แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

สมเด็จโตมีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์


(พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณทองหล่อ บุญประเสริฐ : หลวงพ่อครับ กระผมขอถามหลวงพ่อสักหน่อยว่า กระผมได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองคำ หลวงพ่อทราบไหมครับ ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : อันนี้ไม่ขอวิจารณ์ เพราะสำนักปู่สวรรค์ดำเนินงานโดยโลกวิญญาณ สมเด็จโตมาทำงาน มีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์ สำนักปู่สวรรค์ทุกคนไม่มีหน้าที่วิจารณ์และว่ากล่าวใคร อันนี้อยู่ในการที่เราจะต้องพิจารณาเอง

เพราะว่า อาตมาไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบยกตนข่มท่าน หรือไม่ใช่เทวดาที่มาหากินกับมนุษย์ ที่จะบอกว่า เจ้าจงมานับถือข้า อย่าไปนับถือคนอื่นเลย ถ้าเจ้าไปนับถือคนอื่น ข้าจะหักคอเจ้า อันนี้ก็มี แต่เป็นเทวดาบางองค์นะ

เพราะฉะนั้น อาตมาขอบอกว่า ท่านมาอาตมาก็ไม่ยินดี
ท่านไม่มาอาตมาก็ไม่ยินร้าย ท่านด่าอาตมา อาตมาก็ขออนุโมทนา ฉะนั้นไม่วิจารณ์

คุณทองหล่อ : ถ้าเช่นนั้นเกล้าฯ ขอถามว่า หลวงพ่อรู้จักท่านหรือเปล่า รู้จักใช่ไหมครับ

สมเด็จ : อาตมาคิดว่า อาตมาไม่รู้จักเขาหรอก แต่เขารู้จักอาตมามากกว่า เพราะว่าอาตมาเวลานี้ เป็นครูสอนอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ สอนอยู่รูปพรหมชั้นที่ ๔ มีศาลฟังธรรม พวกเทพพรหม พวกที่เรียกว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เทพเกือบจะทุกชั้นและทุกองค์จะมาฟังธรรมที่อาตมาแสดงในสวรรค์ชั้นที่ ๔ เพราะฉะนั้น เขาอาจจะรู้จักอาตมา แต่อาตมาไม่รู้จักเขา

คุณทองหล่อ : หลวงพ่อครับ แล้วที่เขาทรงหลวงพ่อทวดที่หลังคุรุสภาที่ลาดพร้าว ที่เขาทรงกันนั้น ใช่หลวงพ่อทวดไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้ เราดูเอาเอง เทพพรหมชั้นสูงมาย่อมไม่มีการติดรสมนุษย์ แล้วก็ย้ำอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ทวดก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่นางอาย ทำงานแล้วก็ต้องทำงานใหญ่เพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ไม่ขอวิจารณ์

แล้วขอบอกว่า เทวดาที่ใช้ชื่อหากินกับมนุษย์มีมาก อาตมาก็ถือว่ามนุษย์ อาตมายังมาช่วย ทีนี้เทวดาที่ต้องโทษ รู้ผิดกฎโลกวิญญาณ เขาให้เกิด เขาไม่ยอมเกิด เขาจะขอบำเพ็ญ เมื่อมาบำเพ็ญในโลกมนุษย์แล้ว จะพูดว่าเทวดา ก มา มนุษย์ก็ไม่รู้จัก เขาก็เลยขอยืมชื่อสมเด็จโตของอาตมามาใช้


อาตมาก็บอก เออ แต่เจ้าอย่าทำให้ชื่อข้าป่นปี้ก็แล้วกัน แต่ที่นี้ บางองค์ เมื่อลงมาทำงานในโลกมนุษย์ กลับทำป่นปี้ก็มี คือ หลงในกิเลสที่มนุษย์มาครอบให้ จึงเข้าสภาวะบำเพ็ญไปสู่นรกก็มี

อันนี้ อาตมาจึงไม่วิจารณ์ ขอให้ท่านไปพิจารณา คือ ท่านใช้สมองพิจารณาเอาเอง แล้วหลวงปู่ก็เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านย่อมไม่มานั่งหากินกับมนุษย์ และในขณะนี้ กระแสจิตมารวมกันที่สำนักปู่สวรรค์มากที่สุด เมื่อ ๑๐ ปีก่อน อาตมาไปหลายแห่ง หลังจากสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว อาตมาไม่มีการไปทุกแห่งที่เคยไป ขอแถลงให้ทราบด้วย

คุณทองหล่อ : กระผมขอกราบถามหลวงพ่อว่า องค์ท่านที่กระผมนำไปกราบไหว้บูชาอยู่ที่หิ้งของกระผม ใช่องค์ท่านจริงใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างอะไรเรียกว่า จริง อะไรเรียกว่า ไม่จริง รูปสมมตินั่นแหละ หน้าตาขรัวโตทั้งนั้น ท่านบูชาด้วยศรัทธา ท่านก็ย่อมถึงอาตมา ถ้าท่านไม่บูชาด้วยศรัทธา นั่นก็เป็นพระอิฐพระปูน

เพราะฉะนั้น อะไรเรียกว่า จริง ไม่จริง ย่อมไม่มีในวัตถุ เพียงแต่ว่าสร้างด้วยถูกเทวบัญญัติ ถูกพรหมบัญญัติหรือไม่ และสำหรับอาตมานั้น สมเด็จพระเครื่องสร้างด้วยสมัยอาตมาหรือไม่เท่านั้นเอง ที่เป็นแง่ของวัตถุ แล้ววัตถุทุกอย่างย่อมเป็นพระ ถ้าท่านศรัทธาก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่านไม่ศรัทธาก็เศษอิฐเศษปูนเศษเหล็ก

ฉะนั้น อย่าใช้คำว่า จริง หรือไม่จริง เขาเจตนาสร้างรูปสมมติของหลวงปู่ขึ้นมา หลวงปู่ก็ย่อมที่จะรับรู้ว่า รูปสมมติของเราเกิดขึ้นแล้วในโลกมนุษย์ ได้อยู่ที่บ้านนั้นกี่องค์ บ้านนั้นบูชาด้วยความจริงจัง บ้านนั้นเห็นหลวงปู่ชอบกินเหล้าก็มีถวายเหล้า นั่นมันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่เขาทำ

แต่จงจำเอาไว้ว่า เทพพรหมชั้นสูงย่อมไม่ติดในรสอาหารของมนุษย์ และถ้าท่านศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านย่อมทราบว่า เทวดาธรรมดามีอาหารทิพย์เสวย มีทิพย์อาสน์นั่ง สมเด็จโต หลวงปู่ทวดมาในโลกมนุษย์ เลวยิ่งกว่าเทวดาอีกหรือ พอมาถึงก็บอกว่า เฮ้ย มึงวันนี้มาหากูนี่ มึงเอาหมากมาให้กูหรือเปล่าวะ มีอะไรมาเซ่นบ้าง ไม่เซ่น กูไม่พูดอะไรกับมึงนะ นี่ให้เราไปพิจารณากันเอง


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า สำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่ให้เขาด่า ไม่มีหน้าที่ไปด่าเขา และท่านจงจำเอาไว้ว่า ความจริงย่อมเป็นความจริง ความลับไม่มีในโลกนี้หรอก มีเพียงถูกปกปิดในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของความจริง และท่านเป็นมนุษย์ก็ต้องใช้สมองที่เขาประทานให้พิจารณาว่า สิ่งไหนควรยึด สิ่งไหนควรวาง เข้าใจไหม

คุณทองหล่อ : เข้าใจขอรับ กระผม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

เทพพรหมลงมาทำงานจริงหรือ


(วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระดอกไม้ : กราบนมัสการหลวงปู่สมเด็จครับ เกล้าฯ เป็นศิษย์มาภายหลัง ขอพระเดชพระคุณโปรดให้ความสว่าง คือว่าเวลานี้เกล้าฯ มีข้อสงสัย คือ พระเปรียญเวลานี้มีหลายรูปที่มีความข้องใจอยู่ ในเรื่องวิญญาณก็ตาม เรื่องพรหมก็ตาม พระบางรูปกล่าวว่า ไม่ควรจะเชื่อ

เหตุอะไร ท้าวมหาพรหมหรือผู้ที่ไปเป็นพรหมแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องลงมาในมนุษยโลก แล้วทำไมจะลงมาเข้าทรงคนนั้นเข้าทรงคนนี้ ตัวอย่างเช่น เจ้าไปทรงที่นั่นก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม เจ้ามาทรงกันที่นี้ก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมทรงที่นั่น ทรงที่นี้ แล้วเวลานี้ พระเปรียญก็ใส่ไฟว่าหลอกหลวงเขาบ้าง ลงมาเพื่อหาเครื่องเซ่นกินกันบ้างต่างๆ นานา

เวลานี้เกล้าฯ ก็มีความสงสัย ในตำราธรรมะก็ไม่เคยได้ประสบพบเหมือนกัน ว่าพรหมองค์นั้นจะต้องมาเทศน์โปรดที่นั่น พรหมองค์นี้จะต้องมาโปรดที่นี่ ในตามหลักธรรมะ เกล้าฯ ก็ไม่เคยประสบพบปะ ขอพระเดชพระคุณช่วยโปรดแก้ปัญหาข้อนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : เพราะเหล่ามหาเปรียญนั่น เปรียญแต่กระดาษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดรู้แจ้งในหลักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดในด้านเรื่องของคำว่า ฌานญาณ จึงเที่ยวโจมตีว่าเขา

ทีนี้ ในเรื่องที่ว่าเทพพรหมนี่ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ สภาพการณ์ในการบำเพ็ญนั้น พวกรุกขเทวดาพวกนี้ชอบอ้างชื่อผู้สำเร็จ หรือวีรกษัตริย์ วีรบุรุษ มาหากินกับมนุษย์ พวกที่จะมา เรียกกันง่ายๆ ว่า มาขอส่วนบุญ

พวกผีเปรตอสุรกายที่บำเพ็ญที่ใกล้มนุษย์ พวกเหล่านี้ก็ชอบที่จะมาเสวยของของมนุษย์ เขาเรียกว่า ยังมีกามตัณหาติดอย่างแน่นหนา พวกเหล่านี้ส่วนมากแล้ว เขาจะอ้างชื่อผู้ที่โลกมนุษย์รู้จัก เพราะว่าเขารู้ว่ามาหากินกับมนุษย์แล้วไซร้ ก็คือว่าจะต้องให้คนนั้นรู้จัก

ทีนี้ มนุษย์เราจะต้องเป็นมนุษย์ให้สมกับมนุษย์ ก็คือว่า เราจะต้องใช้สมองพิจารณาว่า บุคคลที่อ้างว่า ชื่อองค์นี้มานั้นจริงหรือไม่ ก็คือต้องศึกษาประวัติดูให้ถ่องแท้ ถึงการอยู่ ถึงการทรงของคนนั้นๆ ถ้าอาตมาไป อาตมาเป็นนักเทศน์ อาตมาจะต้องเทศน์เป็นสรณะ ยึดหลักธรรมะมากกว่าวัตถุ

ทีนี้ ท่านก็อาจจะย้อนว่า เพราะเหตุใดท่านจึงยอมให้เขาใช้ชื่อเล่า ท่านต้องอย่าลืม พรหมต้องมีพรหมวิหาร ๔ ฉันใด การเป็นผู้สำเร็จในโลกวิญญาณย่อมต้องมีเมตตาจิตฉันนั้น เพราะแม้แต่มนุษย์ เรายังจะช่วย

การที่จะมาช่วยครั้งนี้ ในการที่มาตั้งสำนักปู่สวรรค์ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากกลียุคแห่งการที่จะเกิดขึ้นในแหลมสุวรรณภูมิ แห่งการที่จะเกิดขึ้นในแดนสยาม ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้สร้างราชบัลลังก์จักรี อาตมาจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอาสาลงมาทำงาน


นี่คือ มาอย่างอาตมาบังคับร่าง ไม่ใช่ร่างเชิญอาตมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านต้องจำเอาไว้ว่า ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาแล้วไซร้ แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ต้องการ

เพราะฉะนั้นจะทราบรายละเอียด ก็ต้องไปฟังเรื่องวิญญาณที่อาตมาเทศน์ไว้แยะ และท่านจงจำเอาไว้ว่า ที่มามีการทรงพิเศษหรือว่าห้าบาทสิบบาทก็มานี่ สมเด็จโตไร้ค่าหมดหรือ ห้าบาทสิบบาทจ้างอาตมา อาตมาก็ต้องรีบมา แล้วอาตมาอยู่ในโลกวิญญาณ ยังต้องการใช้เงินอีกหรือ เพราะฉะนั้น เราต้องใช้สมอง การทรงนั้นมีจริง มีจริงในรูปว่า วิญญาณนั้นมาทำงาน

ฉะนั้นอันนี้ จึงให้ท่านใช้สมองแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักต่างๆ ในโลกมนุษย์นั้น สำนักปู่สวรรค์ เป็นสำนักโลกวิญญาณ จึงไม่ขอวิจารณ์ และอาตมาก็สั่งลูกศิษย์ลูกหาที่นี่ว่า เรามีหน้าที่ให้เขาวิจารณ์ เราไม่มีหน้าที่วิจารณ์เขา


แล้วคนที่มาที่นี่ อาตมาก็บอกแล้วว่า อย่าพึ่งเชื่อ เพราะว่าเชื่ออย่างงมงาย ท่านก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ตถาคต ท่านต้องใช้เหตุและผล และการที่ท่านติดอาจารย์ ท่านย่อมไม่ถึงธรรม

เพราะฉะนั้นจึงว่ามาในที่นี้ ให้ท่านใช้สมองพิจารณา และถ้าอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเทพพรหมทั้งหลาย อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แยะ ไปขอเจ้าหน้าที่เขาเปิดฟัง

พระดอกไม้ : นี่ก็เป็นเหตุของการสงสัยของพวกเปรียญ ที่ได้บอกกับเกล้าฯ มาเช่นนั้น จิตวิญญาณหรือผู้สำเร็จก็ตาม ไปสู่พรหมโลกแล้ว จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนมนุษยโลกได้ยังไง ก็เรียกว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้น เกล้าฯ คิดว่า เขาก็ยังปฏิบัติไปไม่ถึง แต่เขาก็อ้างตำรา

ตำราเล่มนั้นเล่มนี้กล่าว พวกนั้นไม่สมควรที่ควรจะลงมา คือว่ายังเสวยกรรมอยู่บนชั้นพรหมโลก ก็ยังไม่ควรที่จะลงมาอย่างนี้ ความเห็นเขาเป็นอย่างนั้น เขาก็กล่าวให้เกล้าฯ ฟัง เช่นนี้ละครับ พระเดชพระคุณ

สมเด็จ : เพราะว่า เขาไม่ถึงธรรม เขาถึงแต่ตำราที่เขาอ่าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยจะเป็นพระที่เข้าถึงสัจจะอันแท้จริง และทุกวันนี้จะหานักเรียนนักสอนที่เข้าถึงธรรมอันแท้จริง ทั้งรู้ถ่องแท้ในตำราและทั้งในด้านปฏิบัตินั้นหายาก

เพราะฉะนั้น เราก็รับฟังแล้วก็พิจารณา ในฐานะที่เราจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เราจะเป็นสาวกตถาคต เราก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกแนว เรียกว่า ในการพิจารณาและในการปฏิบัติธรรม ให้สมกับเป็นพระสงฆ์ เขาเรียกว่า อย่าให้ผ้าเหลืองเสียชื่อ

ทุกวันนี้ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเรียนวางโครงการออกสู่ทางโลก มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวช พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ท่านต้องอาศัยผ้าเหลืองเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่เคยสอนให้ท่านยึดผ้าเหลืองเพื่อศึกษาวิชา แล้วสึกออกไปประกอบการทางโลก

ทุกคนที่เข้ามาบวชในยุคแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธโคดม แห่งการที่จะเป็นสาวกตถาคต ต้องพิจารณาแล้วว่า เรานี้จะตัดแล้วซึ่งกิเลส เพื่อพยายามสู่ในจุดหมาย

เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่าในสังฆมณฑลนี้ อาตมาจึงบอกว่า เป็นการปลงสังเวชที่จะไม่พูดถึง ไม่อยากจะกล่าวถึง หาพระที่จะเป็นพระ มันน้อยเต็มที
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

อาณาจักรพระโพธิสัตว์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : อย่างเสด็จพ่อนี้ จะต้องจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีกไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ความปรารถนาตั้งใจจะเกิดร่วมในการประกาศสัจธรรมยุคเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรย

คุณหญิงระเบียบ : เวลานี้ เสด็จพ่อก็อยู่บน คอยลงมาพร้อมกับพระศรีอริยเมตไตรยใช่ไหมคะ

สมเด็จ : เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด เวลานี้ที่มานี้ ก็เพราะว่า ในขณะนี้โลกมนุษย์อยู่ในยุคแห่งกลียุค ในยุคแห่งกลียุคนี้ จิตใจของสัตวโลกยุคนี้เสื่อม ในภาวะแห่งการเสื่อมนั้นแหล่ โลกวิญญาณเขามีมติให้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์

ทีนี้ ในการที่จะตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์นี้ เขาต้องตรวจว่า มีพระโพธิสัตว์อาวุโสองค์ไหนที่ปรารถนาพุทธภูมิ แห่งการที่จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค สืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ก็ได้ตรวจไปตรวจมาค้นในแดนโพธิสัตว์ ได้พบว่า พระโพธิสัตว์อาวุโสแห่งสยามที่สำเร็จในยุคนั้น ยุคอโยธยา ได้ตั้งความปรารถนาไว้แน่วแน่มาหลายกัปหลายกัลป์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิแห่งการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

ทีนี้ เมื่อมีตัวตนในการทำงานแล้ว ก็หาร่างที่เป็นมนุษย์ที่มีกรรมพัวพันในอดีตอย่างลึกซึ้งมาใช้งาน ก็ได้ค้นพบเด็กสับปะรังเคคนหนึ่งที่อยู่ในแดนสยาม ภาวการณ์ก็คือว่า เมื่อม้าในแดนมนุษย์ก็มี วิญญาณที่จะทำงานก็มี ก็ควรจะทำงานได้ ณ บัดนั้น

ภาวะแห่งการที่ไม่เคยมาโลกมนุษย์นานๆ ก็เห็นไม่ไหว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่นั้น ตั้งแต่หนีจากการเป็นสังฆราชไปอยู่ป่า อนุสัยแห่งการบำเพ็ญฌานญาณจนนิ่งในปัจจุบันฌาน เพราะฉะนั้นมาก็นิ่งๆ ไม่สนใคร ใครจะว่าอะไรก็ไม่รู้ พูดคำก็ตอบคำ

เทวดาทั้งหลายเขาก็ประชุมกันว่า ถ้าเป็นแบบนั้น สำนักปู่สวรรค์ก็คงจะตั้งในโลกมนุษย์ไม่คงทนถาวร ลองตรวจซิว่า ในโลกวิญญาณมีนักฝอยจอมโม้ขนาดไหน มีไหม ตรวจไปตรวจมาก็เจอว่า อ๋อ ขรัวโตบ้าๆ บอๆ แห่งวัดระฆังฯ นี้ สำเร็จมาอยู่พรหมโลกกับเขาด้วย เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะขอท่านโต ลงมาร่วมงานในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยดึงดูดคนให้ติดเอาไว้บ้าง

เพราะว่า ถ้านิ่งเฉยๆ มนุษย์ในยุคนี้ มันเต็มไปด้วยกิเลส ยังมีความติด ยังมีความอยากสวย ยังมีความอยากกินหมาก ยังมีความอยากจะไปโน่นไปนี่ เพราะฉะนั้น ต้องให้ท่านโตลงมา เขาจะมาไม้ไหน ท่านไปได้ไม้นั้น จึงได้มาทำงานร่วมกันในโลกมนุษย์ เพื่อในการเรียกว่า

หนึ่ง เป็นการช่วยสัตวโลกให้พ้นทุกข์เท่าที่จะช่วยได้

สอง เป็นการเพื่อจูงลูกหลานเหลนที่มีกิเลสน้อยเพียงพอ ที่จะเข้าถึงสัจจะแห่งความจริงว่า “ตายแล้วไม่สูญ”

สาม เพื่อในการสร้างอาณาจักรโพธิสัตว์นี้ให้แผ่ไพศาล เพื่ออนาคตกาลยุคพระศรีอริยเมตไตรย จึงจำเป็นต้องมาในรูปวิญญาณ เพราะว่าจะจุติมาเกิดในรูปของการเป็นมนุษย์นั้น กลัวจะโตในด้านของกายเนื้อนี้ไม่ทันเหตุการณ์แห่งกลียุค


และในยุคนี้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้ว รู้สึกจะบำเพ็ญตนกลับไปสู่โลกวิญญาณนั้นยากเต็มที่ เพราะแสงสีศิวิไลซ์ในโลกมนุษย์ในยุคนี้ ก้าวหน้ายิ่งกว่าในยุคใดๆ สมัยอาตมาอยู่วัดระฆังฯ ในสมัยนั้น พระสงฆ์องค์เจ้าอยู่ในความสงบ แล้วผู้ที่จะมานั้น จะต้องมาด้วยความสงบ ไม่ใช่แบบยุคนี้ อย่างคนที่จะมาบางคน อย่างยายชุบชีพ ยังต้องใส่อะไรก็ไม่รู้เว้ย ไม่รู้จัก เพราะไม่เคยใช้ แต่งให้มันเฉิบนะ

คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์ว่าแต่ดิฉันคนเดียว เขาแต่งกันสวยกว่าดิฉันอีก

สมเด็จ : เพราะฉะนั้น ก็เลยดึงอาตมามา อาตมาก็บอกว่า ยังมีพระพรหมองค์หนึ่ง เป็นพรหมที่มีฤทธิ์เดชมาก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระโมคคัลลาน์ในยุคนั้น บำเพ็ญตนเป็นพรหมเอกเทศในด้านฤทธิ์ บางคนมาในทีนี้อาจสงสัยว่า เหตุไฉนจึงไม่นุ่งห่มในชุดพระสงฆ์ เพราะว่าในการนุ่งห่มในชุดพระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งสมมติ การเป็นพระไม่ใช่อยู่ที่ผ้า

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านของการปราบวิญญาณร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์นั้น ถ้าพรหมมา มาในรูปพระสงฆ์แล้ว เต้นไปเต้นมา เดี๋ยวจีวรหลุดหมดนะ เพราะฉะนั้น เพื่อในความสะดวกของทุกฝ่ายในการมาทำงาน จึงให้บัญญัตินุ่งชุดอะไรก็ได้ เมื่อวิญญาณมาทำงาน เพราะว่าเมื่อเราเป็นพรหมที่บำเพ็ญเพื่อจะให้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ย่อมไม่ติดในเรื่องเนื้อหนังมังสา ในสิ่งสมมติในโลกมนุษย์

นี่ถือแถลงไขในความข้องใจของมนุษย์บางคนที่อยู่ในนี้ ไม่ต้องถามก็เทศน์ลงมาก่อน

คุณชุบชีพ นกแก้ว : ถามอีกนิดเถอะเจ้าค่ะ ลูกศิษย์นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมสมเด็จอาจารย์มานั่งค่อนขอดดิฉัน กับอาจารย์คุณหญิงระเบียบนี่ก็ค่อนขอดเพราะกินหมาก คุณชุบชีพก็เรื่องแต่งตัว สมเด็จอาจารย์จะให้ทำอย่างไร ไม่ให้แต่งตัว จะไปไหนๆ ไม่แต่งตัว จะไปได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : เราก็แต่งพอที่เรียกว่า สมมติให้เป็นการไม่ให้กายเนื้อนี้เป็นที่อุจาดตา เพราะว่าตรวจด้วยกระแสจิตว่า สองหน่อนี้พอมีทางไปมรรคผล จึงต้องกระทุ้งให้ดังๆ หน่อย

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

ปราชญ์เหนือปราชญ์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



อยากจะเป็นอาจารย์ต้องเลิกติดหมาก



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : การกินหมากนี่ เสด็จพ่อว่า ผิดศีลหรือผิดธรรมในวินัยบทไหนเจ้าคะ (คุณหญิงระเบียบ เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ท่านติดการกินหมาก)

สมเด็จ : ในวินัยเขาเรียกว่า การเป็นพระสงฆ์ต้องอย่าติด การเป็นนักพรตต้องอย่าหลง การเป็นอาจารย์ต้องทำให้เขาดู เพราะอะไรเล่า เพราะว่าถ้าในด้านของคำว่า สัมมาอาชีวะ ในเรื่องของคำว่า เอกสิทธิ์หรือเสรีภาพแล้ว มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความคิด มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเดิน มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเคี้ยวนะ กูจะเคี้ยวแบบไหนก็ได้ นี่ว่าตามหลักของคำว่า เสรีภาพแห่งการเป็นมนุษย์

ทีนี้ในหลักของคำว่า ศีล นั้น ศีลเป็นบันไดขั้นต้นที่จะให้คนเราทำในกรรมดี คือละเว้นในสิ่งที่คิด เพราะฉะนั้นในการติดหมากนี้ก็ไม่พ้นในศีล ๕ ก็คือว่า ยังมีการติดในสิ่งที่สมมติว่าเป็นสิ่งขมหวาน เป็นสิ่งที่เคี้ยวแล้วมันจะอร่อย นี่คือพลังแห่งความอยู่ในศีล ไม่ได้อยู่ในธรรม คือ สภาพของธรรมแล้ว ถ้ากรรมวิบากของกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความดี อกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความชั่ว

เพราะว่า ถ้าจะให้อธิบายในหลักของคำว่า เสรีภาพของการเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ผิด แต่ถ้าใช้หลักคำว่า ศีลแล้ว ก็คือว่ายังมีการติดในสิ่งสมมติในความเคี้ยว เคี้ยวเพื่ออะไร

คุณหญิงระเบียบ : ในมโนทุจริต วจีทุจริต หรือกายทุจริตเจ้าคะ

สมเด็จ : อันนี้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ๓ กรรมพร้อมเป็นองค์กรรม

คุณหญิงระเบียบ : กินหมากนี่อยู่ในกรรมไหน

สมเด็จ : อันนี้อยู่ในภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าในหลักของทุจริตแล้ว ไม่มีทุจริต แต่มีความอยากทุจริตของกรรมน้อยๆ อันนี้เขาเรียกว่า กรรมบาง ทีนี้กรรมบางจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องประกอบด้วยองค์กรรม ๓ คือ

เกิดจากมโนกรรม มโนกรรมแห่งจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่น เกิดความอยาก เมื่อความอยากเกิดขึ้นมา ก็เกิดความอยากจะได้ จึงหลุดออกมาทางวจีกรรม ถ้าเอ็ง ก็จะบอกว่า “แม่อีหนูเอ๊ย เอ็งเอาหมากมาให้กูกินคำซิวะ” นี่ออกมาทางวจีกรรม คือมันต้องคิดก่อน ถึงจะมาวจีกรรม เมื่อวจีกรรม มาถึงก็ตำใหญ่ๆ ก็กลายเป็นกายกรรม ตำเสร็จก็ยัดเข้าปาก เคี้ยวอุบๆ นี่เข้าสู่กายกรรม เพราะฉะนั้น องค์กรรมที่จะครบ ต้องเกิดจากมโนกรรม

คุณหญิงระเบียบ : ที่ลูกถามนี่ หมายถึงกรรมที่เป็นทุจริตนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : กรรมอันนี้ ถ้าเข้าสู่ในหลักการปฏิบัติในทางละ ก็เรียกว่าเป็นทุจริตกรรม ทุจริตกรรมในหลักของคำว่า ยังอยากสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นสิ่งสมมติ ไม่สมควรที่จะติด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าของของโลก เราต้องรักษาให้โลกเขา ปัจจัยเขาหามาด้วยหยาดเหงื่อ แต่หามาเสร็จ ลงมาอยู่ในพลูหมาก นี่เขาเรียกว่า ทุจริตต่อโลก สิ่งของโลกที่เราควรจะละได้

คุณหญิงระเบียบ : มโนกรรมมีอะไรเจ้าคะ เสด็จพ่อว่า ลูกมีมโนกรรม แล้วออกมาเป็นวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมนี่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : มโนกรรมนี่ คือว่า ทุกอย่างจะต้องเกิดจากการสำนึกของอายตนะภายใน คือต้องมีความคิด มีความอยากขึ้นในมโนยิทธิของตน แบบในการบำเพ็ญฌานก็ต้องตั้งมโนของจิต ให้อยู่ในหลักแห่งการที่จะเอาอะไรเป็นสรณะ จะเอาพุทโธเป็นสรณะ จะเอาธัมโมเป็นสรณะ ต้องตั้งสติของมโนแห่งความยึดขึ้น เพราะฉะนั้น มโนอันนี้หมายความว่า มโนจากอนุสัย เขาเรียกว่า ธรรมชาติของจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่นในความเคยชินให้แล่นขึ้นสู่ทางสมอง ให้คิดอยากจะเคี้ยวหมาก

คุณหญิงระเบียบ : ไม่มีในกายกรรม ๓ นี่ เสด็จพ่อ วจีกรรม ๔ ก็ไม่มี มโนกรรม ๓ ก็ไม่เข้า แล้วจะมาว่าอะไรลูก

สมเด็จ : ทำไมจะไม่เข้า คือ ถ้าไม่คิดแล้วมันย่อมไม่มีอยาก เมื่อมีอยากก็ย่อมมีการพูด เมื่อพูดก็ย่อมมีการตำ เมื่อตำแล้วก็ย่อมมีการเคี้ยว อย่างนี้ไม่เข้าสู่หลักแห่งองค์กรรม ก็เจริญพร พระเจ้าค่ะ ช่วยอธิบายหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : ผู้ที่หมดอยาก ได้แก่บุคคลชนิดใดเจ้าคะ

สมเด็จ : ผู้ที่มีหลักแห่งความหมดอยากในกิเลสแห่งความสิ้นแล้ว ต้องสำเร็จอนาคามิมรรคอย่างต่ำ ขึ้นถึงอรหัตผล แต่ถ้ายังเป็นโสดาปัตติมรรคแล้ว ยังมีความอยาก ยังมีความอยากเสพกามเป็นบางครั้งบางคราว

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ เสด็จพ่อจะให้ลูกหมดความอยาก จะไม่ให้ลูกมีความอยากหมาก ลูกก็ถามแล้วว่า คนที่ไม่มีความอยากน่ะ ได้แก่ใคร แล้วเสด็จพ่อจะตั้งให้ลูกเป็นอะไรเพคะ

สมเด็จ : ก็พยายามฝึกซิ มนุษย์เราทุกคนนี่ เกิดมาเพราะกรรมในอดีต

บัดนี้ เป็นเวลามหาอุดมมงคล ที่ทายกทายิกา เหล่าสีกามนุษย์ได้มารวมพร้อมกันในทีนี้ เพื่อฟังในหลักธรรมของคำว่า “ละ” มนุษย์เรานั้น เกิดจากกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาวะกรรมของตนนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำ อดีตกรรมส่งผลมาให้ปัจจุบันกรรม ปัจจุบันกรรมนำผลสู่อนาคตกาล จะทำอย่างไรเล่า จะให้เราสิ้นจากอาสวะ เพื่อหลุดพ้นในกฎแห่งวัฏฏะในกรรม

ทีนี้ มาถามว่าจะตั้งให้เป็นอะไรนั้น มนุษย์เรานั้นต้องมีความหวังเป็นสรณะ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะตั้งในความปรารถนา หวังพระนิพพานเป็นจุดแรกของมนุษย์ในการเป็นคน

คุณหญิงระเบียบ : ลูกทูลถามเสด็จพ่อเมื่อกี้ เสด็จพ่อว่า ลูกมาถามเพื่ออวดให้ใครๆ เห็นว่าเก่ง ก็แสดงว่า เสด็จพ่อรังเกียจ แล้วทีหลังลูกจะไม่ถาม เพราะพอถามแล้ว จะกลายเป็นอวดเก่งไป ลูกจะไม่ถามเสด็จพ่ออีก

สมเด็จ : คือไม่ใช่บอกว่าอวดดี เราถามว่า จะตั้งให้เป็นอะไร เราก็ตั้งความหวังว่า เรานี้จะสำเร็จเป็นอริยมรรค อริยผลแห่งพระนิพพาน นั้นคือความหวัง ทีนี้ ในเรื่องที่จะให้ละเรื่องกินหมากนี้ มันต้องอยู่ที่ตัวเองว่า ตัวเรานี้จะต้องปรับปรุงตัวเราเอง

แบบเสมือนหนึ่ง องค์สมณโคดมว่า “ถ้าท่านไม่บำเพ็ญตน ตถาคตก็ช่วยให้ท่านสำเร็จอรหันต์ไม่ได้ การที่จะสำเร็จถึงพุทธะแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของกระแสจิตนั้น ต้องอยู่ที่ท่านช่วยตัวท่านเองด้วย ตถาคตมีแต่แผนผังให้ท่าน ตถาคตทิ้งเรือให้ท่าน”

ทุกวันนี้ โลกมนุษย์มีแต่คนพูดแต่เรือองค์สมณโคดม แต่ไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปในเรือองค์สมณโคดม ก็ย่อมไม่ถึงฝั่ง ฉันใดก็ฉันนั้น ฉะนั้นในฐานะที่เรียกว่า เมื่ออดีตเคยมีกรรมพัวพันกันมา ปัจจุบันมาเจอกัน พ่ออยู่พรหมโลก ลูกยังเป็นมนุษย์เดินเคี้ยวหมาก มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ว่า

“ลูกเอ๋ย ควรจะยุติเรื่องปริยัติ หันมาปฏิบัติกันดีกว่า เพราะว่าในการปริยัตินี้ พ่อทำมาก่อนแล้ว”

ตัวต้องปรับปรุงตน ให้ตนเหนือตน แล้วจะรู้จักการเป็นคน หลักแห่งความจริง ทำไมหลวงปู่จึงเข้าป่า หนีการเป็นสังฆราชในอโยธยา ถ้าว่าตามหลักแล้ว หลวงปู่ทวดนี้ หรือว่าพระภิกษุปูนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ในทางไสยศาสตร์หาตัวจับยากในอโยธยา ต่อมาได้ศึกษา ได้ค้นเข้าไปว่า


เมื่อภาวนาการณ์ ครั้งหนึ่งมีการพบกันของเหล่ามุนีในการบำเพ็ญ ได้มีมุนีองค์หนึ่ง ได้ถามมุนีอีกองค์หนึ่งว่า ท่านนี้หรือที่เขาเรียกว่าสำเร็จ เป็นผู้มีฌานญาณแห่งความรู้ในทางธรรม มุนีองค์นั้นได้ตอบคำถามของมุนีฝ่ายตรงข้ามด้วยความนั่งนิ่ง บอกว่า นี่คือคำตอบ

ภาวการณ์อันนี้ องค์หลวงปู่ก็ได้ศึกษา ได้ค้นว่า ในความนิ่งจะต้องมีธรรมชาติอันหนึ่งเหนือความนิ่ง ที่เป็นปัจจัตตัง หรือเรียกว่า อาตมัน ก็ได้ทำการหันเข้าสู่ในจุดแห่งการบำเพ็ญธรรมฌาน จึงได้ในด้านของฌานญาณมาก ได้บำเพ็ญในการที่จะปรารถนาในการเป็นพุทธะแห่งยุค

เวลานี้เอ็งก็สอน กูก็สอน เอ็งก็ไปไม่ถึง กูก็เลยไปไม่ถึงด้วย มันก็ว่ากันไปอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในหลักแห่งความจริงที่มาเทศน์ในครั้งนี้ มาในฐานะมีหน้าที่ที่เขามอบหมายมา ให้มาช่วยในการทำงาน เพื่อให้ลุล่วงตามเป้าหมายของโลกวิญญาณที่วางไว้

เพราะฉะนั้น เราเป็นอาจารย์สอนธรรมะ ถ้ามีความน้อยใจ มันจะไปถึงธรรมได้อย่างไร

คุณหญิงระเบียบ : ก็น้อยใจไม่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะ แต่ว่าถ้าที่ไหนรังเกียจ ไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นการไม่ให้เขาเกิดกิเลส เราก็หลีกเลี่ยงไปเสีย

สมเด็จ : ความรังเกียจย่อมไม่มีอยู่ในจิตของอาตมา ภาวนาการณ์มีแต่สอนให้รู้จักการเป็นตัวตน สภาพการณ์ถ้าท่านติดความรังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความไม่รังเกียจ ถ้าท่านติดความไม่รังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความรังเกียจ เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมจึงพยายามสอนว่า “อานนท์ เจ้าจงอย่าติดตถาคตเถิด แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะถึงตถาคต”

pngegg.5.3.1.png



วิญญาณของโลกวิญญาณ



คุณหญิงระเบียบ : ลูกจะถามเรื่องว่า เสด็จพ่อพูดถึงโลกวิญญาณบ่อยๆ โลกวิญญาณน่ะ มีวิญญาณอย่างเดียวหรือเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในภาวะคำว่า วิญญาณ นี้ เป็นการครอบงำของจักรวาลพิภพ วิญญาณนั้นเขาแบ่งเป็นกระแสของวิญญาณ แห่งเทพ แห่งพรหมนั้น ละลายในกายหยาบหรือยัง มีกายทิพย์หรือเปล่า ละลายกายทิพย์เหลือแต่จิตวิญญาณหรือเปล่า เพราะมันมีกฎความจริงของธรรมชาติอันหนึ่งเขาเรียกว่า สุญญากาศ

สูญ ในตัวนี้ไม่ใช่สูญเปล่า สูญเขาเรียกว่า สูญของอาตมันแห่งความรวมของกระแสจิตและวิญญาณ สู่ในแนวแห่งความว่างแห่งสรรพ เขาเรียกว่า วิญญาณนั้นห่างกิเลสจากกิเลส สิ้นจากอาสวฌาน รวมตนเป็นสูญอันนั้น เป็นสูญที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องย้อนเขาพุทธพจน์แห่งองค์สมณโคดมว่า

“ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต
ผู้ใดถึงธรรม      ผู้นั้นถึงตถาคต”


ถ้าถึงจุดแห่งความรู้บริสุทธิ์นี้ อธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ง่าย และคำว่าวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลออแห่งความถี่ยิบของเขา เรียกว่ายิ่งกว่าน้ำนั้น เป็นภาษาที่พูดไปแล้ว องค์สมณโคดมเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค คงไม่ทิ้งท้ายในพุทธพจน์อันนี้

เพราะฉะนั้น จึงว่าวิญญาณนี้ วิญญาณของโลกวิญญาณ เขามีพรหมโลก เทวโลก ยมโลก นรกโลก ต่างก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง วิญญาณเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ มนุษย์จะเกิดก็ต้องอาศัยวิญญาณของตน เขาเรียกว่า วิญญาณอดีตผสมวิญญาณปัจจุบันของการก่อกรรม เพื่อให้ปฏิสนธิกลายเป็นคน

อันนี้ต้องไปฟังที่อาตมาเทศน์ไว้ เรื่องคำว่า ทำไมจึงเกิดมาลืมอดีตชาติ ที่เทศน์ไว้มีแยะ และจะให้ท่านในเรื่องรายละเอียดของเรื่องวิญญาณนี้ ก็ต้องมาศึกษาที่เทศน์ไว้ก่อน แล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอาตมานี้มีเวลาจำกัด แล้วก็ไม่มีเวลาที่จะมาเทศน์ย้อนกลับไป ย้อนกลับมา เขาเรียกว่า เทศน์ในปัญหาที่คนไม่ถาม เพื่อทิ้งอนุสรณ์เพื่อคนรุ่นหลัง

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

ทิ้งสังขารสู่พรหมโลก


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : เสด็จพ่อ เวลาอยู่บนสวรรค์ เป็นสมณะหรือเป็นเทวดา หรือเป็นเทพ

สมเด็จ : คือในการบำเพ็ญตนอยู่ในพรหมโลกขณะนี้ กระแสถ้าว่าตามหลักแล้ว เขาเรียกว่า รูปพรหม ทีนี้อนุสัยแห่งความมีอยู่ในฉันทะแห่งการครองตนเป็นเพศสมณะ ยังติดแฝงอยู่ในอนุสัยแห่งสันดานของจิตวิญญาณนั้น

ในการบำเพ็ญในโลกวิญญาณนั้น เขามีวิถีการว่า ผู้ทิ้งร่างจากโลกมนุษย์ในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่พรหมโลก หรือในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่เทวโลก ระหว่างนั้นกำลังเสวยกุศลอะไรในภาวะที่มาเป็นเทพ กำลังขึ้นจากโลกมนุษย์มาสู่โลกวิญญาณนั้นมาในกระแสฌานอะไร เป็นพรหมอะไร และระหว่างเป็นพรหมนั้น อย่าลืม เป็นพรหมก็บำเพ็ญในโลกวิญญาณได้ โลกวิญญาณเขามีที่จะให้บำเพ็ญซอยเข้าไป

อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า ในการที่จะซอยเข้าไปในการเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ในการที่จะบำเพ็ญจากพรหมไปสู่แดนอรหันต์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิ หรือสู่แนวพระโพธิสัตว์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล นั่นคือภาวการณ์และความฉันทะของผู้สำเร็จองค์นั้นๆ หรือว่าวิญญาณนั้นๆ ที่ขึ้นมา และอยู่ในวิบากอะไรขนาดไหน มีกุศลในอดีตส่งเพียงพอหรือไม่ ที่จะบำเพ็ญไปสู่ในจุดในแนวนั้นได้ ตามความปรารถนาในฉันทะของจิต

คุณหญิงระเบียบ : ห่มผ้ากาสาวพัสตร์หรือเปล่าคะ ในพรหมโลก

สมเด็จ : ในพรหมโลกนั้น จะครองก็ได้ ไม่ครองก็ได้ เพราะว่าเขาครองด้วยอำนาจทิพย์ เวลานี้จะครองชุดกาสาวพัสตร์ ใช้กระแสจิตเนรมิตก็ขึ้นสู่ผ้ากาสาวพัสตร์ ในขณะที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์นั้นรู้สึกร้อน ขรัวโตนี้อยากจะครองชุดวันเกิดขึ้นมา ก็ละเลยมันไป

คุณหญิงระเบียบ : มีเพศหรือเปล่าคะ

สมเด็จ : ในเพศนั้น ถ้าอยู่ในเทวโลกชั้นที่ ๑-๕ ยังมีการแบ่งเพศของกิเลสจากของเทพ ถ้าอยู่ในพรหมโลก เลยพรหมชั้นที่ ๖ ไปแล้ว จะไม่มีการแบ่งเพศในขณะนั้น เพราะว่าพรหมเพิ่งขึ้นสู่การเป็นรูปพรหม ที่เลยจากรูปพรหมชั้นที่ ๖ ไปนั้น อยู่ในภาวะที่เป็นพรหมละลายกิเลสชั้นหยาบลงไปได้มากเพียงพอ แต่ไม่หมด เจออาจารย์อภิธรรมต้องอมภูมิหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : อยากจะเรียนถามว่า สมเด็จพ่อได้ฌานมีองค์เท่าไหร่ องค์ฌานน่ะ

สมเด็จ : ในภาวะฌานนั้น ท่านจะเอาฌานไหน ตติยฌาน ๓ จตุตถฌาน ๔ แล้วไปในด้านอภิญญา ในหลักแห่งความจริง ก็คือว่า ได้ฌาน แต่ไม่ยึดฌาน ไม่ติดฌาน และไม่อวดฌาน เพราะว่าซักแบบนี้ เขาเรียกว่า ซักแบบทนายความเอาจนมุม จะเข้าในกฎผิดพระวินัย บอกว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้วิเศษเว้ย

คุณหญิงระเบียบ : ไม่ได้ซักแบบนั้นเจ้าค่ะ ถามเพื่อจะให้ทราบว่า เสด็จพ่อได้ฌานอะไร มีองค์เท่าไหร่

สมเด็จ : ได้องค์ฌาน ในตติยฌาน ขึ้นสู่อภิญญา ๔ ภาวการณ์บำเพ็ญในจุดเพื่อสิ้นอาสวกิเลส ที่แฝงอยู่ในกายในกาย

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ ความสุขมีไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ภาวะแห่งความสุขนั้น ท่านถึงตติยฌาน จิตของท่านย่อมนิ่งสุข ยิ้มผ่องใสอยู่ในองค์ฌานนั้น สภาพการณ์ถ้าวันไหนองค์ฌานท่านไม่รักษาให้แข็งแกร่ง เกิดตกลงมา ภาวะแห่งความอยากมันก็จะเกิด แล้วไปๆ มาๆ มันก็อยากจะกินหมากขึ้นมาอีก
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

3.png



ตอนที่ ๑

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ทรงกล่าวถึง

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์



IMG_6520.2.jpg




กำเนิดสำนักปู่สวรรค์


(วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘)



อังคารที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘ วันนี้เป็นวันทำพิธีตั้งสำนัก โดยใช้ชื่อสำนักว่า “สำนักปู่สวรรค์” ซึ่งเป็นชื่อที่องค์หลวงปู่ทวด ตั้งขึ้นตามมติของสามโลก

สำนักนี้ตั้งขึ้น เพื่อรับสถานการณ์ของโลกซึ่งกำลังย่างเข้าสู่กลียุค เพื่อช่วยมนุษยโลก โปรดสัตว์ รักษาผู้เจ็บป่วยด้วยโรคาพยาธิทุกชนิด เป็นการเจริญรอยตามพุทธพจน์ดำรัสว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” และเพื่อเป็นที่เผยแผ่สัจธรรมอันประเสริฐและแท้จริง เจริญรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

pngegg.5.3.1.png



พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยาม


(วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒)



มื่อภาวการณ์นั้นแหล่ เกิดความยุ่งเหยิงในการทั้งหลาย องค์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม ที่มนุษย์สมมติตั้งเป็นฉายา ถ้าว่าตามหลักแห่งการนามจริง ก็คือ พระภิกษุปูคูรูปาจารย์แห่งสมัยนั้น ในการเป็นสังฆราชในราชวงศ์ของเจ้าอู่ทอง ณ กรุงศรีอโยธยา

ได้ตั้งสัจอธิษฐานให้ทั้ง ๓ โลก เข้าใจว่า หลังจากยุคแห่งศรีอริยเมตไตรยจุติมาในโลกมนุษย์ เพื่อสืบต่อศาสนาขององค์สมณโคดมแล้วไซร้

ผู้ที่ปรารถนาแห่งการเป็นพุทธะแห่งยุค สืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรย ก็คือ พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามได้อธิษฐานก่อนคนอื่น

ในภาวการณ์เช่นนี้ ในการที่จะสร้างอาณาจักรแห่งการเป็นพุทธะสืบต่อแล้ว การจะเป็นเจ้ากรุงครองเมือง จำเป็นที่จะต้องมีประชาชนให้ปกครอง ถึงจะได้เป็นเจ้า ถ้าอยู่คนเดียวแล้วจะไปเป็นเจ้าอะไร เมื่อภาวการณ์นี่แหล่ จึงว่า สภาวการณ์เช่นนี้ ควรจะทำ ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการ

หนึ่ง เพื่อบำบัดทุกข์ในด้านของกายและใจในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้


สอง เพื่อหาสาวกแห่งการสืบต่อแห่งการที่จะเป็นผู้นำศาสนาของยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย

เพราะฉะนั้น ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการบรรจุเทพพรหมทั้งหลายที่จะมาร่วมมาปฏิบัติในที่นี้ ก็คือมาในรูปของการที่ว่า ผู้ถวายตัวเป็นศิษย์จะได้เทวดาในปัจจุบันชาติไปคุ้มครองหนึ่งองค์ อนาคตชาติยุคศรีอริยเมตไตรย อาจจะมาเกิดในยุคนั้นด้วยกัน ยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามผู้นั้นก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ต้องจำเอาไว้ว่า ในยุคแห่งศาสดายุคนั้น ไม่ใช่เกิดในกรุงสยาม

ทีนี้ภาวการณ์ทั้งหลาย ในหลักแห่งความจริง อาตมานี้เป็นผู้ที่เรียกว่า แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่มีสังขารถึงเวลานี้เหลือแต่จิตวิญญาณที่อยู่ในรูปพรหมชั้นที่ ๑๖ ตาม
หลักอาตมาจะเข้าอรูปพรหมแล้ว แต่อาตมายังไม่เข้า เพราะยังมีกิเลสที่ห่วงในเหล่ามนุษยชาติทั้งหลายที่มีกรรมหนาอยู่และห่วงใยสายใยแห่งการครองเมืองของอาตมาด้วย

ภาวการณ์อันนี้แหล่ อาตมาจึงได้อาสาเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ โดยรับอาสาเป็นผู้เทศน์ธรรมะในการเพื่อขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ แต่ในการมาสำนักนี้แล้ว เทศน์ไปมากแล้ว หาคนปฏิบัติจริงในยุคนี้ยากเต็มทน พอจะเข้าใจไหม มีอะไรอีกไหม

pngegg.5.3.2.png



ประธานดูแลโลกมนุษย์


(วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



เวลานี้เขาเรียกว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการติดต่อถึงจดหมายแห่งห้องรวมกรรมของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก ก็มีหลวงปู่ทวดแห่งกรุงสยาม ในขณะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อาวุธโสที่กำลังเตรียมตนเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ได้ตั้งความปรารถนาแห่งความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคมาเป็นกัปๆ กัลป์ๆ


ในขณะนี้ ได้รับคัดเลือกจากแดนโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระโพธิสัตว์สิบหมื่นแปดพันสี่ร้อยสามสิบองค์ในขณะนี้ ให้เป็นประธานดูแลความทุกข์สุขในโลกมนุษย์ในยุคกลียุคแห่งยุคกลางนี้ ยุคปลายจะเปลี่ยน แล้วก็เป็นการเตรียมตนแห่งการเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

เพราะฉะนั้น โลกวิญญาณมีกฎ มีระเบียบของการอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งที่มนุษย์ไม่ศึกษา ไม่ค้น ไม่ปฏิบัติ แล้วมักจะปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเสมือนหนึ่งคนที่ไม่ยอมเข้าไปดูว่า ในโรงงานที่เขาทำน้ำตาลนั้น มีน้ำตาลอยู่อย่างไร อยู่ข้างนอกแล้วก็วิจารณ์แต่เรื่องน้ำตาล ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนสันดานมนุษย์ในยุคนี้

pngegg.5.3.3.png



พระโพธิสัตว์แห่งยุค


(วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



ทำไมอาตมาจึงใช้คำว่า พระโพธิสัตว์แห่งยุค เพราะว่าในขณะนี้ พระโพธิสัตว์ที่มาเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์มากที่สุด ก็คือ หลวงปู่ทวด ซึ่งขณะนี้ได้รับเป็นผู้ดูแลความทุกข์สุขของมนุษย์ในยุคแห่งกลียุคกลางนี้


พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยนั้น มีแต่กำลังเตรียมฌานญาณในการที่จะจุติมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลที่จะถึง หลังจากพุทธศาสนาของศากยราชโคตมะสิ้นสุด

p4.png



งานปรับปรุงศาสนา


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของอาตมานี้ อย่าลืม หลวงปู่ก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่มาแค่รักษาโรค มาแค่เทศน์เท่านั้น การรักษาโรคนั้น พรหมธรรมดา เทพธรรมดา เขาก็รักษาโรคได้ ซึ่งท่านก็รู้เห็นมีกันอยู่มากมาย แต่การมานี้ มีหลักในการทำงาน คือ มาเพื่อปรับปรุงพระศาสนาให้ดีขึ้น เพื่อให้มนุษย์เข้าถึงซึ้งในแก่นของศาสนา ไม่ใช่เพียงกระพี้ของศาสนาในทุกวันนี้

....สมองอย่างอาตมาก็ดี สมองอย่างหลวงปู่ก็ดี ล้วนแต่เคยกู้ความอยู่รอดของประเทศมาแล้วทั้งนั้น ยุคอโยธยาหลวงปู่ได้ช่วยแก่ปริศนาธรรมที่ประเทศลังกาเอามา เพื่อจะมายึดครอง

p5.png



งานเพื่ออนาคต


(วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของสำนักปู่สวรรค์นั้น ไม่ใช่งานเพื่อปัจจุบัน งานของสำนักปู่สวรรค์เป็นงานเพื่ออนาคต คือเมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๓,๐๐๐ ปี มนุษย์ในยุคนั้นจะมาศึกษาเรื่องสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ทำเป็นหลักฐานทิ้งร่องรอยเอาไว้กระจายให้ทั่ว เพื่ออนุชนรุ่นหลังที่จะค้นคว้าศึกษาจะได้ง่าย นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ

ข้อความเหล่านี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



" โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว "



" ทุกหนแห่ง  มีสิ่งลี้ลับอัศจรรย์ของวิญญาณอยู่มาก

แต่มนุษย์ไม่ได้ศึกษา  ไม่ได้ค้นคว้า  ไม่ได้ปฏิบัติจิต

แล้วก็มีบางพวก  ตนเองปฏิบัติไม่ถึง

ก็สำคัญผิดว่า  ผู้อื่นก็ไม่ถึงด้วย

จึงด่วนลงความเห็นว่า

สิ่งนี้ไม่จริง  สิ่งนั้นไม่จริง "



" ท่านจะเข้าถึงโลกวิญญาณได้

ขอให้ท่านปฏิบัติตนตามขั้นตอน

คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา "


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

ค้นกายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม


(วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณขีด พูลประภัส : เกล้ากระผมมีปัญหาที่จะถามหลวงพ่อสมเด็จ กระผมข้องใจในข้อธรรมที่หลวงพ่อได้เทศน์ไว้ ให้ค้นกายในกาย ให้ค้นจิตในจิต ให้ค้นธรรมในธรรม ให้ค้นวิญญาณในวิญญาณ หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือในหลักการที่จะค้นใน ๓ คำนี้ เขาเรียกว่า เป็นภาวะแห่งธรรมารมณ์ ภาวะแห่งธรรมารมณ์นี้ หมายความว่า มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ค้นตน ในการค้นตนนั้น ก็ย่อมที่จะทำให้ท่านปลงสังขารในกาย สิ่งที่ท่านเห็นว่า สวยงามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่หลอกหลอน สมมติของการหุ้มห่อของผิวพรรณ หุ้มเนื้อ กระดูก เส้นเอ็นในกาย

เมื่อท่านมา ค้นกายในกายแล้วไซร้ ท่านจะรู้สึกว่า มนุษย์เรานี้ กายในนั้น ก็คือปฏิกูลบำรุงปฏิกูลให้ขันธ์นี้อยู่ เพื่อใช้กรรมตามวาระ คือเข้าสู่หลักแห่งปลงกรรมฐานนั่นเอง ในการเล่นอสุภะเป็นอารมณ์

ทีนี้ ในด้านของคำว่า “ค้นจิตในจิต” นั้นก็คือ ท่านอย่าลืมพลังแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ แห่งธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ในจิต เมื่อท่านสามารถปฏิบัติธรรมในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน จนสู่ในการรู้แจ้งแห่งฌานญาณนี้แล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านก็จะรู้จิตในจิตเป็นอย่างไร

ส่วนในภาวะของคำว่า “ค้นวิญญาณในวิญญาณ” นั้นก็เพราะว่า มนุษย์เราทั้งหลายประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับวิญญาณธาตุส่วนหนึ่ง แต่วิญญาณในวิญญาณ คือวิญญาณทิพย์อีกส่วนหนึ่ง ที่ซ้อนเร้นอยู่ในวิญญาณธาตุ ท่านจะค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้ต่อเมื่อ ท่านประกอบในจิตแห่งการสำเร็จในด้านคำว่า ฌานญาณ เมื่อนั้นท่านย่อมจะตีในหลักคำ ๓ ประการนี้ได้อย่างถ่องแท้

ถ้าท่านไม่ปฏิบัติในหลักสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อค้นกายในกาย ค้นจิตในจิต ค้นวิญญาณในวิญญาณ แล้วไซร้ ท่านย่อมไม่มีทางรู้ เพราะว่าธรรมารมณ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่สามารถที่จะแสดงออกเป็นอารมณ์แห่งการพูดได้ จะต้องทำถึงจุด แล้วจะรู้นั้นเป็นอย่างไร


ดังสภาวะ เช่น ท่านศึกษาในพระธรรม ท่านจะเห็นว่า คนเขาถามว่า การเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ตอบ จะนั่งนิ่ง พูดว่า ท่านจงทำอารมณ์แห่งการนิ่งถึงตถาคต เมื่อนั้นจึงจะรู้ว่าตถาคตเป็นอย่างไร เพราะว่าในด้านแห่งนามธรรมนี้ เป็นด้านที่ละเอียด เรียกว่าจะพูดเป็นภาษาแห่งสมมติบัญญัตินี้ยาก จะต้องค้นเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง ถึงเอง รู้เอง สิ่งเหล่านี้แล จึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับในยุคศิวิไลซ์นี้

มนุษย์เรานั้น ถ้าหลงอยู่ในกิเลสตัณหาทางโลก ไม่มาพิจารณาว่า การเกิดเป็นคนนั้น จะมีสังขารแห่งอายุอยู่ได้กี่พรรษา จากนั้นท่านก็ต้องตายจากโลกมนุษย์ แล้วไปใช้กรรมในปรภพ ระหว่างเป็นมนุษย์ ท่านจะปฏิบัติตนให้เขาสรรเสริญ หรือว่าจะให้เขาด่า เมื่อท่านตาย

ในชีวิตความเป็นอยู่ของท่าน ท่านจะต้องตั้งเข็มทิศให้ถูกทาง มนุษย์เรานี้ ถ้าเกิดมา ไม่พยายามค้นรู้จักตัวตน มนุษย์ผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะทิ้งในหลักแห่งความโลภะ โทสะ โมหะ ได้ เมื่อท่านไม่สามารถทิ้งในหลักดังกล่าวได้แล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านก็ไม่รู้จักกายในกาย นี่เป็นธรรมารมณ์แห่งธรรมะที่เป็นลูกโซ่ ที่จะแยกแยะชี้แจงให้รู้ด้วยปากเปล่านั้น ยากเต็มทน

เจริญพร
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

ถ่ายภาพมีวิญญาณปรากฏ


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์ลัดดา : การที่ถ่ายรูปแล้วมีวิญญาณปรากฏ เป็นไปได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในภาวะตอนนั้น วิญญาณบังเอิญรวมตัวของพลัง เขาเรียกว่าเจตนาของกายทิพย์ คือวิญญาณที่มาปรากฏร่างให้มนุษย์เห็นได้ ให้มนุษย์ถ่ายภาพได้นั้น เขาเรียกว่า เป็นวิญญาณที่ยังมีกายทิพย์ และยังมีกายหยาบ

ถ้าจะอธิบายเรื่องของวิญญาณแล้ว เป็นสิ่งละเอียดมาก หลังจากมนุษย์ตายแล้ว ธาตุทั้งสี่สลายจากการเป็นคน จิตวิญญาณหลุดลอยออก ภาวะแห่งวิญญาณนั้น จะมีกายทิพย์อยู่ในกายหยาบ ถ้าวิญญาณนั้น มีการฝึกในด้านของสมาธิวิปัสสนามาบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น

บางครั้งบางคราว ย่อมสามารถที่จะรวมพลังเปล่งรัศมีของตน เขาเรียกว่า หลอกตาคน ก็คือ รวมพลังแห่งจิตบังคับประสาทจิตของฝ่ายตรงข้ามให้มาเห็นตัวตนของตน คือเรียกว่า พลังของเทพเจ้าบังคับมนุษย์ นี่คือเหล่าเทพที่ใกล้มนุษย์ พวกรุกขเทวดาชอบแสดง

อาจารย์ลัดดา : ลูกศิษย์ของลูกที่ไปทำปริญญาตรีนี่ ลูกก็พยายามหนุนแกว่า ให้พยายามเอาวิชาฟิสิกส์มาทำยังไง ให้วิญญาณมาปรากฏในสายตามนุษย์ ถ้าเป็นไปได้ อาจจะได้รางวัลโนเบล เป็นรางวัลของประเทศสวีเดนที่เขาตั้งไว้ ลูกก็พยายามเหลือเกินให้แกทำเป็นผลสำเร็จ

สมเด็จ : มันต้องอยู่กับตัวเขาปฏิบัติแข็งหรือไม่ ทีนี้ มนุษย์เราในยุคนี้ เขาเรียกว่า ไม่มองตน พยายามมองคนอื่น ตัวปฏิบัติไม่ถึง ก็ชอบโทษโน่นโทษนี่ คือในภาวะในหลักแห่งการดูเทพพรหมนั้น ในหลักแห่งการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน องค์สมณโคดมได้เข้าป่า เพื่อค้นในหลักแห่งสัจจะของรู้อันบริสุทธิ์นี้ขึ้นมา

ก็คือ ท่านปฏิบัติจิตอยู่ในเอกัคตาจิต ภาวะแห่งเอกัคตาจิตนั้นแหละ รวมพลังของจิตวิญญาณให้นิ่ง จิตวิญญาณนี้นิ่ง สามารถพุ่งจากกายเนื้อออกไป เขาเรียกว่า ตายระหว่างเป็นและเป็นระหว่างตาย ก็คือพุ่งจากกายเนื้อออกไป จิตวิญญาณจะรวมกันพุ่งไปอยู่ในรูปหนึ่งเห็นกายเนื้อ เมื่อพลังแห่งรักษาจิตวิญญาณนี้ได้แล้ว รวมองค์ฌานรัศมีได้แล้ว ย่อมที่จะรู้การจุติของเทพพรหม ก็คือสามารถไปพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ได้

ในหลักแห่งความจริง ในหลักแห่งโลกุตระนี้ ผู้ปฏิบัติจะต้องแข็งหนึ่ง จะต้องไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ประจำหนึ่ง จะต้องสิ้นแล้วแห่งกิเลสแห่งความอยากหนึ่ง จะต้องเลิกข้องกับมนุษย์หนึ่ง จะต้องรักษาอารมณ์หนึ่ง นี้ถึงจะถึงจุดแห่งการรู้

เพราะฉะนั้น ในการทำ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อให้มนุษย์สรรเสริญ ย่อมไม่มีทางได้ ทำงานเมื่อมีตัวอยากครอบงำ ย่อมถึงกระแสแห่งวิมุตติไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

อาจารย์ลัดดา : ในกรณีของคุณพิสิทธิ์นี่ อาจจะต้องมีตัวอยาก คือเขาอยากติดต่อกับหัวหน้าผี คงไม่เป็นไรกระมังคะ

สมเด็จ : คือเวลานี้ อาตมาย้อนเขา เขาก็นิ่ง เขาเข้าใจว่า เขาถึงจตุตถฌาน อาตมาถามเขาว่า จตุตถฌานนี่ ท้องมึงหมุนหรือยัง เขาก็เลยรู้ว่า เขาอยู่ในอุปาทาน ไม่ใช่จตุตถฌาน
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๘

ผีบ้าน ผีเรือน ผีหลอก


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมมีความสงสัยเรื่อง เทพหรือพรหมทั้งหลาย ที่แบ่งวิญญาณออกไปอยู่ตรงโน้นตรงนี้ ไปประจำตรงโน้นตรงนี้ ได้จริงหรือไม่ครับ

สมเด็จ : คือในภาวะแห่งการแบ่งภาคนี้ สภาพการณ์ในโลกมนุษย์ไม่เข้าใจ อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แล้ว เมื่อภาวะผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นย่อมเสวยกรรมวิบากนั้น

ทีนี้ ตามโบสถ์ก็ดี ตามเจดีย์ก็ดี ตามอะไรก็ดี ก็ย่อมมีเทวดารักษา แล้วแต่ต่างกรรมต่างวาระในสถานที่นั้น เขาเรียกว่า บ้านก็ย่อมมีผีเรือน ผีเรือนนี้จัดอยู่ในเทวดาชั้นต่ำ อยู่ใกล้มนุษย์ เรียกว่า พวกอมรมนุษย์

อมรมนุษย์เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ ก็จากเหล่ามนุษย์ที่ตายจากโลกมนุษย์ โดยเรียกว่า ไม่ได้สร้างทั้งบุญและไม่ได้สร้างทั้งบาป เมื่อไม่ได้สร้างทั้งบุญไม่ได้สร้างทั้งบาปแล้ว เมื่อพ้นจากการวินิจฉัยของศูนย์รวมกรรม พวกนี้ย่อมอยู่เป็นวิญญาณอิสระ

ภาวะแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ จะปฏิบัติตนขึ้นสู่พรหมโลกก็ได้ ขึ้นสู่พรหมสุทธาวาส ขึ้นสู่อรูปพรหมก็ได้ อันนี้ต้องอยู่ที่วิญญาณนั้น เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณแห่งการเป็นอมรมนุษย์นั้น จะมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการปฏิบัติของกายทิพย์หรือไม่

สานุศิษย์ : ทำไมผีจึงต้องมาหลอกมนุษย์ด้วยครับ

สมเด็จ : ในสภาวะวิญญาณนั้น บางครั้งที่เขาเรียกว่า ผีหลอกนั้น ก็คือวิญญาณนั้นข้องอยู่ในอกุศลอารมณ์ เมื่อข้องอยู่ในอกุศลอารมณ์แล้วไซร้ ก็มีตัวอยากเกิดขึ้นมาได้ เมื่อมีตัวอยากเกิดขึ้นมา ก็ย่อมที่จะหาวิธีการที่จะสัมผัสกับมนุษย์ในทางโลก

อันนี้บางครั้ง เขาสามารถรวมพลังของกายทิพย์ให้เปล่งรัศมี กลายเป็นกายเนื้อได้ชั่ววินาที นี่คือเหล่าวิญญาณที่ยังมีกายหยาบ แต่ถ้าวิญญาณที่ไม่มีกายแล้ว ย่อมไม่มีกระแสแห่งการรวม

และในการเคลื่อนไหวของวิญญาณนั้น เร็วยิ่งกว่าปรอท เรียกว่า หนึ่งวินาทีย่อมถึงพรหมโลก หนึ่งวินาทีย่อมถึงเทวโลก เพราะว่าเคลื่อนไหวด้วยทิพยวิญญาณ ทิพยจักษุ

อันนี้จะเข้าซึ้งจะเข้าใจต่อเมื่อ เราเจริญรอยตามองค์สมณโคดม ซึ่งได้วางหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน ปฏิบัติไปตามขั้นตอนของฌานญาณ เมื่อท่านปฏิบัติถึงจตุตถฌานสี่แล้วไซร้ ท่านย่อมเข้าใจซึ้งถึงความเป็นอยู่ของเทพพรหม
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 04:51 , Processed in 0.088061 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.