แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

กลียุค


(วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : คำว่า “กลียุค” หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : หมายความว่า มนุษย์เกิดมาเบียดเบียนกัน ศีลธรรมประจำใจเสื่อม วัตถุเจริญ ล้วนแต่เป็นวัตถุที่สร้างมาฆ่าซึ่งกันและกัน จึงถือว่ามนุษย์ฆ่ามนุษย์ เพราะความกลัว ทุกคนกลัวเขาจะมาโกง ทุกคนกลัวว่าเขาจะมาโกย ตัวเองก็เลยโกงเอง โกยเอง

pngegg.5.3.1.png




แผ่นดินสูบ


พระเชาวน์ : ในสมัยพุทธกาล มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า แผ่นดินสูบ สภาพแผ่นดินสูบ มีอาการอย่างไรครับ

สมเด็จ : สภาพในระหว่างนั้น คือว่า แผ่นดินมีความสะเทือนไหว แยกตัวออก

พระเชาวน์ : แยกตัวแล้ว ผู้ที่ถูกสูบตกลงไปใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ตกลงไปซิ

พระเชาวน์ : แต่ในคัมภีร์ที่เคยอ่านบอกว่า พระเทวทัตนั่นน่ะ ตอนที่ถูกสูบ ค่อยๆ จมลงไป

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาอยู่โลกวิญญาณก็ไม่อยากพูดมาก คืออรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์บางคน นับถือยกย่ององค์สมณโคดมเกินกว่าเหตุ จึงได้แต่งอรรถาธิบายบางอย่างให้มันพิสดารหยดย้อย จนคนอ่านแล้วเคลิ้มตาม

พระเชาวน์ : ถ้าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ไปแต่งเกินกว่าเหตุอย่างนี้ จะไม่ผิดศีลข้อมุสาหรือครับ

สมเด็จ : เวลานี้ อรรถกถาจารย์ที่ชำระพระไตรปิฎก ตกอยู่ในนรกโลกมีมากะ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วในที่นี้ ไปฟังเทป เพราะอาตมาทำอะไรแล้วไม่ย้อน แบบสมัยรัชกาลที่ ๔ เขาจะสังคายนาพระไตรปิฎกอะไร อาตมาไม่ร่วมด้วยหรอก เพราะกลัวตกนรก

pngegg.5.3.2.png




โลกพระจันทร์


พระเชาวน์ : ทีนี้ ในพระจันทร์น่ะ เขาว่า มีเทวดาจริงไหม

สมเด็จ : เทวดามีอยู่ทั่วพิภพ ไม่ว่าดาวดวงไหน ไม่เฉพาะแต่พระจันทร์ แม้แต่ดวงอาทิตย์ ในนั้นก็มีเทวดา แต่อยู่ด้วยความทิพย์ เขาเรียก อำนาจทิพย์ ผู้นั้นจะต้องสัมผัสด้วยทิพย์

พระเชาวน์ : ในพระจันทร์มีเทวดาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ

สมเด็จ : เทวดาในโลกนี้ มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

พระเชาวน์ : มีมนุษย์อวกาศขึ้นไปบนพระจันทร์ เทวดาบนนั้นมีความรู้สึกอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ การที่มนุษย์อวกาศขึ้นไปถึงนั้น เขาไปเพียงส่วนหนึ่ง ยังไม่ถึงจุดลี้ลับที่ยังมีมากกว่านั้น ทีนี้ ท่านคงรู้ว่า ป่านั้นถูกมนุษย์ถางเมื่อไหร่ เสือ สิงห์ ก็ย่อมหนีเข้าป่าลึก ฉันใด เทวดาบนโลกพระจันทร์ก็ฉันนั้น

พระเชาวน์ : หมายความว่า เทวดากลัวมนุษย์อย่างนั้นหรือ

สมเด็จ : เพราะว่า มนุษย์มีกลิ่นเหม็นที่สุด อาตมายังกลัวเลย

พระเชาวน์ : เมื่อมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ เทวดาไม่โกรธหรือ

สมเด็จ : การเป็นเทวดาต้องมีศีล นอกจากเทวดาเกเร จึงเล่นงาน

พระเชาวน์ : คือ พวกที่ไปนั่นก็คล้ายไปบุกรุกเขา มีเทวดาโกรธบ้างไหม

สมเด็จ : ก็มี แต่พวกนี้เป็นเทวดานอกมติ

pngegg.5.3.3.png




มนุษย์กำลังฆ่ามนุษย์


สมเด็จ : ในสภาวการณ์นี้ ท่านอย่าลืม ถ้าท่านสร้างสิ่งเหล่านี้ไปดวงจันทร์ยิ่งมาก โลกมนุษย์จะยิ่งสลายเร็ว คือ

หนึ่ง ในการเป็นอยู่ของธรรมชาติของอากาศ ของเมฆหมอกที่รวมตัวกันเป็นก้อน เมื่อเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป ต้องใช้ความร้อน ความร้อนนี้ก็จะทะลุเข้าไปก้อนเมฆ ไอน้ำที่รวมตัวกันก็จะละลาย ทำให้โลกมนุษย์ฝนจะตกไม่ตรงตามฤดูกาล

จุดที่สอง เชื้อเพลิงในสิ่งที่เขาติดขึ้นไปนั้นเป็นพิษ เพราะฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า น้ำฝนอาจจะกินไม่ได้

จุดที่สาม เมื่อความสะเทือนของวัตถุมาก เข้าออก เข้าออก เมื่อวันไหนมันเข้าไม่ถูกจุดแล้ว มันก็น่าคิด


คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : ขอประทานโทษ อาจารย์เชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์จะขึ้นไปอยู่โลกพระจันทร์ได้สำเร็จ

สมเด็จ : อันนี้ อนาคตอีกไกลมาก แล้วก็ถ้าขึ้นไปอยู่ อาตมาก็ขอบอกว่า อยู่ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง ตายหมด จะปรับยังไง มันก็ไม่เหมือนธรรมชาติ นอกจากสร้างอากาศใหม่ขึ้นได้ ก็อยู่ได้


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

พระศรีอริยเมตไตรย


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระศรีอริยเมตไตรย คือใครเจ้าคะ

สมเด็จ : องค์ศรีอริยเมตไตรยนี้ เดิมทีเป็นอรหันต์ ชื่อ “ชลาตา” เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ที่มีรูปร่างงามสง่า ไม่แพ้องค์สมณโคดม ในการกินเลี้ยงใดๆ ก็แล้วแต่ คนเขาเห็นแล้วก็ว่า องค์ไหนหนอเป็นองค์สมณโคดมที่แท้จริง

ทีนี้ ในสภาวะ อรหันต์ชลาตานี้ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่เรียกว่าเป็นอาจารย์ จึงได้เปล่งวาจาอธิษฐานตนว่า “เรานี้มิสมควรที่จะเทียบตนเท่ากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า” จึงอธิษฐานให้พุงยุ้ยหน้าเปลี่ยนเป็นเทอะทะขึ้นในขณะนั้น

ทีนี้ วันหนึ่งในที่ประชุมสงฆ์ เหล่าพระอรหันต์ทั้งหมด ๒๕๐๐ องค์ ร่วมกันในที่ประชุม องค์สมณโคดมก็ได้ชูดอกบัวขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ แล้วนิ่งไม่พูดใดๆ เขาเรียกว่า เป็นปริศนาธรรม


ขณะนั้น อรหันต์ชลาตา หรือองค์สังกัจจายน์นี่แหละ รู้ด้วยญาณและบุญบารมีที่จะเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อศาสนาโคตมะ ก็ได้ย่อกาย ย่อเข่าลงกึ่งหนึ่ง แล้ววางมือออกไป องค์สมณโคดมก็โยนดอกบัวให้

เสร็จแล้วองค์สมณโคดม จึงได้ประกาศว่า การชูดอกบัวเพื่อเสี่ยงทาย ผู้ใดจะเป็นผู้มีบุญสืบต่อศาสนาตถาคต บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ชลาตาจะเป็นผู้สืบต่อศาสนาเป็นพระศรีอาริย์ ระหว่างนั้นแหละ องค์สมณโคดมก็ได้ขอให้ศาสนาของพระองค์ถึง ๕๐๐๐ ปี นี่คือ การเทศน์นอกตำรา นอกประวัติศาสตร์

อันนี้แหละ อรหันต์ชลาตาก็ได้เปล่งวาจาว่า “ข้านี้แหละจะสืบต่อความดี” เพราะฉะนั้น เวลานี้องค์สังกัจจายน์ หรือศรีอริยเมตไตรย จึงอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นชั้นที่ใกล้มนุษย์ เพื่อรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกมนุษย์ เตรียมตัวเพื่อในการสืบต่อการทำงาน


เพราะฉะนั้น ท่านที่จะเป็นนักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ต้องมีขันติในการทำงาน ซึ่งมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่อิจฉาริษยา

ดั่งเช่น อาตมาสมัยมีสังขารครองวัดระฆังฯ หลายครั้งหลายคราวมีคนไปยุรัชกาลที่ ๔ ว่า ควรจะเอาสมเด็จบ้าๆ นี่ ออกจากวัดเสียที ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอาตมามีคติหนึ่งว่า “สิ่งใดเราต้องทำ สิ่งนั้นเราทำลงไป ไม่มีความร้ายต่อคนอื่น ไม่มีความร้ายต่อตัวเราเอง มีแต่ความดีต่อคนอื่นและต่อตัวเราแล้วไซร้ เราควรทำอย่างยิ่ง”


และในการบูรณะวัดในการสร้างหอระฆัง ในการสร้างเจดีย์ต่างๆ อาตมาก็ใช้วิธีการว่า ต้องใช้ปัญญาหาปัจจัย ปัจจัยมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน อยู่ที่ผู้นั้นรู้จักไปขุดขึ้นมาหรือไม่ พอจะซ่อมอะไร อาตมาก็ใช้กะละมังใบหนึ่ง เดินตีไปทั่ว จากวัดระฆังฯ ไปยังบางกอกน้อย จนกระทั่งครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เข้าถึงรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๔ ก็ได้แต่งบทกลอนบทหนึ่งมาว่าอาตมา

ได้ยินกล่าว       พระสงฆ์      นั้นหุ้มเหลือง
เมื่ออยู่ใน         ผ้าเหลือง     ต้องสงบ
การสงบ           ควรจะมี       ความเจียมตัว
การเจียมตัว      ควรจะเดิน    ด้วยความช้า
เหตุไฉน          ในสยาม       แผ่นดินข้า
มีสมเด็จ          ขรัวโต         ไม่สงบ
ถือกะละมัง       ต่างระฆัง      เที่ยวเดินเคาะ
เสียงเปาะเปาะ  น่ารำคาญ     ชาวบ้านเอย

ท่านรู้ไหม อาตมาแก้บทกลอนอย่างไร

เจ้าจอมเกล้า    คือเจ้า          เหนือหัวข้า
แผ่นดินสยาม   ท่านครอง      ด้วยศรัทธา
การเป็นคน       การเป็นพระ   ไม่ใช่ อยู่ที่ผ้า
การทำการ       การทำงาน     ควรประหยัด
ระฆังนั้น          ใบหนึ่ง         ได้สามชั่ง
กะละมัง          ใบหนึ่ง         ไม่ถึงสองเฟื้อง

พราะฉะนั้น เพื่อความประหยัด ใช้กะละมังเคาะมันก็ดัง ในสภาพการณ์เขาเรียกว่า ปราชญ์ต่อปราชญ์เจอกันไม่ต้องพูดมาก ต่างฝ่ายต่างนิ่งก็ย่อมรู้ เพราะฉะนั้น ทำอะไร เราต้องถือหลักว่า เราทำจริง และเราต้องมีคติว่า ข้าสู้เพื่อความสุขของคนอื่น ไม่ใช่สู้เพื่อความสุขของตน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสำเร็จสมความมุ่งหมายของเรา

อาตมาก็ได้ย้ำไว้หลายครั้งแล้วว่า ถ้าท่านเกิดความกลัว ขอให้ท่านระลึกถึงองค์เยซู ไม่ใช่ว่าให้ท่านขอบารมีเยซูมาช่วยท่าน เยซูเป็นนักพรต เป็นนักเสียสละ รางวัลอันยอดเยี่ยม อันล้ำค่า ที่เยซูได้รับก็คือ การตายอย่างไม่มีแผ่นดินจะอยู่ คือถูกตรึงไม้กางเขน นั่นแหละคือรางวัลของผู้เสียสละ เกียรติอันยิ่งใหญ่


เพราะโลกทุกวันนี้ อยู่ในสถานการณ์กลียุคที่ไม่มีใครที่จะอยากให้ใครดีกว่าใคร ฉะนั้นการทำอะไร ขอให้ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะพร้อมกำกับอยู่เสมอ แล้วมันจะดีเอง

สานุศิษย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี่ เดี๋ยวก็ได้ข่าวว่า เกิดที่นั่น เกิดที่นี่ เลยทำให้สงสัย ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระศรีอาริย์กันแน่ อย่างนี้จะมีทางสังเกตอย่างไรครับ

สมเด็จ : พระศรีอาริย์ไม่ได้จุติในโลกมนุษย์ ขณะนี้พระศรีอาริย์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ในการเตรียมตนในการที่จะสืบต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น วิญญาณพระศรีอาริย์ไม่ได้ลงมาในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน พลังนั้นเตรียมพร้อมที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า เข้าใจคำนี้หรือยัง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

พระอรหันต์ในสยาม


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ขณะนี้ประเทศไทย มีพระอรหันต์ไหมคะ

สมเด็จ : พระอรหันต์ ในการที่เรียกว่า สำเร็จแห่งความเป็นอรหันต์ คือในกรุงสยามที่อาตมาตรวจแล้ว มีอยู่ ๕ องค์ (ปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๔๐ เหลือเพียง ๓ องค์) แต่ไม่ได้อยู่ในกรุงหรอก เขาอยู่ในป่า เขาไม่อยากมายุ่งกับมนุษย์

คำว่า อรหันต์ ต้องวัดตอนวาระสุดท้ายแห่งการที่จะสิ้นจากโลกมนุษย์ จิตวิญญาณจะไปสู่พรหมโลก ตอนนั้นถึงจะรู้แน่ว่า จิตเขาถึงแดนอรหันต์หรือไม่ ระหว่างเป็นมนุษย์นี้ จิตมันยังเต้นขึ้นเต้นลง เพียงแต่เรียกว่า บำเพ็ญฌานสมาบัติรักษาจิตให้อยู่ในเอกะได้ตลอดกาล ก่อนที่จะประกาศตนว่า เป็นใครมาจากไหน สำเร็จอะไร เมื่อท่านยังเกี่ยวข้องกับโลก เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับมนุษย์

ฉะนั้น เกจิอาจารย์ที่ดี เขาจะไม่บอกว่า นี่เจ้าหนูนี่ได้ฌานโน้น ฌานนี้ นั้นสำเร็จอรหันต์ หันซ้าย หันขวา หันกันใหญ่ ไอ้นั่นก็เลยหลงกันใหญ่ ก็เลยบ้ากันไปเลย อย่าลืม พระมหากัสสปะ เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมรู้ปริศนาธรรม ธุดงค์ไปที่ไหน คนเขาบอกว่า ท่านนี้หรือมหากัสสปะที่เขาว่าเลิศในปัญญา เป็นผู้สำเร็จอรหันต์

ท่านพระมหากัสสปะบอกว่า อาตมภาพนี้ยังไม่ได้อะไรเลย ยังเป็นนักศึกษา นักค้นคว้าอยู่ ไฉนหนอ ท่านจึงยกอาตมาเล่า ไม่เหมือนมนุษย์สมัยนี้ พอไม่ได้เป็นมหาก็ต้องให้เขาเรียกเป็นมหา ไม่เรียกมหา โกรธ ทีนี้ มันไม่รู้ว่ามหาแปลว่า “หมา” เพราะฉะนั้น พวกนี้เขาเรียกว่า ยังมีกิเลส ยุคนี้มันสอนวิปัสสนากันกลายเป็นวิปัสสนึก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

การเป็นสื่อมวลชนที่ดี


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : กระผมอยากทราบว่า ที่หลวงพ่อมาในครั้งนี้ มาเพื่อเหตุไรครับ

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในที่นี้เยอะแยะแล้ว คือ ลูก หลาน เหลน ที่มาเกิดแล้วกลับไม่ได้ อาตมาก็ยังมีกิเลส กิเลสที่ยังเป็นห่วง จึงอยากจะเทศน์ มาขัดเกลาให้มันสะอาดเพียงพอ เพื่อที่จะกลับสู่พรหมโลกได้

คุณสุรศักดิ์ : จะให้กระผมได้รับใช้อะไรท่านได้บ้างครับ

สมเด็จ : เป็นอะไร ทำงานอะไร

คุณสุรศักดิ์ : กระผมอาชีพนักหนังสือพิมพ์ อยู่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ

สมเด็จ : ถ้าอย่างนั้นต้องฟังเทศน์ การเป็นสื่อมวลชน

คือว่า อาชีพในโลกนี้ ที่เป็นยากที่สุดคือ การเป็นคนกลาง อย่างเช่น อาชีพนักหนังสือพิมพ์นี้ อยู่ในหลักที่เขาสมมติกันขึ้นว่า “ฐานันดรสี่” แต่ฐานันดรสี่ในยุคนี้ แย่เต็มทน บางคนก็เป็นสื่อกระเป๋า บางคนก็เป็นสื่อขวดเหล้า เมื่อเช่นนี้ คำว่าฐานันดรสี่จะอยู่อย่างไรให้เขานับถือเล่า อันนี้ฝากให้เหล่าสื่อมวลชนนำไปคิด

การเป็นสื่อมวลชน เราจะทำข่าวอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องไปถึงจุด เรียกว่า ไปสังเกต สังเกตไม่ใช่สังเกตครั้งเดียวจะได้รู้มาก เราไม่ใช่เทวดาจึงรู้หมดทั่วพิภพ เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาเหตุผล แล้วก็ทำข่าวนั้นๆ คนนั้นแหล่จะเป็นสื่อมวลชนที่ดี และสมกับเป็นสื่อมวลชน

ทีนี้ ในการที่จะทำข่าวของสำนักปู่สวรรค์ ก็คือว่า ที่นี่มีวิญญาณอดีตพระเถระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มาทำงานร่วมกับองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)


จุดแรก ในขณะนี้ที่โลกวิญญาณสั่ง คือ ให้แก้อาถรรพณ์แห่งความร้อนในแหลมสุวรรณภูมิ ด้วยการสร้างองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย ประดิษฐานหน้ามุขตำหนักใหญ่สำนักปู่สวรรค์ อันนี้ต้องย้อนเข้าเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ท่านเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ คือได้ใช้ร่างทรงนี้ไปประเทศต่างๆ นำดินมาจาก ๗ ประเทศ เพื่อจะนำมาบรรจุลงในองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อให้ดินแดนแถบแหลมสุวรรณภูมินี้คลายร้อน

ขั้นที่สอง ก็คือว่า ให้สร้างเครื่องรางของขลัง คือ ใบโพธิ์ ใบโพธิ์นี้มีทัพเทวดาลงมาสถิต อันนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านอย่าเพิ่งวิจารณ์ ท่านยังไม่ได้เอาเทวะประจำใบโพธิ์ไปบูชา เอาใบโพธิ์ไปสักการะ แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเทวดาหรือไม่

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้ว เราต้องมีจิตหนักแน่น อย่าด่วนคาดคะเนใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปศึกษา อย่าวิจารณ์ใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปค้น อันนี้ ถ้าเราทำเช่นนั้น คนนั้นไม่ใช่เป็นชาวพุทธ และไม่ใช่เป็นสาวกขององค์สมณโคดมที่แท้จริง

จุดที่สาม โดยจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้าย ก็คือว่า ดวงวิญญาณทั้งสามนี้ อยากจะสอนการฝึกสมาธิเหล่ามนุษย์ที่คิดจะบำเพ็ญตนให้พ้นในการเวียนว่ายตายเกิด นั่นคือ แผนงานขั้นที่สาม

ในการทดลองที่จะทำให้มนุษย์ศรัทธา โดยการรักษาโรค คือ โรคทั้งหลายที่มนุษย์เป็นกัน ถ้าหมดตามโรงพยาบาลรักษาไม่ได้ บอกให้ส่งมาที่นี่ (ปัจจุบันงดการรักษาแล้ว) ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงธรรม ก็จะให้ในเรื่องของเทวดา เรื่องของใบโพธิ์ไปสักการะเพื่อน้อมจิตใจ สำหรับชั้นโลกุตระ คือ ฝึกธรรมะ นั่นคือ งานในอนาคต

แต่งานที่อาตมาห่วงใยที่จะต้องช่วยก็คือ แดนสยามกำลังจะลุกเป็นไฟ แล้วท่านเชื่อเรื่องแก้อาถรรพณ์หรือไม่ อาตมาจะสร้างวีรกษัตริย์ไทย ไปวางที่ต่างๆ ที่กำหนด เพื่อคลายความร้อนในแดนสยาม

ในสภาพการปกครองบ้านเมือง ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ เรียกว่า มนุษย์ต่างคนต่างมีจิต มนุษย์ต่างคนต่างมีกรรม มนุษย์ต่างคนต่างมีมโนภาพ เรียกว่านานาจิตตัง เราอย่าไปวิจารณ์ว่าในเรื่องใครปกครองดีหรือไม่ เรามาวิจารณ์ว่า เราจะช่วยกันแก้อย่างไร จึงให้สยามนี้รอดจากไฟ แล้วใครมีอะไรอีกไหม อาตมาจะต้องไปสอนพวกพรหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

เหตุที่เทพพรหมมาทำงาน


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : กระผมได้ฟังเทปในนั้น ได้มีปรารภอยู่หลายตอนว่า หากมนุษย์ไม่มาช่วยกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่สามัคคีกันแล้ว เทพพรหมที่มาทำงานที่นี่อาจจะกลับไป กระผมสังสัยว่า จะกลับไปทำไม ทำไมไม่ช่วยให้บรรลุผลเสียเลย

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็ได้พูดไว้ในที่นี้เยอะแล้ว คือ อาตมามีแต่วิญญาณ ต้องอาศัยสังขาร เมื่อพวกมีสังขารไม่ช่วยกันจริงจัง ไม่ปรองดอง ไม่มีการคิด ไม่มีการวางแผน แล้ววิญญาณจะไปทำได้อย่างไร เพราะว่าการทำงานในสำนักปู่สวรรค์นี้ เรียกว่า มนุษย์กับเทวดาช่วยกันผดุงศีลธรรม


งานนี้เป็นงานระดับโลก ไม่ใช่ระดับชาติ เมื่อเป็นงานระดับโลกแล้วไซร้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้เสียสละอย่างจริงจัง และจะต้องมีคนทำงานอย่างเข้มแข็ง ถึงจะสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จในผลงานนั้นได้

พระเชาวน์ : คือเท่าที่กระผมได้คุยกับร่างแล้ว รู้สึกว่าร่างไม่ยินดีที่จะให้หลวงปู่มายืมร่างทำงาน

สมเด็จ : คือ ร่างทรงนี้เป็นวิญญาณที่เขาเจาะจงให้ลงมาเกิดเพื่อทำงาน เช่น ให้อาตมายืมพูด เมื่อเราเป็นชาวพุทธ เป็นสาวกขององค์สมณโคดม เราย่อมที่จะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

ทีนี้ ในสภาวการณ์โลกทุกวันนี้ ในภาวะที่จะต้องถึงกรรมวิบากแห่งความสลายของคำว่า ลุกเป็นไฟ เราจะช่วยได้คือ ให้เขามีศีลธรรมประจำใจเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้น เรายังขยายออกไม่ได้ เราขยายไปไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยไปตามกฎแห่งกรรม


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในทีนี้แล้วว่า นรกโลกทุกวันนี้ ไม่มีที่จะเก็บวิญญาณของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว จึงทำให้ต้องลงมาช่วย เพื่อให้มันไปนรกกันช้าหน่อย ที่นั่นก็เตรียมไล่ให้มาเกิดบ้าง จะได้ถ่ายเทวิญญาณให้มันสมดุลกัน

งานของสำนักปู่สวรรค์ ไม่ใช่งานที่ทำเพราะหลวงปู่จะมาหรืออาตมาจะมา หรือองค์ท้าวมหาชินนะที่อาตมาเชิญมาจะมาทำงาน แต่เป็นการทำด้วยความเห็นชอบของมติสามโลก จากความเห็นชอบของเหล่าเทพพรหม ยม ทั้งหลาย ในมติที่ประชุมว่า ควรจะลงมาทำงานให้ลุล่วง

พระเชาวน์ : ที่ว่านรกเต็มจะไม่มีที่เก็บวิญญาณนั้น ถ้านรกเต็มแล้ว สัตว์ที่ทำบาปไว้ก็ไม่ต้องไปนรกหรืออย่างไร

สมเด็จ : มันต้องไป แต่ทีนี้ มันต้องมีการถ่ายเทพวกที่อยู่เก่าออกไปซิ

พระเชาวน์ : ถ่ายเทไปไว้ไหนครับ

สมเด็จ : ถ่ายเทไปเกิดโลกมนุษย์ซิ

พระเชาวน์ : ก็ไปอยู่นรกยังไม่หมดกรรม แล้วจะให้มาได้ยังไงครับ

สมเด็จ : มันต้องมีจำนวนหนึ่งหมดกรรมซิ

พระเชาวน์ : หมายความว่า ไม่มีโอกาสเต็ม มีที่ให้อยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องกลัวเต็ม

สมเด็จ : ก็ต้องไล่ให้มาเกิดเร็วๆ ซึ่งวันนั้น ดอกเตอร์อะไรบอก ให้โลกมนุษย์คุมกำเนิด เรื่องมันยิ่งยุ่ง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

แผนการกู้เยาวชนและเศรษฐกิจของชาติ


(วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช : เด็กนักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยจะสนใจการศึกษาขึ้นทุกที ถ้าแก้ไม่ได้แล้ว อีกไม่ช้าประเทศไทยจะอยู่ในความลำบาก เพราะว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า หลวงพ่อเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ

สมเด็จ : คือถ้าแก้เวลานี้ ต้องให้อาตมาเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาเสียก่อน แล้วค่อยแก้ได้ ไม่งั้นแก้ไม่ได้ เพราะว่าถ้าผู้เป็นเสนาบดีไม่ยึดมั่นในศีลธรรม ไม่รู้คุณค่าของวัฒนธรรมแล้ว ย่อมที่จะแก้ไม่ได้ ปัญหาสังคมมันเป็นปัญหาใหญ่ ผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องรวมตัวกันสัมมนา

ถ้าจะแก้ไขสังคมสยามไม่ให้สังคมสยามเสื่อมทรามเร็ว ก็คือต้องปรับปรุงในด้านการศึกษาให้ดี แล้วท่านจะยึดหลักอะไรเล่า ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ เรียกว่าแผนการกู้เยาวชนให้เป็นคนดี แผนการกู้เศรษฐกิจของสยามไม่ให้ล้าหลังเขา อยู่ในพุงสมเด็จโตหมดแล้ว แต่ว่าผู้บริหารมาขอซิจะเปิดให้ แล้วจะร้อง อ๋อ... ตอนนี้เทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเทศน์แล้ว ฟังแล้ว เราก็แก้ไม่ได้ สมเด็จโตก็เหนื่อยเปล่า

เพราะว่า
ปัญหานี้เป็นปัญหาหนัก ถ้าไม่ปรับปรุงในขณะนี้ อีก ๒๐ ปี สยามจะแย่มาก

๑. วงการศึกษาจะต้องปรับปรุงวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาหลักที่ทุกคนจะต้องศึกษา


๒. จะต้องปรับปรุงในแหล่งแห่งความมั่วสุมของสังคม


๓. จะต้องพยายามจับให้ทุกคนทำสมาธิจิต ให้พิจารณาตน


ผู้บริหารควรทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาท่านเกิด ท่านย่อมสามารถที่จะบริหารประเทศในสิ่งแวดล้อมให้พ้นภัยได้ ด้วยสติปัญญาแห่งธรรมะ ทุกวันนี้เราไม่ยึดหลักของธรรมานุภาพเป็นสรณะ ไม่ยึดหลักปรัชญาของพุทธพจน์ขององค์สมณโคดมที่ให้ยึดหลักแห่งการครองตนชอบ

อย่างเด็กทุกวันนี้ ก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อย ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ก็ไม่พิจารณาตน แก่แล้วยังไม่ยอมรับรู้สังขารตัวเอง ว่าตัวเรานี้แก่แล้วควรจะเข้าวัดเข้าวา ปรับปรุงศีลธรรม ให้เด็กที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ได้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดี

เพราะฉะนั้น สังคมจะต้องปรับปรุงกันเป็นลูกโซ่ จะต้องปรับปรุงที่ต้นเหตุ สมุฏฐาน จึงจะบรรลุผล แต่ทุกวันนี้แก้กันที่ปลายเหตุ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุแล้ว มันจะถึงภาวะแห่งความดีได้อย่างไรเล่า และในสังคมสยามขณะนี้ อยู่ในภาวะแห่งความวิบาก เพราะฉะนั้น มันต้องช่วยกันหลายๆ ฝ่ายที่ต้องทำงานอย่างไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตน จึงจะปรับปรุงอาณาจักรสยามนี้อยู่รอดได้


pngegg.5.3.1.png




พระสยามเทวาธิราช


สมเด็จ : ผืนแผ่นดินสยามนี้ ในการต่อสู้เพื่อเอกราช อธิปไตย วีรกษัตริย์ไทยต้องต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อทุกๆ พระองค์

ท่านศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ว่า บุรุษที่เป็นมหาราชที่ควรยกย่องก็คือ พระเจ้าตากสิน พระเจ้าตากสินสู้ด้วยพละกำลังแห่งการเป็นคนสามัญธรรมดา สู้ด้วยดาบ ยืนหยัดไม่ถอยต่อศัตรู เพื่อกู้เอกราชแห่งความเป็นไทจากเหล่าอริราชศัตรู เมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาถูกเผาในกรุงยุคนั้น

จนมาถึงยุคพระยาจักรี ต้นจักรีวงศ์ มาถึงรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ อยู่ในยุคที่ฝรั่งเศส อังกฤษ กำลังแผ่อาณาจักรที่จะยึดอาณานิคมทางพื้นภาคแหลมสุวรรณภูมิ แล้วประเทศสยามทำไมจึงอยู่รอด รอดเพราะความดีและเชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และเทพารักษ์

สิ่งเหล่านี้ ท่านรู้รึเปล่าว่า พระสยามเทวาธิราชสร้างขึ้นมาได้ เพราะใครเป็นคนออกหัวคิด ก็คือขรัวโต เป็นผู้บอกรัชกาลที่ ๔ ว่า ในขณะนี้ แผ่นดินสยามเรารอดพ้นจากการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งเศสของอังกฤษได้นั้น ก็เพราะมีเทวดาองค์หนึ่งเฝ้าพิทักษ์อาณาจักรของเรา คือ
พระสยามเทวาธิราช”

เพราะฉะนั้น เราควรรู้ถึงเทวกตัญญู สร้างรูปเคารพขึ้นมา จึงได้มีบัญชาเจ้าพระยาคนหนึ่งทำการปั้นพระสยามเทวาธิราชขึ้น ให้สักการะถึงปัจจุบันนี้

pngegg.5.3.2.png




สังคมปัจจุบันต้องผ่าตัดขนาดหนัก


อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : หลวงพ่อพูดถึงพระสยามเทวาธิราช อันที่จริงลูกมีความประทับใจต่อพระนามนี้นานแล้วเจ้าค่ะ อยากกราบทูลถามหลวงพ่อสมเด็จว่า วิธีที่อาณาประชาชนที่อยากจะถวายความเคารพสักการะท่านด้วยความกตัญญูนี่ เราควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ เพราะท่านสถิตอยู่ในวัง

สมเด็จ : ก็บูชากลางแจ้งซิ ทีนี้ พระสยามเทวาธิราชบอกไม่ไหวแล้ว สังคมเวลานี้ มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า สังคมสยามขณะนี้ มันต้องผ่าตัดขนาดหนัก ต้องรื้อไส้รื้อพุงออกมา ล้างแล้วค่อยยัดเข้าไปใหม่

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะใช้อิทธิฤทธิ์ของท่านช่วยปราบพาลชนบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : ก็อาถรรพณ์มันยังแก้ไม่ได้นี่ มันอยู่ในภาวะที่ลำบาก แต่อาตมาจะดูอีกสักระยะหนึ่ง กรรมวิบากของใครจะช่วยกันได้ มันเรื่องกรรม ขรัวโตนี่ทำอะไร เรื่องคำว่าไม่สำเร็จไม่มี แต่ในขณะนี้กำลังประชุมเรื่องที่จะดุลกรรมของสยาม ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องดุลกรรมนี้เป็นเรื่องที่ลำบาก มันต้องฝ่ายที่ต้องอาถรรพณ์ต้องร่วมด้วย มันจึงจะไปรอด

pngegg.5.3.3.png




งานของสำนักปู่สวรรค์


สมเด็จ : เพราะอาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ ตามมติที่ประชุมของโลกวิญญาณ จะปลอดภัย และจะสลายจากโลกต่อเมื่อถึง ๕,๐๐๐ ปี ถึงเวลานั้นโลกจะสลายกลายเป็นน้ำ อาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ผืนแผ่นดินนี้ มีโองการของสำนักปู่สวรรค์ประกาศจะสลายเป็นแหล่งสุดท้าย เปรียบเสมือนหนึ่งเขาเรียกว่า เป็นหัวกะโหลกของโลก

งานของสำนักปู่สวรรค์ไม่ใช่เป็นงานในปัจจุบัน งานของเราเป็นงานอนาคต เมื่อพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี เมื่อนั้นเขาจะเริ่มศึกษาเรื่องของสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ท่านทำหลักฐานร่องรอยทิ้งเอาไว้กระจายไปทั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังเขาศึกษางาน นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ ให้มนุษย์ที่ร่วมมือกันทำงานให้ร่วมกันคิด แล้วในขณะนี้ ท่านถือว่าเป็นกลียุค ก็ยังไม่หนักเท่า เมื่อพุทธศาสนาล่วงไป ๓๐๐๐ ปี ขณะนั้นสงครามศาสนาจะเกิดขึ้น แต่ถึงตอนนั้นจะมีคนดีมาเกิด

ทีนี้ ถ้าท่านศึกษาพุทธทำนายจะมีว่า เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๑๔-๒๕๑๖ ปี จะมีพระเถระโพธิสัตว์มาปรับปรุงช่วยศาสนา ซึ่งในพุทธทำนายนั้นจะมีพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์ แต่ภาวะพระโพธิสัตว์นั้นมาในรูปกายเนื้อไม่ทัน จึงมาในรูปวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำงานยากอยู่ในขณะนี้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

ความปลอดภัยของสตรีไทย


(วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช :  กราบหลวงพ่อสมเด็จ ลูกขอถามเรื่องเกี่ยวกับสังคมสมัยนี้ เพราะพฤติการณ์ของสังคมสมัยนี้ นับวันจะเลวร้ายลงทุกที ความปลอดภัยของผู้หญิงก็มีน้อยลง อยากถามว่า เพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขอย่างไร

สมเด็จ : เจริญพร คือว่าสังคมมนุษย์นั้น ในสภาพ ท่านต้องเข้าใจว่า เมื่อวัตถุเจริญมาก จิตใจของมนุษย์ย่อมเสื่อม ตามภาวะของแสงสีแห่งความศิวิไลซ์นั้นๆ

ทีนี้ ในปัญหาที่ว่า ความปลอดภัยของสตรีนั้นจะแก้ไขได้อย่างไร ใครจะเป็นผู้ประกันความปลอดภัยของท่าน อาตมาอยากจะชี้แจ้งว่า ความปลอดภัยของท่านนั้น ขึ้นอยู่กับตัวของท่านเอง ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้สูงในภาวะที่ดี ในเรื่องการเป็นกุลสตรีที่ดีแห่งสยามของเรา

ทุกวันนี้สังคมเสื่อม เพราะว่าเราไม่มองอดีต มักแค่มองปัจจุบัน อดีตในยุคที่เราตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี หรือยุคกรุงอโยธยาเป็นราชธานีนั้น เราต้องตามใครกันบ้าง ทำไมสังคมในยุคนั้น เราจึงอยู่ได้

ปัจจุบันนี้ สังคมแห่งความเคลื่อนไหวของคำว่า คมนาคมเร็วขึ้น ทำให้การสัมพันธ์ของมนุษย์นี้แคบเข้าไป พื้นภาคตะวันตกซึ่งเป็นพื้นภาคที่มีอารยธรรมที่ป่าเถื่อน ก็เพราะว่าเพิ่งฟื้นฟูการเป็นคนขึ้นมา ท่านก็ไปหลงว่า นั่นคือ อารยธรรมแห่งความศิวิไลซ์


pngegg.5.3.1.png




ประเพณีไทยกับกุลสตรี


สมเด็จ : สมัยเมื่ออาตมามีสังขารอยู่ อันนี้เท็จจริงอย่างไรก็ไม่รู้ มีนิทานเรื่องหนึ่งว่า

เจ้ากรุงจีนได้เชิญเจ้ากรุงอังกฤษไปเยี่ยมในประเทศจีน เจ้ากรุงอังกฤษในขณะนั้นนุ่งแต่ใบไม้ แต่อาณาประชาราษฎร์แห่งจีนนุ่งเสื้อผ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่องอารยธรรมการแต่งตัวเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ท่านรู้ว่า ประเทศไหนเจริญก่อน อาตมาว่า เอเชียเรานี้แล เจริญก่อน

เมื่อพื้นภาคเอเชียเราเจริญก่อนแล้วไซร้ เหตุไฉน ท่านที่เป็นสตรีที่อยู่ในปัจจุบันที่เรียกว่า มีการศึกษาดี ทำไมไม่เอาตัวอย่างที่ดีของเราเล่า ถ้าท่านลองนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อราชปะแตน ดูซิว่าจะมีใครลากท่านไปไหม แต่ท่านมัวแต่ไปเชื่อวัฒนธรรมป่าเถื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วท่านถือว่าเป็นวัฒนธรรมอันดี

วัฒนธรรมไทยของเราในยุคอโยธยา ยุครัตนโกสินทร์นั้น กุลบุตร กุลสตรีล้วนแต่เรียกว่า ต้องนุ่งห่มอย่างดี


ประเพณีเดิมของไทยในยุคนั้น เมื่อชาติตะวันตกยังไม่ได้เข้ามาแผ่อาณาจักรในแหลมสุวรรณภูมิ พูดแค่ง่ายๆ ถ้ามีงานวัด สตรีในยุคนั้นเดินในงาน จะไม่มีใคร ผู้ชายคนไหนเดินเข้าไปใกล้ ถ้าเผลอไปแตะถูกผ้าม่วงของสตรี เขาจะต้องขอโทษขอโพยอย่างขนาดหนัก การลวนลามไม่มีเกิดขึ้น

เพราะอะไรเล่า เพราะว่ากุลสตรีเดินด้วยความสงบเสงี่ยม นุ่งผ้าอย่างดี ปล่อยชายเสื้ออย่างดี เสื้อทรงกระบอกอย่างดี ปิดมือปิดเท้าสวยงาม แต่ยุคนี้เป็นกลียุค กลับหมด

ผู้ชายร้อนจะตาย ผูกอะไรไม่รู้เส้นอย่างกับพาย ต้องไปพายเรือจ้างได้แล้ว นุ่งโน่นนุ่งนี่ ผู้หญิงมันนุ่งเหลือแต่กางเกงลิง แล้วใครจะไปรับผิดชอบสวัสดิภาพของท่านได้เล่า ก็ตัวท่านเองไม่ดูว่า ท่านคือเพศที่จะต้องปกปิดมากกว่าเป็นเพศที่จะต้องเปิดเผย

เพราะฉะนั้น ในสังคมขณะนี้ก็คือว่า ต้องแก้เหล่ากุลสตรีทั้งหลายตั้งแต่เป็นนักเรียน หรือว่าเป็นครูขึ้นมา เรียกร้องการนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อราชปะแตน เมื่อนั้นแหละ สวัสดิภาพของท่านจะปลอดภัย ถ้าท่านไม่เอาอารยธรรมแห่งความป่าเถื่อนของชาวตะวันตกมาใช้

สิ่งเหล่านี้ ท่านจะต้องศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ว่า เราเป็นชาติที่ตั้งตนสู้ด้วยลำแข้งแห่งความเป็นไทย ประเพณีของเรามีความดีเรื่อยมาตั้งแต่ในยุคล้านนาไทย สตรีไทยทุกคนจะต้องมีความอ่อนช้อย จะต้องมีความละเมียดละไม จะต้องมีการปกปิดในการแต่งกาย

แต่ว่าเราไม่ยึดในประเพณีอันดีงาม เราทำลายตัวเราเอง แล้วใครเล่า จะประกันความปลอดภัยของท่านได้ ในเมื่อท่านไม่ผดุงวัฒนธรรมอันดี

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก


(วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์เกหลง พานิช : หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองไทยนี่ร้อนเหลือเกินเจ้าคะ ได้ยินแต่ข่าวสยอง จะมีทางผ่อนคลายได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือเรื่องมันร้อนอยู่ มันเป็นภาวะกรรมวิบากหลายๆ อย่าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งก็คือว่า สังคมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นสังคมที่สักแต่ว่าเป็นพุทธสาวก

ถ้าท่านเป็นพุทธสาวกที่ดี ท่านจะต้องเดินตามพุทธพจน์ แต่สังคมทุกวันนี้ ล้วนแต่ว่าข้านี้คือชาวพุทธ ล้วนแต่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าให้กล้าสู้ความจริง ต้องทำจริง สังคมปัจจุบันนี้ ไม่กล้าสู้ความจริง คือท่านกลัวอำนาจ ยกย่องคนชั่วเป็นใหญ่ ภาวะแห่งคนชั่วเขาใหญ่ได้ เพราะสังคมยอมรับ ถ้าทุกคนในสังคมไม่กลัวอำนาจ มนุษย์หมู่มากไม่กลัวอิทธิพล คนชั่วย่อมเด่นอยู่ในสังคมไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

หลักแห่งความจริงของโลกมนุษย์นั้น ก็คือว่า ถ้าวัตถุเจริญมาก จิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อมมาก นี่คือ กฎแห่งความจริงของธรรมชาติ

ภาวะแห่งสังคมนั้น ถ้าจะปรับปรุงก็คือว่า ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านต้องมีความจริงจัง มีความหยั่งรู้ศักดิ์ศรีของการเป็นครู ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของคนชั่ว เป็นจุดที่หนึ่ง เขาเรียกว่า เมื่อพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ดี ก็พิมพ์ถูกพิมพ์ได้ดี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ไม่ดี ลูกพิมพ์ก็ออกมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

pngegg.5.3.1.png



การผ่าตัดสังคม


สมเด็จ : ภาวะแห่งสังคมในยุคนี้ เป็นการที่จะต้องผ่าตัด ให้กล้าสู้กับความจริง เช่น สุรา ในศีล ๕ ห้ามไว้ เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่สังคมยอมรับสุราเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ครูสอนศีลธรรมว่า สุราเมากินไม่ได้ แต่ครูเมาเป็นระยะๆ ได้ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ครูสอนเขาว่า อย่ากินเหล้า แต่ครูไม่กินเหล้าที่ร้านกาแฟได้ แล้วใครจะเชื่อใคร

สิ่งเหล่านี้ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งใดที่ตถาคตจะสอนท่านนั้น ตถาคตจะต้องเรียนแล้วทำได้ ตถาคตจึงสอน


ฉะนั้น ในขณะนี้ ศาสนาไม่รู้ว่าจะเรียกว่าศาสนาอะไร ถือเป็นเพียงปรัชญาอันหนึ่งที่ข้าเรียนไว้สำหรับเถียง สำหรับคุย จึงเป็นสิ่งที่จะต้องปรับปรุงขนาดหนัก แต่ว่าจะปรับปรุงไปได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะร่วมมือกัน ช่วยมนุษย์ด้วยกัน

อาตมานั้นพร้อมเสมอที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ แต่อาตมาไม่มีขันธ์ ท่านมีขันธ์ ท่านมีขันธ์เดิน ถ้าท่านไม่เดิน อาตมาก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ เพราะอาตมามีแต่วิญญาณมีแต่สมอง และสมองขรัวโตที่พิสดารไม่เหมือนใคร

ถ้าจะปรับปรุงสังคมให้เลิกร้อนนั้น ทุกคนจะต้องมีเมตตาต่อกัน ทุกคนจะต้องมีความสุจริตใจต่อกัน อย่าสวมหน้ากากเข้าหากันในสังคม ทุกคนต้องยอมรับหลักอริยธรรมที่ดี ทุกคนต้องกล้าพูดความจริงในสังคม

ไม่ใช่ผู้มีอำนาจพูดอะไรเป็นถูกหมด การที่คนอัปรีย์พวกนี้เหลิง ก็เพราะท่านไปสนับสนุนเขาเองต่างหาก แล้วท่านจะไปโทษใครเล่า

pngegg.5.3.2.png



การทำงานเพื่อส่วนรวม


สมเด็จ : อาตมาจึงบอกว่า ขรัวโตนี้ไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนที่จะเอาอย่างไร เพราะว่า เราต้องยึดหลัก ๔ ประการ ที่อาตมาให้กับทุกคนที่จะทำงานเพื่อสังคม ก็คือว่า

๑. ท่านต้องมีขันติในงานที่ทำ
๒. ท่านต้องมีสัจจะต่องานที่จะทำ
๓. ท่านต้องมีความบริสุทธิ์ในงานที่ทำนั้น
๔. ท่านต้องมีความเมตตาต่อผู้ที่ร่วมทำงาน


ท่านมีหลัก ๔ ประการนี้แล้วไซร้ ท่านจะทำงานใหญ่ได้สำเร็จ และการเป็นนักทำงานใหญ่ ต้องถือปรัชญาว่า

ภูเขาสูง             ตระหง่าน      อยู่เหนือเมฆ
ไม่หวั่นไหว         ต่อลมฟ้า      คะนองลั่น
เป็นนักปราชญ์    ต้องไม่ติด    ในสรรเสริญ แลนินทา
อุดมการณ์          เพื่อคนอื่น     สัจจะ ต้องยึดมั่น

แล้วทำงานใหญ่ได้

แต่ทุกวันนี้ หานักเสียสละที่ว่าคิดถึงเรื่องคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเองนั้นน้อยเต็มทีในสังคมยุคปัจจุบัน แล้วก็นักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันนี้ ล้วนแล้วแต่จะเอาหน้า ไม่ใช่สงเคราะห์กันจริงจัง มันจึงวุ่น ล้วนแต่พวกทำงานเอาหน้าประจบสอพลอ แล้วมันไม่ร้อนตอนนี้ เมื่อไหร่มันจะร้อนล่ะ ยิ่งพูดมากไป เดี๋ยวเทวดาเขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร ด่าคนทุกที

อาจารย์เกหลง : ที่หลวงพ่อเทศน์น่ะ ดิฉันเห็นด้วยทุกประการเจ้าค่ะ ที่หลวงพ่อว่า ต้องครูดี ดิฉันก็นึกถึง คุณโกมล คีมทอง ที่ทำท่าจะเป็นครูดี แต่แกก็ถูกยิงตาย คุณโกมลได้มีโอกาสเข้าเฝ้าหลวงพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ

สมเด็จ : ยัง เพราะถ้าอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว การจะพบอาตมาก็ยากเหมือนกัน อย่างมาที่นี่ อาตมาก็ไม่มีเวลาให้ใครพบพิเศษหรอก เพราะขรัวโตไม่ใช่มาหากินกับมนุษย์ อาตมาอยู่พรหมโลก อาตมาเป็นครูที่จะต้องสอนพวกพรหม

พรหมโลกชั้นที่ ๔ มีศาลาฟังธรรม ศาลาฟังธรรมนี้แหล่ เป็นที่เตรียมของพวกผู้ที่จะไปเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ไปเป็นพรหมสุทธาวาสก็ดี ไปเป็นพระอริยบุคคลก็ดี ต้องศึกษาในศาลาฟังธรรม และอาตมาก็ได้รับเลือกเป็นครูคนหนึ่ง สอนอยู่ในที่นั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเทวดา พวกพรหมที่ยังติดอยู่ในกิเลสมาก ยังอยากจะเสวยอาหารของมนุษย์แล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะไม่ได้พบอาตมามาก นอกจากอาตมาจะไปพบเขาเอง แต่อาตมาหมู่นี้ชอบไปเที่ยวยมโลก ไปคุยกับนโปเลียน พวกนี้ เพื่อไปศึกษานโยบายการทำงานที่พวกเขาสมัยเป็นผู้นำทำกันอย่างไร

เพราะว่าขณะนี้ อาตมากำลังทำงานใหญ่ เพื่อที่จะกู้ความอยู่รอดของสยาม จึงจำเป็นต้องศึกษากุศโลบาย นโยบายเพโทบายของพวกนี้ ที่เคยครองโลกมาแล้ว

ฉะนั้น อาตมาจึงว่า อยู่โลกวิญญาณเวลานี้ จึงได้เปรียบอยู่หน่อย แต่นรกขุมลึกๆ เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร เอาไปเปิดเผยในโลกมนุษย์หมด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

ความสุขอันแท้จริง


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขอันแท้จริงก็คือ ท่านต้องวางอุปาทานในสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้รู้ทันอายตนะแห่งความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ ให้ตามทันและยิ้มรับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้น

คือ ท่านอย่ายึดชีวิตให้จริงจังนัก ถ้าท่านยึดจริงจังเกินไป ท่านก็มีความกระวนกระวายมาก จิตท่านไม่สงบ ภาวะแห่งจิตท่านไม่สงบ จะทำให้ท่านเกิดความทุรนทุราย เมื่อท่านเกิดความทุรนทุราย ประสาทท่านตึงเครียด ปัญญาย่อมไม่มีทางเกิด

เพราะฉะนั้น ในทางที่จะทำให้ท่านมีปัญญาเกิด ก็คือ ท่านจงรับทราบว่า ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพราะท่านมีกรรมของท่านเป็นปัจจัยแห่งสมุฏฐาน ที่ทำให้ท่านเกิดมา เพื่อใช้กรรมนั้นๆ ตามวิบากของกุศลและอกุศล


ท่านวางจิตให้นิ่ง อย่ามีอุปทานในความจริงจังกับชีวิตของการเป็นคน ยิ้มต้อนรับทั้งทุกข์และสุข ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่เอาคนอื่นมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบตัวเรา จิตท่านย่อมมีความสงบ

ภาวะจิตสงบนี้แหละ จะทำให้ท่านมีสมาธิ ภาวะแห่งสมาธินี้ จะทำให้ท่านเกิดปัญญาในการพิจารณาว่า การเป็นคนนั้น ท่านกอบโกยวัตถุ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เรามีโอกาสที่จะสร้างงานให้กับสังคม เรามีโอกาสที่โปรดสัตว์ที่ยึดอยู่ในอัตตาทิฐิ ให้ช่วยกันระงับความฟุ้ง เมื่อท่านเข้าถึงภาวะอันนี้ ท่านย่อมเข้าซึ้งถึงคำว่าศาสนาเป็นอย่างไร ความสุขอันแท้จริงอยู่ที่ไหน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

หนทางดับทุกข์


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณประยูร ศุภเกียรติ : หลวงพ่อสมเด็จเจ้าคะ เวลานี้คนมีทุกข์กันมากค่ะ อยากให้หลวงพ่อช่วยบอกว่า วิธีที่จะทำให้คนมีทุกข์น้อยลงหรือหมดทุกข์นี่ จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ทุกข์เกิดจากอะไร ท่านต้องถามตัวท่านเองก่อน ทุกข์มีหน้าตาไหม ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะเรามีอุปทานในการยึด เมื่อมีอุปาทานในการยึด ก็ย่อมทุกข์ ท่านทิ้งอุปาทานในการยึดซิ

ทั่วโลกจะไม่มีทุกข์เกิดขึ้นได้ ก็คือว่า ชนกลุ่มต่างๆ ให้ยึดหลักมรณสติ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เมื่อชนกลุ่มต่างๆ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์แล้วไซร้ เมื่อนั้นย่อมลดทิฐิมานะแห่งความยึดตน

เมื่อลดทิฐิมานะแห่งความยึดตนแล้วไซร้ อุปกิเลสแห่งความคิดในโลภ โกรธ หลง ย่อมขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลง เมื่อขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลงแล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะลดทุกข์ได้

เหล่าผู้นำที่มีอำนาจอยู่ อย่าบูชาอำนาจเหนือความตาย ชนชั้นที่เรียกว่าพอจะเป็นเศรษฐีอยู่ อย่าบูชาเงินเป็นพระเจ้า ชนชั้นกลาง อย่าดิ้นรนเทียบคนอื่น คนชั้นต่ำ อย่ายึดมั่น ข้าวสามกำมือข้าก็รอด รับรองไม่มีทุกข์


ทีนี้ มีทุกข์ก็เพราะว่า เช่น อีหนูก็บอกว่า ชุดไทยเดิมนี่สั้นๆ ไม่มีสตางค์ก็ต้องขอแม่ตัดให้ได้ นี่ทุกข์เพราะการแต่งตัว ไอ้หนุ่มบอกว่า ยุคนี้ยุคกัญชาก้าวหน้า ต้องขโมยเงินแม่ไปสูบกัญชา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะว่าสังคมครูปัจจุบันมีครูที่เป็นตัวอย่างไม่ดี เพราะว่าเด็กที่เข้าสู่ในการเรียน ต้องอบรมแห่งการเรียนรู้ชีวิตการเป็นคน ครูคือบิดามารดาคนที่ ๒ ของอนุชาที่จะขึ้นเป็นผู้นำประเทศชาติ ครูสอนศีลธรรมสอนเขาว่า สุราเมระยะ กินเหล้าไม่ดี แต่ครูคนสอนพอออกจากห้อง เมาเป็นระยะๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ว่าผู้สอนทำไม่ได้ แล้วจะให้ผู้รับการสอนทำได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น จึงทำให้คนไม่เข้าซึ้งถึงศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระองค์จะต้องทำได้ พระองค์จะสอนตติยฌาน จตุตถฌาน พระองค์จะต้องทำได้ก่อน แต่อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคนี้ หญ้าปากคอกตัวเอง ยังละไม่ได้ สอนไปถึงนิพพานแน่ะ นิพพานไปอย่างงี้ๆ เดี๋ยวมึงรอก่อน กูเคี้ยวหมากหน่อยก่อน สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นสิ่งที่ว่า ตู่พระพุทธเจ้าทั้งนั้น

ทีนี้ ท่านจะทำให้คนไม่มีทุกข์ ก็คือว่า ท่านจะต้องมาช่วยกันประกาศให้ผู้นำทั่วโลก อย่าบูชาอำนาจเหนือชีวิต อย่าบูชาเงินตราเหนือคุณธรรม เมื่อท่านทั้งหลายทำลายอัตตาทิฐิสองจุดนี้ได้แล้ว สันติสุขในโลกมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้

ถ้ามนุษย์มีอุปาทานแห่งมรณสติว่า บ้านที่เราโกง ไม้ที่เราโกงลากออกมา ขายเป็นเงินได้เท่าไหร่ กินเป็นขี้ มันก็ตาย เราตายไป สิ่งเหล่านี้เอาไปไม่ได้หรอก ครูที่เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์สอนให้คนอย่าอิจฉากัน ครูก็ต้องอย่าอิจฉากันให้ลูกศิษย์เห็น คือเรียกว่า แม่พิมพ์เบี้ยว ลูกพิมพ์มันก็เลี้ยวตามไปเป็นของธรรมดา

เพราะฉะนั้น ในภาวะแห่งการที่จะระงับทุกข์นั้น เป็นสายใยแห่งลูกโซ่ของสังคมทั่วโลก ก็ขอยืนยันว่า ทำลายอำนาจ ทำลายอุปทานแห่งเงินตรา ทำลายความเย่อหยิ่งของสันดานคนได้ และให้มีมรณสติ รับรองไม่มีทุกข์

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-1 00:03 , Processed in 0.100929 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.