ตอนที่ ๑๖ วิธีปลดปล่อยทุกข์ มนุษย์ทุกคนล้วนแต่เห็นแก่ตัว
(วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๐)
สมเด็จ : คือในวิถีการแห่งการเทศน์ของอาตมา ก็ได้เทศน์ไว้แยะแล้ว แต่วันนี้จะเทศน์อีกเรื่องหนึ่งในหัวข้อว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นั้น ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวทั้งสิ้น”
คือ ในการกระทำใดๆ ก็แล้วแต่ มนุษย์จะเอาตัวเองเป็นหลัก เอาความพอใจของตนเป็นใหญ่ โดยไม่คิดถึงสภาพการณ์ของคนอื่น และในสภาวะ ถ้าตนนั้นมีทุกข์ก็จะให้ตนพ้นทุกข์ แต่ก็ไม่รู้จักปลดปล่อยทุกข์ นี่คือสัญชาตญาณแห่งสันดานของมนุษย์ในยุคนี้
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ต้องเข้าใจว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นล้วนแต่เกิดมาใช้กรรมของตน ตนแหล่มีกรรม จึงได้เกิดมาเป็นคน ทีนี้ เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ต้องสร้างในกุศลกรรมแห่งปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้ตนอยู่รอด แต่มนุษย์ไม่ทำเช่นนั้น
มนุษย์จะสร้างกุศลต่อเมื่อมีทุกข์ มนุษย์จะเข้าหาธรรมะต่อเมื่อมีทุกข์ หรือมีสิ่งยุ่งยาก เพราะว่า มนุษย์ยุคนี้หลงอยู่ในวัตถุ ทุกคนอยู่ด้วยความประมาทไม่เตรียมตนไว้ต้อนรับสถานการณ์ ที่จะเกิดกับตนไว้ล่วงหน้า ต่อเมื่อมีเหตุก็วิ่งชุลมุนวุ่นวาย จิตก็ฟุ้งจนกลายเป็นบ้า สภาวะนี้แหล่ที่เรียกว่า อยู่อย่างประมาท
การจะอยู่อย่างไม่ประมาทนั้น เราต้อง
หนึ่ง รักษาสุขภาพพลานามัยของตนให้แข็งแรง
สอง บำเพ็ญสมาธิจิตให้แข็งแกร่ง
เขาเรียกว่า ต้องบำรุงทั้งรูปธรรมนามธรรมให้แข็งแกร่งสมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่อรูปธรรมและนามธรรมแข็งแรงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บย่อมกินเราไม่ได้ ภาวะจิตเราย่อมไม่ประมาท การงานทุกอย่างย่อมสำเร็จ สมองย่อมดี ประสาทย่อมไว ปัญญาย่อมเกิด แต่มนุษย์ยุคนี้ไม่ทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคแห่งกลียุคนี้ วัตถุทางโลกเจริญสุดขีด จึงทำให้มนุษย์ใช้เวลาในการนอนเป็นเวลาเที่ยว เวลาแห่งการเที่ยวใช้เป็นเวลานอน เรียกว่า กลับธรรมชาติของจิต จึงทำให้มนุษย์เสียพลัง มนุษย์ย่อมที่จะอยู่รอดแห่งการครองตนได้ตลอดโดยไม่ให้มีโรคเบียดเบียนนั้นยาก
เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายว่า จงเตรียมตนก่อนตาย จงตายระหว่างเป็น ทุกอย่างย่อมสงบ ถ้าไม่รู้จักการตายระหว่างเป็นแล้ว ความทุกข์ย่อมเกิดดับขึ้น พลังแห่งความเสื่อมของสุขภาพย่อมตามมา อันนี้อาตมาขอทิ้งเป็นปริศนาธรรม ให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายไปคิดพิจารณา เพื่อปรับปรุงระดับจิตของตนให้ขึ้นสูงกว่านี้
เจริญพร
|