดแห่งกรรมฐานให้แข็งแกร่ง ให้สู่จุดแห่งเอกัคตาจิตแล้วไซร้ ท่านจะเข้าสู่จุดแห่งญาณ แห่งการรู้ในหลักของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ได้หรือ

ฉะนั้น ในการฝึกที่จะให้รู้จักตัวเองมากขึ้นนั้น ให้ฝึกใหม่ คือ ให้วางหมดทุกตำรา แล้วทำจิตให้นิ่งๆ วินิจฉัยแห่งการแยกกายเนื้อนี้ก่อน สภาวการณ์แห่งการรู้อสุภะของกายเนื้อแล้วไซร้ ค่อยมาพิจารณาเข้าสู่กายในกาย


ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : อาจารย์ ดร.อาจอง และสานุศิษย์ในที่ประชุมต่างชื่นชมต่อคำอธิบายของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งครับ

สมเด็จ : ก็รู้ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งสองนี่สนใจ ไม่งั้นจะมาเทศน์หรือวะ

pngegg.5.3.1.png




นั่งสมาธิแล้วเกิดปวดศีรษะ


อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : มีเพื่อนของลูกคนหนึ่งเจ้าค่ะ นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย เขาเคยไปนั่งวิปัสสนาในป่าช้าเจ้าค่ะ

อาจารย์ภาวาส บุนนาค : ผมก็ตามๆ เขาไปอย่างนั้นแหละครับ

สมเด็จ : คือในการนั่งวิปัสสนากรรมฐานนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งในป่าช้า คือหาที่สงบฝึกก่อน ในการที่เขาจะไปฝึกในป่าช้าอะไรนั่น เขาเรียกว่า ไปลองว่าจิตของตนนี้นิ่งเพียงพอหรือไม่ต่างหากเล่า แล้วในการออกไปสู่ป่านั้น เขาไปทดสอบในความนิ่งของตนก่อน และถ้าท่านอยากจะเห็นผี ผีลุกขึ้นมา ท่านกลัวหรือไม่ ท่านต้องถามตัวเองก่อน

อาจารย์ภาวาส : ผมอธิษฐานว่า อย่าให้เห็นครับ (หัวเราะ)

อาจารย์ลัดดา : ลูกเป็นห่วงว่าเล่นกับผี เดี๋ยวผีเข้าตัว ต้องมารดน้ำมนต์ไล่กันแย่

อาจารย์ภาวาส : ผมเข้าใจว่า ผีก็พยายามจะเข้าผมเหมือนกัน รู้สึกมึนวิงเวียนศีรษะ จะเป็นไปเอง หรืออย่างไรไม่ทราบครับ

สมเด็จ : ในเรื่องการวิงเวียนศีรษะนี้ อาตมาจะอธิบายให้ มีหลักหลายอย่าง สภาพการณ์ถ้าท่านกำลังฝึกวิปัสสนากรรมฐานทั้งหลาย เกิดวิงเวียนศีรษะนั้น เขาเรียกว่า กำลังปรับธาตุ ธาตุทั้งสี่ในกายจะเสมอ ก็อาจจะวิงเวียนศีรษะ

อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่สอง ท่านอาจจะเป็นโรคของศีรษะ โรคประสาท ก็อาจเกิดการวิงเวียนศีรษะระหว่างปรับธาตุ

ข้อที่สาม คือวิญญาณจะเข้าร่าง ถ้าวิญญาณพวกอมรมนุษย์ พวกกายหยาบแล้ว เขาจะบังคับประสาทส่วนบนของท่านก่อน ไม่เหมือนอาตมา อาตมาบังคับจิตก่อนไม่ให้จิตเคลื่อนไหว วิญญาณแทรกเข้ามา ถ้าพวกกายหยาบเขาจะบังคับประสาทก่อน เพราะฉะนั้นต้องดูกาละในระหว่างนั้น ว่าอยู่ในข้อไหน

ทีนี้ ถ้านิ่งแล้ว มีจิตแห่งความกลัว หรือผวาอยู่ เกิดความวิงเวียนศีรษะนี้ เขาเรียกว่า ธาตุมันเต้นผิดปกติ ก็จะวิงเวียนศีรษะ

ข้าหลวงสุทิน : ทีนี้ พวกฝึกใหม่ๆ ไม่สามารถบังคับจิตให้นิ่งได้ดังปรารถนา เพราะจิตนี้แกว่งไปแกว่งมาเหมือนลิง ไม่อยู่สุข ดังนั้นเป็นการยากที่จะทำให้จิตนิ่ง นั่นประการหนึ่ง และประการที่สอง การฝึกจิต มักจะเกิดอาการง่วงงาวหาวนอน สองประการนี้ ขอความกรุณาหลวงพ่อได้โปรดอธิบายด้วยครับ

สมเด็จ : ที่มันเกิดอาการง่วงก็เพราะว่า เวลาหลับตาแล้ว ตาในก็หลับด้วย มันก็เลยหลับไปเลย คือ การนั่งวิปัสสนา ตาข้างในจะต้องไม่หลับ แต่เปลือกตาปิดไว้เท่านั้น นั่นแหละ มันจึงไม่มีความง่วง เพราะว่ามันเป็นการบังคับจิตของมันอยู่ในตัว ที่ทุกวันนี้มันเกิดความง่วง เพราะมันหลับกันทั้งสอง ทั้งตานอกตาใน หลับแล้วก็นึกเอา นั่งนึกกันใหญ่ (ทุกคนหัวเราะ)

ข้าหลวงสุทิน :
ลูกเคยถามหลวงพ่อครั้งหนึ่งแล้วว่า เวลานี้อาจารย์บางสำนักก็บอกให้ลืมตา บางสำนักก็บอกให้หลับตา หลวงพ่อก็ให้หลับตา และบัดนี้ก็ได้รับความกระจ่างแจ้งขึ้นว่า ให้หลับตานอก ตาในไม่ให้หลับ คือเพียงแต่หรี่เปลือกตาลงเท่านั้นใช่ไหมครับ

สมเด็จ : อือม์ ใช่

ข้าหลวงสุทิน : ตามความจริง สภาวะมันมักจะง่วง จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ

สมเด็จ : ท่านนั่งแล้วเกิดความง่วงแล้วไซร้ ท่านควรจะลุกขึ้นเดินจงกรม ในการนั่งกรรมฐานแล้วเกิดความง่วงนี้ อาจจะเกิดจากการนอนไม่อิ่ม คือในการนั่งปฏิบัตินี้ ท่านจะต้องนั่งเป็นเวลาและนอนเป็นเวลา แบ่งเป็นขั้นๆ

อาตมาก็ได้เคยเทศน์ไว้แล้วว่า สมัยเมื่ออาตมามีสังขาร เช้า ตี ๕ อาตมาจะต้องตื่น ตื่นแล้วก็อาบน้ำ ไม่ว่ามันจะหนาวยังไงก็ต้องอาบ อาบเสร็จก็ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พอ ๖ โมงเช้า ก็ออกบิณฑบาต กลับมา ๗ โมง ถึง ๘ โมง เราก็ฉัน ฉันเสร็จ เราก็พัก ใครจะมาคุยอะไรก็ว่ากันไป

บ่าย ๓ โมง อาตมาปิดกุฏิ แล้วนอน ๒ ทุ่ม ตื่น ตื่นขึ้นมาทำอะไร ทำราชกิจพระจอมเกล้า ร.๔ เอ็งรู้หรือเปล่าว่า ราชการแผ่นดินของราชวงศ์จักรี อาตมาทำไว้ตั้งแยะ แต่อาตมาไม่ได้ชื่อหรอก เพราะทำอะไรเขาเรียกว่า มนุษย์เราถ้าทำอะไรได้ชื่อ มันไม่ได้บุญ

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ปิดทองหลังพระ อาตมาว่า ปิดทองหลังพระก็ยังได้บุญ เพราะว่าถ้ามีคนเดินไปข้างหลังมันยังเห็นทอง ถ้าท่านจะได้บุญอย่างจริงจังแล้วไซร้ ท่านต้องปิดทองก้นพระ พระแต่ละองค์หนักๆ นั่งทับเอาไว้ มองไม่เห็น

ทีนี้ ก็ในสภาวการณ์ ๒ ทุ่ม ทำถึง ๔ ทุ่ม บางทีก็ ๕ ทุ่ม แล้วนอนต่อ คือต้องแบ่งเวลา แบ่งจังหวะ ในการติดต่อ ในการรับแขก ในการอะไรก็แล้วแต่ ให้มันมีจังหวะ มีเวลา แล้วมันก็ไม่ง่วง มันก็จะเป็นไปตามรูปการณ์นั้นๆ


ข้อสำคัญเวลาจะนั่งวิปัสสนา อย่ามีการนัดแนะ เช่น หนุ่มสาวจะนัดไปดูหนังดูละคร ๑๐ โมง หรือ ๑๒ โมง ก็ว่ากันไป แล้วเหลือเวลาก่อนนัดสัก ๒-๓ ชั่วโมง มานั่งวิปัสสนา มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกไป นึกว่าเดี๋ยวเราจะไปเที่ยวหนา นัดจะไปเที่ยวหนา แล้วมันจะนั่งได้อย่างไร

การนั่งวิปัสสนานั่น มันจะต้องวางหมดทุกๆ จิต จิตจะต้องว่างจากสรรพสิ่งแล้วค่อยนั่ง เมื่อนั้นแหละ ท่านจะรู้จักดวงใน รู้จักฌานญาณ ซึ่งอาตมาบอกแล้วไซร้ ต่อไปท่านย่อมที่จะรู้อะไรๆ

และในการที่จะอธิบายให้เข้าใจด้วยภาษามนุษย์ ในเรื่องของการถึงจุดแห่งความประภัสสรของวิมุตติจิตนั้น ถ้าอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ง่ายแล้วไซร้ องค์สมณโคดมคงจะไม่ประกาศธรรมไว้ว่า ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงตถาคต ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

เพราะว่าจุดแห่งการถึงวิมุตตินี้ มันอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ถ้าอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้แล้วไซร้ องค์สมณโคดมผู้มีพระปรีชาญาณอันเยี่ยมยอดคงไม่ทิ้งท้ายคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

พระจับเงินได้หรือไม่


(วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พ.ท.สอน นิยมโชค : หลวงพ่อครับ ลูกมีเรื่องจะกราบเรียนถามหลวงพ่อ คือลูกตั้งใจจะบวช ทีนี้มันมีข้อสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งครับ เวลานี้พระสองนิกายกำลังขัดแย้งกันเรื่องเงินครับ คือนิกายหนึ่งจับต้องเงินไม่ได้ อีกนิกายหนึ่งพกเงินได้ ลูกก็เลยไม่ทราบว่า จุดมุ่งหมายในเรื่องนี้เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : ไอ้เรื่องสองนิกายนี้ เราอย่าไปพูดถึง พูดถึงว่าเราจะบวชแล้ว เราจะปฏิบัติจิตด้วยความบริสุทธิ์ เป็นสาวกของตถาคตหรือไม่

เรื่องนิกายนี้ อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า เมื่อสมัยพระจอมเกล้า ร.๔ กำลังครองราชย์ พระเถระทั้งหลายยกยอปอปั้นพระจอมเกล้า ร.๔ จนเลยเถิด เลยตั้งธรรมยุตินิกายขึ้นมา ในเถรสมาคมยุคนั้น อาตมาค้านอยู่คนเดียวสู้ไม่ไหว ก็บอกแล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมา สมเด็จโตเป็นคนที่ขวานผ่าซาก ยึดหลักว่า สิ่งจริงต้องว่าจริง

สุดท้ายก็แบ่งแยกสำเร็จ ตามเจตนาของเหล่าสอพลออัปรีย์ ผลสุดท้ายก็สร้างความยุ่งยากให้แก่ศาสนาในสองนิกายในขณะนี้

ทีนี้ ในขณะนี้ท่านจะบวช ท่านก็ต้องทำจริง ก็บอกว่า ฉันเป็นพระสำนักปู่สวรรค์ ไม่มีนิกาย ฉันเป็นลูกศิษย์ตถาคต สำหรับเรื่องปัจจัยนั้น ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะการยังชีพ เมื่อจำเป็นในการยังชีพแล้วไซร้ ก็มีติดตัวได้ไม่เกินอัตราที่จำเป็น ในการจับนั้นมันเป็นสิ่งสมมติ คือเรียกว่า เรายึดเงินหรือไม่

อาตมาไปไหนในสมัยนั้น บางครั้งรวยหน่อยก็มี ๑ บาท ๘๐ สตางค์ บางครั้งจนหน่อยก็มี ๑๘ สตางค์ ถ้าจนมากๆ ก็เหลือ ๘ สตางค์ ไอ้พวกนี้บ้าหวย เดี๋ยวตีเป็นหวยหมด มันก็อยู่ได้ สมเด็จโตอยู่ได้ เพราะว่าเราอย่ายึด เมื่อไม่ยึด ท่านก็จับเงินด้วยความไม่มีอุปาทาน ใช้เท่าที่จำเป็น อาตมาถือว่า ไม่เสียหาย

แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระแล้วพกปัจจัยเป็นถุงๆ เป็นพันๆ แล้วก็คอยจ้องว่าอีหนูคนไหนสวย กูจะได้สึกออกไปแต่งกับมึง ถ้าแบบนี้แล้ว อย่าบวชดีกว่า เสียผ้าเหลืองเขาหมด เสียผ้าเหลืองตถาคตหมด

เพราะฉะนั้น ถ้าจะบวชก็บวช เราต้องถามตัวเราเองว่า –

หนึ่ง    เราพร้อมแล้วหรือที่จะบวช
สอง    เรามีความห่วงหรือไม่
สาม    เรามีความติดหรือไม่
สี่        เรามีความกลัวหรือไม่


ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่มาก ก็พยายามบวชใจก่อน แต่ทีนี้การให้สัจจะกับวิญญาณนั้น จำเอาไว้ว่า จะต้องทำตาม และต้องปฏิบัติเข้าใจไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

พระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ดูยาก


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : เราจะมีทางสังเกตได้อย่างไรว่า พระองค์ไหนเป็นสงฆ์ ไม่เป็นสงฆ์ จะเป็นที่พึ่งของเราได้หรือไม่ ในยุคนี้

สมเด็จ : คือในยุคนี้ ถ้าในเมืองบางกอกรู้สึกจะดูยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสังเกตพระที่เป็นพระที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าพระที่ปฏิบัติแล้ว จะยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็จะไม่มีการติดในวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ในการสังเกตพระนั้น ถ้าพระที่ปาราชิก หรือปาจิตตีย์แล้ว ดวงตาจะมีความคล้ำ อันนี้ มันต้องสอนกันหลายด้าน

คือในสภาวะนั้นแหละ ให้สังเกตง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าจะดี จะไม่มีสิ่งเสพติดในยุคนี้ และจุดสำคัญก็คือ จะต้องมีความผ่องใสเป็นสรณะ การผ่องใสนั้น ไม่ใช่ว่าอ้วนพุงพลุ้ยอย่างกับพระสังกัจจายน์ พวกนี้พวกกินมาก

เพราะฉะนั้น อย่าให้อาตมาพูดอะไรมาก ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งอาตมาก็เทศน์ไว้มากแล้วว่า อาตมาไม่ยอมถอยเข้าอนุสติฌาน มาตรวจเรื่องมนุษย์โลกในยุคนี้ มันเป็นยุคที่แสนจะทุเรศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักปู่สวรรค์ก็ต้องมาเกิดในยุคนี้ด้วย ในโลกมนุษย์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

ห้อยพระเครื่องทำไม


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พระเมี้ยน : หลวงพ่อสมเด็จครับ เมื่อสมัยหลวงพ่อยังมีสังขารอยู่เคยเอาพระไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพนัญเชิงราชวรวิหาร จังหวัดอยุธยา บ้างไหมครับ

สมเด็จ : เคยเอาไปให้เขาบ้าง แต่ไม่มาก คือเรื่องพระนี่ ท่านอย่าไปยึดมาก พระมันก็ดีทั้งนั้นแหละ การที่ให้มีพระห้อยคอ ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้ระลึกถึงพุทธานุภาพ ในฐานะที่เราเป็นพุทธสาวก เพื่อให้เราระลึกถึงว่า พระพุทธองค์เป็นพระบรมศาสดาตัวอย่าง ที่จะให้มนุษย์เรานี้ปฏิบัติตาม

ทีนี้ ถ้าจะพูดถึงว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดพลังอำนาจแห่งความขลังหรือไม่นั้น คือขึ้นอยู่กับเกจิอาจารย์ที่ทำ มีพลังจิตขนาดไหน มีศีลขนาดไหน เป็นส่วนประกอบ และผู้ที่ใช้พระเครื่องนั้น จะต้องตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ เพราะว่า กรรมวิบากของมนุษย์ ของตนเองนั้นแหล่ เป็นสิ่งที่จะส่งเสริม ซึ่งอาตมาก็ได้เคยเทศน์ให้คติไว้ว่า

“จงใช้ปัญญาของตนทำมาหากิน อย่าหวังพระท่านจะช่วยเราได้ทุกกรณี” เพราะบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องพึ่งตัวท่านเอง แต่บางอย่างมันก็เกี่ยวกับอกุศลกรรมวิบากของท่านหนัก ในกรณีเช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้นยาก เพราะว่าภาวะแห่งกรรมวิบากนั้น จะต้องเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ


pngegg.5.3.1.png




ขรัวโตรักษาคำพูด


พระเมี้ยน : ตกลงที่วัดพนัญเชิงนั่น เป็นพระของเก่าที่หลวงพ่อเอาไปไว้ที่นั้นใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ของมันก็ดีทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้ไปฝังที่นั่น ตอนนั้นเอาไป ๓๐ กว่าองค์ เอาไปให้เขา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง ดูเหมือนชื่อหลวงพ่อไข่ หรืออะไรนี่ ที่อาตมาไป

เขานิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่วัดพนัญเชิง ทีนี้ อาตมาก็ลืมๆ ไป พอดีเวลาจะทุ่มหนึ่งแล้ว ก็เอ๊ะ นี่มันมีรายการเทศน์ที่วัดพนัญเชิงนี่ ก็ระดมลูกวัดบอกว่า ไม่ได้ สมเด็จโตรักษาคำพูด เมื่อเขานิมนต์วันนี้ เราจะต้องไปถึงอโยธยาวันนี้ ก็พายเรือไปกัน พอดีน้ำลง ไม่ต้องทวนกระแสน้ำมากก็ไว พายกันไปถึงที่นั่นก็เกือบสว่างละ แต่ว่าเรายึดหลักว่า พระอาทิตย์ขึ้น จึงจะนับวันใหม่ พวกญาติโยมที่มาฟังสมเด็จเทศน์ แต่ผิดหวังกลับไปแล้ว

อาตมาไปถึงก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย มีคนฟังไม่มีคนฟัง เราต้องเทศน์ เพราะว่าเรานัดเขาวันนี้ เทศน์เสร็จ เขาก็ยังไม่รู้ว่าเรามา เราก็นอนอยู่กับธรรมาสน์นั่นแหละ พอตื่นเช้า เจ้าอาวาสก็เดินขึ้นมา เอ๊ะ กลุ่มคนมาจากไหน อ้าว สมเด็จ มาเมื่อไหร่ล่ะ ก็นิมนต์มาเทศน์บอกว่า เทศน์แล้ว เทศน์ที่ไหน ก็ตอนเทศน์เอ็งไปนอนกันนี่ เพราะว่าลืมไป ก็ไปเรียกชาวบ้านมาฟังเทศน์ใหม่

เทศน์เสร็จ ตอนนั้นก็พอดีมีพระอยู่ ๓๕ องค์ ไม่ได้ให้หวยนะ พวกนี้มันชอบตีหวย ก็ให้เขาไป แล้วตอนนั้นพระของอาตมายังไม่ดัง ตอนสร้างแปดหมื่นสี่พันองค์ ก็ซ่อนไว้ที่เพดานวัดระฆังฯ บ้าง แล้วก็บางแห่ง ที่วัดพลับนี่ก็มี เพราะมาฝึกการทำพระกับอาจารย์ เขาเรียกอาจารย์ไก่เถื่อน ที่เป็นคนสอนการทำพระให้อาตมา และที่สร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์นี่ สวดด้วยคาถาชินปัญชร


สร้างแล้วมันก็แยะ พอวันพระ วันถืออุโบสถทีหนึ่ง ก็ต้องขอร้องชาวบ้านว่า ช่วยกันเอาไปเลย เอาไปบ้าน เก็บไว้ให้ดีนะ ต้องขอร้องให้เขาเอาไปนะ เพราะในโบสถ์มันเต็มไปนี่ บางคนก็เอาไปทิ้งๆ ขวางๆ บ้าง บางคนก็เอาไปไว้ตั้งบูชาบ้าง เพราะฉะนั้น พระที่อาตมาสร้างนะ มาถึงเวลานี้ มันเหลือน้อยเต็มที เรื่องมันร้อยกว่าปีมาแล้ว ในยุคนั้น อาตมาไม่ใช่เป็นอาจารย์ชื่อดังในเรื่องการสร้างพระเครื่องหรอก

ยุคศิวิไลซ์นี้ คนชอบความโกหก คนก็เลยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา พระกรุโน้นดี นี้ดี มันก็กลายเป็นเรื่องที่เขานับถือกัน ที่จริงพระทุกอย่างดีทั้งนั้น เราบูชาให้ถึงตัวองค์พระ ไม่ใช่บูชาเพื่ออะไร เขาเรียกว่า บูชาไม่ใช่ติด ท่านไหว้พระพุทธเจ้า ก็ไหว้คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ท่านไหว้ขรัวโต ก็เพราะนับถือความบ้าๆ บอๆ ของขรัวโต ไม่ใช่ว่าให้ท่านติด เข้าใจไหม


pngegg.5.3.2.png




พระเครื่องไม่ช่วยคนชั่ว


สมเด็จ : พระเครื่องที่อาตมาสร้าง อาตมาไม่ได้บอกว่าให้มันเหนียว ส่วนมากอาตมาสวดแต่ทางเมตตา ทีนี้ ภาวะแห่งอานุภาพแห่งเมตตาจิตของอาตมา อาจจะเป็นพลังเข้าไปในวัตถุนั้นได้ เขาเรียกว่า พลังของจิตที่เข้าไปสู่ในสิ่งเหล่านั้น ก็คือให้ทุกคนมีความเมตตาต่อเรา

ทีนี้ ในการที่บางคนมีพระเครื่องของอาตมาแล้วก็ไปเป็นโจร แล้วเขาก็ฆ่าไม่ตาย อันนี้อาตมาขอแถลงว่า นั่นเป็นวิบากกรรมของเขาที่ยังไม่ถึงวาระแห่งการตาย แล้วท่านจะเห็นว่า โจรบางคนห้อยพระเป็นพวงๆ ทำไมต้องตายเล่า พระย่อมไม่เข้ากับคนชั่ว พระย่อมรักษาความจริง

ความจริงเป็นสิ่งแน่นอนและคงทนต่อการพิสูจน์ พระพุทธองค์สอนให้เราละแห่งจิตในความยึดตน ละในทิฐิ ในโลภะ โทสะ โมหะ ให้มันค่อยๆ น้อย จากกายในกายของเรา เมื่อน้อยลงไปมากๆ เราไม่มีอุปทานในความยึดอะไรมาก เราไม่ต้องดิ้นรนมาก ความเบิกบานก็ย่อมเกิดขึ้นมาก


ภาวะนั้นแหล่ จะช่วยให้กายเนื้อท่านแข็งแรงไปพร้อมกับกายใน เพราะท่านไม่มีความยึดใดๆ เป็นหลักแห่งความจริงจังมากเกินไป

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

การปลุกเสกพระเครื่อง


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระเครื่ององค์นี้ มีผงของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อยู่ในนี้ใช่ไหมฮะ

สมเด็จ : อันนี้ใช่ แต่ที่อาตมาทำด้วยมือ ในยุคนี้หายาก สมัยนั้นอาตมาสร้างไว้ในโบสถ์ ไม่มีใครเอา ต้องขอร้องให้เขาเอาไป จนเวลานี้มีคนต้องการ อย่างเวลานี้สร้างอะไรๆ ก็ไม่มีคนเอา จนต่อไปอาตมาไม่มา จึงจะมีคนรู้คุณค่า

คือ เรื่องสร้างพระของอาตมานี่ ก็ได้อธิบายไว้เยอะแล้ว อาตมาสร้างไม่กี่ครั้งหรอก แล้วก็ครั้งสุดท้าย สร้างด้วยคาถาชินปัญชร แปดหมื่นสี่พันองค์ นั่นน่ะ ครั้งสุดท้าย แล้วองค์ไหนสวยน่ะ ยิ่งไม่ใช่ของอาตมา

เพราะอะไร เราต้องใช้สมองในการเป็นมนุษย์วินิจฉัย ของนี้มันสร้างถึงปัจจุบันก็ร้อยกว่าปีแล้วนะ แล้วก็ในสมัยนั้น อาตมาไม่ได้ทำเพื่อความสวย อาตมาทำเพื่อความขลังนะ แล้วสิ่งที่ผสมก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขาทำ มีเปลือกกล้วยหอม ข้าวที่ฉันเหลือเวลาที่เขานิมนต์ไปฉัน แล้วก็ตำว่าน ตำหญ้าอะไร แล้วก็ผสมด้วยน้ำมันดิน น้ำมันเต้าอิ๊วอะไร พอมันถึง ๔๐ ปี มันจะกะเทาะเป็นลาย แล้วมันจะต้องเป็นผงผุย เข้าใจหรือยัง

สานุศิษย์ : หลวงพ่อช่วยดู รูปหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นปูนปลาสเตอร์ ได้มาจากพระประแดง เขาบอกเข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้วครับ

สมเด็จ : คือในยุคนี้น่ะ พวกเกจิอาจารย์ก็เท่ากับพวกเล่นละคร แล้ววัดต่างๆ มันก็ชอบขายตัวละคร ก็นิมนต์เหล่าเกจิอาจารย์ในยุคนี้มาปลุกเสกเป็นพุทธคุณกัน ออกวัดนี้ไปวัดนั้น ออกจากวัดนั้นไปวัดนี้ ผลสุดท้ายก็เหนื่อย ไปถึงเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ไปนั่งหลับอยู่ในนั้น เรียกว่านั่งนอนอยู่ในพิธีนั่นน่ะ แล้วมันจะขลังได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในการนี้เรียกว่า เขาขายชื่อ ขายวัด มันเป็นเรื่องที่มนุษย์มันไม่ใช่สมองพิจารณา แล้วอาจารย์ที่เก่งอย่างอาตมานี่ ไม่เคยเหยียบออกจากวัดระฆังฯ เลย มีใครนิมนต์ในเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง บอก กูทำของกูเองโว้ย ก็ค่อยๆ เสกไป

เพราะว่า การปลุกเสกสิ่งนี้จะต้องใช้

หนึ่ง ใช้พุทธานุภาพแห่งความจริง


สอง จะต้องใช้พลังจิตของเราที่เป็นสมาธิ


สาม จะต้องรักษาศีล แห่งกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จึงจะสามารถลงเป็นพลังอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

พระเครื่องของสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : กระผมมีปัญหาจะถามเรื่องหนึ่งครับ คือสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีขันธ์อยู่นั้น ได้สร้างพระสมเด็จด้วยผงอิทธิเจ แล้วก็เนื้อผงนั้นปรากฏว่า มีความงดงามอย่างมากเหลือเกิน จนกระทั่งในสมัยนี้ แม้จะมีความก้าวหน้าในทางวิทยาการใดๆ ก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะสร้างเนื้อพระสมเด็จให้งามเหมือนสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จสร้างไว้ เมื่อสมัยโน้นได้

จึงอยากจะกราบเรียนถามว่า เจ้าประคุณสมเด็จใช้เนื้ออะไรบ้าง ที่ผสมเป็นเนื้อพระในครั้งกระนั้น ขอความรู้ในเรื่องนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : ไอ้นี่จะมาล้วงความลับนี่

คุณพินิจ : ลูกศิษย์มีความสนใจครับผม

สมเด็จ : คือว่าในการสร้างพระสมัยอาตมา มันมีหลายๆ แบบ หลายๆ อย่างที่รวบรวมแล้วก็ทำ แต่ถ้าว่าตามความจริงแล้ว มันเปราะ แล้วก็ไม่ทนหรอก คือใช้น้ำเต้าอิ้วมาก แล้วเมื่อเวลากินข้าว
คือเมื่อฉันไปฉันมา ถ้าอุปทานเกิดขึ้นว่าอร่อยปุ๊บ จะต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างๆ ขากถุยออกมาในวงคน ฉะนั้น พวกเจ้าขุนมูลนาย เวลาเขานิมนต์ฉัน เขาไม่ค่อยจะนิมนต์สมเด็จโตเข้าฉัน คือเป็นคนที่กินอย่างไม่มีมารยาท

ขากถุยๆ เพราะว่านี่ต้องเอาไปทำพระ เพราะพระนี่กินแล้ว มีรสอร่อยไม่ได้ ไม่ว่ามึงจะมีคนมากคนน้อย ในวังในอะไร กูขากฉิบหายหมด ก็รวบรวมไว้ นี่เป็น ผงพิเศษ จากปากของคนที่เคี้ยวๆ อยู่

ข้อที่สอง  กล้วยหอม
ข้อที่สาม  ขมิ้น
ข้อที่สี่     พวกที่เรียกว่า ปูน ปูนหมาก
ข้อที่ห้า   ทรายละเอียด
ข้อที่หก   ปูนขาว ที่เรียกว่า บดด้วยการเก็บพวกเปลือกหอยมา
ข้อที่เจ็ด  ชานอ้อย


พวกเหล่านี้ เอามารวมๆ กัน แล้วก็ต้องร่อนๆ ให้เนื้อมันกลืนกัน มันก็เรียกว่าสวยงามดี ที่สวยงามมากนั้น เกิดจากขมิ้นกับเปลือกกล้วยหอม ส่วนมากที่ทำให้งาม ยิ่งถูยิ่งมัน

คุณพินิจ : เอ๊ะ เดี๋ยวนี้พยายามทำอย่างนั้น ทำไมไม่เหมือน ไม่เหมือนสมัยสมเด็จ

สมเด็จ : สมัยนี้เขาทำ เขาไม่มีเคล็ดลับนี่

คุณพินิจ : ครับผม ทีนี้ เคล็ดลับพอจะบอกได้บ้างหรือไม่ครับผม

สมเด็จ : เคล็ดลับก็คือ ต้องทำด้วยจิตบริสุทธิ์ กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ แล้วก็ทำอย่างจิตปลอดโปร่ง แล้วก็ไม่ใช่กดทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพัน คือบางทีวันหนึ่งยังกดพระไม่ได้สิบองค์หรอก เพราะว่าต้องปลอดโปร่ง และต้องสวดไป ทำไป แล้วก็ผสมน้ำไป แล้วก็ทำด้วยความแน่วแน่ ทำด้วยความสะอาด มันก็เลยขลังได้ อย่างสมัยนี้ เขาทำกันวันหนึ่ง พันองค์ หมื่นองค์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

ชาวคริสต์ใส่บาตรสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ มีศาสนิกชนต้องการความสว่างจากเจ้าประคุณสมเด็จ ได้เขียนถามมาว่า ธรรมะคืออะไร การดับทุกข์ต้องดับที่ไหน กราบขอคำอธิบายครับ

สมเด็จ :

ธรรมะแท้        อยู่ทั่วพิภพ       จักรวาล
ธรรมชาติ        เข้าใกล้ไกล      ถ่องแท้ตน
อายตนะ         ที่เข้ามา           สู่กายใน
สมุฏฐาน         ก็คือใจ            เป็นใหญ่หนึ่ง
ท่านทั้งหลาย   เกิดทุกข์ยาก     เพราะยึดมั่น อุปาทาน
ดับขันธ์หนึ่ง     อุปาทาน          สลายทั่ว
ให้ถ่องแท้       ถึงอริย             สัจสี่เอย
ทุกข์สมุทัย      นิโรธมรรค        เป็นหลักธรรม
ที่ไหนเกิด       ดับที่นั่น           สมุฏฐาน
ต้นเหตุนำ       ให้สลาย          ไม่มีทุกข์

เพราะการที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะว่าเราชอบนำตัวเราไปฝากกับสังคม เราไม่เอาตัวเราอยู่กับตัวเราและทำในเรื่องของเรา มันจึงวุ่นวาย เช่น พระสมัยนี้บางคน พอเห็นเขาเป็นชั้นราช เราก็จะต้องเป็นชั้นเทพ เราเป็นแค่สิบโท เราต้องเป็นสิบเอกกับเขาบ้าง แล้วเราก็จะต้องเป็นนายร้อย ก็วิ่งพล่าน เพื่อให้ได้พัด ให้เขาเรียกเป็นเจ้าคุณ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อให้อยู่อย่างวิเวก พระพุทธเจ้าสอนให้บวชเพื่อประพฤติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อเอาตนอยู่สันโดษ ให้ถึงหลักแห่งฌานญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักพระพุทธศาสนา ให้ถ่องแท้ในเรื่องกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ สังขารในสังขาร


อย่างคนในสมัยนี้ที่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นฆราวาสหนุ่มๆ ก็จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เมียคนอื่นสวย เมียเราไม่สวย ก็เกิดทุกข์ ฝ่ายสาวก็ไปยึดเรื่องผัว ผัวคนอื่นหล่อ ผัวเราไม่หล่อ ก็เกิดทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น

การที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะมนุษย์เอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่น ถ้ามนุษย์เอาชีวิตฝากอยู่กับตัวเอง อย่างสมเด็จโตนี้ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์ แต่ว่าเมื่อไม่มีชีวิตกลับมีทุกข์ คือมาห่วงพวกเอ็ง ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะอะไรเล่า

เพราะว่า การมีชีวิตของอาตมาสมัยนั้น หนึ่ง บิณฑบาตเป็นหลักที่จะต้องทำ หาอาหารเลี้ยงชีพ ตามหลักพุทธพจน์ ไม่ว่าในวังจะส่งมาหรือไม่ส่ง เราจะต้องออกบิณฑบาต แล้วใครให้อะไรมาต้องกินทั้งนั้น คือว่าเป็นพระไปเลือกไม่ได้ แต่พระสมัยนี้ต้องบอกว่า โยม ฉันจะกินแกงเป็ด แกงไก่ แกงอะไรว่ากันไป นี่ผิดหลัก

ครั้งหนึ่งไปบิณฑบาต จากพรานนกเข้าสู่บางกรวย พายเรือไป ขณะนั้นคณะมิชชันนารีเขากำลังประกาศศาสนาอยู่ บาทหลวงที่นั่นเกิดใจดีใส่บาตร เขาก็ไม่เข้าใจการเป็นพระ นึกว่าพระคงไปหุงต้มเอง ก็อุตส่าห์เอาข้าวสารมาใส่หนึ่งกระป๋อง แล้วก็เอาหมูสามชั้นสดๆ มาใส่หนึ่งแผ่น อาตมาก็รับไว้ในบาตร กลับมาก็ต้องมานั่งเคี้ยวข้าวสารกับเคี้ยวหมูสามชั้น


ทีนี้ ในวังเขาก็สั่งให้คนมาส่งปิ่นโต มาถึงบอกว่า นี่เอ็งมาช้า กูกำลังกินอยู่เห็นหรือเปล่านี่ เขาบอกสมเด็จโต วันนี้ทำไมนั่งเคี้ยวข้าวดิบแล้วก็กินกับหมูสามชั้น กลับไปในวังบอกว่า สมเด็จโตใกล้จะบ้าแล้ว ไม่รู้ยังไง นั่งเคี้ยวเอาๆ แล้วก็บ่นว่ากลืนลำบาก ต้องเสกน้ำมนต์กลืนตามลงไปด้วย

ทางวังเขาก็ส่งคนมาถามอาตมา เราก็บอกว่า อ้าว วันนี้เป็นวันนิมิตดี โชคดีที่ชาวคริสต์ใส่บาตรให้เรา เราเป็นพระ ใครใส่อะไรให้ เราก็ต้องกิน พอวันนั้นกินเสร็จ ตอนบ่ายขี้ไหลเลย

คุณพินิจ : ครับ ก็ได้ความรู้จากเจ้าประคุณสมเด็จ เรื่องฉันของดิบๆ แต่พวกลูกศิษย์นี่ เห็นท่าจะไม่ไหวครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 11:22 , Processed in 0.096411 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.