แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

กฎของโลกวิญญาณ


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อคะ เมื่อสองปีที่แล้ว คุณแม่ของลูกเป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วก็เส้นโลหิตแตกตาย แล้วพวกลูกๆ ได้รับคุณพ่อมาอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณพ่อบอกว่า ไม่อยากอยู่กับลูกคนไหน อยากจะไปอยู่กับคุณแม่ พออยู่กันได้ ๒๓ วัน คุณพ่อก็เป็นลมตาย ลูกอยากทราบว่า คุณพ่อกับคุณแม่ได้ไปอยู่ด้วยกันหรือเปล่า

สมเด็จ :
คือว่า ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านควรอย่ายึดใครเป็นสรณะ การเกิดเป็นบิดา มารดา บุตร หลาน นั้น สืบเนื่องจากอดีตกรรมส่งผลในการพัวพันในอดีตชาติมาทันในปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้น ผู้ที่สิ้นไปแล้ว ย่อมที่จะต้องไปเสวยกรรมวิบากกรรมของตน ท่านอย่านึกว่า การเป็นสามีภรรยาอยู่ในปัจจุบันชาติ ตายไปแล้ว วิญญาณจะไปเป็นสามีภรรยากันอย่างเก่า นั่นคือ พวกหลง

พวกที่ติดต่อแค่เหล่าพวกอมรมนุษย์ แล้วก็อวดดีขึ้นมา อย่าลืมในกฎของโลกมนุษย์ ถ้าท่านถึงจุดของนรกโลก ยมโลก เทวโลกแล้ว ท่านจะไม่มีความรู้จักของการพัวพันกับบิดามารดา ทุกคนเสวยอยู่ในกรรมวิบากของตน

ทีนี้ในการเรียกว่า เมื่อเรามีความกตัญญูต่อบิดามารดาที่มีกรรมพัวพันส่งผลให้เราเกิดเป็นคนนั้น เราก็ควรจะทำในวิถีการในการทำการใดๆ ด้วยความเมตตากรุณา ส่งผลให้กุศลนั้นถึงเขาในปรภพ เมื่อนั้นเขาก็สุข เราก็สุข ท่านอย่าลืม การหลั่งน้ำตา แสดงถึงบุคคลนั่นไม่ใช่บุคคลที่จะเป็นผู้นำคน ผู้นำไม่มีคำว่าหลั่งน้ำตา มีแต่หลั่งน้ำเลือด

การที่เราจะไปรู้ถึงการเป็นอยู่ของความทุกข์ ความสุขของวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกับเรานั้น เป็นสิ่งที่ว่า ถ้ารู้ดี เราก็แค่เบิกบาน รู้ว่าไม่ดี เราก็เกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอาตมา อาตมาถือว่า เรามีความกตัญญูกตเวที เราก็สร้างกุศลวิบากส่งผลไป เขาก็ได้รับก็สบาย เราอยู่โลกมนุษย์ก็สบายไปด้วย


สานุศิษย์ : ลูกขอถามอีกข้อหนึ่งค่ะ วิญญาณคุณพ่อคุณแม่จะกระวนกระวายไหม ถ้าหากทราบความเป็นอยู่ของลูกๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีความสุขเท่าที่ควร

สมเด็จ : ถ้าวิญญาณนั้นยังไม่เสวยกรรมวิบาก ก็จะเกิดความกระวนกระวาย แล้วเกิดอุปาทานขึ้น แต่ถ้าวิญญาณนั้นอยู่ระหว่างการเสวยกรรมวิบากแล้วไซร้ วิญญาณนั้นจะตัดขาดจากการเป็นพ่อแม่ลูกระหว่างวิญญาณกับมนุษย์

มีอะไรอีกไหม ไม่มีอาตมาก็จะกลับ
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

ยมทูตเอาผิดตัว


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณภูเบศร์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ มีคนเฒ่าคนแก่เคยเล่าให้ฟังว่า คนตายบางครั้ง ยมทูตเอาตัวผิดไป แล้วเอามาคืน อย่างนี้มีจริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : รื่องตายนี่ อาตมาเทศน์ไว้เยอะแยะแล้ว ถ้าท่านตายอย่างถึงอายุขัย ก่อนตาย ๓ วัน ท่านจะรู้สึกมีอะไรแปลกๆ มันจะรู้สึกแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆ บางทีพูดคนเดียว บางทีหัวเราะคนเดียว บางทีบอก มีใครมาชวนโน่นชวนนี่ นั่นแสดงว่า กายทิพย์ของท่านกำลังจะรวมตัวสู่ปรภพ นี่พูดถึงเรื่อง ตายถึงอายุขัย คือในขณะนั้นจะมีกระแสติดต่อของพวกยมทูต เทวทูต พรหมทูต มาพร้อมที่จะมาคอยวิบากกรรมของท่าน

สำหรับในเรื่องที่ว่า ยมทูตเอาตัวผิดนี้ มีบางครั้งเหมือนกัน คือชื่อเหมือนกัน สมมติว่าให้ไปจับนายแดงท่าพระจันทร์ ยมทูตมาถึงท่าช้างก็มีนายแดง เจ้าที่ท่าช้างก็บอกว่า นี่ ท่านยมทูต วันนี้ฉันได้สินบนหัวหมูมาตัวหนึ่ง เหล้าโรงสองขวด ท่านมาเมากันก่อนเถอะ แล้วค่อยไปจับ พวกรุกขเทวดา พวกยมทูตที่ชอบกินก็มี ก็กินจนเมา เลยขี้เกียจเดินไปถึงท่าพระจันทร์ จับนายแดงท่าช้างไปก็แล้วกัน เพราะนั่นก็แดง นี่ก็แดง


พอไปถึง ยมบาลก็บอกว่า ให้ไปเอาแดงท่าพระจันทร์ ทำไมเอาแดงท่าช้างมา นี่รีบเอาไปส่งเสียก่อนที่กายเนื้อเขาจะเน่า ในกรณีนี้ มนุษย์ที่ถูกจับไปนั้น อาจจะมีบุญ บางครั้งอาจจะมีบาป เรียกว่า สร้างบาปมาก แต่มีกุศลในอดีตที่หนุนให้ดีขึ้นมา ก็ให้ไปดูการลงโทษของยมโลก กลับมาแล้ว จะได้กลับตัวเป็นคนดี

pngegg.5.3.1.png



เจ๊กโกหน้าวัดระฆังตายแล้วฟื้น


สมเด็จ : ครั้งหนึ่ง สมัยอาตมามีสังขารอยู่วัดระฆังฯ หน้าวัดมีเจ๊กโกคนหนึ่ง เป็นชาวไหหลำ เขาก็ท่องแต่ว่า “ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน” พระเณรเดินผ่าน เขาจะไม่ใส่บาตร

อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันสาร์ทจีน เขากำลังกินไก่อยู่ดีๆ ก็ตายไปฉับพลัน เรียกว่า เป็นโรคท้องจุกตาย แต่ตายไป ๒๔ ชั่วโมง กลับมาใหม่ ฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ พอตื่นเช้ามาใส่บาตรเรื่อย ชาวบ้านก็ไปถามว่า เจ๊กโกเอ็งบอกว่า ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ เอ็งตื่นเช้าทำบุญเรื่อย

เขาบอกว่า “ทำบุญไม่เสียเปล่าหรอก” เพราะตอนกูตายไปแล้ว ยมบาลบอกว่า ของมึงไม่มี มีโน่นกระดาษเงินกระดาษทองที่มึงเผามานั้นแน่ะ ไปกินซิ จะกินยังไง ไฟมันร้อนอย่างนั้น หิวน้ำก็หิว ยมบาลก็ไล่กลับมา บอกว่า “มึงไม่เคยทำบุญ กลับไปทำบุญใหม่”

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า บังเอิญ บางขณะบางที ผู้นั้นมีกุศลที่จะช่วยให้เขาไปสู่ปรภพในทางที่ดี ก็อาจจะถูกจับผิดตัว เรียกว่า ไม่เสมอไป บางคนก็อาจจะเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงเวลาตายก็มี นี่หมายความว่า สายใยแห่งการติดของกายทิพย์กับกายเนื้อยังไม่ได้ตัดขาดจากกัน


ถ้าสายใยแห่งกายทิพย์กับกายเนื้อนี้ตัดขาดแล้วไซร้ ก็คือว่า พลังแห่งในกายท่านมีธาตุทั้งสี่ประชุมพร้อม ถ้าสายใยแห่งธาตุไฟขาดสะบั้น ร่างกายท่านจะเน่าเปื่อยทันที มีอะไรอีกไหม

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์


(วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อครับ เมื่อเร็วๆ นี้ มีหนังสือพิมพ์ลงเรื่องเกี่ยวกับผีผู้หญิงจีนที่หัวขาด ที่ศรีราชา แล้วก็ได้ความว่า ตายมา ๑๕ ปีแล้ว แต่ก่อนนี้ ทำไมจึงไม่แสดงปาฏิหาริย์ เพิ่งมาแสดงปาฏิหาริย์เร็วๆ นี้ เป็นเพราะอะไรครับ

สมเด็จ : ที่ไหน

ศ.ดร.คลุ้ม : ที่ศรีราชาครับ คือผู้หญิงคนหนึ่ง ประวัติที่เขานำมาเล่าให้ฟัง ตอนที่ผีเข้าสิงว่า ผู้หญิงคนนี้ไปเยี่ยมสามี มีคนบอกว่า ผู้หญิงจีนอายุ ๓๐ ปี ถูกรถสิบล้อทับ ขาขาด คอขาด หัวกระเด็นไปติดต่ออยู่บนต้นไม้

แล้วผู้หญิงคนนี้ เขากำลังเดินไปเยี่ยมสามีที่โรงพยาบาล ขณะเดินผ่านต้นไม้ เห็นผู้หญิงอยู่บนต้นไม้ยิ้มให้ด้วย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้น พอเดินไปถึงโรงพยาบาล ก็มีอาการผิดแปลกไปจากคนธรรมดา

หมอตรวจอาการแล้วบอกว่า ต้องตายแน่ หัวใจเต้นช้าเหลือเกิน หมออีกคนตรวจพบว่า หัวใจเป็นปกติ แล้วเขาไม่ลืมตาเลย หมอถามว่า ลืมตาไม่ได้หรือ คนไข้บอกว่า ไม่ได้หรอก ขืนลืมตา เดี๋ยวหมอจะตกใจ มีหมอคนหนึ่งขืนไปเปิดตาคนไข้ดู แล้วก็ตกใจไม่สบายไปหลายวัน อันนี้เพราะอะไรครับ แล้วผีได้บอกว่า ตอนที่ยิ้มให้แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในกระเป๋าผู้หญิงคนนั้น จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เรื่องมันเป็นว่า เป็นการพัวพันในอดีตชาติของมนุษย์คนนี้กับผีเปรตตนนั้น คือหมายความว่า เขาตายในขณะจิตที่อยู่ในภาวะที่มีห่วง และตายอย่างไม่ถึงอายุขัย ภาวะแห่งการตายไม่ถึงอายุขัยนี้แหล่ จึงทำให้เขามีพะวงสิ่งหนึ่งที่จะคอยพบกับผู้ที่มีกรรมพัวพัน พูดง่ายๆ ก็คือว่า ผู้หญิงคนที่ถูกเขาสิงนี้ ในอดีตชาติเคยเป็นลูกเขามาก่อน ภาวะแห่งการที่ในอดีตชาติเคยเป็นลูกเขามานี้แหล่

อันนี้จะต้องอธิบายถึงความเป็นอยู่ของวิญญาณ ความเป็นอยู่ของวิญญาณนั้น ถ้าวิญญาณนั้นตายโดยไม่ถึงอายุขัย แล้วเป็นวิญญาณปุตุ ปุตุ ในที่นี้หมายถึง วิญญาณที่ไม่ได้บำเพ็ญในด้านนามธรรม ในด้านอำนาจฌานญาณ ภาวะถ้าตายอย่างไม่ถึงอายุขัยแล้ว เขาจะถือว่าเป็นวิญญาณอิสระ พลังแห่งการเป็นวิญญาณอิสระนั่นแหล่ จะมีพลังแห่งการหยั่งรู้ของตนขึ้นมา ก็พยายามนั่งนึก แต่แยกแยะคำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคตไม่ได้

ก็คือหมายความว่า นั่งแยกแยะเหตุการณ์ว่า คนนั้นเคยเป็นลูกเรานี่ คนนี้เคยเป็นพี่เรานี่ เคยเป็นอะไร คือสามัญสำนึกแห่งธรรมชาติของจิตวิญญาณโผล่ขึ้นมา พลังอันนี้เมื่อคิด เมื่อมีความยึด ก็อยู่คอยวาระที่จะว่า พบลูกของตนคนหนึ่งที่จะต้องผ่านมาทางนี้ และภาวะนั้นก็คือว่า ผู้หญิงผู้นั้นกำลังอยู่ในชะตาไม่ดี เขาก็ได้เข้าในผู้หญิงนั้น

pngegg.5.3.1.png



สภาวะที่วิญญาณเข้าสิง


สมเด็จ : สภาวะแห่งการเข้าในผู้หญิงนั้น ที่เขาบอกว่า เข้าไปในกระเป๋านั้น เป็นการพูดโวหารตลกของผีหัวขาดนั้น

การที่วิญญาณจะตามมานั้น ว่าตามหลักก็คือว่า มนุษย์นี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยธาตุแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ภาวะแห่งธาตุดินน้ำลมไฟแล้วไซร้ วิญญาณสิงสถิตพร้อมด้วยการกระจายอยู่ในวิญญาณธาตุ พลังแห่งการกระจายอยู่ในวิญญาณธาตุ ก็คือว่า กายทิพย์ของท่านนี่ จะอยู่ตรงนี้ (หลวงพ่อสมเด็จชี้ตรงบริเวณท้ายทอย)

จิตวิญญาณท่าน ถ้ารวมได้ จะอยู่ตรงนี้ (ชี้ตรงหน้าผากระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง) คือ พลังแห่งการใช้งาน เพราะฉะนั้น คนโบราณเขาจะถือว่า กลางค่ำกลางคืนจะเดินไปไหน ห้ามผูกอะไรบนหน้าผาก ผีมันจะไม่เห็นแสงคน มันจะเข้ามาชนกับคน

เพราะฉะนั้น วิญญาณนี้จะมาในลักษณะนั่งท้ายทอยมา คือ พลังของกายทิพย์กับกายทิพย์จะสัมผัสกันที่ท้ายทอย ก็ตามมาตามมา ก็ค่อยๆ แทรกซึมเบียดกายทิพย์ของวิญญาณหญิงคนนี้ จนสามารถแผ่เข้าไปในวิญญาณธาตุ พลังอันนี้เขาเรียกว่า อำนาจจิตของวิญญาณย่อมมี คือ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า พวกโอปปาติกะ หรือพวกคนปุถุชน เมื่อตายไปก็เป็นวิญญาณปุตุ ก็มีพลังจิตที่จะมาบีบรัดกายทิพย์ของมนุษย์ที่เป็นๆ ที่ไม่มีสมาธิได้


pngegg.5.3.2.png



วิญญาณใช้พลังบังคับกายเนื้อ


สมเด็จ : เมื่อพลังอันนั้นแผ่ซ่านเข้าในกายได้เรียบร้อยแล้วไซร้ ย่อมสามารถใช้อำนาจนี้บังคับประสาทในกายเนื้อ ทำให้หัวใจเต้นช้าก็ได้ ทำให้หัวใจเต้นเร็วก็ได้ อันนี้อยู่ที่พลังแห่งการบีบรัดของการแทรกซึมของการเข้าไปในกายเนื้อนี้แล้ว เรียกว่า วงการแพทย์หรือพวกนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพวกอาจารย์ชีวะ เขาก็งง

อย่างขณะนี้ อาตมาใช้ร่างมนุษย์คนนี้อยู่ ท่านจะเอาอะไรมาลองวัดหัวใจ รับรองให้หมอสักร้อยคนชั้นดอกเตอร์ดีกรีพ่วงท้ายมากๆ ด้วย จะจับว่าคนนี้ จะมีโรคก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีโรคก็ไม่เชิง คืออาตมาสามารถจะให้หัวใจเขาเต้นนาทีละ ๓๐๐ ครั้งก็ได้ อยู่ๆ ลองวัดอีกที หัวใจไม่เต้นเลยก็ได้ อันนี้หมายถึงว่า ใช้พลังบีบรัด สามารถแทรกเข้าไปในกายเนื้อของมนุษย์ แล้วพลังอันนี้จะแผ่ไปทั่วร่างมนุษย์นี้อย่างฉับพลันเร็วยิ่งกว่าอะไร พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ก็คือว่า เร็วยิ่งกว่าน้ำกับน้ำ
เจอกันกลืนทันที

pngegg.5.3.3.png



การถอยของวิญญาณ


สมเด็จ : ทีนี้ เวลาจะออกนี้ก็รวมตัว คือถอยของพลังธาตุ ท่านอย่าลืม วิญญาณที่ถูกจับทรงก็ดี วิญญาณที่ถูกผีอำก็ดี วิญญาณเจ้าของร่าง เขาจะไม่อยู่ห่างจากกายเนื้อ วิญญาณของเขาจะพยายามเบียดเข้ามา มีช่องว่างก็จะพยายามเบียดเข้ามาในกายเนื้อ เปรียบเสมือนหนึ่งผู้ที่คิดทำลายประเทศ คอยแทรกซึม ถ้าไม่มีช่องว่าง เขาจะไม่แทรกเข้าไป ถ้ามีรูที่ไหนเขาเข้าแทรกที่นั่น

สมมติเวลาถอย วิญญาณทิพย์ถอยจากปลายเท้าขึ้นมาจุดนี้ (จุดกลางตัว) วิญญาณของคนๆ นั้น ก็จะมาถึงตรงนี้ทันที (จุดกลางตัว) เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า อาตมาตอนกลับจะนอน วิญญาณทิพย์เคลื่อนจากเท้าจะมาตรงนี้ วิญญาณของร่างทรง เขาจะซึมเข้ามาทางเท้าทันที คือวิญญาณของคนที่ยังไม่ตายหรือไม่ถึงอายุขัย ยังมีสังขาร จะหวงร่างมาก ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือว่า แมวห่วงบ้านมากกว่าห่วงคน หมาห่วงเจ้าของมากกว่าห่วงบ้าน ฉันใดก็ฉันนั้น


p4.png



สาเหตุที่วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์


สมเด็จ : ถ้าคนนั้น ยังไม่มีการแตกสลายของขันธ์กายเนื้อ และตายอย่างไม่ถึงอายุขัย หรือว่าวิญญาณของบุคคลที่ถูกผีสิงก็ดี ถูกเทวดาเข้าก็ดี วิญญาณเขาจะพยายามทุกวิถีทางที่เข้าร่างกายเนื้อ นี่คือความละเอียดของวิญญาณ จึงขอสรุปว่า ที่เขาเข้าผู้หญิงคนนี้ เพราะ

๑. ผู้หญิงคนนี้กำลังดวงมืด

๒. ในอดีตชาติเคยเป็นลูกของผีคนนี้ คือมีความพัวพันกันมาในอดีตชาติ จึงมาเข้าร่างได้

๓. ผีตนนี้จะถึงวาระเกิด จะมาขอส่วนบุญ

นี่คือวินิจฉัยให้ละเอียดไปเลย ทีนี้คนไม่เข้าใจ เขาจะบอกว่า สมเด็จโตนี่เลอะ ถามคำเดียวว่า เมืองจีนอยู่ที่ไหน ไปคุยเรื่องอเมริกาก่อน คือคนเราไม่เข้าใจ เราพยายามจะอธิบายธรรมะให้คนเข้าใจ มันก็ทิฐิว่า ข้านี้เก่ง เจ้าถามมาคำ ข้าตอบไปคำ ข้าคืออาจารย์

อาจารย์ที่จะเป็นอาจารย์ที่ดีนั้น เขาจะต้องแยกแยะชี้แจงให้ลูกศิษย์หายสงสัย โดยไม่ต้องตั้งคำถามบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์อย่างสมเด็จโตนี้ ไม่หากินกับมนุษย์ ไม่เหมือนพวกนักแต่งตำรา ต้องขยักไว้ก่อน หรือไม่เหมือนนักแต่งนิยาย อ่านต่อฉบับหน้า เพื่อเอาสตางค์ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อธิบายให้กระจ่างเลยว่า ที่หมอวัดแล้ววินิจฉัยว่า จะตายหรืออะไรนั่นน่ะ เป็นเพราะอะไร

p5.png



พลังจิตออกทางตา


สมเด็จ : ทีนี้ ในเรื่องของประสาทตา ก็คือหมายความว่า เมื่อวิญญาณของผีผู้หญิงเข้ามาจุดนี้ (เข้าสิง) ได้แล้ว ก็ใช้พลังทิพย์อันนี้กระจายกายทิพย์ไปในวิญญาณธาตุทั่วกายเนื้อ จึงสามารถทำให้ประสาทตาคนนี้แข็งได้ ท่านจะดูว่า เวลาพระพรหมชินนะท่านมา นัยน์ตาแข็งเหมือนตาเหยี่ยวจริงๆ อันนี้อยู่ที่การแผ่พลังของวิญญาณที่เข้านั้น มีพลังขนาดไหน พอจะเข้าใจไหม

ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : เข้าใจครับ แล้วเหตุผลที่คนที่ถูกผีสิงนี้ เขาหลับตาทำไม เมื่อหมอเขาบอกให้ลืมตา เขาจึงบอกว่า ลืมตาไม่ได้ เดี๋ยวจะกลัว แล้วก็มีหมออีกคนหนึ่งที่ว่า อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็ไปเปิดตาเขาโดยพลการ หมอก็เลยตกใจ ตกใจแล้วไม่สบายไปตั้งสามวัน นี่เป็นเพราะอะไรครับ

สมเด็จ :
อันนี้ที่เขาไม่ลืมตา เพราะว่าผีเปรตหรือพวกอสุรกายที่เข้านั้นน่ะ ถ้าเขาลืมตา ตาเขาจะแข็งทื่อ แข็งทื่ออย่างน่ากลัวมาก ก็เรียกว่า เป็นผีที่มีคุณธรรมนิดหน่อย คือกลัวคนอื่นจะตกใจ ก็บอกว่า เจ้านี้อย่าบังคับข้าลืมตาเลย

ทีนี้ หมอคนนั้นก็อยากลองดี ด้วยความไม่เชื่อ จะดูตาเขา ขณะที่ไปเปิดตาเขานี่ ถูกพลังจิตของผีหัวขาดพุ่งออกมาทางสายตา พลังอันนี้ก็เรียกว่า เข้าทำลายในกระแสจิตวิญญาณของหมอผู้นั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดปฏิกิริยาในกายเนื้อขึ้น ก็คือถูกอำนาจจิตสะกด หรือถูกอำนาจจิตทำลาย ท่านจะดูพวกที่สักของก็ดี พวกที่สักน้ำมันอะไรก็ดี พอพระพรหมชินนะเดินผ่านไป มันจะขึ้นมาเต้น มีปฏิกิริยาทันที

นี่เพราะพลังอำนาจจิตที่เหนือกว่า ใช้พลังอันนี้ทำลายกระแสขณะที่เขาเปิดตา เรียกว่า เมื่อเปิดตาเขาขึ้นมา เขาจ้องอย่างตาถลนใหญ่ขึ้นมา ด้วยอำนาจจิตของเขา หมอจึงตกใจในขณะนั้น


p6.png



วิชาไสยศาสตร์กับนักพลังจิต


สมเด็จ : คือวิญญาณนั้น เขาใช้พลังที่เรียกว่า “สายดำ”

ว่าตามหลักของโยคี เขามีทั้งพวกสายขาวและสายดำ เรียนวิชาสายดำ ก็เรียกว่าใช้ทำลาย วิชานี้ถ้าภาษาชาวบ้าน เราก็เรียกว่า ไสยศาสตร์ คือใช้พลังจิตบีบรัดวิญญาณฝ่ายตรงข้าม


เหมือนกับพวกโยคีภูเขาหิมาลัยที่ฝึกถึงขั้นสูงสุดของเขาจริงๆ นั้น หากเขาไม่กลัวบาป เขากล้าพนันว่า คนนั้นที่เจ้าเห็นอยู่นี่ ฉันสามารถทำให้ตายได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง ถ้าข้าทำให้เขาตายได้ เจ้าจะให้ข้าเท่าไหร่ ถ้าคนกล้าพนัน

ขอเพียงแต่ให้เขาสามารถจ้องตาคนนั้นเพียงครั้งเดียว พวกที่มีพลังจิตสูง เขาสามารถใช้อำนาจจิตตัดกายทิพย์ของผู้นั้นออกมาได้ เพราะมันเป็นเรื่องของความลี้ลับ มันเป็นความมหัศจรรย์ของจิต ความลี้ลับของวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก

เพราะฉะนั้น ในการที่หมอป่วย ก็เพราะถูกพลังกายทิพย์ของวิญญาณผีที่ไปเปิดตาเขาโดยพลการ กลั่นแกล้งเอา คือเรียกว่า อวดดี พยายามอยากจะดูตาฉัน นึกว่าตาฉันน่าพิศวาสมากนักหรือ


p7.png



วิญญาณกับศูนย์รวมกรรม


ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : สำหรับรายนี้ก็หมายความว่า ถ้าผีผู้หญิงนี้ ได้รับส่วนกุศลที่ผู้หญิงที่ถูกสิงแผ่กุศลไปให้เขาแล้ว ถึงเวลาเขาก็จะไปเกิด เมื่อถึงเวลานั้น วิญญาณนี้ก็จะออกไปเอง โดยไม่ต้องทำพิธีไล่ ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ไม่ต้อง เขาจะออกไปเอง แล้วเขาจะเดินทางไปศูนย์รวมกรรมเอง ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดมาก ถ้าวิญญาณที่ทำผิดมาก เขาจะพยายามหนี เมื่อยมบาลเปิดบัญชีขึ้นมา เขาก็จะส่งยมทูต เทวทูต หรือพรหมทูต มาตามหา ว่าเวลานี้ วิญญาณนี้อยู่ที่ไหน รีบจัดการไปเอามา

ทีนี้ วิญญาณที่ตายยังไม่ถึงอายุขัยนี้ เขาก็จะรู้อยู่ในสภาพวิญญาณแล้ว เขาจะรู้ในขณะนั้นว่า บัดนี้ถึงอายุขัยแล้ว ต้องไปเสวยกรรม เขาก็อาจจะไปศูนย์รวมกรรมเอง นี่คือเรื่องง่ายๆ

ถ้าวิญญาณนั้นดี ไม่ใช่เป็นวิญญาณเกเร ก็ไม่ต้องไปขับไล่หรอก เราทำกุศลให้ เมื่อถึงเวลา ผีนั้นก็จะไปเสวยกรรมวิบากที่เขาสร้างมา

ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : อย่างนี้เป็นวิญญาณอิสระ ตามที่หลวงพ่อเคยเทศน์ให้ฟังใช่ไหมครับ ผมเข้าใจแล้วครับ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

ทำไมจึงเกิดเป็นหญิง


(วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๕)



คุณบุญยง ว่องวานิช : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมขอถามปัญหา อาจจะเป็นปัญหาปากคอก แต่ว่าเป็นปัญหาสามัญที่คนมักจะถาม ก็คือเพราะเหตุใด เพศหญิงจึงด้อยกว่าเพศชายครับ แล้วทำกรรมอะไร จึงเกิดเป็นหญิงครับ

สมเด็จ : คือภาวะแห่งการที่จะเกิดเป็นหญิงนั้น อยู่ในสภาพการณ์แห่งความวิบาก และที่ผู้หญิงเกิดความอ่อนแอกว่าผู้ชาย ก็เพราะว่าสภาพอาการ ๓๒ นั้น เขาบอกว่า ผู้หญิงนั้นขาดโครงกระดูกหนึ่งอัน เหลือ ๓๑ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า เขาอุปมาอุปไมยทั่วไป

การที่เกิดเป็นสตรีนั้น ก็คือว่า ผู้นั้นจะต้องมีหลักแห่งการเขาเรียกว่า อยู่ที่เจตนาจิตและอยู่ที่วิบากกรรมที่ตนสร้างมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ระหว่างเป็นชาย สภาวะแห่งการเป็นชาย ชาติที่เป็นชายนั้น ไม่มีศีลธรรม ชอบหลอกลูกสาวชาวบ้านมาเป็นเมีย แล้วก็ทิ้ง

ภาวะกรรมวิบากนี้ ก็อาจจะส่งผลไปสู่ในอนาคตของการเกิดอีกชาติหนึ่งเป็นหญิง เรียกว่า จากเจตนาของการแช่งของผู้หญิง ผู้ชายคนนี้ พอลงจากตีนบันได ก็โสดทั้งนั้น พอได้เราแล้ว ก็ทิ้งเราอย่างกับหมูกับหมา ไม่เห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิง นี่คือเรียกว่า เจตนากรรมของฝ่ายที่สาปแช่ง ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นหญิง

ทีนี้ อีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายบางคนก็อาจจะอยากเกิดเป็นผู้หญิง นี่คือเจตนาแห่งจิตวิญญาณระหว่างการเป็นคน ก็อาจจะส่งผลไปสู่การเกิดเป็นผู้หญิง

pngegg.5.3.1.png



วิญญาณมาเกิดตามหลักวิทยาศาสตร์


สมเด็จ : ที่อธิบายอย่างนี้ ท่านนักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะค้าน ก็ย้อนเข้าหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือว่า อยู่ที่ภาวะกรรมของผู้ที่จะเป็นบิดามารดา มีกรรมพัวพันกับเราขนาดไหน เพราะคนเราจะเกิดมาได้ ต้องอาศัยจิตวิญญาณของบิดามารดา เขาเรียกว่า อยู่ที่บิดา แล้วก็ถ่ายเข้ามารดา หลังจากที่เราเสวยกรรมในปรภพ จบสิ้นการใช้กรรมนั้นๆ แล้ว จิตวิญญาณเราจะเป็นอิสระ

ขณะจิตวิญญาณเราเป็นอิสระนั้นแหล่ เราก็จะเกิดความนึกคิดขึ้นมาในมโนภาพ อาจจะคิดถึงผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ ที่มีกรรมพัวพันกับเรา เขาเรียกว่า วิญญาณเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู ขณะจิตที่คิดปุ๊บนี่ จิตวิญญาณของท่าน กายทิพย์ของท่านจะเคลื่อนไปสู่บ้านนั้นทันที

ถ้าในขณะนั้น บ้านนั้น หญิงชายกำลังร่วมประเวณีกัน ภาวะแห่งกรรมวิบากที่ท่านมีความเกี่ยวข้องกับชายหญิงผู้นั้น ท่านจะเห็นเป็นแสงสีที่น่าดู แสงนั้นก็จะมีพลังเสมือนหนึ่งแม่เหล็ก จะดูดวิญญาณท่านปฏิสนธิในครรภ์มารดาทันที


ขณะนั้นทางวิทยาศาสตร์ก็คือว่า หญิงไข่สุก ตัวอสุจิของชายเข้าผสม ถ้าขณะนั้นเป็นไข่ตัวเมีย จิตวิญญาณก็ปฏิสนธิเข้าสู่ไข่ตัวเมียด้วยการผสมของเชื้อตัวเมียแห่งอสุจิ ท่านก็จะฟักตัวเป็นพืชพันธุ์ปัจจุบันชาติแห่งการเป็นหญิง

ทีนี้ ท่านอาจจะบอกว่า เอ๊ะ สมเด็จโตทำไมเก่งนัก สมเด็จโตเคยมีเมีย สมเด็จโตบวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ จนกระทั่งตาย ไม่มีเมียนะจ๊ะ ที่เทศน์ได้อย่างนี้เพราะว่า ใช้ในหลักของการเข้าฌานตรวจการเกิดดับของสัตว์ จึงรู้ละเอียดเช่นนี้แหล่
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

อริยทรัพย์


(วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : ลูกอยากจะเรียนถามเรื่อง อริยทรัพย์กับทรัพย์สินเงินทอง มันต่างกันที่ตรงไหน ทรัพย์สมบัติต่างๆ ทำไมไม่เรียก "อริยทรัพย์" และอริยทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่ง ต่างกันอย่างไร จึงเรียก "อริยทรัพย์"

สมเด็จ : เจริญพร คือในคำว่า “อริยทรัพย์” นั้น

อริยทรัพย์ หมายถึง อริยทรัพย์ที่เป็นสิ่งยั่งยืน และเป็นสิ่งที่เรียกว่า ปัจจัตตังแห่งการอยู่รอดของนามธรรม จึงถือว่าเป็นอริยทรัพย์

ส่วนทรัพย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทรัพย์นี้เขาถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาด้วยสามกรรมที่ใหญ่ เรียกว่า สามพญามารที่แฝงอยู่ในกาย การที่ได้มาในเครื่องต่างๆ แห่งการใช้ก็ดี แห่งการกินก็ดี แห่งการอยู่ก็ดี


สิ่งเหล่านี้ที่ท่านได้ในทรัพย์ ในด้านของคำว่า วัตถุ นี้ ท่านได้ด้วยโทสจริต ได้ด้วยโมหจริต ได้ด้วยโลภจริต เพราะฉะนั้น ทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยที่ไม่มีความคงทนอยู่รอดของการเสวยสุขแห่งด้านนามธรรม

อาจารย์ชุบชีพ : ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เอาติดตัวไปได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เอาติดตัวไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะอะไรเล่า เพราะว่าท่านตาย ท่านก็เอาเงินไปสักอีแปะหนึ่งไม่ได้ เมื่อท่านมีอยู่ ท่านหวง ท่านก็ไม่สบายใจ เพราะฉะนั้น ทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์ที่ท่านสร้างขึ้นมาด้วยความทุกข์ใจ และทำให้เกิดความระแวง ทำให้จิตของท่านในด้านฝ่ายนามธรรมนี้ไม่ปรกติสุข

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ห่วง หลง อยู่ในวัตถุสมบัติ คนเหล่านี้เขาเรียกว่า เป็นคนที่ถูกกิเลสครอบงำ จนไม่ลืมหูลืมตา พิจารณาถึงวาระสุดท้ายแห่งการตายว่า ภาวะถึงเวลานั้นท่านตายไป สิ่งที่ท่านหวง สมบัติที่ท่านห่วง ทรัพย์ที่ท่านเก็บ สิ่งเหล่านี้ ท่านนำเอาติดตัวไปปรภพได้หรือไม่

อาตมาขอตอบว่า ไม่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถึงวาระแห่งการตายถึงอายุขัยของท่านแล้วไซร้ ภาวะนั้น ถ้าท่านมีกุศลหรือได้สร้างบุญไว้ อันนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ขอให้ท่านนำไปพิจารณาเอาเอง ก็คือว่า ท่านจะมียมทูต เทวทูต พรหมทูต มารับตัวท่านไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง คือ โลกวิญญาณ


pngegg.5.3.1.png



รูปก็ดับ นามก็ดับ แล้วเอาอะไรไปเสวยกรรม


สมเด็จ : ทีนี้ ในระหว่างที่ท่านตายนั้นแหล่ จิตวิญญาณท่านไปเสวยกรรม อันนี้หมายความว่า เป็นการอธิบายให้เข้าใจ คำว่า รูปและนาม นี้ ต้องเข้าใจว่า นามนั้น วิญญาณธาตุนั้นแหล่จะดับพร้อมกับขันธ์ ขันธ์แห่งสมมติของดิน น้ำ ลม ไฟ แต่วิญญาณทิพย์นี้ย่อมไม่ดับ เพราะฉะนั้น การเสวยกรรมของทางพุทธศาสนา ก็คือ การเสวยกรรมของวิญญาณทิพย์ วิญญาณทิพย์จึงเป็นการไม่แน่นอน คือ เคลื่อนไปสู่การเกิดตามภพตามชาติตามสังสารวัฏ

เมื่อท่านตายใหม่ๆ สมมติว่า ระหว่างยมทูตมารับท่านอยู่นั้น ท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อน ขอให้ฉันดูสมบัติของฉันก่อน ท่านดูแล้วท่านก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่ซากศพของท่านเอง ถ้าคนเป็นไม่จับศพท่านใส่โลงแล้วไซร้ ศพของท่านก็ต้องปล่อยให้เน่าเปื่อยตามภาวะ ตามกรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านสร้างวัตถุทรัพย์ไว้มากๆ แล้วไม่รู้จักแบ่งก่อนตาย ก็เท่ากับท่านไม่ได้สร้างโลงของท่านเอาไว้

ถ้าเกิดลูกหลานของท่าน มีตัวโลภครอบงำกันมาก ถ้าท่านตายปุ๊บ เขาจะบอกว่า คนตายช่างมัน สมบัตินำมาแบ่งกันก่อนดีกว่า นี่คือเรื่องของจิตใจมนุษย์ ที่มีตัวโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่เรียกว่า วัตถุและทรัพย์ ทรัพย์ที่ท่านเห็นด้วยตาเนื้อนี้ ท่านย่อมเอาไปไม่ได้แม้แต่อีแปะหนึ่ง เมื่อท่านตาย

pngegg.5.3.2.png



บัญชีทิพย์


อาจารย์ชุบชีพ : ทีนี้ สงสัยที่หลวงพ่อว่า วิญญาณทิพย์ไม่ดับ ได้แก่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : วิญญาณทิพย์นี้ก็คือ จิตวิญญาณแฝงอยู่ในกายเนื้อ อันนี้ต้องอธิบายถึงการเกิดดับ ท่านเชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ นรกสวรรค์มีจริง ก็ฟังแล้วไปคิด ถ้าท่านไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริง ท่านฟังแล้วก็ถือว่าสมเด็จโตมาเล่านิยายให้ฟังก็แล้วกัน

คือ ระหว่างที่ท่านเป็นมนุษย์นั้นแหล่ ท่านย่อมที่จะมีกรรมพัวพันกับมนุษย์ ระหว่างการเป็นคนอยู่ทั่วๆ ไป ก็จะทำทั้งกุศลและอกุศลบวกลบอยู่ในนั้น โดยไม่สามารถที่จะแยกแยะออกมาให้รู้ว่า อะไรเรียกว่า กุศล อะไรเรียกว่า อกุศล ตั้งแต่เกิดจนตาย

แต่ว่าในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่านเชื่อหรือไม่ว่า มีเทวดามากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร เขาจะจดบัญชีในการเป็นคนของท่านไว้อย่างละเอียดลออ เรียก บัญชีทิพย์ แล้วไปบวกลบคูณหารในโลกวิญญาณ

ทีนี้ พลังแห่งการไปบวกลบคูณหารในโลกวิญญาณ ก็คือ การเสวยกุศลกับอกุศล และเมื่อท่านเสวยกุศลและอกุศล หรือว่าเสวยทุกข์และสุขในโลกอีกโลกหนึ่งแล้วไซร้ เมื่อหมดทั้งกุศลและอกุศลแล้ว วาระนั้น วิญญาณของท่านก็จะเป็นวิญญาณอิสระ

pngegg.5.3.3.png



วิญญาณไปเกิดได้อย่างไร


สมเด็จ : ภาวะแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ เมื่อท่านยังเป็นวิญญาณปุตุ ท่านก็จะหาที่เกิด โดยท่านจะเริ่มจากการคิดขึ้นมาก่อน ก็เปรียบเสมือนหนึ่งว่า ท่านอยู่นรก ก็คือถูกขังอยู่ในคุก ระหว่างท่านออกจากคุกนั้นแหล่ ท่านจะคิดว่า เรามาติดอยู่ในคุก ๑๐ ปีแล้ว ขณะนี้จะไปหาใครก่อน อันนี้เปรียบง่ายๆ คือ วิญญาณเมื่อเสวยในภพแห่งกรรมวิบากของตนที่สร้างในชาติหนึ่งแล้ว ก็จะไปหาที่เกิด ก็จะเกิดคิดถึงใครขึ้นมา

ภาวะแห่งการคิดถึงใครขึ้นมานี้ วิญญาณนี้เคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู เคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าลม ก็จะไป ระหว่างไปนั้น ปัจจัยจะต้องให้ผลประกอบกรรม ก็คือร่วมประเวณี ภาวะแห่งการร่วมประเวณีนี้ วิญญาณที่จะปฏิสนธิ ตามหลักกายวิภาคของนักวิทยาศาสตร์ หรือว่าของนักชีวะเขา ก็คือว่า หญิงไข่สุก อสุจิชายผสม นี่เล่าตามภาวะแห่งการนั่งตรวจ หรือว่าการศึกษาในโลกวิญญาณ นี่เป็นเรื่องธรรมะ อย่าคิดอกุศล

p4.png



วิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา


ภาวะในขณะนั้น ที่หญิงชายร่วมประกอบกรรมนี้แหล่ จะทำให้วิญญาณนี้ เห็นเป็นแสงสีศิวิไลซ์ น่าดูน่าชม แสงสีที่วิญญาณเห็นว่าน่าดูน่าชมนั้น จะมีอำนาจลึกลับ สามารถมีกระแสดึงดูดจิตวิญญาณนั้นเข้าปฏิสนธิสู่ในครรภ์ทันที

ในขณะที่ดูดจิตวิญญาณของท่านเข้าปฏิสนธิในครรภ์นั้น ขณะนั้น หญิงไข่สุก อสุจิชายผสมฉับพลัน ร่วมเป็นปัจจัยให้วิญญาณเข้าร่วมปฏิสนธิ ในขณะนั้นเรียกว่า เป็นอณูปรมาณูของจิตวิญญาณและของกรรมของกายเนื้อของมนุษย์

p5.png



สภาพเด็กเกิดใหม่


ทีนี้ เมื่อท่านเกิดในภพภูมิมนุษย์ วิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้ว คล้ายๆ กับท่านถูกห่อหุ้มอยู่ในที่มืด พอคลอดออกจากครรภ์มารดา ก็จะร้อง อ๊า ๆ ๆ ก็เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่เป็นลมขนาดหนัก หรือเกิดช็อกขนาดหนักจนไม่รู้สึกตัว เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาจะลืมเรื่องที่เขาทำไป

ท่านจะสังเกตเด็กเกิดใหม่ๆ นั้นแหล่ เขาจะมีอารมณ์อันหนึ่ง นึกว่า เอ เรานี่ทำอะไร ก็นึกไม่ออก เปรียบเสมือนคนที่เป็นลมลงไป หรือเกิดช็อกกะทันหัน พอเริ่มมีสติ ก็จะรู้สึกว่า เอ ขณะนี้เราเกิดเป็นอะไรไป ทำไมจึงมานอนอยู่ที่นี่


ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือความสะเทือนขนาดหนักของประสาท จนเลือนลางในเรื่องเดิม เมื่อเกิดในปัจจุบันภพ ความทับถมในปัจจุบันภพทำให้ลืมในอดีตชาติ ในระหว่างนั้น ก็จะถูกการปรุงแต่งในปัจจุบันชาติ ถ้าเกิดเป็นแขก ก็จะถูกการปรุงแต่งในปัจจุบันให้พูดภาษาแขก

เพราะสิ่งปรุงแต่งเข้าไปทับถมอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในการกระทำของมนุษย์ทับถม จึงต้องขัดเกลาในด้านนามธรรม ค้นหาอริยทรัพย์ นี่คือคำอธิบายที่พอจะให้เข้าใจในเรื่อง วิญญาณทิพย์
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

วิญญาณอิสระ


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : อยากทราบว่า วิญญาณอิสระ นี่เป็นวิญญาณชนิดไหนครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือในเรื่องของวิญญาณนี้ ในการตายของมนุษย์นั้น อาตมาได้เทศน์ไว้ทีนี้แยะแล้วว่า มีตายเทียม ตายเพราะอสูรฆ่า ตายเพราะอายุขัยยังไม่ถึง และตายเพราะถึงอายุขัย (ตายแท้)

เรื่องของคำว่า ตายเทียม นี้ อยู่ในภาวการณ์ บางคนเป็นการป่วยเจ็บปวดของกายเนื้อ สภาวการณ์แห่งวิญญาณในกายทิพย์นี้ไม่สามารถที่จะรั้งอยู่ในกายเนื้อนี้ สายใยแห่งการติดเชื่อมของวิญญาณกับกายเนื้อได้ผลักหลุดในผู้นั้น


เช่น บางคนเกิดอุบัติเหตุ มีการเจ็บปวดขนาดหนัก ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ภาวการณ์นั้นแลเขาเรียก พลังแห่งจิตไม่เพียงพอ ไม่ได้ฝึก แล้วถูกในการครอบงำของกิเลสของวัตถุ เมื่อนั้นวิญญาณนั้นจะหลุดจากร่างโดยฉับพลัน เขาเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงเวลา

ทีนี้ ในภาวการณ์นี้แล วิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ถูกยมโลก เทวโลก พรหมโลกรับไป ถ้าท่านเชื่อว่า ตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายแล้วไม่สูญแล้วไซร้ จะต้องมีโลกอีกโลกหนึ่งรับทราบในการเคลื่อนไหวของวิญญาณแต่ละพวก แต่ละกลุ่ม แต่ละเหล่า แต่ละชั้น

ถ้าคนที่ตายอย่างถึงอายุขัยแล้ว (ตายแท้) แต่ยังไม่มีการที่จะหลุดไปสู่ในการเป็นเทพ ไปเป็นพรหมก็ดี เขาเรียกว่า เป็นวิญญาณปุตุ ถ้าเป็นวิญญาณปุตุแล้วไซร้ เขาเหล่านี้ระหว่างตายนั้นจะมีพวกยมทูต หรือว่าพวกเจ้าหน้าที่ เจ้าทาง เจ้าเขา เจ้าป่า ที่ได้รับมอบหมายจากผู้รับผิดชอบในหน่วยนั้นให้มารับวิญญาณนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่ตายอย่างถึงอายุขัยแห่งความสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว ก่อนตาย ถ้าผู้นั้นมีบุญหรือว่าเคยสร้างกุศลมา อาจจะรู้ตัวภายใน ๓ วัน เขาก็จะพูดในกิจต่างๆ ให้ลูกหลานรับทราบ ถ้าผู้นั้นมีบุญน้อย ก็จะรู้ล่วงหน้าสำหรับตัวเขา ๑ วัน เขาอาจจะบางครั้งในการมองหน้าญาติ มิตร ลูก หลาน อย่างเวทนา ก่อนที่จะตายแต่พูดไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้น กระแสจิตถูกการบังคับของผู้ที่จะมารับวิญญาณไปชำระตามกฎในวัฏสงสาร ในยมโลก

ทีนี้ วิญญาณอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า วิญญาณจำพวกตายเทียม พวกนี้เป็นวิญญาณอิสระ "วิญญาณอิสระ" หมายความว่า เมื่อตายจากโลกมนุษย์นี้ วิญญาณจะไปทุกหนทุกแห่งตามแต่วาระของจิต วิญญาณแห่งกายทิพย์นั้น จะเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ของเขา ในสภาวการณ์แห่งการดีก็ไปสู่ในที่ดี ถ้าในสภาวการณ์แห่งการเลวก็ไปสู่ที่เลว หรือไม่วิญญาณเหล่านี้ก็จะไปถูกการควบคุมของเทพพรหม ของพระภูมิเจ้าที่หรืออะไร เขาเอาเป็นลูกมือรับใช้ในระหว่างวิญญาณอิสระ

มีวิญญาณจำพวกหนึ่ง ที่ระหว่างโคจรในการเที่ยวไปตามพิภพแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ เขาไปเจอคนที่มีกรรมพัวพัน เขาอาจจะเข้าไปปฏิสนธิมาเกิด เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า บางคนพอเลี้ยงลูกเริ่มจะโตก็ต้องมาตายเสีย อันนี้เพราะว่า เมื่อวิญญาณนี้ถึงอายุขัยตามกฎโลกวิญญาณแล้ว เขาจะส่งบัญชีทิพย์อันนี้ให้กับทูตผู้รับผิดชอบมารับวิญญาณนี้ พวกยมทูตเหล่านี้ เขาจะมีทิพยจักษุอันหนึ่ง คือสามารถสอดส่องว่า วิญญาณอิสระนี้ขณะนี้อยู่ที่ไหน จะไปนำมาในรูปอย่างไร

ยังมีอีกพวกหนึ่ง ที่เคยฝึกฌานญาณ แล้วก็ตายอย่างไม่ถึงเวลา เขาเรียกว่า ตายเทียม เมื่อไปอยู่โลกวิญญาณ พวกนี้ชอบมาหากินกับมนุษย์ บางครั้งก็มาอ้างชื่อว่าเป็นอาตมามา เพื่อมารับการเซ่นไหว้ ทีนี้ เมื่อเขายังไม่ถึงกฎแห่งการตายแท้ของอายุขัยแล้วไซร้ แม้แต่ยมบาลก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะว่าโลกวิญญาณเขาเคารพในเกียรติ ในกฎ ในวินัย อย่างเคร่งครัด ไม่มีการที่จะล่วงล้ำแผนงานของใคร และมีความเคารพในอาวุโส และเคารพในระเบียบแห่งอายุขัยของผู้นั้นที่ยังไม่ถึงเวลาแห่งการตาย

เพราะฉะนั้น ระหว่างวิญญาณนี้เป็นอิสระ ก็สามารถที่จะคิด ทำอะไรก็ได้ และถ้าวิญญาณนั้นมีฌาน มีญาณ จะทำผิดแบบแผน ผิดกฎของโลกวิญญาณได้เสมอ เขายังไม่มีการลงโทษในขณะนั้น เพราะเขาถือว่า อายุขัยแห่งความสิ้นสุดในการเป็นมนุษย์ของเขายังไม่หมดตามอายุขัยแห่งบัญชีที่บันทึกไว้ ฉะนั้น วิญญาณเหล่านี้จึงเรียกว่า วิญญาณอิสระ ตามคำเรียกศัพท์ของโลกวิญญาณนั่นแหละ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

2.png


ตอนที่ ๑

โลกวิญญาณตั้งอยู่ที่ไหน


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์ลัดดา : พรหมโลก เทวโลก นรกโลก ตั้งอยู่ที่ไหนคะ

สมเด็จ : ในเรื่องนี้อาตมาเทศน์ไว้เยอะแล้ว โลกวิญญาณกับโลกมนุษย์กั้นกันแค่กระดาษแก้วทิพย์ใส ภาวะจะถึงโลกวิญญาณ ท่านย่อมต้องทิ้งในโลกมนุษย์ คือ กายในกายของท่านบริสุทธิ์

จักรวาลมนุษย์นี้ สิ้นสุดที่ดาวราหู เลยจากราหู คือยมโลก เลยจากยมโลก ก็คือเทวโลก เลยจากเทวโลก ก็คือพรหมโลก

ทุกวันนี้ มนุษย์อวดตนเก่ง กำลังที่จะหาทางไป อาตมาขอบอกว่า ให้ไปถึงเมืองนาคในมหาสมุทรอินเดียก่อน ก่อนที่จะไปอยู่ในโลกพระจันทร์ ปราสาทของนาคตั้งอยู่ในดินแดนมหาสมุทร มนุษย์ยังไม่กล้าไปถึงเลย แล้วจะไปถึงโลกวิญญาณ โลกวิญญาณนั้น ท่านไม่สามารถไปด้วยวัตถุหรอก ท่านจะต้องไปด้วยกายในกาย ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหนือกาย นี่คือ หลักธรรมะขั้นสูง อธิบายไปก็ฟังไม่เข้าใจ

คือ ในหลักของการสอนขององค์สมณโคดมก็คือว่า สัจจะคือความจริง ความจริงของธรรมะ ตนปฏิบัติถึงได้ เรียกผู้อื่นมาดูได้ แล้วปฏิบัติตามได้ แต่ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธกลายเป็นมนุษย์ตั้งเป็นนักปราชญ์แขนงหนึ่ง เรียนเพื่อเถียง เรียนเพื่อคุย ไม่ใช้เรียนเพื่อทำ จึงทำให้ยุคปัจจุบันที่คนเสื่อมลง

ศีลธรรมนั้นไม่เสื่อม ศาสนานั้นไม่เสื่อม สัจจะย่อมมี แต่มนุษย์ไม่ค้น เรียนแต่พวกทฤษฎี แล้วก็เอาแต่พูด ไม่พยายามปฏิบัติ กลายเป็นว่ามีวิชาประดับโลก ไม่ใช่วิชาพ้นทุกข์

องค์สมณโคดมเข้าค้นสัจจะอันนี้ ก็คือรู้หลักแห่งความทุกข์ ค้นหาเหตุแห่งการมาของทุกข์ เพื่อดับทุกข์ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ใช่ศึกษาในหลักของพุทธศาสนาในรูปนี้ เขาศึกษาเพื่อว่า ฉันนี้ก็รู้ แล้วก็เถียงกัน

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่า รู้สึกเบื่อในการลงมาในโลกมนุษย์ แล้วการทำงานของมนุษย์ในยุคนี้ เขาเรียกว่า ทำแบบไม่มีโครงการ ไม่มีแผนงาน ไม่มีวินิจฉัย ทำแบบขอไปที ซึ่งเป็นภาวะแห่งยุคกลียุคใกล้ระเบิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า ผู้มีศีลธรรมเท่านั้น ผู้มีมนุษยธรรมเท่านั้นที่จะอยู่รอด

เจริญพร

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



ทำดีได้ดีมีที่ไหน   ทำชั่วได้ดีมีถมไป
โลกวิญญาณเขาทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเสมอ


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ทำดีย่อมได้ดี
ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
ท่านจะไปนรกหรือสวรรค์
จะรู้ต่อเมื่อไปพบกันที่โลกวิญญาณ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๕

วางระเบียบให้ชีวิต


(วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : การทำงานนั้น เราจะต้องมีหลักเกณฑ์ ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้เยอะแล้วว่า ในสภาพการณ์เราจะติดต่ออะไร กับใคร บุคคลอะไร เราควรจะมีการวางระเบียบแห่งการติดต่อ เพราะว่าการครองตนอยู่วันหนึ่ง เวลานั้นแสนจะมีค่า เวลาผ่านพ้นไป ย่อมซื้อกลับมาไม่ได้

ฉะนั้น เราต้องยึดถือว่า เราเกิดเป็นคนนั้น เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม เมื่อเรายังมีลมหายใจ ยังพูดกันได้ เคลื่อนไหวได้ วิญญาณยังไม่ได้ออกจากร่างนั้น เราควรทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกและต่อมวลมนุษย์ และการเป็นมนุษย์นั้น ถ้าไม่มีเข็มทิศ ไม่มีระเบียบ มนุษย์ผู้นั้นย่อมเดินไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จของชีวิตไม่ได้

เพราะฉะนั้น การเป็นอยู่ของการเป็นคน เราควรจะต้องมีระเบียบและมีจุดแห่งการดำเนิน เขาเรียกว่า สร้างอุดมการณ์ไว้ได้ แต่อย่าหลงอุดมการณ์ อุดมการณ์เป็นแต่เพียงแนวทางแห่งการปฏิบัติของสัจจะ ให้ตัวเราเดินไปสู่บั้นปลายแห่งความสำเร็จ และการเป็นอยู่นั้น เราจะต้องรู้จักวางระเบียบของกาลเวลาว่า วันหนึ่งเราจะนอนกี่ชั่วโมง จะตื่นกี่โมง จะทำอะไรกี่ชั่วโมง และระเบียบนี้ เราจะต้องรักษาระเบียบ เขาเรียก สัจจะแห่งการตั้งปณิธาน

อย่างเช่น อาตมาอยู่วัดระฆังฯ นั้น อาตมาตื่นตีห้า ตื่นมาก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ สองโมงเช้า อาตมาต้องเขียนในหลักแห่งธรรมะ สามโมงเช้า ต้องเล่นกับหมาสักพักหนึ่งก่อน ให้สมองมันปลอดโปร่ง สี่โมงเช้า ปั้นพระ ห้าโมง จำวัด ตอนบ่าย ใครนิมนต์เทศน์ ไปทั้งนั้น ถ้าไม่ขัดกับในวัง เพราะในวังเขามีระเบียบของวังออกมาในการนิมนต์

สำหรับรัชกาลที่ ๔ ในยุคนั้น ก็ได้วางระเบียบของตัวเองว่า ท่านโตตื่นตีห้า ฉันก็ต้องตื่นตีห้า ตีห้า หัดพละ ตีหก นวดกาย ตีเจ็ด เสวย แปดโมงเช้า อยู่ห้องทรงพระอักษรรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ สิบเอ็ดโมง ออกบัลลังก์ เที่ยงพัก บ่ายสองโมง ประชุมฉุกเฉินตามภาวะ

เพราะฉะนั้น การทำอะไร เราต้องมีระเบียบและมีแบบแผน เขาเรียกว่า มีเข็มทิศแห่งการอยู่ ทุกอย่างมันย่อมสำเร็จ อย่าทำอย่างไม่มีระเบียบ หรือทำอย่างสักแต่ว่าทำ

และการเป็นผู้นำคนนั้น ต้องรู้หลักแห่งการใช้คน แล้วการทำงานใหญ่ต้องจำเอาไว้ว่า เราคนเดียวนั้นทำไม่ได้ดอก คำว่า “สังคม” มันต้องรวมหมู่คณะ เดิน ทำ วิ่ง บางอย่างเราควรจะวางให้ใครไปทำ ก็ควรจะวางเสีย เขาเรียกรู้จักใช้คนเป็น แล้วมันก็อยู่อย่างสบาย คนไม่รู้จักใช้คน ใช้ไม่เป็น เขาเรียกว่า คนนั้นมีกรรม ตั้งแต่ล้างชามจนถึงปูที่นอนต้องทำเอง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๔

สุนัขมีความซื่อสัตย์


(วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : ในคัมภีร์กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ในบรรดาวิหกทั้งหลาย นกกานี่เลวที่สุด และในบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลาย สุนัขเลวที่สุด สำหรับในบรรดาพืชทั้งหลาย ละหุ่งนี่เลวที่สุด อันนี้หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือนี่ เป็นการอุปมาอุปมัยของเหล่าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคต่อมา ที่จะแบ่งในพวก ในหมู่คณะ ในกลุ่มของตน เพราะฉะนั้น ถ้าให้อาตมาพูดแล้ว อาตมาว่า หมานี่ดีกว่าคน เพราะอะไรเล่า เพราะว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ที่มีความทรงจำในทางระบบประสาทดีกว่ามนุษย์ เรียกว่าสอนจำง่ายกว่ามนุษย์

ทีนี้ ในการที่เขาแบ่งนี้ เขาเรียกว่า อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ที่เขียนต่อเติมในคัมภีร์นั้น เกิดความอุปาทานยกตนเหนือกว่าเขา ก็ย่อมลงความเห็นในสิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งเลว

ทุกอย่างในโลกนี้ ในวงการแห่งคำว่า “เลว” เขาก็มีความดีของเขาอยู่ในความเลว สภาพการณ์ในพืชพันธุ์ทั้งหลายก็ไม่ได้มีความเลวในความจริงของตน

เพราะในหลักแห่งคัมภีร์บางคัมภีร์ก็ต่อเติมจนเรียกว่า เลอะ แบบภาษาชาวบ้านว่า อ่านแล้วไม่รู้จะเอาหลักไหนเป็นสรณะ จนเวลานี้บางคนที่ไม่ยึดหลักแห่งเหตุผลแห่งความจริง ก็จะอุ้มตำรา เกาะอย่างไม่ยอมถอย

นั่นคือเหล่าพวกเขาเรียกว่า นักปราชญ์ในยุคปัจจุบัน เรียนศาสนาพุทธเพื่อพูด เพื่อแย้ง เพื่อโต้ ไม่ใช่เรียนพุทธศาสนาเพื่อทำ เพื่อปฏิบัติให้หลุดพ้น ซึ่งมีอยู่ในวงการพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้มากมายนัก

พระเชาวน์ : ธรรมะตอนนี้เป็นการแต่งขึ้นในตอนหลัง อย่างนั้นหรือครับ

สมเด็จ : ยุคหลัง

พระเชาวน์ : ไม่ใช่พระพุทธเจ้ากล่าวเอง

สมเด็จ : พระพุทธองค์นี้ เมื่อเป็นองค์สมณโคดม มีแต่จะพูดเรื่องว่า จะทำอย่างไรจึงให้มนุษย์พ้นทุกข์ ทำอย่างไรจึงให้สัตวโลกมีสุข เพราะฉะนั้น ย่อมไม่มีเวลา หรือไม่มีสมาธิที่จะมาแยกแยะในเรื่องเรียกว่า ชี้คนนั้นไม่ดี ชี้คนนี้ไม่ดี

ถ้าองค์สมณโคดมยังมีอกุศลอารมณ์นี้ประจำใจแล้วไซร้ ถ้าท่านศึกษามาในคัมภีร์ย่อมทราบว่า เทวทัตนั้นทุกวิถีทางที่จะทำลายองค์สมณโคดม เหตุไฉน องค์สมณโคดมจึงไม่ลงความเห็นว่า เทวทัตนี้เป็นนักบวชที่เลวเล่า

พระเชาวน์ : ในที่นั้นกล่าวไว้ว่า ในบรรดาพืชทั้งหลาย ต้นละหุ่งเลวที่สุดนี่ ต้นละหุ่งเลวอย่างไรครับ

สมเด็จ : อาตมาไม่ใช่ผู้แต่งในเรื่องต้นละหุ่ง เพราะฉะนั้น ไม่รู้ว่ามันเลวอย่างไร

ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อครับ ต้นละหุ่งนี่ในทางวิทยาศาสตร์มันไม่ใช่ของเลว เป็นของดีนะครับ ใครว่าของเลว ตำราไหนว่า

พระเชาวน์ : อันนี้ในคัมภีร์เขียนไว้เลย แต่สำหรับที่ว่า สุนัขเลวนี่ เขาก็ให้ความเห็นกันว่า สุนัขนี่ถึงจะเลี้ยงให้อิ่มอย่างไร มันก็ชอบกินขี้

สมเด็จ : นั่นคือสัญชาตญาณของสุนัขที่เขาเกิดมา สิ่งนี้ที่เขากินลงไปได้ เพื่อความอยู่รอดของเขา เพราะฉะนั้น อาตมาว่า สุนัขน่ะมันยังดีกว่าเอ็ง เพราะว่าเอ็งลองสอนให้มันนอนตรงนั้น มันก็นอนตรงนั้น ไอ้มึง บอกมึงว่า ตรงนี้อย่าไป มึงก็ยังไป

ดร.คลุ้ม : ขอสนับสนุนหลวงพ่อครับ หมานี่ไม่ใช่ของเลว หมานี่ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อเจ้านายดีกว่าคนอีกครับ คนนี่เลวกว่าหมาแยะครับ

สมเด็จ : ถ้าท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ ท่านศึกษาในหลักความจริงของศาสนา ท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ของการปกครองแล้ว

พระราชาไม่เคยตายเพราะหมา พระราชาตายเพราะอำมาตย์ พระราชาตายเพราะเหล่าปุโรหิต พระราชาตายเพราะเหล่านางสนมกำนัล พระราชาตายเพราะเหล่าข้าหลวงภายใน พระราชาไม่เคยตายเพราะสุนัขเลย สุนัขมีแต่ความซื่อสัตย์ที่จะป้องกันพระราชาไม่ให้ถูกผู้อื่นทำลาย

เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า ถ้าคุณธรรมแห่งความซื่อสัตย์กตัญญูกตเวทีแล้ว หมาหรือสุนัขนี้ มีความกตัญญูกตเวทีต่อสัตวโลกมากกว่ามนุษย์ หมานั้น ถ้าสังเกตดีๆ ถ้านายกลุ้มใจ หมาจะพลอยกลุ้มใจไปด้วย ถ้านายดีใจ หมาจะรู้สึกดีใจตาม ฉะนั้น อันนี้เป็นกฎธรรมดาของสัตว์ที่มีความกตัญญู


แต่ถ้าเลี้ยงคนแล้ว เลี้ยงให้อิ่มยังไง ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า กินในบ้านแล้วก็ขี้บนหลังคา ถ้าผู้ที่เป็นอำมาตย์ หรือว่าเสนาบดีในยุคนั้น สมัยแผ่นดินจีนเขาเรียกว่า พวกขันที พวกนี้พอเลี้ยงอิ่มก็คิดกบฏทำลายพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่ทุกหัวระแหงในราชบัลลังก์ต่างๆ แม้แต่ในขณะนี้
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-7-1 08:45 , Processed in 0.086199 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.