แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

กรรมกับการดุลกรรม


(วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

คุณอารีย์ สุวรรณพันธ์ : ขอกราบนมัสการ กราบเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับกรรมที่ทำไว้ในอดีตน่ะค่ะ ตอนนี้ได้รับทุกข์ทรมานมาก อยากทราบว่าจะมีวิธีล้างกรรมที่ทำไว้ได้อย่างไรคะ

สมเด็จ :
เจริญพร คือในปัญญาเรื่องกรรม แล้วจะล้างให้กรรมนั้นหมดจากสังสารวัฏนั้น เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันพระปลายเดือน อย่างบางคนที่เคยไปสำนักต่างๆ เกี่ยวกับพวกที่เทพที่ลงมาทำงาน ส่วนมากเขาจะหยุดวันพระ แต่ว่าสำนักปู่สวรรค์ไม่มีวันหยุด เพราะอะไรเล่า

สำนักปู่สวรรค์ เขาเรียกว่าเป็นปู่ครู คือบรมครูสวรรค์มาทำงาน ซึ่งก่อนที่จะมาที่นี่ ก็ได้รับการคารวะจากเทวดาทั้งหลายที่มาทำงานในโลกมนุษย์ แล้วก็ได้แสดงธรรมในที่ประชุม ที่ศาลาฟังธรรมที่สวรรค์ชั้นดุสิต ในเรื่อง “กรรม” เหมือนกัน ก็เลยตกลงมาต่อในโลกมนุษย์ แสดงว่าสมเด็จโตหากินสองรายการ

ทีนี้ ในเรื่องกรรมนี้ ท่านต้องเข้าใจว่า เราเป็นชาวพุทธหรือไม่ เมื่อเราเป็นชาวพุทธแล้ว หลักแห่งศาสนาพุทธนั้น สอนให้เชื่ออยู่ในภาวะแห่งความเที่ยงของกรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ก็ขอให้ท่านใช้สมองแห่งความเป็นธรรม แห่งการเป็นคนกลาง ให้มีคำว่า “ยุติธรรม” พิจารณาว่า ท่านมาสังเกตการณ์ในสำนักปู่สวรรค์

ท่านจะเห็นว่า ตั้งแต่บ่ายโมง ร่างนี้ยังไม่ได้กินอาหาร บ่ายโมงเชิญหลวงปู่มาทำงาน เกือบสามชั่วโมง เสร็จแล้วลุกขึ้นให้พระพรหมชินนะไปไล่พวกปีศาจ อสุรกาย หรือพวกไสยคุณ เป็นชั่วโมงๆ แล้วกลับขึ้นมา ถึงกลายเป็นอาตมาขึ้นเทศน์ เรียกว่า ติดต่อกันโดยไม่ได้พัก ไม่ได้กินอาหาร ไม่ได้ดื่มน้ำ


ถ้าไม่ใช่สิ่งลี้ลับแล้ว มนุษย์ธรรมดาท่านลองแสดงให้อาตมาดูบ้างซิว่า เป็นเวลาห้าหกชั่วโมงนี้ ทำได้ไหมในโลกมนุษย์ แล้วก็เจอปัญหาธรรม ป้อนคำถามเข้ามาโดยไม่ได้ซักซ้อม หรือเตรียมตัวมาก่อน แล้วจะแก้อย่างไร ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านพิจารณาวินิจฉัยต่อไป

pngegg.5.3.1.png




การดุลกรรม


ในหลักพุทธศาสนาของเรา สอนให้เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม แล้วภาวะแห่งคำว่า “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว” นี่เป็นกฎแห่ง “ปัจจัตตัง” ฉะนั้น กรรมในอดีตที่ผ่านมา หรือกรรมชั่วนั้น เราจะลบล้าง ไม่มีทางลบล้าง

ทีนี้ เมื่อไม่มีทางลบล้างแล้ว เราจะทำอย่างไร ให้กรรมนั้นเสวยสู่เราน้อยเล่า เราก็ต้องประกอบกรรมดีขึ้นมา ยกตัวอย่าง สมมติเราติดหนี้นาย ก อยู่ ๒๐ บาท เราก็สร้างลูกหนี้มาทวงเรา เราก็ให้ไปเอากับนาย ข เราก็หลุดออกมา เขาเรียกว่า ตัวเราก็หลุดจากกรรมอันนั้น เราก็พ้นตัว นี่คือ ภาวการณ์ดุลกรรม

ฉะนั้นเรื่องกรรมนี้ ท่านต้องไปเสวยในปรภพ แล้วท่านก็อย่าไปยึดตามอาจารย์ที่สอนท่าน ดูเหมือนว่าเราจะเป็นนักเรียนวิปัสสนา อภิธรรมกับเขาด้วยมิใช่หรือ

คุณอารีย์ : ใช่ค่ะ

สมเด็จ : แล้วอาจารย์ที่สอน เดี๋ยวนี้ไปมีเมียกี่คนแล้วล่ะ ฉะนั้นเราต้องพิจารณา เราอย่าหลงตามอารมณ์คน ทำไมเขาจึงไม่ชอบสำนักปู่สวรรค์ เพราะสำนักปู่สวรรค์ สมเด็จโตมาทำงาน คือสมเด็จองค์นี้ แต่ไหนแต่ไร เขาเรียกว่า เป็นสมเด็จที่ไม่สุภาพ ไม่เหมือนกับสมเด็จทั้งหลาย คือพูดอะไรก็ตามเรื่องตามราว คือไม่รู้จักประจบสอพลอ แล้วอาจารย์ที่สอนน่ะ สอนให้เราหลงใช่ไหมล่ะ ว่าเราสำเร็จฌาน ๑๖ แล้ว

คุณอารีย์ : ใช่ค่ะ

สมเด็จ : อือม์..เสร็จแล้วอาจารย์สูบบุหรี่วันละกี่ซอง ฉะนั้น เราต้องพิจารณาถึงอาจารย์ที่สอนด้วย ต้องเข้าใจว่า การเป็นพระนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ผ้าเหลือง พระอยู่ที่คุณธรรม พุทธะอยู่ที่ใจ ต้องคนถึงธรรมอันแท้จริง จึงเรียกว่าพระ และจะต้องหลุดแห่งการติดของสังคม

ฉะนั้น อาจารย์สอนวิปัสสนา บอก เอ็งนั่ง เอา ได้ฌาน ๑๖ แล้ว สำเร็จแล้ว ไอ้นี่หลงไปใหญ่ ว่ากูสำเร็จได้ฌานแล้ว คุยจนฟุ้ง เรียกว่าทุกวันนี้ แต่ละวัดมันมีแต่เรื่องฟุ้ง ฉะนั้น เราควรหันกลับมาค้นจิตในจิต

ค้นจิตในจิตนี้ เราจะทำอย่างไร ก็คือให้ท่องคติประจำใจที่อาตมาให้ก็คือ
อดีตที่ผ่านมานั้น อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือการต่อสู้ อนาคตคือความหวัง เรามีความหวังแต่อย่าหลง เมื่อหลงก็นำความหายนะมาสู่เรา

อดีตคือความฝันนั้น เราก็ต้องพยายามละทิ้งอารมณ์แห่งความผิดในกรรมชั่ว ในอดีตที่เราพัวพันมา ให้สลัดมันออกไปว่า สิ่งนั้นเป็นอุปทานที่เราเกิดขึ้นมา และเรามีกรรมที่จะต้องมาทำ มาพัวพันในเรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งอาตมาก็ไม่อยากพูด เพราะพูดไปเดี๋ยวกลายเป็นประจานไป

ก็คือว่าให้ทิ้งมันเสีย แล้วมาตั้งต้นอารมณ์ปัจจุบัน ว่าบัดนี้ข้าจะตั้งต้นเป็นคนดีอยู่ในศีลในสัตย์ จะไม่กระทำให้หนุ่มทั้งหลายมาคิดรักข้า ข้าจะไม่เข้าใกล้กับหนุ่มทั้งหลาย ให้เกิดความพัวพันในการฆ่ากันขึ้น และบัดนี้ ข้าสำนึกในกรรมนั้นแล้ว ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอโหสิกรรมให้ข้าเสีย


ข้าจะตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการภาวนาอยู่ในศีล หมั่นสำรวมจิต คือรวมอารมณ์ให้เป็นสมาธิเสีย อย่าไปเป็นวิปัสสนึก คือพยายามรวมให้จิตแข็งแกร่ง ด้วยการใช้พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ให้ละทิ้งอารมณ์ภายในที่เราต้องการละ ทีนี้ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เราก็พยายามทิ้งอุปทานอันเดิม มาสู่ปัจจุบัน

ปัจจุบันคือการต่อสู้ ต่อสู้ให้ชนะอารมณ์เดิม แล้วปรับอารมณ์ใหม่ให้ชนะทั้งภายในและภายนอก ให้อยู่สัมมาทิฐิ แห่งอารมณ์แห่งความรู้ของสมถกรรมฐานให้ถึงองค์ฌาน

ภาวะแห่งการถึงองค์ฌานนี้แหล่ จะทำให้กระแสจิตเราเข้มแข็ง เมื่อจิตเราเข้มแข็ง เขาเรียกว่า รู้แห่งฌาน ก็ย่อมที่จะรู้บางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยแก้ไขกรรม นี่คือ เรื่องของการดุลกรรม เข้าสู่จุดละ

ฉะนั้น ถ้าชีวิตเรายังไม่สามารถพุ่งออกจากสังสารวัฏ เราก็ไม่มีทางที่จะหมดกรรม ยังจะต้องอยู่ในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการเป็นสัตวโลก


ทีนี้ ในภาวะนี้ ถ้าเราหมั่นสำรวจตัว และหมั่นสำรวจจิตแล้วไซร้ เราจะต้องรีบสร้างทานบารมี ด้วยการทำบุญทำทาน ตักบาตรพระ ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อให้บารมีอันนี้มาเสริม ช่วยในเรื่องที่จะเกิดกรรม ที่เรียกว่าสัตวโลกต้องมาตาย เพราะความพัวพันกับเรา และอีกอย่างหนึ่ง ก็จะช่วยให้เรา เมื่อสิ้นชีวิตดับจากโลกมนุษย์แล้วไปสู่ปรภพ จะได้เสวยกรรมดี

pngegg.5.3.2.png




สร้างกรรมพัวพันกับพระโพธิสัตว์


ท่านทั้งหลายมาวันนี้ สมเด็จโตจำเป็นต้องคุยโว สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักโลกวิญญาณมาตั้งในโลกมนุษย์ ก็เรียกว่าเป็นเชิงบันได ที่ท่านจะไปสวรรค์หรือไปนิพพาน

ท่านได้ถวายตัวเป็นสานุศิษย์พระโพธิสัตว์แห่งยุค (หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ที่จะสำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรยแล้วไซร้ ก็ขอให้ท่านหมั่นภาวนาไหว้ระลึกถึง เมื่อท่านสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว ท่านอาจจะมีโอกาสเข้าสู่อาณาจักรโพธิสัตว์ด้วยการเสวยบุญ เรียกว่า ไม่ใช่พ้นกรรมเดิม แต่อย่างน้อยก็จะช่วยให้ท่านไม่ต้องเสวยกรรมชั่วที่ท่านสร้าง หลังจากนั้น ท่านเข้าสู่การเสวยกรรมดี

ท่านมีโอกาสดีในการที่เป็นสาวกของพระโพธิสัตว์ ที่มาพบกันระหว่างมนุษย์กับวิญญาณนี้ ก็จะช่วยให้ท่านเข้าสู่เทวโลก หรือพรหมโลกได้เร็วกว่าคนอื่น เรียกว่า ได้สิทธิพิเศษบางอย่าง อันนี้เป็นเรื่องที่ให้ท่านวินิจฉัย

อาตมาไม่ต้องการให้ท่านเชื่อ เพราะพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรายึด พุทธศาสนาสอนให้เราละ ละอัตตาทิฐิ ละสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ให้หมดไป เพื่อนำตนให้หลุดจากสังสารวัฏ ไปสู่แดนนิพพาน นั่นคือหลักแห่งสัจธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้ ในภาวะขณะนี้ เรายังเป็นอารมณ์ปุถุชน เรายังอยู่ในฝ่ายครองเรือน เราก็อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องการละจากสังสารวัฏ ให้เราหันมายึดในเรื่องของนามธรรมให้แข็งแกร่ง คือยึดในเรื่องเทพพรหม ยึดในเรื่องบุญบาปให้แน่นหนา เมื่อนั้นก็จะพบชีวิตแห่งความสันติ และท่านก็มีทางที่บำเพ็ญในโลกวิญญาณดีกว่าคนอื่น

ฉะนั้นในเรื่องกรรมนี้ เป็นกฎแห่งปัจจัตตัง เรียกว่า ผู้ใดสร้างกรรมดี ย่อมได้เสวยดี ผู้ใดสร้างกรรมชั่ว ย่อมได้เสวยชั่ว

ทีนี้ ผลแห่งวิบากนี้จะดุลกันได้ ต่อเมื่อท่านสำนึกตน และมีความฉลาดนั่นแหละ จะช่วยให้ท่านได้มีโอกาสใช้หนี้ แล้วยังมีสตางค์ไปใช้ในปรภพ พอจะเข้าใจไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

กระแสแห่งบุญ


(วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕)



การอุทิศแผ่ส่วนบุญ


สานุศิษย์ : กระผมขอกราบเรียนถามครับ คือ เมื่อเราตักบาตรแล้วกรวดน้ำอุทิศบุญ บุญจะไปถึงผู้ที่เราอุทิศให้หรือไม่ แล้วเจ้ากรรมนายเวรนี้ กระผมยังไม่ทราบว่า หมายความว่าอะไรครับ

สมเด็จ : คือ การทำบุญตักบาตรนี้ เป็นภาวะที่ให้เราซึ้งคำว่า จาคะ ซึ่งมนุษย์เรานี้เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีกรรมพัวพันซึ่งกันและกัน ต่างกรรมต่างวาระ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ มีมนุษย์จำพวกหนึ่งยอมสละตนมาห่มผ้าเหลือง เพื่อที่จะปฏิบัติธรรม จะจริงหรือไม่ก็อยู่ที่ภาวะของกรรมของคนๆ นั้น

ทีนี้ การอุทิศกุศลนั้น ถ้าอุทิศให้กับวิญญาณที่กำลังเสวยสุขอยู่ในปรภพ ของของเราก็อาจไม่ถึง หรือถ้าวิญญาณนั้นเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมลึกๆ กุศลของเราก็อาจไม่ถึงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวการณ์อธิษฐานบารมีของเราด้วย


ทางโลกวิญญาณเขาก็จะมีหน่วยเก็บกรรม มีนายนิติยบาลที่จะรับทราบในสิ่งเหล่านี้ไว้ เพื่อส่งให้ตามเจตนาของผู้อุทิศกุศลที่มีความแน่วแน่ แต่ถ้าเราไม่ได้อุทิศกุศลให้ใคร กุศลนั้นก็ย่อมที่จะเป็นของเรา เปรียบเสมือนหนึ่งเราส่งเงินไปให้ใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้าปลายทางไม่มีผู้รับ คนอื่นจะมารับไม่ได้ ชื่อนั้นเป็นชื่อเรา เงินนั้นย่อมเป็นของเราอยู่เสมอ

pngegg.5.3.1.png




เจ้ากรรมนายเวร


สมเด็จ : สำหรับคำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” นั้น ก็คือว่า ถ้าบุคคลนั้นมีเจ้าหนี้มากมายหลายคน ที่กำลังทวงหนี้อยู่ เราระบุทีละคน ไม่แน่ว่ามันจะถึงหรือไม่ถึง เราก็ใช้ว่า เจ้ากรรมนายเวร เรียกรวมๆ กันไป

เปรียบง่ายๆ ก็คือว่า เราอยู่จังหวัดนี้ แล้วเราติดหนี้คนที่อยู่ต่างจังหวัดตั้งหลายคน เงินที่เราส่งไปให้ ไม่รู้จะแบ่งกันยังไงจึงจะครบ จะให้คนนี้ก่อน เดี๋ยวคนนั้นก็เกิดโมโห จะให้คนนั้นก่อน เดี๋ยวคนนี้ก็เกิดโมโห เราก็อาจมีวิธีบอกว่า ส่งเงินจำนวนนี้มาคืนท่าน ขอให้ท่านแบ่งกันตามภาวะ ก็อาจจะถึง ก็คือว่าไม่ก่อศัตรูผู้ที่เป็นเจ้าของหนี้เรา

ฉะนั้น ท่านมาหาหลวงปู่ บางครั้งท่านก็ระบุชื่อคนที่ท่านจะต้องทำ ก็หมายความว่า ท่านมีเจ้าหนี้เพียงคนเดียว แต่ถ้าให้ใช้คำว่า เจ้ากรรมนายเวร ท่านจงเข้าใจว่า ท่านมีเจ้าหนี้หลายคน ท่านก็ไม่อยากให้เกิดศัตรูกับเจ้าหนี้คนใดคนหนึ่ง ก็ว่ารวมกันไป


สมมติว่า ทำบุญ ๑๐ บาท ก็ว่าส่งเงินมาให้เอ็ง ๑๐ บาท มี ๑๐ คน ก็แบ่งกันไปคนละบาทก็แล้วกัน ถ้าเราจะส่งให้นาย ก คนเดียว นาย ข ซึ่งอยู่ด้วย ก็จะโมโหหาเรื่องขึ้นมาหน่อยแน่ กูก็เป็นเจ้าหนี้ ทำไมไม่ส่งมาให้กู

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า วิธีการทำงาน คือ วิญญาณที่มาโปรดมนุษย์ เป็นวิญญาณเทพพรหมชั้นสูง ที่มีบารมี เขาย่อมจะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มนุษย์ก่อกรรมก่อเวรขึ้นอีก และให้มนุษย์มีทางหายป่วย ทั้งในด้านจิตใจ และในสังขารร่างกาย

นี่คือ หลักแห่งการทำงานของโลกวิญญาณ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

มงคลของชีวิต ๑๐ ประการ


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ เรื่องมงคลในพุทธศาสนานี่ มีมงคลอยู่ ๓๘ ประการ ก็มีปัญหาสงสัย ๓๘ ประการนี่ เราปฏิบัติกันไม่ครบหรอก จึงอยากจะกราบเรียนถามว่า มงคลอะไรสำคัญที่สุด ในการที่เราเป็นมนุษย์นี่ จะยึดหลักไว้ในการดำรงชีวิตต่อไป

สมเด็จ :

           หลักมงคล       อันใหญ่           มนุษย์ไซร้
หนึ่ง     ตื่นเช้า            ขยันแจ้ง          พากเพียรงาน
สอง     หมั่นเรียน        ศิลปะศาสตร์    ให้ถ่องแท้
สาม     หลีกเลี่ยง        เหล่าคนพาล     มิควรคบ
สี่         เข้าหา            บัณฑิตตน         แลกความรู้
ห้า       ตั้งตน             ให้อยู่ชอบ        สัมมาชีพ
หก       เลี้ยงเมีย         เคารพแม่         ให้อยู่รอด
เจ็ด      อุปถัมภ์ไซร้      ลูกตน             เกิดปุถุชน
แปด    คบหาสมาคม    หมู่มิตร           ข้างเคียงตน
เก้า      หมั่นรู้              พุทธคุณ          ท่องให้ขึ้น
สิบ       ทำจิต             ให้ว่างนิ่ง          สันโดษเอย

๑๐ ข้อพอ

คุณพินิจ : ครับ ๑๐ ข้อ ขอให้จำไว้ทุกคนนะครับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

การเป็นคู่ครองที่ดีจนแก่เฒ่า


(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ในเรื่องของการเป็นสามีภรรยากันนั้น เขาเรียกว่า มันมีผลของอดีตกรรมส่งมาให้บรรจบกันในยุคปัจจุบันกรรม เมื่อบรรจบกันในปัจจุบันกรรม ถ้าถึงกรรมแห่งวาระการอยู่คู่ครองกันไม่นาน แล้วต้องจากกันไป เขาเรียกว่า กรรมวิบากน้อย สภาวะนั้นเขาเรียก คู่ไม่แท้

เพราะฉะนั้น การเป็นคู่กันนั้นแหล่ การเงินใดก็แล้วแต่ เขาเอาไปนั้น เราต้องคิดว่า เป็นกรรมที่พัวพันติดเป็นอดีตชาติ สิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่มีทุกข์ ซึ่งในเรื่องนี้ อาตมาก็จะเทศน์สอนเหล่าพวกผู้หญิงทั้งหลายด้วย

จริงอยู่ ผู้ชายนั้นเปรียบเสมือนไม้เลื้อย ที่จะชอบเลื้อยตามสภาวะแห่งการติดพันผู้หญิง แต่ผู้หญิงดูจิตใจของตัวเองนั้นแหล่ ว่าตัวนั้น ทำให้สามีไม่สมอารมณ์บ้างหรือไม่ เราให้เกียรติสามีเพียงพอหรือไม่ เราได้ปรนนิบัติเป็นยอดกัลยาณีดีหรือไม่ สภาวะฝ่ายหญิงนั้น มักไม่ยอมคิดในอันนี้ จึงทำให้มีการเกิดเรื่องเกิดราว

สาเหตุจากวิบากกรรมนั้นด้วย แต่ปัจจุบันส่งเสริมให้เลิกกันไปก็มาก เพราะอะไรเล่า เพราะฝ่ายหญิงนั้นแหล่ มีทิฐิมาก สภาพการณ์ของสตรีนั้น จะถืออารมณ์ตัวเป็นใหญ่ เมื่อถืออารมณ์ตัวเป็นใหญ่ มันก็อยู่กันไม่ได้


เพราะการเป็นสามีภรรยา หรือการเป็นคู่รักคู่อะไรนั้น ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่เราจะเอาแต่อารมณ์ตัวเราเองเป็นใหญ่ เพราะมนุษย์เราเขาเรียกว่า มนุษย์ปุถุชน มันก็ย่อมมีความเบื่อเกิดขึ้น เข้าใจไหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งความดี


(วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณวิชัย ประยูรพูลผล : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ อาทิตย์ที่แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จเทศน์ว่า เกจิอาจารย์บางองค์นี่ ทำน้ำพระพุทธมนต์โดยใช้คาถาชินปัญชรของเจ้าประคุณสมเด็จ แต่ว่าทำแล้วไม่ขลัง เพราะพระพวกนี้ไม่มีความกตัญญู

ผมจึงอยากจะถามว่า ชีวิตของคนเรานี้ จะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือว่ามีความเหลวแหลก จะต้องขึ้นกับตัวกตัญญูนี้ เป็นกฎตายตัวหรือไม่ แล้วอย่างกุลบุตร กุลธิดา ถ้าจะให้อนาคตก้าวหน้า จะต้องอาศัยบุญบารมีของพ่อแม่จึงสำเร็จ และต้องได้รับพรจากพ่อแม่ จึงประสบความสำเร็จในชีวิตที่ต้องการ อันนี้จะเป็นความจริงประการใดครับ

สมเด็จ :

อันความจริง      ชีวิตเกิด            นั้นแสนง่าย
สภาพการณ์       ดำรงอยู่            ในเป็นคน
สำเร็จผล          ในการงาน         ที่ต้องการ
ต้องอยู่กรรม      ภาวะกรรม         สามข้อไซร้
อดีตกรรม         ปัจจุบันกรรม       วาสนา
จังหวะดี            เรียกภาวะ          ว่าดวงขึ้น
จังหวะให้          สามกรรมไซร้      สำเร็จผล

ทีนี้ ชีวิตคนจะให้สัมฤทธิผลนั้น ในจิตต้องมี ขันติ สัจจะ วิริยะ เมตตา กตัญญู เป็นหลัก เพราะอะไรเล่า เพราะท่านทั้งหลาย ท่านลองพิจารณาดู เราไม่มีความกตัญญูแล้ว เราก็เป็นผู้ที่เรียกว่า เนรคุณ


ภาวะแห่งเนรคุณนี้แหล่ เทพพรหมย่อมไม่สรรเสริญ หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยกย่อง ไม่อนุโมทนา พลังแห่งการไม่อนุโมทนานี้แหล่ เรียกว่า มีมารขัดขวางในการดำรงชีวิตแห่งการเป็นคน เพราะอะไรเล่า อาตมาจะเทศน์ให้ฟังง่ายๆ

หลังจากที่ท่านเสวยกรรมวิบากในโลกวิญญาณแล้วไซร้ ท่านก็จะเป็นวิญญาณอิสระ ภาวะแห่งการเป็นวิญญาณอิสระนี้แหล่ ท่านก็จะหาผู้ที่มีกรรมพัวพันกับท่าน เพื่อในการเกิด

ทีนี้ ในการเกิดนี้ จุดแรก ใครเป็นผู้ที่ทำให้ท่านอยู่รอด ก็คือพ่อแม่ แม่ต้องเลี้ยงด้วยนมเพื่อให้ท่านอยู่รอด พ่อต้องหาเงินมาป้อนเพื่อให้ท่านเป็นคน ถ้าเกิดมาถึงพ่อแม่ไม่เลี้ยงท่าน อาตมากล้าพูดว่า ท่านไม่สามารถอยู่ถึงปัจจุบัน เมื่อตอนเกิดใหม่ๆ ตัวนิดเดียว เอาขากระทืบก็ตายแล้ว แต่ด้วยความเอ็นดู ว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไข จึงเลี้ยงให้โตขึ้น

ฉะนั้น จึงมีข้อธรรมะว่า ฆ่าบิดามารดาธรณีจะสูบ เพราะบุญคุณในการทะนุถนอมเลี้ยงดูขึ้นมา

ทีนี้ในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น ต้องเข้าใจว่า มันสมองกันในปัจจุบันชาติ ถ้าท่านไม่มีความกตัญญูในบิดามารดาเป็นหลัก ท่านก็ย่อมที่จะเจริญในชีวิตไม่ได้


pngegg.5.3.1.png




การแสดงความกตัญญูควรทำอย่างไร


สมเด็จ : ย้อนเข้ามาสู่อีกปัญหาหนึ่งว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือต่อวงศ์ตระกูล ต่อผู้มีพระคุณนั้น จะทำอย่างไร

นี่เข้ามาสู่จุดอีกจุดหนึ่งก็คือว่า การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรือว่าต่อผู้มีพระคุณ ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปนั่งกะหลีกะหลอ หรือว่านั่งพะเน้าพะนออยู่นั่น ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินกัน ไอ้นั่นก็คอยเรียกลูกคะ ลูกขา ไอ้นั่นก็ แม่คะ แม่ขา ทั้งวันก็แม่คะแม่ขา ลูกคะ ลูกขา เลยไม่ต้องทำอะไรกัน

การแสดงความกตัญญูนั้น ก็คือ เมื่อเราออกสู่สังคม ก็เรียกว่าเป็นนกบินได้แล้ว เราจำเป็นต้องบินออกจากบ้าน เพื่อท่องเที่ยวไปในสากลจักรวาล เราก็จะต้องเป็นนกที่ดี คือมีสัจธรรม ไม่เที่ยวเป็นอันธพาลเกเร ไม่เป็นคนเสเพล คบคนพาลกินเหล้าเมายา เล่นไพ่ ล้วนแต่เป็นทางไปสู่อบายภูมิ อย่างนั้นเรียกว่า เราไม่กตัญญู


แล้วเรากตัญญูด้วยการเสียสละตนทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อศาสนา เพื่อมวลมนุษย์ นี่ก็เป็นการแสดงความกตัญญูให้กับผู้มีพระคุณ

pngegg.5.3.2.png




หลักแห่งการกตัญญู


ฉะนั้น ชีวิตแห่งความสำเร็จก็คือ ท่านกตัญญูต่อบิดามารดาด้วยการไม่ประพฤติชั่วหนึ่ง ด้วยการไม่ลืมคุณท่านหนึ่ง นี้เป็นหลักที่เรียกว่า เทพพรหมอนุโมทนา ก็เข้าหลักว่า เขาส่งเสริมบารมีให้เราสัมฤทธิผลในความเป็นอยู่ของมนุษย์

ในโบราณกาลเขาจึงนับถือว่า แม้คนใดคนหนึ่ง ที่บอกคำพูดเพียงคำเดียว หรือคาถาบทใดบทหนึ่ง หรือว่าให้รู้จักท่องนะโม คนนั้นก็ถือว่าเป็นครูแล้ว จะต้องมีการคารวะ

pngegg.5.3.3.png




อกตัญญู ฟ้าดินแปรปรวน


แต่ว่าในยุคนี้เป็นกลียุค ยุคที่เรียกว่า มนุษย์จะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ ก็คือว่า พอทีแรกครูสอน ก็เรียกว่ารับความรู้จากครูบ้าง พอไปที่อื่น บอกว่ากูนี่แหละเป็นผู้วิเศษ รู้เองโดยไม่มีครูสอน ต่อไปก็อาจมีการเตะครูออกจากโรงเรียนบ้าง นี่คือประเพณีแห่งความเสื่อมทราม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศสยาม ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

แล้วสิ่งนี้แหละ เป็นพลังแห่งความสะเทือน เขาเรียกว่า สิ่งลี้ลับทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะมนุษย์ด้อยความกตัญญู อันความกตัญญูนี้เป็นหลักสำคัญมาก ที่เขายึดและปฏิบัติกันมาในโบราณกาล

เรื่องความกตัญญูนี้ อาตมาก็เคยเล่าแล้วว่า เมื่ออาตมามีสังขารอยู่นั้น รัชกาลที่ ๔ เป็นมหา ๕ ประโยค แต่อาตมาเป็นมหาไม่มีประโยค อาตมาถือว่าพระเจ้าแผ่นดินมีความรู้ ๕ ประโยค เราจะไปรู้ดีกว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้


ฉะนั้นเราอย่าเข้าสู่สนามสอบ แต่สมัยนี้ไม่อย่างนั้น หัวหน้ามีความรู้แค่ ม.๖ ลูกน้องมีความรู้ดอกเตอร์ เลยดูถูกหัวหน้ากัน งานเลยไม่เจริญ ประเทศก็ทรุดโทรมลง เพราะไม่เชื่อฟังกัน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

8.png


ตอนที่ ๑

บุพกรรมนำเกิด



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ อย่างบางคนเกิดมาอาภัพ คือ พ่อแม่ตายจาก หรือว่าต้องโยกย้ายจากกันไป อันนี้เป็นเพราะกรรมพัวพันของพ่อแม่กับลูกตัดขาดกันใช่หรือไม่ หรือว่าเกิดจากการผิดศีลข้อใดครับ

สมเด็จ : ศีลเป็นระเบียบแบบแผนของสังคม เรียกว่า ตั้งสัจจะควบคุมตัวเอง ศีลที่เราปฏิบัติบริสุทธิ์ก็ย่อมที่จะได้ความดีความบริสุทธิ์ของเรา

ส่วนในเรื่องของบิดามารดานั้น เป็นเรื่องของบุพกรรมแห่งการเรียกว่า หมดสิ้นกรรม ซึ่งท่านจะเห็นว่า คนเรานี้ เรื่องการสะสมกรรมในอดีตนั้นย่อมมี เช่น บางคนเรายังไม่เคยเจอ พอเราเจอหน้าก็เกิดถูกชะตา รักใคร่ แต่บางทีบางคนเห็นหน้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จัก ก็รู้สึกเกลียดขึ้นมา

พ่อแม่บางคนมีลูกเกิดมาผลาญเงินพ่อแม่จนหมด อันนี้ เขาเรียกว่า เจ้าหนี้มาทวงหนี้ ซึ่งพ่อแม่ของเขาอาจจะเป็นลูกหนี้ในอดีตชาติ พอผลาญเสร็จ พอลูกจะกลับตัวเป็นคนดีได้ ลูกก็ต้องมาตายจากไป ส่วนบางคนมีลูกเป็นคนดี แต่อยู่กับพ่อแม่ไม่ได้นานก็ตายจาก นี่เรียกว่า เป็นการสิ้นสุดการใช้กรรมของเขา


สิ่งเหล่านี้เป็นบุพกรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องศีล ศีลเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในเรื่องของคำว่า ศีล ในเรื่องของอุปทานของตัวเรานี่ ถ้าเราไม่ยึดในคำพูดจากอุปทานแห่งสมมติบัญญัติแล้ว เราก็ย่อมที่จะเรียกว่า เป็นผู้มีศีลได้ เขาเรียกว่า มีโทสะน้อย ควบคุมสติตัวเองได้

คือเทียบง่ายๆ อย่างสมมติคำว่า ด่าคำหนึ่ง ถ้าเด็กๆ เพิ่งหัดพูดมา ด่าแม่อย่างนี้ เราก็บอกว่า แหม ดีใจ ลูกพูดได้ กลายเป็นน่ารัก น่าหัวเราะ กลายเป็นซาบซึ้ง แต่ถ้าคนอื่น คนโตๆ ด้วยกันมาด่า กลับกลายเป็นโกรธ ไม่พอใจ ต้องเตะปากกันละ นี่เขาเรียกว่า ยึดสมมติ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png


ขันธ์ห้านั้นเป็นภาระหนักแล     

คนเราเป็นผู้แบกภาระไว้

การรับภาระเป็นทุกข์หนักในโลก     

วางภาระเสียได้เป็นสุข

หมดความปรารถนาแล้วนิพพาน


1131245rgf5gktx1tbw1jj.png



สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของนามธรรม
ที่จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
และไม่สามารถพิสูจน์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติจิต
จึงจะรู้และสัมผัสได้


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙

พระโพธิสัตว์แห่งยุค


(วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : ลูกขอกราบเรียนถาม คำว่า “พระโพธิสัตว์” นี่หมายความว่า ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ :
คำว่า พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่สำเร็จในโพธิญาณ มีจุดมุ่งในพุทธภูมิเป็นหลัก และหวังเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล แต่ว่าต้องสะสมบารมีเป็นกัปๆ กัลป์ๆ เพราะว่าในการบำเพ็ญโพธิสัตว์นี้ จุดมุ่งหมายในโพธิญาณ เขาปฏิบัติในแนวที่ว่า

ตราบใดสัตวโลกยังไม่พ้นทุกข์
ตราบนั้นตถาคตจะไม่เข้าสู่พระนิพพาน


ในสมัยเมื่อองค์สมณโคดมสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ๆ นั้น ทีแรกพระองค์ก็เกิดความสังเวชไม่สอนธรรมะ แต่ภาวะแห่งความเมตตาธรรมที่ได้บำเพ็ญมานั้น ทำให้คิดว่า

“เมื่อเราถึงธรรม เราต้องนำธรรมออกมาสอนคนให้เข้าถึงธรรม”

อันนี้ก็เป็นแนวเดียวกับพระโพธิสัตว์ ซึ่งถือว่า ทุกวินาที หวังจะโกยสัตวโลกแห่งกระแสคลื่นให้พ้นห้วงกิเลส เพราะฉะนั้น ในโลกวิญญาณเขายกย่องพระโพธิสัตว์มากกว่ายกย่องพระอรหันต์ นี่พูดเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่พูดเรื่องในโลกมนุษย์

เพราะฉะนั้น ผู้บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องเสียสละ อาตมาได้บอกแล้วว่า ถ้าเขาขอแขนจะต้องตัดแขน ถ้าเขาขอตาก็ต้องควักตา


นี่คือ แนวโพธิสัตว์ คือ ไม่ยึดในตัวตน เพียงตั้งปณิธานไว้ว่า ข้านี้สามารถโกยสัตวโลกได้มากเท่าใด ข้านี้จะมีบารมีเพิ่มในการหวังที่จะดำเนินไปสู่พุทธภูมิ ในการเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคได้มากเท่านั้น

คุณหญิงระเบียบ : พระโพธิสัตว์ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์นั้น ได้เป็นพระอริยะแล้วหรือยังเพคะ

สมเด็จ : เขาเรียกว่า ขั้นอริยบุคคล ขั้นอริยวิญญาณ ถ้าอธิบายก็ค้านกับพระไตรปิฎกในโลกมนุษย์อีก

ถ้าในโลกวิญญาณแล้ว ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์อาวุโส เช่น พระศรีอริยเมตไตรย หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด แห่งกรุงสยาม หรือพระสังฆราชคูรูปาจารย์ ผู้ที่ได้บำเพ็ญมามาก และมีญาณแก่กล้า ถ้าเทียบในด้านบารมีแล้ว ฤทธิ์ก็ดี เมตตาก็ดี หิริโอตตัปปะก็ดี ถึงธรรมก็ดี เกือบพอๆ กับพระพุทธเจ้า หย่อนกว่าพระพุทธเจ้าประมาณสักสองเฟื้อง

หมายความว่า ถึงเวลาที่จะจุติมาในโลกมนุษย์ ถึงเวลาแห่งกลียุคในโลกมนุษย์เมื่อใด เมื่อนั้น พระโพธิสัตว์จะต้องลงมาเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุค เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุค ก็หมายความว่า เป็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ เรียกว่า มาบำเพ็ญมหาบารมีเป็นยุค กัปๆ กัลป์ๆ เพราะฉะนั้น
อาตมาจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า โลกวิญญาณเขายกย่องพระโพธิสัตว์มากกว่ายกย่องพระอรหันต์

คุณหญิงระเบียบ :
เสด็จพ่อบอกว่า พระโพธิสัตว์ก็เป็นพระอริยะ ก็หมายความว่า พระโพธิสัตว์ไม่ได้พบสัจธรรม หรือพบพระอริยสัจด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ก็จะไปเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าใหม่ได้อย่างไร ก็ต้องเป็นพระสาวกซิเพคะ ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ ต้องเป็นสาวกแห่งพุทธะ

สมเด็จ : เป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุค แต่ว่าองค์ไหนจะได้มา อันนี้ต้องไปฟังนรกสวรรค์ ๓๓ ชั้น หลายๆ ครั้ง แล้วค่อยมาถาม ที่อาตมาเทศน์ให้เจ้าคลุ้มไปพูดที่โรงพยาบาลสงฆ์นั้น แล้วจะรู้รายละเอียดว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดของนรกสวรรค์ และเรื่องละเอียดของวิญญาณ เขาเรียกพุทธะแห่งยุค แต่มันเป็นกัปๆ กัลป์ๆ

ตอนอยู่ในโลกวิญญาณ เขาก็ถือว่ายังเป็นพระสาวก ทุกคนที่สำเร็จถือว่าเป็นพุทธสาวก แต่ไปแนวโพธิสัตว์ เรียกว่า “โพธิสัตว์แห่งสาวกแห่งพุทธะแห่งยุค” ต่อเมื่อตนมาสู่การเป็นพุทธะแห่งยุค ก็หลุดออกจากเป็นสาวกของพุทธะ

คุณหญิงระเบียบ : ก็หมายความว่า เป็นอนุพุทธะ ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ

สมเด็จ : ขณะนี้ ถ้าอยู่ในโลกวิญญาณก็อนุโลมเข้าอนุพุทธะได้

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ พระโพธิสัตว์ที่เสด็จพ่อบอกว่า ถ้าพูดกันในโลกวิญญาณแล้วละก็ค้านพระไตรปิฎก แล้วทำอย่างไรจะพูดกันรู้เรื่องเล่าเพคะ

สมเด็จ : หมายความว่า ในด้านของบารมี พระไตรปิฎกที่อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ได้เติมต่อมา เขายกย่องพระอรหันต์ แล้วเจ้าอ่านดู ถ้าไปถามพวกพระ พวกอรรถกถาจารย์ยุคต่อมาที่ขี้เกียจ เขาก็บอกว่า พระถางหญ้าไม่ได้

เมื่ออาตมาอยู่วัดระฆัง หิ้วน้ำเป็นตุ่มๆ ให้ลูกศิษย์วัด (ที่เจ้าขุนมูลนายเอามาฝาก) อาบได้ ที่ว่าพระถางหญ้าไม่ได้นั้น เพราะอะไรเล่า? ก็เพราะว่า อรรถกถาจารย์คนใดขี้เกี้ยจ ก็เขียนเรื่องลงไป แล้วบอกว่า นี่เป็นวินัยของพุทธพจน์

พระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนไม่ยึดตัวตน ถ้ายิ่งเป็นนักพรตยิ่งไม่มีตัวตน ตราบใดถ้าเราเป็นนักพรต เราไม่สามารถแสดงธรรมเพื่อช่วยสัตวโลก เราก็ทำวัตถุโลกให้เจริญ นี่คือ หลักแห่งความเจริญของพุทธพจน์

อาตมาก็บอกว่า พระไตรปิฎกนั้นรับรองได้เพียงแปดพันสี่ร้อย เพราะฉะนั้น เราเชื่อได้แค่เป็นพื้นฐาน แต่ถ้าเราจะไปสู่ทางหลุดพ้นนั้น เราต้องปฏิบัติเองแล้วจะถึงเอง ผู้ที่ยึดพระไตรปิฎกอย่างเหนียวแน่น ผู้ที่ยึดตำราอย่างเหนียวแน่นแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้นั้นไม่ถึงการเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ถึงการเป็นสาวก หากแต่เป็นมนุษย์บรมโง่

เพราะอะไร ครั้งหนึ่งเมื่องค์สมณโคดมได้เทศน์โปรดเหล่ามานพน้อยในเมืองพาราณสี เมื่อพระองค์เทศน์จบแล้ว เหล่ามานพน้อยได้ทูลว่า

“ท่านผู้เจริญ ท่านผู้ประกอบตนเป็นพุทธะแห่งยุค คำสอนของท่านนี้ประเสริฐนัก ข้าน้อยจะยึดคำสอนของท่านเป็นสรณะอย่างจริงจัง เพื่อปฏิบัติในการเป็นคน”

องค์สมณโคดมก็ได้เทศน์โปรดว่า “มานพเอ๋ย เจ้านี้ยังโง่นัก ที่ตถาคตสอนนั้นเป็นเพียงแนวทางดับทุกข์ เจ้าต้องทำด้วยตนเอง เมื่อเจ้าปฏิบัติธรรม ทำสมาธิจิตให้หลุดพ้นอาสวกิเลส ตถาคตยกย่องผู้ที่ปฏิบัติ มากกว่าผู้ที่ยึดคำพูดคำเทศน์ของตถาคตเป็นสรณะ”

พระพุทธเจ้าเป็นนักปราชญ์ที่เป็นกลาง เป็นนักปกครองที่ยอดเยี่ยม ท่านเป็นผู้ที่ไม่ยึดตน ว่าท่านนี้เป็นผู้ที่เหนือมนุษย์ มนุษย์ทุกคนจะปฏิบัติให้หลุดพ้นอาสวกิเลสได้ โดยการเดินตามแผนผังที่พระองค์ค้นในสัจจะธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามแผนผังแห่งพุทธะ แผนผังแห่งอริยะ แผนผังแห่งเหตุผลที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ตามภาวการณ์ตั้งแต่มีโลกในจักรวาล

ถ้าเราสอนหลักธรรม เมื่อเราสอนแล้วเราบอกว่า “ท่านจงพิจารณาธรรมแล้วทำตามธรรมะ ดีกว่าท่านจะฟังคำเทศน์ของฉันแล้วยึดเป็นสรณะ”

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงบอกว่า คนที่มาที่นี่อย่าพึงเชื่อ ถ้าท่านด่วนเชื่อ ท่านไม่ใช่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เพราะอะไรเล่า เพราะว่าท่านจะต้องฟังแล้วปฏิบัติแล้วคอยดู แล้วค่อยทำ แล้วท่านถึงจะเป็นสาวกแห่งองค์สมณโคดมที่แท้จริง

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

งานของโลกวิญญาณ


(วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : อาตมามาทำงาน ไม่ใช่มาทำงานแค่เทศน์แค่สองสามคนฟัง หลวงปู่ไม่ใช่มาแค่รักษาคนเท่านั้น เรามาทำงาน เรามีจุดมุ่งหมายในการยกระดับจิตใจมนุษย์ทั้งโลก จุดมุ่งหมายให้ศาสนาไม่มีการแบ่งแยก ให้มีความสามัคคีในเรื่องพระสงฆ์ นี่คือเรื่องที่เป็นโครงการใหญ่

ฉะนั้น งานที่ก้าวหน้ามานั้นเป็นเพียงครึ่งเสี้ยวเท่านั้น ยังไม่ถึงหนึ่งแผนเลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะทำงานต้องเข้มแข็ง และงานของสำนักปู่สวรรค์ไม่ใช่งานที่จะให้มนุษย์ยุคปัจจุบันยกย่อง งานของสำนักปู่สวรรค์ต่อเมื่ออีกศตวรรษหนึ่ง เขาจึงยกย่อง ฉะนั้นยุคนี้ ถ้าท่านทำงานกับสำนักปู่สวรรค์ ก็ต้องถูกเขาด่าเรื่อยนะ คือเป็นงานในอนาคต ไม่ใช่งานปัจจุบัน คนทำงานต้องมีความเข้มแข็ง มีหลักการและยึดมั่นในอุดมการณ์

๑. จะต้องยึดมั่นในคติว่า เรายึดมั่นอุดมการณ์ที่จะช่วยสัตวโลกให้พ้นทุกข์


๒. เรายึดมั่นอุดมการณ์ ที่จะให้มนุษย์เข้าซึ้งถึงโลกอีกโลกหนึ่ง เพื่อในการเสวยกรรมแห่งวิบากในอกุศลกรรมน้อย


๓. เราต้องการให้มนุษย์ทั้งหลายมีความสามัคคี เข้าซึ้งถึงศาสนาอันแท้จริง

เมื่อท่านมีอุดมการณ์และหลักการเหล่านี้ ท่านก็ย่อมที่จะร่วมงานกับสำนักปู่สวรรค์ได้ดี และต้องมีความแน่วแน่ ไม่มีการเกรงกลัวคำครหานินทา จึงจะลุล่วงสู่เป้าหมาย

ท่านอย่าลืม งานของโลก งานของสัจจะ งานของศาสนานั้น สมัยองค์สมณโคดมประกาศธรรมอยู่ในชมพูทวีปนั้น ไม่ใช่ว่าทั่วแคว้นชมพูทวีปนับถือพุทธศาสนาหมด ท่านศึกษาอภิธรรม ศึกษาพระสูตร ย่อมรู้ดี ศาสนาพุทธมีความสำคัญขึ้นมาก็ต่อเมื่อพระพุทธองค์สิ้นไปแล้ว และหลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาฟื้นฟู


เพราะฉะนั้น งานของสำนักปู่สวรรค์ขณะนี้ ท่านจะต้องมีความอดทนต่อคำครหาใดๆ และอดทนต่อการผจญของเหล่ามารทั้งหลายที่คิดทำลายท่าน ทั้งในด้านชื่อเสียงและด้านจิตใจ

ท่านจงยึดมั่นว่า ความดีย่อมที่จะชนะความชั่ว ความบริสุทธิ์ย่อมเหนือสิ่งอื่นใด เมตตาย่อมค้ำจุนโลก สิ่งเหล่านี้เราต้องยึดมั่นและมีความหนักแน่นในการทำงาน ไม่มีการท้อถอยต่ออารมณ์ของมนุษย์ทั้งหลาย


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

จานบิน


(วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : มีผู้สงสัยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับเรื่องจานบิน ว่าจานบินมาจากไหนเจ้าคะ และมีมนุษย์เท้าใหญ่มาปรากฏรอยไว้ในเวลาที่พบจานบินด้วย เกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วมาจากโลกอื่นหรือเปล่าเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในสภาพการณ์ นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ ย่อมไม่สามารถไปถึงดวงดาวใดๆ ได้ องค์สมณโคดมได้เทศน์เอาไว้ว่า ลัดนิ้วมือเดียวสามารถไปถึงรอบโลก จรดจักรวาลด้วยจิตวิญญาณ

ท่านคิดว่าในโลกอื่นไม่มีมนุษย์หรือ ในจักรวาลพิภพนี้มีดวงดาวเป็นล้านๆ ดวง ดาวบางดวงที่กล้องของมนุษย์ส่องไปไม่ถึงก็มี และเหล่าจานบินทั้งหลายที่มาโลกมนุษย์ มาจากดาวอังคาร พระศุกร์


ดาวพระศุกร์มีมนุษย์จำพวกหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่กว่ามนุษย์โลกนี้สองเท่า ไปถึงดาวพระอังคาร จะมีมนุษย์ที่เล็กกว่ามนุษย์โลกนี้ครึ่งหนึ่ง ในด้านการค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางวัตถุนี้ ดวงดาวอื่นที่มีสมองกลไกดีกว่าโลกมนุษย์ก็มี

ฉะนั้น ท่านอย่านึกว่า ท่านเกิดในโลกนี้แล้ว ท่านเป็นผู้ประเสริฐ จักรวาลพิภพนี้มีผู้ประเสริฐกว่าคนในโลกมนุษย์

ในสภาวการณ์กำเนิดโลกมนุษย์ ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้ในกัณฑ์เปิดโลกแล้วว่า ก็คือวิญญาณที่เสวยอาภัสสระ เสวยอากาศเป็นอารมณ์มาอุบัติในโลกมนุษย์นี้ จึงทำให้องค์บรมศาสดาต่างๆ ต้องมาเกิดในมนุษยโลกนี้

ฉะนั้น ในการค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ ในหลักวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่สามารถที่จะไปถึงพรหมโลก ท่านค้นคว้าในสิ่งอะไรที่ทำกันใหญ่โต ยิงกันขนาดหนัก (ยานอวกาศ) ท่านย่อมไม่สามารถที่จะไปถึงนรกโลก เพราะอะไรเล่า เพราะโลกเหล่านี้เป็นโลกทิพย์ โลกแห่งจิตวิญญาณซึ่งกั้นกับโลกมนุษย์เพียงแค่กระดาษแก้วทิพย์เท่านั้น


สภาวะจะไปถึงโลกเหล่านี้ ต้องไปด้วยจิตและวิญญาณ แล้วในจักรวาลแห่งมนุษย์นี้ ถ้าท่านมาส่องกล้องอะไรที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ให้เลยดาวราหูไป ท่านจะเห็นแสงแห่งความลี้ลับในผืนภาคนั้น ถ้าท่านแทงทะลุผืนภาคนั้นไปได้แล้วไซร้ ท่านจะเห็นโลกอีกโลกหนึ่ง ตั้งอยู่ในที่นั้น

pngegg.5.3.1.png




อมรมนุษย์


อาจารย์ลัดดา : ที่ว่าลี้ลับนั้น โลกอะไรเจ้าคะ ยมโลกหรือว่าเทวโลก

สมเด็จ : สภาวการณ์ในที่อันนั้น ตั้งอยู่เหนือสุญญากาศ เต็มไปด้วยเหล่าทิพยวิญญาณ เป็นกายที่ท่านเห็นแล้วจะไม่ทราบว่า เป็นหญิงหรือเป็นชาย เขาเหล่านี้เรียกว่า อมรมนุษย์ แต่สามารถเคลื่อนไหวมาโลกมนุษย์ เร็วยิ่งกว่าที่ท่านเรียกว่า อณู ปรมาณู

ดร.อาจอง ชุมสาย : ที่อมรมนุษย์อยู่นั้น เรียกว่าโลกอะไรครับ

สมเด็จ : เขาจัดอยู่ในข่ายของนรกโลก

อาจารย์ลัดดา : ถ้าเช่นนั้น พรหมโลก เทวโลก อยู่ที่ไหนเจ้าคะ

สมเด็จ : เทวโลก พรหมโลกนี้ อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากโลกมนุษย์ คือในการค้นคว้าทางด้านวัตถุนี้ เป็นเพียงก้าวเดียว เพียงก้าวแรกเท่านั้นของโลกมนุษย์ อย่านึกว่ามนุษย์โลกนี้เก่งกว่ามนุษย์โลกอื่น

ในพิภพจักรวาลนี้ มีจุดแห่งความแข็งแกร่งของดวงดาวอีกดวงหนึ่ง ที่มนุษย์ยังส่องไปไม่ถึง ดาวนี้ไม่ใช่ดาวราหู ดาวนี้ไม่ใช่ดาวเกตุ ดาวนี้ไม่ใช่ดาวพุธ ดาวนี้เรียกเป็นภาษาโลกวิญญาณ เขาเรียกว่า ปันโตติกิ ซึ่งมีวิญญาณผู้บริสุทธิ์อยู่ดวงดาวนี้ มาเจอนักวิทยาศาสตร์เรื่องดวงดาว ก็เทศน์เรื่องดวงดาว

ข้าหลวงสุทิน : ลูกยังติดใจเรื่องอมรมนุษย์ที่หลวงพ่อว่า พวกอมรมนุษย์นี่อยู่ในนรกโลกหรือครับ

สมเด็จ : คือเรื่องนรกนี้ การเทศน์ในคืนนี้ อาตมาขอให้ทุกคนถือว่าฟังนิยาย ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านจงอย่าด่วนลงความเห็น องค์สมณโคดมสอนไว้ว่า ผู้ใดด่วนคาดคะเน ผู้ใดด่วนลงความเห็นว่าจริงไม่จริง ผู้นั้นไม่ใช่สาวกของตถาคต ฉะนั้น จึงขอเตือนไว้แค่นี้

ในสภาพการณ์ นรก ๑๘ ขุม นั้นแหล่ เป็นการแบ่งในความเป็นอยู่ของแต่ละขุมไม่เหมือนกัน และนั่นเป็นความลับของโลกวิญญาณของนรกโลก เขาไม่ให้อาตมาพูด อาตมาก็พูดไม่ได้ ถ้าพูดเดี๋ยวก็ต้องไปอยู่นรกโลก

ทีนี้ จะอธิบายถึงคำว่า อมรมนุษย์ อมรมนุษย์เหล่านี้ยังมีกายหยาบอยู่ แต่กายหยาบนี้สิ้นจากการมีขันธ์แบบกายเนื้อ คือไม่มีเพศหญิงหรือเพศชาย
และในนรกโลกยังแบ่งเป็นเหล่าอสุรกาย เหล่าผีเปรต ก็คือพวกที่เวลาอยู่ในโลกมนุษย์ กระทำในการโลภมากจนไม่มีการเห็นใจมนุษย์ผู้อื่น พวกนี้จึงต้องไปใช้กรรมนั้น

ในการแบ่งนรกเป็นขุมๆ นั้น ก็เพื่อในการลงโทษ หนัก เบา ตามกรรมที่ทำ นั่นคือ การเข้าคุกในนรกโลก


ในนรกโลกก็ยังมีดินแดนอิสระ เหมือนอย่างในโลกมนุษย์เหมือนกัน นั่นคือดินแดนของพวกอมรมนุษย์ เขาอยู่กันอย่างเปิดเผย อยู่กันอย่างอิสระ จะไปไหนก็ได้ จะมาเที่ยวโลกมนุษย์ก็ได้ อย่างเช่น บางคราวที่ท่านบอกว่าเห็นผี เห็นอะไรนั่นแหละ บางครั้งก็คือ พวกอมรมนุษย์แปลงกาย

ถ้ามนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งแห่งพลังจิต เขาสามารถที่จะบังคับอมรมนุษย์ได้ แต่อย่างต่ำต้องถึงตติยฌานสาม อย่างสูงต้องถึงจตุตถฌานสี่ เรียกว่า รวมพลังได้ เมื่อนั่นแหล่ ท่านจะเห็นอะไรแปลกๆ เรื่องนี้อาตมาก็เทศน์ไว้เยอะแล้ว ถ้าสนใจ แต่รู้สึกว่ามีแต่คนนิมนต์อาตมาเทศน์ แต่ไม่มีคนทำตาม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 11:21 , Processed in 0.055914 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.